• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N2308097_สุดที่รัก_12100_part2

admin79 by admin79
August 20, 2025
in Uncategorized
0
N2308097_สุดที่รัก_12100_part2

G-Class เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1979 และ ได้รับความนิยมในหมู่ ผู้มีอันจะกิน แต่มีรสนิยมชอบลุย รักสันโดษ อีกทั้งยังกลายร่างเป็น รถยนต์อเนกประสงค์ สำหรับกิจการพิเศษต่างๆ มากมาย ตั้งแต่ รถพยาบาลสำหรับทั้งมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ไปจนถึง รถยนต์ของทีมสำรวจวิจัยโบราณคดี แม้กระทั่งเคยเป็นรถยนต์พระที่นั่งของ สมเด็จพระสันตปาปา Pope John Paul ที่ 2 G-Class ก็ผ่านมือมาหมดแล้ว แทบทุกรูปแบบภาระกิจ ครั้งสุดท้ายที่มีการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ ก็คือ ปี 2016

แม้ว่า G-Class ใหม่ จะถูกพัฒนาขึ้นพื้นฐานโครงสร้างงานวิศวกรรมของ รถรุ่นเดิมแทบทั้งหมด ยังไม่ได้เปลี่ยนไปใช้ Platform MHA สำหรับ SUV ท่ามกลางความโล่งอกของลูกค้าสายลุยระดับบู๊ ทว่า การปรับโฉมคราวนี้ แม้ รูปลักษณ์ภายนอก ยังคงอนุรักษ์เอาไว้ให้เหมือนรุ่นเดิม แต่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นกับห้องโดยสารมากกว่า โดยเฉพาะแผงแดชบอร์ด ซึ่งออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด ให้ดูร่วมยุคสมัยไปกับ พี่น้องร่วมตระกูลตราดาวรุ่นอื่นๆ กระนั้น พวกเขายังคงรักษาเอกลักษณ์ต่างๆของ G-Class ไว้ เช่น มือจับประตูแบบ Grip Type ที่ให้สัมผัสการกดปลดกลอน หรือเสียงปิดประตู ที่แน่นหนาตามสไตล์ชาวเยอรมัน หรือแม้กระทั่ง ระยะห่างจากขอบล่างของกระจกบังลมหน้า จนถึงผู้ขับ ให้สั้นเข้าไว้ ตามสไตล์ของ SUV ตัวลุย ยุค 1980 การตกแต่งภายใน เปลี่ยนไป เพื่อเพิ่มความสบายขณะขับลุยไปตามเส้นทางหฤโหด

ไม่เพียงเท่านั้น ทีมวิศวกรยังติดตั้งหน้าจอมอนิเตอร์สี TFT ขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมระบบ COMAND เวอร์ชันล่าสุด ซึ่งประจำการอยู่แล้วใน E-Class และ S-Class ให้มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ขณะเดียวกัน ในรุ่นล่างๆ ตระกูล Professional ก็จะมีมาตรวัดความเร็ว กับหน้าจอมอนิเตอร์สี แยกชิ้นกัน แต่ฝังร่วมกันกับแผงพลาสติก Piano Black เหมือน E-Class Elegance เวอร์ชันไทย อีกด้วย

มีแนวโน้มว่า Mercedes-Benz (Thaland) อาจจะสั่งนำเข้า G-Class ใหม่ มาเปิดตัว เอาใจเศรษฐีขาลุย อย่างเร็วที่สุด ในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม หรืออย่างช้าที่สุด ก็คงต้องเป็นช่วงครึ่งหลังของปี 2018 โดยอาจนำเข้ามาในจำนวนไม่มากนัก เพราะรุ่นปัจจุบัน ก็ทำยอดขายในบ้านเราน้อยมาก เนื่องจาก ราคาแพงโหดเอาเรื่อง นั่นเอง


ภาพ Spyshot C-Class Facelift สีขาว จาก Paultan.org

รายการต่อไปที่น่าจับตามองคือ C-Class Facelift ที่จะมีขุมพลัง Diesel กลับมาให้เลือกกันอีกครั้ง แม้จะมีจำนวนไม่น่าจะมากนักก็ตามที

เหตุผลของการนำ C-Class Diesel Turbo กลับเข้ามาทำตลาดอีกครั้ง หลังจากหายน้าหายตาไปนาน ก็ต้องพูดกันตรงๆว่า ส่วนหนึ่ง เป็นเพราะ Mercedes-Benz (Thailand) ตัดสินใจ ถอดขุมพลังเบนซินล้วนๆ ออกจาก ตระกูล C-Class สำหรับตลาดเมืองไทย ไปจนหมด คงเหลือไว้แค่ C350e Plug-in Hybrid ปัญหาก็คือ มีลูกค้าจำนวนไม่น้อย ที่ซื้อไปใช้ แล้วพบกับปัญหา Defect จากตัวรถมากมายหลายอาการ ตั้งแต่เรื่องเล็กๆเช่นคุณภาพชิ้นส่วน หรือการประกอบ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ ที่เกิดจากระบบขับเคลื่อน Hybrid จนถึงขั้น ดับกลางอากาศ ก็มีให้เห็นเป็นประจำ จนทำให้ลูกค้ารายใหม่ เริ่มขยาด และพากันหนีไปหาคู่แข่ง อย่าง BMW 3-Series มากขึ้น

ชณะเดียวกัน กลุ่มลูกค้า C-Class นั้น นอกจาก เศรษฐี ทั่วไป ที่มักซื้อรถไว้ให้บุตรหลานขับขี่ หรือเจ้าของกิจการ ไปจนถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในอาชีพตั้งแต่อายุยังน้อย แล้ว ยังมีกลุ่มลูกค้าวัยเกษียณ ที่เก็บเงินออมมาทั้งชีวิต เพื่อหวังเป็นเจ้าของ Mercedes-Benz สักคัน สักครั้ง ก่อนลาจากโลกไป ซึ่งกลุ่มหลังนี้ เป็นกลุ่มที่ Mercedes-Benz (Thailand) ไม่ควรทิ้งไปเด็ดขาด

อย่างไรก็ตาม เรายังไม่แน่ใจว่า เมืองไทย จะได้ใช้เครื่องยนต์รุ่นใด เวอร์ชันใด เพราะต้องรอให้ C-Class ถูกปรับโฉม Facelift หรือ Minorchange กันในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม นี้เสียก่อน จึงจะเห็นความชัดเจนมากขึ้น กำหนดเปิดตัว น่าจะเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุด ในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือน มีนาคม 2018 นี้

ไม่เพียงเท่านั้น Mercedes-Benz (Thailand) ยังเตรียมจะเอาใจลูกค้าไฮโซ ด้วย รุ่นย่อยใหม่ของ S-Class อย่าง S560e Plug-in Hybrid เพื่อจะมาเสริมทัพรุ่น S350d ซึ่งเพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2017 ที่ผ่านมา

S560e เปิดตัวออกมา ในงาน Frankfurt Motor Show เมื่อ 11 กันยายน 2017 เพื่อทำตลาดแทน S500e Plug-in Hybrid เดิม ซึ่งถือเป็นรุ่นย่อยที่มีสมรรถนะแรงสุดของ S-Class เวอร์ชันปกติ (ไม่นับรวมตระกูล S-Class AMG)

S560e จะมาพร้อม เครื่องยนต์เบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว 2,996 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 88.0 x 82.1 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 Twin Turbo 367 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 – 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร (50.95 กก.-ม.) ที่ 1,600 – 4,000 รอบ/นาที ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า (PS) แรงบิด 440 นิวตันเมตร (44.83 กก.-ม.)

