• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N2408072_ประธานเจอเพ__อนเป_นขอทาน_547910940835686_part2

admin79 by admin79
August 21, 2025
in Uncategorized
0
N2408072_ประธานเจอเพ__อนเป_นขอทาน_547910940835686_part2

ช่วงปี 2014 – 2016 บริษัท Empire Motorsport จำกัด (เครือของกลุ่ม
บริษัท Firma อดีตผู้จำหน่าย Ferrari ในไทยเดิม) ในฐานะผู้นำเข้าและ
จำหน่าย รถยนต์แบรนด์ตรีศูล ในไทย พยายามทำกิจกรรมการตลาดต่างๆ
รวมทั้งสั่งนำเข้า Maserati Ghibli รถเก๋ง Sport Sedan ขนาดกลาง มา
เปิดตลาดในเมืองไทย เมื่อช่วงปี 2014

แต่ด้วยภาวะยอดขายเป็นไปอย่างฝืดเคือง ตามสภาพความแปรปวนของ
เศรษฐกิจ ทำให้ ในที่สุด กลุ่มบริษัท Master Car Group จำกัด หรือกลุ่ม
Millennium ก็คว้าสิทธิ์การทำตลาด Maserati ในไทย แทน Empire
MotorSport ไปเรียบร้อยแล้ว โดยมีผลตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2560 โดย
MGC จะเข้ามารับซื้อสต็อกอะไหล่ และสต็อกรถยนต์ Maserati ที่เหลือ
อยู่อีกไม่กี่คัน ไปทั้งหมด รวมทั้งจะยังใช้โชว์รูมริมถนนวิภาวดีรังสิต และ
โชว์รูมบนห้างสรรพสินค้า Siam Paragon ต่อไป

ดังนั้น ในปีนี้ ทาง MCG ก็จะสานต่อการทำงานจาก ทาง Empire เพื่อ
สั่งนำเข้า Maserati LeVante SUV รุ่นแรกในประวัติศาสตร์กว่า 100 ปี
ของแบรนด์ตรีศูล จากเดิมที่มีกำหนดเปิดตัวเมื่อช่วง ปลายปี 2016

LeVante มีขนาดตัวถังยาว 5003 มิลลิเมตร กว้าง 1,968 มิลลิเมตร สูง
1,679 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาวถึง 3,004 มิลลิเมตร ความกว้างช่วง
ล้อคู่หน้า / หลัง อยู่ที่ 1,624 และ 1,676 มิลลิเมตร หนัก 2,205 กิโลกรัม
โดยรถยนต์ล็อตแรกที่นำเข้ามาขายในบ้านเรา จะเป็นเครื่องยนต์ Diesel
V6 ทำมุม 60 องศา DOHC 24 วาล์ว 2,987 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก
83 x 92 มิลลิเมตร กำลังอัด 16.5 :1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด Common-
Rail พ่วง Turbocharger กับ Intercooler 275 แรงม้า (HP) ที่ 4,000
รอบ/นาที แรงบิด 600 นิวตัน-เมตร (61.14 กก.-ม.)ที่ 2,000 – 2,600
รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ สู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
AWD พร้อม ATC (Active Transfer Case)

คาดว่า หลังจากนี้ LeVante น่าจะพร้อมสำหรับการเปิดตลาดบ้านเราได้
ภายในช่วง ฺBangkok International Motor Show เดือน มีนาคม 2017

Maserati_Alferi_2018

ส่วน รถสปอร์ตขนาดเล็กกว่า Gran Turismo ในชื่อ Maserati Alfieri
ซึ่งเคยมีการเปิดผ้าคลุมเวอร์ชันต้นแบบ ในงาน Geneva Motor Show
เดือนมีนาคม 2014 มาแล้วนั้น กลับกลายเป็นว่า โครงการถูกเลื่อนมา
เป็นช่วงปี 2018 แทน

Alfieri ได้รับแรงบันดาลใจ จากรถสปอร์ต Maserati A6 GCS/53 ซึ่ง
เป็นผลงานในปี 1954 ของ PininFarina ถือเป็น รถสปอร์ต Maserati
ที่โด่งดังมากสุดในอดีต โดยชื่อรุ่นนำมาจาก Alfieri Maserati 1 ใน 5
พี่น้องตระกูล Maserati ผู้ก่อตั้งบริษัท เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ
100 ปี ของแบรนด์ Maserati เมื่อปี 2015

รูปลักษณ์ภายนอกมาในแบบ Coupe 2+2 ที่นั่ง วางขุมพลังบล็อก V8
4.7 ลิตร ไร้ระบบอัดอากาศ 460 แรงม้า (BHP) ที่ 7,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตร ที่ 4,750 รอบ/นาที แต่เวอร์ชันผลิต
ออกขายจริง จะวางเครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร และมีเฉพาะรุ่น Coupe
2 ประตูเท่านั้น