เมื่อเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกัน จะได้พละกำลัง 489 แรงม้า (PS) ขับเคลื่อนล้อหลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic Plus

S560e เฉพาะเครื่องยนต์พละกำลังเพิ่มขึ้นกว่า S500e 34 แรงม้า 20 นิวตันเมตร ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลังเพิ่มขึ้น 6 แรงม้า 100 นิวตันเมตร เปลี่ยนเกียร์จาก 7 จังหวะ 7G-Tronic เป็น 9 จังหวะ 9G-Tronic เมื่อรวมการทำงานทั้งเครื่องยนต์ และ มอเตอร์ไฟฟ้า จะแรงกว่าเดิม 47 แรงม้า นอกจากนี้แบตเตอรี่จากเดิมความจุ 8.7 kWh ก็จะเพิ่มเป็น 13.5 kWh อีกด้วย

ส่วน Option ต่างๆ น่าจะเพิ่มเติมจาก S350d รุ่นปัจจุบัน ไม่มากนัก และคาดว่า ราคาค่าตัวก็น่าจะไม่หนีไปจาก S500e เดิมเท่าไหร่

ช่วงปลายปี มีเรื่องใหญ่ให้รอลุ้นกับการมาถึงของ Mercedes-Benz A-Class Generation ที่ 4 ซึ่งทาง Daimler AG. เพิ่งจะเผยภาพถ่าย Spyshot ขณะทดสอบอยู่ในเขตอากาศหนาว เมื่อ 28 ธันวาคม 2017 ที่ผ่านมา เพื่อหวังจุดกระแสความสนใจของลูกค้าทั่วโลก

งานออกแบบภายนอก จะเป็นการผสมผสานกันระหว่าง A-Class รุ่นปัจจุบัน กับรถยนต์ต้นแบบ Mercedes-Benz Concept EQA ที่เพิ่งเผยโฉมในงาน Frankfurt Motor Show เมื่อ 11 กันยายน 2017 ที่ผ่านมา โดยปรับปรุงให้เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar แคบลงกว่ารุ่นเดิม (ในแง่การมองเห็นจากตำแหน่งคนขับ) เพื่อเพิ่มทัศนวิสัยให้ดีขึ้น หลังจากโดนด่ามาเยอะจากลูกค้าและสื่อมวลชนทั่วโลก อีกทั้งยังเพิ่มระยะฐานล้อ (Wheelbase) อีก 30 มิลลิเมตร เพื่อเพิ่มพื้นที่วางขาของผู้โดยสารตอนหลังให้มากขึ้น

ภายในห้องโดยสาร จะมาพร้อมหน้าจอแสดงผลและหน้าจอสัมผัส Touch Screen ขนาด 10.3 นิ้ววางต่อเนื่องกันแบบเดียวกับพี่ใหญ่ ทั้ง C E และ S-Class รุ่นปัจจุบัน ซึ่งก็จะให้มุมมองห้องโดยสารดูกว้างขวางมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงสารพัดระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ต่างๆ เช่น ระบบเตือนมุมอับสายตา Exit Assist, ระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะทำงานพร้อมกล้อง 360 องศา เป็นต้น

Jochen Eck ผู้ควบคุมการทดสอบรถยนต์ขนาด Compact ของ Mercedes-Benz เปิดเผยว่า A-Class ใหม่ จะมีโครงสร้างตัวถังที่ทนต่อการบิดตัวได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยลดปัญหาด้าน NVH (Noise,Vibration & Harsahness หรือ เสียง การสั่นสะเทือน และความกระด้างในการขับขี่) ลงไปได้อีกมาก

ระบบช่วงล่างให้เลือก 2 แบบ ระบบกันสะเทือนหน้าจะยังคงใช้แบบแมคเฟอสันสตรัท แต่สำหรับระบบกันสะเทือนหลังจะแบบออกเป็น 2 เวอร์ชัน ได้แก่ ช่วงล่างแบบทอร์ชันบีมแบบพัฒนาใหม่ สำหรับรุ่นพื้นฐาน และช่วงล่าง Multi-Link แบบปรับปรุงใหม่สำหรับรุ่นที่สมรรถนะสูง ขณะเดียวกัน พวงมาลัย ก็จะมีให้เลือกทั้งแบบ อัตราทดตายตัว และแบบ อัตราทดแปรผัน (Variable Gear Ratio) โดยทีมวิศวกรได้ขยับตำแหน่ของชุดแร็คพวงมาลัย ถอยหลังลงไปจากเดิมอีกเล็กน้อย

ถึงแม้ว่า กำหนดการเปิดตัวของ รุ่น Hatchback 5 ประตู จะเกิดขึ้นในงาน Geneva Motor Show ต้นเดือน มีนาคม 2018 นี้ ทว่า สำหรับประเทศไทย เราอาจได้สัมผัสกับรุ่นตัวถัง Sedan 4 ประตู เพียงอย่างเดียว เนื่องจากรุ่น Hatchback 5 ประตู นั้น ทำราคาค่อนข้างยาก และ กว่าที่รุ่น Sedan จะเผยโฉมออกมา อาจต้องรอกันจนถึงกลางปี 2018 ก่อนจะพร้อมส่งมาเปิดตัวในเมืองไทย ช่วงปลายปี 2018


MG

  • 2018 : MG 3 Minorchange / GV / RX5
  • 2019 : Maxus T60
  • 2020 : RX5 EV / Smart Car / Autonomous Drive!