Maserati ประกาศว่า Alfieri จะพร้อมขึ้นสายการผลิตออกสู่ตลาดจริง
ในปี 2018 แต่กว่าจะมาถึงเมืองไทยได้ อาจต้องรอกันจนถึงปี 2019

——————————————————-

Mazda_3_2017

Mazda
2017 : Mazda 3 Minorchange / Mazda 2 MY2017 / CX-3 MY2017
/ MX-5 RF / CX-9

2018 : CX-5 Full Modelchange

ตลอด 2 ปี ที่ผ่านมา Mazda บุกตลาดบ้านเรา หนักขึ้นเรื่อยๆ หลังจากยอดขาย
เริ่มดีวันดีคืน จากการถล่มเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง  ไล่กันตั้งแต่รุ่น
CX-5 , Mazda 3 , Mazda 2 และ Mazda CX-3 แต่ละรุ่นทำตัวเลขได้น่าพอใจ
ยกเว้น CX-3 ที่ยังพอขายได้ในช่วงแรกๆ แต่พักหลังมานี้ ยอดเริ่มลดลงไปมาก

ปี 2017 นี้ Mazda จะเปิดศึกกันตั้งแต่ต้นปี ด้วยการเปิดตัว Mazda 3 รุ่นปรับโฉม
Minorchange ที่ถูกเลื่อนจากกำหนดเดิม เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2016 ที่ผ่านมา
จากเหตุการณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต มาเป็น
วันที่ 24 มกราคม 2017 นี้

จุดขายสำคัญ จะอยูที่การติดตั้งระบบ G-Vectoring Control (GVC) ซึ่งจะควบคุม
แรงบิด จากเครื่องยนต์ (Torque Vectoring) เพื่อช่วยให้การขับขี่ ระหว่างเข้าโค้ง
ด้วยความเร็วสูงนั้น ง่ายขึ้น และ ยังคงเฉียบคมไปในเวลาเดียวกัน เพราะแรงบิด
ที่เหมาะสม จะช่วยให้รถยนต์เข้าโค้งได้ดีขึ้น ทำให้คนขับไม่ต้องมานั่งแก้อาการ
ของตัวรถในโค้งอีกด้วย รถยนต์ที่มีระบบทำงานคล้ายกันนี้ ( Torque Vectoring )
ซึ่งมีจำหน่ายในบ้านเรามาก่อนแล้ว ได้แก่ Volkswagen Golf GTi, Subaru WRX
และ Ford Focus EcoB0ost Turbo เป็นต้น

ย่างเข้าเดือนมีนาคม Mazda 2 และ CX-3 รุ่นปรับอุปกรณ์ ประจำปี 2017 คล้ายๆ
กับที่ญี่ปุ่นจะพร้อมขึ้นโชว์รูม


จากนั้นในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม
2017 Mazda จะสั่งนำเข้า MX-5 RF หลังคาแข็งพับได้ด้วยไฟฟ้า เข้ามา
ในจำนวนไม่มากนัก เพื่อเอาใจลูกค้าที่อยากได้ MX-5 เวอร์ชันหลังคาแข็ง
โดยรายละเอียด้านวิศวกรรม ก็ไม่ต่างจาก MX-5 รุ่นปกติ แต่อย่างใด

ไม่เพียงเท่านั้น Crossover SUV รุ่นใหญ่ อย่าง Mazda CX-9 โฉมล่าสุด
ที่เพิ่งเปิดตัวที่สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2016 ก็จะถูกนำเข้ามาเปิดตัวในบ้านเรา
ที่งานเดียวกัน อีกด้วย เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องจาการทำตลาดของ CX-9
รุ่นที่แล้ว ซึ่งเคยเปิดตัวในบ้านเรา ช่วงปี 2011 – 2014 แต่ทำยอดขายได้
ไม่มากนัก ด้วยค่าตัวที่ค่อนข้างแพงในตอนนั้น

Mazda_CX5_2017

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายปี 2017 เราคงต้องมาลุ้นกันละว่า Mazda CX-5
รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ Full Model Change ที่เพิ่งเปิดตัวไปในงาน L.A Auto
Show เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2016 ที่ผ่านมา สดๆร้อนๆ จะพร้อมส่ง
เข้ามาทำตลาดในบ้านเราได้หรือไม่

คาดว่า เวอร์ชันไทย น่าจะยังคงยืนหยัดกับทางเลือกขุมพลังแบบเดิม คือ
เบนซิน 2.0 ลิตร และ Diesel 2.2 ลิตร Turbo ส่วนรุ่นเบนซิน 2.5 ลิตร
พ่วง Turbo นั้น ลืมไปได้เลย