จริงอยู่ว่า SAIC / MG ชาวอังกฤษจากแดนมังกร จะมีรถยนต์เปิดตัวในบ้านเรา เพียงรุ่นเดียวในปีที่ผ่านมา นั่นคือ MG ZS ในเดือนพฤศจิกายน 2017 แต่ต้องยอมรับว่า MG พยายามอย่างหนักที่จะชูจุดขายของรถคันนี้ นั่นคือระบบ Infotainment และสั่งการด้วยเสียงภาษาไทยเป็นรายแลกในโลก อย่าง i-Smart เพื่อกลบจุดด้อยด้านอัตราเร่ง และ ความประหยัดน้ำมันของตัวรถ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดาย ทั้งที่อุตส่าห์ออกแบบตัวถังมาจนสวยจบ พวงมาลัยปรับได้ 3 ระดับความหนืดตามต้องการ และ ช่วงล่างที่เซ็ตมาดีใช้ได้ หากนำเครื่องยนต์ 3 สูบ DOHC 1.0 ลิตร Turbo เข้ามาขาย แม้จะตั้งราคาแพงกว่านี้อีกหน่อย แต่เชื่อแน่ว่า MG ZS จะกลายเป็น MG คันแรก ที่ ผู้เขียนชื่นชอบ และ แนะนำให้ซื้อมาใช้ได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจทันที !

แต่ถึงจะวางเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร แบบไม่มีระบบอัดอากาศ 114 แรงม้า (PS) กระนั้น ตอนนี้ โรงงาน MG ก็กำลังปวดหัวอยู่กับการทะยอยผลิต และ ส่งมอบ ZS ให้ครบ จากจำนวนยอดสั่งจองที่หลั่งไหลเข้ามาอีกกว่า 3,000 คัน ! ดังนั้น ปี 2018 จึงเป็นปีที่ท้าทายสำหรับ MG ในการทำตัวเลขยอดขายให้บรรลุถึงเป้าหมาย ตามที่ตั้งใจไว้ ในการนี้ ก็ต้องมีการยกเครื่อง โละผู้จำหน่ายรายเก่าที่ทำตลาด ไม่โดนใจผู้บริหารชาวจีน ทิ้งไป แล้วเปิดรับดีลเลอร์ใหม่ ซึ่งมีประสบการณ์ในตลาดรถยนต์บ้านเราระดับเก๋าเกม จำนวนมาก เข้ามาร่วมงานด้วย เพื่อช่วยผลักดันยอดขายกันอีกแรง

อย่างไรก็ตาม ไฮไลต์สำคัญอีกประเด็นหนึ่งของ MG ในประเทศไทย นั่นคือ การประกาศเปิดโรงงานแห่งใหม่ล่าสุด เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2017 ที่ผ่านมา ด้วยงบลงทุนสูงกว่า 10,000 ล้านบาท เนรมิต พื้นที่กว่า 437.5 ไร่ (700,000 ตารางเมตร) ให้กลายเป็นโรงงานขนาดใหญ่ เพื่อใช้เป็นฐานการผลิตรถยนต์ MG พวงมาลัยขวา สำหรับจำหน่ายทั้งในประเทศไทย และภูมิภาค ASEAN ตลอดจนส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศทั่วโลก รองรับกำลังการผลิตได้สูงถึง 100,000 คัน/ปี โรงงานแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการผลิตทั้งรถยนต์ Smart Car อย่าง ZS รถยนต์ไฟฟ้า EV รวมทั้งรถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ Autonomous Drive อีกด้วย อ่านข้อมูลได้ที่นี่

สำหรับปี 2018 ใครที่กำลังจะเซ็นใบจอง MG 3 ให้ระงับยับยั้งไว้ก่อน เพราะ MG กำลังเตรียมผลิต MG3 รุ่น Minorchange กำลังจะเปิดตัวในบ้านเรา การเปลี่ยนแปงที่สำคัญ นอกเหนือจากจะเกิดขึ้นกับงานออกแบบชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้าทั้งหมด และ แผงแดชบอร์ดใหม่แล้ว ทีมวิศวกร MG ยังตัดสินใจว่า จะเลิกใช้เกียร์อัตโนมัติ AMT กันเสียที เพื่อหันกลับมาใช้เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ แบบ Torque Converter ดั้งเดิมแทน แต่จะยังใช้เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ลูกเดิม แต่ปรับปรุงสมรรถนะเพิ่มเติมเหมือนใน ZS กำหนดเปิดตัว จะมีขึ้นในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2018 นี้ แน่นอน

รุ่นต่อมา ที่คาดว่าน่าจะพร้อมสำหรับการเข้ามาเปิดตลาดในเมืองไทย คือรถตู้ Maxus G10 ซึ่งจะถูกเปลี่ยนชื่อสำหรับตลาดเมืองไทย เป็น MG GV จัดวางตำแหน่งทางการตลาดเป็นรถตู้ Minivan 11 ที่นั่ง ตั้งใจดับเครื่องชน Hyundai H-1 กันจังๆ!

แรกเริ่มเดิมที MG ตั้งใจจะเปิดตัว GV กันตั้งแต่ ช่วงก่อนงาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม 2017 อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวต้องสะดุดกลางคัน และต้องเลื่อนเพราะติดปัญหาด้านภาษีนำเข้า และสรรพสามิต เพราะตัวรถดั้งเดิมเป็นแบบ 9 ที่นั่ง ทว่า ระบบการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต บ้านเรา เอื้ออำนวยให้กับรถตู้ 11 ที่นั่ง มากกว่า

MG GV มีตัวถังยาว 5,168 มิลลิเมตร กว้าง 1,980 มิลลิเมตร สูง 1,928 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 3,210 มิลลิเมตร เวอร์ชันไทย จะวางเครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Common-Rail Turbo

จนถึงตอนนี้ เรายังไม่รู้ว่า MG จะมีโอกาส เคลียร์ปัญหาต่างๆให้จบ แล้วนำ MG GV เข้ามาเปิดตลาดรถตู้ครั้งแรก เพื่องัดข้อกับทั้ง Hyundai H-1 / Grand Starex กับ Kia Carnival ได้ทันปี 2018 นี้หรือไม่

อีกโครงการหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นคือ การเปิดตลาดรถกระบะ MG ในบ้านเรา เป็นครั้งแรกในโลก โดยนำรถกระบะ Maxus T60 จากบริษัท Maxus ในเครือของ SAIC ซึ่งเปิดตัว และ ออกจำหน่ายในแดนมังกร มาตั้งแต่ 6 พฤศจิกายน 2016 เข้ามาผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย โดยเปลี่ยนมาพะโลโก้ MG แทน

งานนี้ SAIC ไม่ได้มองแค่เล่นๆ เพราะมีการเตรียมงานกันมายาวนานหลายปีแล้ว คาดว่า โรงงานแห่งใหม่ของ MG ที่เพิ่งเปิดดำเนินการไปสดๆร้อนๆ เมื่อเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา จะกลายเป็นฐานการผลิตรถกระบะรุ่นใหม่นี้ เพื่อส่งออกไปยังทั่วโลก

T60 มีตัวถังยาว 5,365 มิลลิเมตร กว้าง 1,900 มิลลิเมตร ความสูงรุ่นกระบะส่งของ 1,722 มิลลิเมตร รุ่น Cab และ 4 ประตู ตัวเตี้ย 1,809 มิลลิเมตร รุ่น 4×4 สูง 1,845 มิลลิเมตร หากเป็นรุ่นฐานล้อยาวพิเศษจะเพิ่มความยาวตัวถังอีก 315 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อรุ่นช่วงสั้นยาว 3,155 มิลลิเมตร รุ่นช่วงยาว 3,470 มิลลิเมตร พื้นที่กระบะของรุ่น 4 ประตู ฐานล้อมาตรฐานจะมีความยาว 1,485 มิลลิเมตร กว้าง 1,510 มิลลิเมตร สูง 530 มิลลิเมตร

รูปลักษณ์ ภายนอกดูร่วมสมัย ไม่แตกต่างจากรถกระบะในท้องตลาดมากนัก เสริมความโดดเด่นด้วย ไฟหน้า LED พร้อม Daytime Running Light และระบบปรับมุมองศาจานฉาย ตามการเลี้ยวของพวงมาลัย AFS ส่วนภายในห้องโดยสาร ก็จะติดตั้ง ระบบ i-Smart เข้ามาด้วย

ขุมพลังในตลาดเมืองจีนตอนนี้ มีให้เลือกเพียงแบบเดียว เป็นแบบ VM Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.8 ลิตร ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ Common-Rail 3rd Generation จาก BOSCH พ่วงด้วย Turbocharger มีให้เลือก 2 ระดับความแรง ทั้งแบบมาตรฐาน 136 แรงม้า (PS) ที่ 3,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 310 นิวตัน-เมตร (31.5 กก.-ม.) ที่ 1,500 – 3,000 รอบ/นาที และแบบ Hi-Output 150 แรงม้า (PS) ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 360 นิวตัน-เมตร (36.68 กก.-ม.) ที่ 1,600 – 2,800 รอบ/นาที จับคู่เกียร์ธรรมดา 5 หรือ 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะโดย Punch Powertrain ซัพพลายเออร์ระบบเกียร์จากเบลเยี่ยม กับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ จาก BorgWarner

ส่วนช่วงล่างหลัง Maxus T60 เป็นตับแหนบ ที่ถูกออกแบบจุดยึดโดยคำนึงถึงความสะดวกสบายในการขับขี่หากมีการบรรทุกเบาและสามารถรองรับการบรรทุกหนักได้ ด้านระบบความปลอดภัยจะติดตั้งระบบควบคุมการทรงตัว และเสถียรภาพ ESP, ระบบเตือนเปลี่ยนเลน Lane Departure กับ ถุงลมนิรภัยมากถึง 6 ใบ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวล่าสุดในตอนนี้ ทาง MG อยากจะประวิงเวลา รอให้ทางจีนกับอังกฤษ พัฒนาเครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.9 ลิตร Common-rail Turbocharger ให้เสร็จเรียบรอยก่อน อีกทั้งยังต้องเตรียมยกระดับเครือข่ายผู้จำน่ายทั่วประเทศรองรับเอาไว้ให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ ให้เรียบร้อยเสียก่อน

ดังนั้น กว่าที่ SAIC / MG จะพร้อมบุกตลาดรถกระบะในบ้านเราอย่างจริงจัง น่าจะต้องรอกันจนถึงปี 2019 เลยทีเดียว

ไม่เพียงแค่นั้น SAIC ยังมองไกลไปถึงอนาคต ด้วยการสั่งนำเข้า Roewe RX5 รถยนต์ Compact SUV ที่ได้ชื่อว่า เป็น Internet Car สุด Hi-Tech คันแรกของโลก มาแล่นทดสอบอยู่แถวๆจังหวัดระยองในตอนนี้

RX5 เผยโฉมครั้งแรกในงาน Beijing Motor Show เมื่อ 10 พฤษภาคม 2016 แต่ออกสู่ตลาดจริงเมื่อ 6 กรกฎาคม 2016 โดยมีตัวถังยาว 4545 มิลลิเมตร กว้าง 1,855 มิลลิเมตร สูง 1,719 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร เครื่องยนต์มีให้เลือก 3 แบบ ทั้งรหัส 15E4E เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,490 ซีซี พ่วง Turbocharger 169 แรงม้า (HP) ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน – เมตร (25.47 กก.-ม.) ที่ 1,700 – 4,400 รอบ/นาที และ เครื่องยนต์ MGE 2.0 TGi เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,995 ซีซี. พ่วง Turbocharger 220 แรงม้า (HP) ที่ 5,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน – เมตร (35.66 กก.-ม.) ที่ 2,500 – 4,000 รอบ/นาที นอกจากนี้ ยังมีรุ่น Hybrid ในชื่อ eRX5 นำเครื่องยนต์ 15E4E Turbocharger 169 แรงม้า (HP) มาพ่วงกับมอเตอร์ไฟฟ้า 30 กิโลวัตต์ แรงบิด 150 นิวตัน-เมตร อีกด้วย

คาดว่า RX5 จะถูกเปลี่ยนชื่อรุ่น ให้สอดคล้องกับแบรนด์ MG แต่ เวอร์ชันไทย อาจเปลี่ยนมาใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ล้วนๆ รวมทั้งจะเชื่อมต่อกับระบบ Internet เต็มรูปแบบ รวมทั้งอาจมีระบบ Autonomous Drive พ่วงมาด้วย โดยจะผลิตออกจำหน่าย ในประเทศไทย ประมาณปี 2020

รายละเอียดเบื้องต้นของ RX5 คลิดอ่านต่อได้ที่นี่ CLICK HERE


MITSUBISHI MOTORS

  • 2018 : Xpander / Triton & Pajero Sport Minorchange
  • 2019 : New Mirage / New Attrage (with 1.0 L Turbo Engine?)

2017 ถือเป็นปีที่ มีการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรของ Mitsubishi Motors (Thailand) มากที่สุด ต่อเนื่องจากปีก่อนหน้านั้น ทั้งจากการเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับการเข้ามาของ Partner รายใหม่ภายหลังจากกลุ่ม Renault – Nissan Alliance เข้าซื้อหุ้นใหญ่ในกิจการ บริษัทผลิตรถยนต์ Mitsubishi Motors จากกลุ่ม Mitsubishi Corporation บริษัท Trading Company ขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ซึ่งจะมีการทำงานร่วมกัน ในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะ งานด้าน Logistic และ Purchasing