กำหนดการเผยโฉม คาดว่าจะอยู่ในช่วง งาน Motor Expo 2017 แต่อาจ
ยังไม่พร้อมทำตลาด ในทันที ต้องรอจนถึงช่วงต้นปี 2018 จึงจะเริ่มทะยอย
ส่งมอบให้ลูกค้าที่สั่งจองกันได้

คำแนะนำสำหรับคุณผู้อ่านซึ่งกำลังคิดจะซื้อ CX-5 ในช่วงนี้ก็คือ ถ้ารีบใช้รถ
รุ่นปัจจุบัน เบนซิน 2.0 ลิตร น่าจะรับรถได้เร็วกว่า Diesel 2.2 ลิตร Turbo
ซึ่งโรงงานที่มาเลเซีย ก็ดูเหมือนจะแกล้งตลาดเมืองไทย ปล่อยให้ลูกค้า
ในบ้านเราต้องรอกันนานถึงกว่า 6 เดือน

แต่ถ้าไม่รีบใช้รถแล้วละก็ เก็บตังค์ไปเรื่อยๆ แล้วรอดูรุ่นใหม่กันก่อนจะดีกว่า

ส่วนใครที่รอ รถกระบะ Mazda BT-50 PRO เจเนอเรชันต่อไป คงต้องบอกว่า
หลังจากการยุติความร่วมมือกับ Ford คราวนี้ Mazda จะหันไปจับมือกับ Isuzu
เพื่อสั่งซื้อ รถกระบะรุ่นต่อไป มาทำตลาดเอง ในรูปแบบของ OEM (Original
Equipment Manufacturing) จนถึงตอนนี้ ยังเร็วเกินไปที่จะมีข้อมูลตัวรถ
ว่าจะแตกต่างจาก D-Max รุ่นใหม่ในปี 2019 มากน้อยเพียงใด ยังต้องติดตาม
ข้อมูลเพิ่มเติมในช่วงปี 2018 ขึ้นไป

——————————————————-

McLaren_570S_Spider_Render

(ภาพจาก Designrm.wordpress.com)

McLaren
2017 : 570S Spider

Niche Cars ผู้นำเข้าและจำหน่าย McLaren ในประเทศไทย อย่าง
เป็นทางการ เริ่มเปิดตัวแบรนด์รถสปอร์ต “คิดต่างอย่างเข้มข้น”จาก
อังกฤษ มาได้สัก 2-3 ปีแล้ว และการตอบรับจากกลุ่มลูกค้านักนิยม
ความแรงในบ้านเรา ก็เป็นปได้ด้วย ประชากร McLaren เริ่มมีให้เห็น
บนถนนเมืองไทย เพิ่มมากขึ้นชัดเจน

อันที่จริง Niche Cars เปิดตัว 570S รถสปอร์ตในตระกูล Sport Series
ในบ้านเรา มาตั้งแต่ 19 พฤศจิกายน 2015 แต่เพิ่งจะเริ่มเชิญสื่อมวลชน
ได้ลองขับกันสั้นๆ เมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2016 ที่ผ่านมานี้เอง บอกเลย
ว่า อัตราเร่งเร้าใจใช้ได้ และตัวรถคล่องแคล่วกว่าที่คิด แต่บังคับควบคุม
ง่ายดายเกินคาด ที่สำคัญ ระบบInfotainment IRIS แบบหน้าจอสัมผัส
มีโหมดการใช้งานเป็นภาษาไทย มาให้จากโรงงานด้วย!

อย่างไรก็ตาม ในปี 2017 นี้ McLaren มีแผนจะส่ง 570S Spider
เวอร์ชันเปิดประทุน ของ 570S ออกสู่สายตาชาวโลก

ขุมพลังของ 570 S Spider จะยังคงเป็นบล็อกเดียวกับรุ่นมาตรฐาน
วางเครื่องยนต์ M838TE บล็อก V8 สูบ ทำมุม 90 องศา DOHC
32 วาล์ว 3,799 ซีซี Twin-Turbo อ่างน้ำมันเครื่องแบบ Dry Sump
570 แรงม้า (PS) ที่ 7,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตัน-เมตร
(61.14 กก.-ม.) ที่ 5,000 – 6,500 รอบ/นาที วางกลางลำตัว หลังเบาะ
คนขับ ขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยเกียร์อัตโนมัติ Seamless Shift Dual
Clutch 7 จังหวะ (SSG) ให้อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน
3.2 วินาที 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 9.5 วินาที Top Speed อยู่ที่
328 กิโลเมตร/ชั่วโมง ปล่อยก๊าซ CO2 249 กรัม/กิโลเมตร

คาดว่า การเปิดตัว น่าจะเกิดขึ้นได้ ในช่วงงาน Geneva Motor Show
ต้นเดือนมีนาคม 2017 และน่าจะเข้ามาถึงประเทศไทยได้ ราวปี 2018
เป็นอย่างช้าที่สุด