รวมทั้งการสั่งปลดผู้บริหารหญิง คนหนึ่งแบบ “สายฟ้าแลบ” ชนิดไม่ทันได้ตั้งตัว และแทบไม่มีเวลาเก็บข้าวของขนกลับบ้าน จากเรื่องอื้อฉาวต่างๆภายในองค์กร จนลูกน้องทนทำงานด้วยไม่ไหว ลาออกไปมากถึง 15 คน ในรอบ 15 เดือน ที่นางดำรงอยู่ในตำแหน่ง โดยผู้มาแทน ก็เป็นนักการตลาดที่มีประสบการณ์ทำงานในค่ายรถยนต์อื่นๆมาแล้วถึง 2 แบรนด์ด้วยกัน และนั่นก็นำมาซึ่งการหมุนเวียนเปลี่ยนตำแหน่งคนทำงานในออฟฟิศย่านคลองเตย ทั้งคนไทย และ คนญี่ปุ่น จนบรรยากาศที่เคยเป็นครอบครัวกันมาตั้งแต่สมัยทุ่งรังสิต ไม่หลงเหลืออีกต่อไป

ขณะเดียวกัน ทางฝั่งญี่ปุ่นเอง ก็ยังคงวุ่นวายอยู่กับการโปรโมท B-Segment Crossover SUV รุ่นใหม่ อย่าง Mitsubishi Eclipse Sport ทว่า กระแสทั้งในยุโรป หรือญี่ปุ่นเอง กับเงียบสนิท จากรูปลักษณ์ภายนอก ที่ดู “เชย”กว่าคู่แข่งอย่าง Toyota C-HR หรือ Honda HR-V รวมทั้งกลุ่มลูกค้าที่จะตัดสินใจซื้อรถคันนี้ น่าจะเป็นกลุ่มที่ ใช้เหตุผล มากกว่าสนใจเรื่องรูปลักษณ์เส้นสาย ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า Eclipse Cross จะไม่มาเมืองไทยอย่างแน่นอน ดังนั้น ไม่ต้องรอ เลิกเถียงกันได้

ทว่า ความเคลื่อนไหวสำคัญในต่างประเทศของค่ายสามเพชร ที่จะเกี่ยวข้องกับประเทศไทยจริงจังอีกเรื่อง นั่นคือ การเปิดตัว Mitsubishi Xpander Sub-Compact Minivan 7 ที่นั่ง สไตล์ Crossover สำหรับตลาดเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อ 10 สิงหาคม 2017 ที่ผ่านมา ณ งาน Gaiikindo Internaiotnal Motor Show ประเทศ Indonesia

Xpander มีเครื่องยนต์ให้เลือกเพียงแบบเดียว เป็น รหัส 4A91 เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,499 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 78.4 x 77.5 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 พร้อมระบบแปรผันวาล์ MIVEC 104 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับ เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือ เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า

ต้องย้ำเตือนกันเลยว่า อย่าคาดหวังเรื่องสมรรถนะกับ Xpander มากนัก เพราะตัวรถถูกสร้างขึ้นตามโจทย์ความต้องการของลูกค้าแดนอิเหนาเป็นหลัก ไม่ใช่เพื่อคนไทย จุดขายสำคัญของตัวรถ อยู่ที่งานออกแบบ ล้ำสมัย ขนาดตัวถังใหญ่โตสุดในกลุ่ม และ มีพื้นที่ภายในห้องโดยสาร รวมทั้งช่องเก็บของต่างๆ มากสุดในกลุ่ม และการเซ็ตช่วงล่างในสไตล์ Mitsubishi Motors ที่หลายๆคนคุ้นเคยกับความ แน่น หนึบ ที่แตกต่างจากคู่แข่ง

ล่าสุด หลังเจอโรคเลื่อนไปรอบแรก ทำให้ไม่สามารถนำมาเปิดตัวทันงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2017 ได้ทันตามกำหนดเดิมแล้ว ได้ยินว่า โรงงานที่ Indonesia น่าจะยังเคลียร์ยอดสั่งจองของลูกค้าในบ้านตัวเองยังไม่หมด จึงตัดสินใจส่ง E-Mail มาบอกทีมงาน ย่านคลองเคย พระราม 4 ว่า ” ขอเลื่อนอีกรอบนะจ้ะ Thailand ! ”

นั่นแปลว่า เราอาจจะยังไม่ได้เห็น Xpander ใหม่ ในงาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม 2018 และคาดว่า อาจต้องรอจนถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2018 ลูกค้าชาวไทย จึงจะได้จับจองเป็นเจ้าของ XPander กันเสียที

รายละเอียดตัวรถ คลิกอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ CLICK HERE!

สำหรับรถกระบะ Triton และ SUV/PPV รุ่นขายดีอย่าง Pajero Sport คาดว่าจะมีการปรับโฉม Minorchange ภายในปี 2018 นี้ เราคงต้องมารอลุ้นกันว่า Triton จะเปลี่ยนกระจังหน้าใหม่กับเขาด้วยหรือไม่ และ Pajero Sport จะมีอุปกรณ์ใหม่ใดๆเพิ่มเข้ามา รวมทั้ง ทางโรงงาน จะแก้ปัญหา Defect ประจำรุ่น ทั้งแร็คพวงมาลัย และการกินน้ำมันเครื่อง รวมทั้ง เกียร์ธรรมดาชอบหลุด ได้หรือยัง ?

ข้ามไปปี 2019 จะถึงเวลาที่ สองศรี พี่น้อง ตระกูล ECO-Car ทั้ง Mirage (Hatchback 5 ประตู) และ Attrage (Sedan 4 ประตู) จะได้ฤกษ์เปลี่ยนโฉมใหม่ Full ModelChange กันเสียที แม้ว่า จะเร็วเกินไปที่จะถามไถ่ถึงรายละเอียดทางเทคนิค แต่มีแนวโน้มความเป็นไปได้อยู่ว่า อาจได้ใช้เครื่องยนต์ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.0 ลิตร Turbo ลูกใหม่ ร่วมกับ Nissan Almera รุ่นต่อไป ที่มีกำหนดเปิดตัวในปี 2019 เช่นเดียวกัน หรือไม่เช่นนั้น ก็อาจจะยืนหยัดกับการนำเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร บล็อกเดิม มาปรับปรุงสมรรถนะ คาดว่า น่าจะเปิดตัวอย่างเร็วที่สุด ภายในช่วงเดือนมีนาคม 2019 ก่อนงาน Bangkok International Motor Show ในปีนั้นจะเริ่มขึ้นเล็กน้อย


NISSAN

  • 2018 : Navara 4×4 & SWB / GT-R!! / X-Trail Minorchange /
  •            : LEAF / Note E-Power Hybrid / TERRA PPV
  • 2019 : KICKS / MARCH / ALMERA (1.0 Turbo or E-POWER)
  •            : TEANA Minorchange

ตั้งแต่ Mr. Antoine Barthes (อองตวน บาร์เตส) เข้ามารับตำแหน่งประธาน  Nissan ในเมืองไทย คนใหม่ ช่วงปลายปี 2016  ปีที่ผ่านมา ทำให้ Nissan อยู่ในช่วงปัดกวาดเช็ดถูกขจัดปัญหาต่างๆ ออกไป ได้ประมาณหนึ่ง สิ่งที่ ประธานคนใหม่ พยายามทำอยู่ มีหลายสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในองค์กรขนาดใหญ่อย่างนี้ ตั้งแต่การจัดการกับปัญหาคอร์รัปชันในองค์กร ถึงขั้นดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดอย่างจริงจัง การปรับเปลี่ยนนโยบาย ผู้จำหน่ายในต่างจังหวัด ซึ่งทำให้มีปัญหาการกระทบกระทั่งกับบรรดา ดีลเลอร์ อยู่บ้าง หรือแม้กระทั่ง การเปิดโอกาสให้พนักงานระดับล่าง ได้เข้าพูดคุยและรับประทานอาหารเที่ยง กับคุณอองตวน ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายที่ดีเยี่ยม ในการเรียนรู้ว่าพนักงานต้องการอะไร และจะช่วยกันแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างไร

ด้านรถยนต์รุ่นใหม่ Nissan อกหักจากการเปิดตัว Note เมื่อ 16 มกราคม 2017 ไปมาก เนื่องจากการตัดสินใจ วางเครื่องยนต์ HR12DE เบรซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.2 ลิตร บล็อกเดิม แถมไม่มีเกียร์ธรรมดาให้เลือก ส่งผลให้อัตราเร่ง อืดอาดยิ่งกว่า March และ Almera (เพราะตัวรถหนักกว่า) ทำให้ลูกค้าหลายคน เมินหน้าหนีจาก Note ไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งที่ตัวรถก็เซ็ตมาดี และมีจุดเด่นเรื่องภายในห้องโดยสาร ที่กว้างใหญ่มากสุดในกลุ่ม และนั่นเป็นเพียงรถยนต์รุ่นเดียวที่ถูกเปิดตัวในปีที่ผ่านมา หากไม่รับการปรับอุปกรณ์เล็กๆน้อย ทั้งการเปลี่ยนพนักศีรษะกับอุปกรณ์ ให้กับ Sylphy และ Navara ในช่วงกลางปี ตามด้วยการเพิ่มกล้อง 360 องศา รอบคัน ให้กับ Navara ตามมาในงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2017 และปิดท้ายด้วยเซอร์ไพรส์ ที่มาอย่างเงียบๆ น่างุนงงๆ นั่นคือ NV350 Urvan รุ่นปรับโฉม Minorchange เมื่อวันคริสต์มาส 25 ธันวาคม 2017 ที่ผ่านมา ที่มีแต่เครื่องยนต์ Diesel ให้เลือกอย่างเดียว รวมทั้ง การยกเลิกผลิต Sylphy Turbo ไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อช่วงสิ้นปี 2017

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งแรกของปี 2018 Nissan จะแทบไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่เป็นชิ้นเป็นอันเลย อาจมีแค่เพียงการปรับทัพให้กับ รถกระบะ Navara โดยเพิ่มรุ่น 4×4 ช่วงยาว ออกมางัดข้อกับคู่แข่ง และอาจมีการปรับอุปกรณ์เพิ่มอีกเพียงนิดเดียว ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนของใหม่ทั้งหลายทั้งปวงนั้น อาจต้องรอหลัง กลางปี 2018 ขึ้นไป

เรื่องเซอร์ไพรส์ สำหรับ Nissan ในปีนี้ คือการเตรียมสั่งนำเข้า สุดยอดรถสปอร์ตแบบ Hi-Performance Grand Touring อย่าง Nissan GT-R มาเปิดตลาดในบ้านเรา ” อย่างเป็นทางการ ” กันเสียที หลังจากปล่อยให้บรรดาเศรษฐีเมืองไทย รอเหงือกบาน กระทั่งพากันไปอุดหนุนรถนำเข้าจากพ่อค้า Grey Market ขับกันเบื่อจนขายทิ้ง เกือบจะหมดแล้ว

GT-R รุุ่นปัจจุบัน เปิดตัวมาตั้งแต่งาน Tokyo Motor Show เดือนตุลาคม 2007 และ ทำตลาดจนมีอายุครบ 10 ปีพอดีในปีที่ผ่านมา ทว่า เส้นสายภายนอกก็ยังไม่ดูเก่าเลยแม้แต่น้อย การปรับโฉมครั้งล่าสุด มุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนเปลือกกันชนหน้า รวมทั้งแผงหน้าปัดใหม่ยกชุด และ Upgrade เครื่องยนต์ รหัส VR38DETT เบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว 3.8 ลิตร  Twin-Turbo ให้แรงขึ้นอีก 20 แรงม้า (PS) และแรงบิด อีก 5 นิวตันเมตร (0.5 กก.-ม.) เมื่อเทียบกับรุ่นปี 2016 เป็น 565 แรงม้า (PS) ที่ 6,800 รอบ/นาที แรงบิด 633 นิวตันเมตร (ุ64.5 กก.-ม.) จับคู่กับเกียร์ Dual Clutch 6 จังหวะ มากับท่อไอเสียไทเทเนียมแบบใหม่ 4 ท่อ พร้อม Active Sound Enhancement

กระนั้น ด้วยภาษีนำเข้ามหาโหด และภาษีสรรพสามิต ที่ยิ่งโขกหนัก หากปล่อยมลพิษเยอะ ก็ยิ่งทำให้ค่าตัวของ GT-R ใหม่ พุ่งไปไกลโขจนเกินเอื้อม ดังนั้น ถ้าสามารถทำยอดขายได้ตามเป้า (แค่ 10 คัน) จนถึง ปีหน้า ผู้เกี่ยวข้องก็คงจะปิดร้านอาหารเลี้ยงฉลองกันเลยทีเดียว

รายละเอียดของ Nissan GT-R รุ่นปี 2017 – 2018 อ่านได้ ที่นี่ CLICK HERE
บทความทดลองขับ Nissan GT-R Nismo ของ Pan & J!MMY CLICK HERE

ลำดับถัดไป ใครที่เคยถามไถ่กันว่า เมื่อไหร่ Nissan X-Trail Minorchange จะเปิดตัวสักที คงได้สมหวังดังใจกันก็คราวนี้ เพราะการปรับโฉมของ Compact SUV รุ่นขายดีที่สุดทั่วโลกของ Nissan จะเกิดขึ้นในเมืองไทย ช่วงไตรมาส 3 ของปี 2018 อย่างแน่นอน

ความเปลี่ยนแปลง จะเกิดขึ้นที่ชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้าของรถ อันได้แก่เปลือกกันชนหน้า พร้อมกระจังหน้า แบบใหม่ ยกชุดมาจากเวอร์ชันญี่ปุ่น ชุดไฟหน้าแบบใหม่ รวมทั้งจะมีการปรับปรุงแผงหน้าปัดใหม่ ให้สวยงาม ร่วมสมัยขึ้นเล็กน้อย อีกทั้งยังจะเพิ่มสารพัดอุปกรณ์ตัวช่วยด้านความปลอดภัย ให้ทัดเทียมกับคู่แข่งในตลาดได้มากกว่าที่เป็นอยู่

อย่างไรก็ตาม ทางเลือกขุมพลัง  อาจมีการตัดรุ่นเครื่องยนต์ QR25DE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.5 ลิตร ออกไป เนื่องจากในรุ่นปัจจุบัน ยอดขายไม่ดีเลย (เช่นเดียวกับ CX-5 ไม่มีผิด) คงเหลือไว้แค่เครื่องยนต์ MR20DD เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร ทั้งแบบมาตรฐาน และรุ่น Hybrid ซึ่งใช้ขุมพลังเดียวกัน พ่วงกับมอเตอร์ไฟฟ้า เท่ากับว่า จะลดลง จาก 3 เหลือเพียง 2 แบบ

ส่วนคำประกาศ การนำรถไฟฟ้าล้วนๆ 100% อย่าง Nissan LEAF มาเปิดตัวออกสู่ตลาดที่เมืองไทยนั้น แน่นอนว่า ทุกอย่างจะยังเป็นไปตามที่คุณอองตวน ประกาศไว้ ในงานเปิดตัว LEAF ที่ญี่ปุ่น เดือนกันยายน 2017 ที่ผ่านมา ทุกประการ เพียงแต่ว่า ยังต้องใช้เวลาในการเตรียมงานหลังบ้าน ทั้งการส่งพนักงานที่เกี่ยวข้องไปฝึกอบรมกันถึงญี่ปุ่น การเตรียมความพร้อมด้านงานบริการหลังการขาย รวมทั้งการจัดการด้านต่างๆ อีกหลายเรื่อง

ในช่วงแรก LEAF จะถูกสั่งนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคัน มาขายในเมืองไทยกันก่อน ดังนั้น อย่าคาดหวังว่า ราคาจะถูกโดยเด็ดขาด ต่อให้มีภาษีสรรพสามิตมาช่วย แต่ภาษีนำเข้าเองก็ยังสูงพอสมควร ดังนั้น LEAF Made in Japan ในช่วงแรก อาจมีค่าตัวถึง 2 ล้านบาท แต่ถ้า มียอดขาย พอไปวัดไปวา จนสามารถ นำมาขึ้นสายการประกอบ ณ โรงงาน ย่านบางนา-ตราด กม.22 ได้แล้ว ค่าตัวของ LEAF ก็จะถูกลงมาเหลือแถวๆ 1.1 – 1.5 ล้านบาท ก็เป็นไปได้สูง

กำหนดเปิดตัวของ LEAF ในประเทศไทย อย่างเป็นทางการ ถูกวางไว้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2018 เราอาจต้องรอต่อคิวให้ประเทศอื่นๆ เขาทะยอยเปิดตัว และทะยอยพบเจอปัญหาประจำรุ่น รวมทั้งการแก้ไข Defect ต่างๆ (ที่อาจพบเจอตามปกติ) กันไปก่อน

ข้อมูลเบื้องต้น และการประกาศนำ LEAF เข้ามาจำหน่ายในไทย CLICK HERE

จากนั้น Nissan จะส่งท้ายปี 2018 ด้วยการเปิดตัว SUV/PPV บนพื้นฐานจากรถกระบะ Navara ที่หลายๆคนเฝ้าถามไถ่กันมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในชื่อ Nissan TERRA ซึ่งล่าสุด มีภาพหลุดมาจากประเทศจีน เรียบร้อยแล้ว ยืนยันว่า รูปร่างหน้าตาจะเป็นไปตามที่คุณได้เห็นในภาพข้างบนนี้ ทุกประการ!

ถึงแม้ว่า รูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งมีขนาดตัวถังยาว 4,885 มิลลิเมตร กว้าง 1,865 มิลลิเมตร สูง 1,835 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,850 มิลลิเมตร จะถูกออกแบบขึ้นใหม่แทบทั้งคัน ยกเว้นบริเวณเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar กระจกบั.ลมหน้า และโครงประตูคู่หน้า ทว่า แผงหน้าปัด จะยังคงยกชุดมาจาก Navara ทั้งดุ้น

ด้านรายละเอียดทางวิศวกรรมนั้น แน่นอนว่า เวอร์ชันตลาดโลกจะยืนพื้นด้วยเครื่องยนต์ QR25DE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.5 ลิตร 184 แรงม้า (PS) และเครื่องยนต์ YD25DDTi Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.5 ลิตร 190 แรงม้า (PS) แต่เราอาจจะได้สัมผัสกับเครื่องยนต์ Diesel จาก Renault รหัส YS23DDT (M9T) 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.3 ลิตร Turbo เดี่ยว 163 แรงม้า (PS) และ YS23DDTT 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.3 ลิตร Twin Turbo 190 แรงม้า (PS) กันด้วยก็คราวนี้แหละ

กำหนดเปิดตัวครั้งแรกในโลก น่าจะเกิดขึ้นในประเทศจีน ช่วงเดือนเมษายน 2018 ก่อนจะทะยอยเปิดตัวในตลาดอื่นๆ ทั่วโลก ส่วนลูกค้าชาวไทย รอเจอกันได้เลย ช่วงปลายปี 2018

รายละเอียด เบื้องต้นของ Terra คลิกอ่านได้ที่นี่ CLICK HERE

แต่ก่อนหน้านั้นไม่นานนัก Nissan จะส่ง รถกระบะ Navara รุ่นฐานล้อสั้น Short Wheelbase ออกมาเสริมทัพ ด้วยเหตุผลที่ว่า เพื่อให้ Terra สามารถ ใช้สิทธิ์การส่งเสริมการลงทุน ในฐานรถกระบะดัดแปลง (PPV) ได้เต็มรูปแบบ จึงต้องนำ Navara ช่วงสั้น มาประกอบขายด้วย เหมือน Toyota Hilux Revo โดยยังคงใช้เครื่องยนต์ และรายละเอียดการตกแต่งภายใน เหมือนกับ Navara Single Cab รุ่นปัจจุบัน เพียงแต่ยังน่าสงสัยว่า บันไดด้านข้าง จะถูกตัดทอนออกไปด้วยหรือเปล่า?

ล่วงเข้าปี 2019 ในขณะที่ ตลาดโลก จะได้สัมผัสกับ Nissan Altima และ Teana รุ่นที่ 4 แบบเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน Full ModelChange กันไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ปี 2018 ทว่า เมืองไทย กลับมีเรื่องพิลึกพิลั่นเกิดขึ่น เพราะ Nissan ตั้งใจจะลากให้ Teana รุ่นปัจจุบัน มีอายุตลาดนานขึ้นกว่าเดิม เนื่องจาก ผลิตออกมาขายได้น้อย ไม่คุ้มค่าต่อการเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน จึงใช้วิธีปรับโฉม Minorchange โดยนำเอาหน้าตาของ Altima รุ่นปี 2016 เวอร์ชันอเมริกาเหนือ หรือ Teana เวอร์ชันจีน ปี 2017 มาประกอบขายในโรงงานที่บางนา – ตราด กันต่อไปอีกระยะหนึ่ง

เรื่องที่น่าหัวร่องอหายก่ายหน้าผากเป็นที่สุดคือ นอกจากขุมพลัง จะยังเป็นแบบเดิม ทั้ง MR20DE และ QR25DE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 และ 2.5 ลิตร ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT แล้ว กำหนดเผยโฉม Teana Minorchange ในบ้านเรา ยังจะถูกลากยาวไปจนถึงช่วงต้นปี 2019 !!! (–___–‘)

อีกรุ่นหนึ่งที่จะตามเข้ามาเปิดตลาดในเมืองไทย ก็คือ Note E-Power ซึ่งยังต้องรอความชัดเจนเรื่องการตีความประเภทในการจัดเก็บภาษี ของตัวรถ ว่าควรจะอยู่ในกลุ่มใด เพราะนั่นจะมีผลต่อการตั้งราคาขายปลีกเต็มๆ

Note E-Power เปิดตัวครั้งแรก เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2016 และได้รับความนิยมในญี่ปุ่นสูงมาก สามารถทำยอดขายได้สูงถึง 100,000 คัน โดยใช้เวลาแค่ 11 เดือน เท่านั้น! Nissan เริ่มคิดที่จะนำ Note E-Power ไปบุกตลาดนอกญี่ปุ่นแล้ว และแน่นอนว่า ประเทศไทย คือหนึ่งในเป้าหมายสำคัญ เพราะต้องยอมรับว่า การเปิดตัว Note รุ่นมาตรฐาน ที่แป๊ก ทำให้ Nissan จำเป็นต้องกระตุ้นให้ Note สามารถทำยอดขายต่อเนื่องไปได้จนกว่าจะหมดอายุตลาด

Note E-Power ติดตั้งเครื่องยนต์รหัส HR12 DE เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1,198 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 78.0 x 83.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 12.0 : 1 กำลังสูงสุด 79 แรงม้า ที่ 5,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 103 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ยกมาจาก March , Almera และ Note รุ่นมาตรฐาน

ทว่า เครื่องยนต์ไม่ได้ขับเคลื่อนส่งกำลังลงสู่ล้อ แต่ทำหน้าที่ปั่นไฟไปเก็บยังแบตเตอรี่ เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานให้มอเตอร์ไฟฟ้า EM57 High Power ที่ให้กำลังสูงสุด 109 แรงม้า ที่ 3,008 – 10,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 254 นิวตันเมตร ที่ 0 – 3,008 รอบ/นาที ทำงานควบคู่กันเป็นแบบ Hybrid

หากไม่มีอะไรผิดพลาด Nissan น่าจะพร้อมต่อการนำ Note E-Power มาประกอบขายในประเทศไทย ก่อนเปิดตัวภายในช่วงปลายปี 2018 ถึง กลางปี 2019 ซึ่งต้องพูดกันตรงๆว่า เมื่อถึงตอนนั้น ตลาดอาจจะวาย ความต้องการของลูกค้าอาจหายไปแล้วก็เป็นได้

ไม่เพียงเท่านั้น ในปี 2019 Nissan จะมี รถยนต์ 2 รุ่นสำคัญ ซึ่งแม้จะยังดูห่างไกลจากความจริงในตอนนี้ แต่จะมีค่าตัวชวนให้จับต้องได้ง่าย เมื่อออกขายจริง นั่นคือ Sub-Compact Crossover SUV รุ่น KICKS ที่จะเปิดตัวออกมาก่อน จากนั้นจะตามด้วย รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Modelchange ของ Nissan March และ Nissan ALMERA ใหม่ ซึ่งยังไม่มีภาพถ่ายใดๆยืนยันความเคลื่อนไหวในการัฒนาออกมาให้เห็นกันเลยในตอนนี้

KICKS เปิดตัวในตลาดโลก เมื่อ 24 กรกฎาคม 2016 ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง V-Platform เช่นเดียวกับ March Note และ Almera จุดเด่นอยู่ที่ การติดตั้งระบบ Around View Monitor และระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวของวัตถุ ระบบ Chassis Dynamic Control ซึ่งมีทั้งระบบการควบคุมการทรงตัวขณะเลี้ยงโค้ง (Active Trace Control) ระบบสร้างเสถียรภาพขณะวิ่งทางลูกคลื่น (Active Ride Control), ระบบ Active Engine Brake เป็นต้น รวมทั้งพื้นที่ในห้องโดยสาร ที่แก้ปัญหาความคับแคบจาก Juke ได้สำเร็จ

ช่วงแรกที่เปิดตัว KICKS วางเครื่องยนต์ HR16DE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.6 ลิตร 109 แรงม้า (PS) ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT ที่มีอยู่แล้วใน Sylphy เวอร์ชันไทย

ทว่าตอนนี้ Nissan กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะหาขุมพลังแบบอื่นๆมาวางให้กับ KICKS ไม่ว่าจะเป็น เครื่องยนต์ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.0 ลิตร TurboCharger หรือแม้กระทั่ง ขุมพลัง HYBRID e-POWER (เครื่องยนต์ HR12DE จาก March Almera และ Note เชื่อมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า) และนี่เป็น อีกเหตุผลที่ KICKS มาถึงเมืองไทยช้ากว่าปี 2016 นอกเหนือจากเหตุผลซ่อนเร้น ด้านเกมการเมืองในองค์กร Nissan ระหว่างประเทศ บางประการ จนทำให้กำหนดออกขายในเมืองไทย เลื่อนออกไปไกลจนถึงปี 2019

Previous Post

N2308102_ดร กนายบอด การ_part2

Next Post

N2308103_าค ณอยากได งาน องทำตามท ผมส_part2

Next Post
N2308103_าค ณอยากได งาน องทำตามท ผมส_part2

N2308103_าค ณอยากได งาน องทำตามท ผมส_part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N2512034 กน องนะไม ใช ละครส นต องมนต part2
  • N2512033 เอาค ละครส นต องมนต part2
  • N2512049 ทำต วแบบน อย าเร ยกต วเองว าผ ชาย ละครส part2
  • N2512055 าวกล องสะท อนใจคน (ละครส น) part2
  • N2512039 คนม ปม ไม จำเป นต องอ อนแอ หน งส part2

Recent Comments

No comments to show.

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.