——————————————————-

2016_06_23_Mercedes_Benz_E220d_W213_07

Mercedes-Benz
2017 : E 220d Made in Thailand / E-Class Coupe Full Modelchange

ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา Mercedes-Benz Thailand ถล่มตลาดรถยนต์ระดับหรู
ในบ้านเรา ชนิดที่เรียกว่า มากันครบ ทุกตัวถัง ทุก Segment อย่างที่ไม่เคย
มีมาก่อน ใครจะไปนึกละว่า แม้กระทั่ง AMG GT S หรือ S-Class เปิดประทุน
จะถูกนำเข้ามาเปิดตัวในบ้านเราด้วย นี่ยังไม่นับการปรับทัพครั้งสำคัญถึงขั้น
กล้ายกเลิก เครื่องยนต์ เบนซิน ปกติ ใน C-Class แล้วทำตลาดแต่ C350e
Plug-in Hybrid เพียงแบบเดียว แต่มีให้เลือก 4 รุ่นย่อย การยกทัพ SUV
เข้ามาขายในบ้านเรา แทบทุกรุ่น ไม่เว้นแม้แต่ GL-Class และ G-Class
รวมทั้ง Mercedes-Maybach ฯลฯ อีกมากมาย

ทว่า E-Class ที่เพิ่งเปิดตัวในบ้านเราไป ในงาน Bangkok International
Motor Show 2016 กลับเงียบเหงากว่าที่คิด สาเหตุส่วนหนึ่ง นอกจากตัวรถ
มีบุคลิกแทบไม่ต่างจาก C-Class มาสูบลมให้ป่องขึ้น แล้ว ลูกค้าจำนวนมาก
เริ่มรู้ทันว่า เดี๋ยวอีกสักพัก รุ่นประกอบในประเทศก็จะตามมา ด้วยราคาที่ถูก
กว่ารุ่นนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคัน

ความคิดของคุณ ถูกต้องครับ Mercedes-Benz (Thailand) เพิ่งฉลองการ
ผลิตรถยนต์ในประเทศไทย ณ โรงงานธนบุรี ประกอบรถยนต์ ย่านสำโรง
ครบ 100,000 คัน เมื่อช่วงก่อน คริสต์มาส ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ และทาง
MBTh ก็เริ่มเผยแผนการเปิดตัวรถยนต์ใหม่ในปี 2017 ออกมาบ้างแล้ว

เริ่มจาก E 220d รุ่นประกอบในประเทศ จะเปิดตัววันที่ 31 มกราคม 2017
รายละเอียดเบื้องต้น ทีมงานของเรา น้อง Moo Cnoe สรุปเอาไว่ให้แล้ว
ที่นี่ http://community.headlightmag.com/index.php?topic=55467.0

จากนั้น ในช่วงงาน Bangkok International Motor Show ทาง MBTh
จะยกโขยงบรรดา Dream Car ก๊อกล่าสุด ขนมาเปิดตัวกันแน่นขนัดบูธ
ทั้ง E-Class Coupe และ Mercedes-AMG GT C Roadster

พอเข้าสู่ช่วงกลางปี GLA Minorchange และ S-Class Minorchange
ก็จะทะยอยคลอดตามออกมา หลังจากนั้น จะปิดท้ายปี 2017 ด้วยรุ่น
E-Class Cabriolet ระหว่างปีก็คงไม่ได้เงียบเหงา สารพัดรุ่นนำเข้า
รหัสตัวแรงต่างๆ น่าจะเข้ามาเสริมทัพกันเต็มที่เหมือนดังปี 2016 เพราะ
รถเหล่านี้ นำเข้ามาขายทั้งคันอยู่แล้ว ไม่ยากที่จะเปิดตัว เพียงแต่ว่า
Mercedes-Benz (Thailand) จะสั่งนำเข้ามาหรือไม่ เท่านั้นเอง !

Mercedes_Benz_X_Class_2018

อย่างไรก็ตาม ข่าวเศร้า สำหรับใครที่เฝ้ารอยลโฉมรถกระบะแท้ๆคันแรก
ในประวัติศาสตร์ค่ายตราดาว (ที่ไม่ได้สร้างขึ้นจากพื้นฐานรถเก๋งรุ่นใดๆ)
อย่าง Mercedes-Benz X-Class ที่พัฒนาขึ้นตามโครงการความร่วมมือ
ระหว่าง Daimler AG และ Renault-Nissan ภายใต้โครงสร้างวิศวกรรม
ของ Nissan NP300 Navara บอกได้เลยว่า ทำใจนะ มันจะไม่มาไทย!

เพราะแม้ในงานเปิดตัวเวอร์ชันต้นแบบ เมื่อ 26 ตุลาคม 2016 ที่ผ่านมา
CEO ใหญ่ ของ Daimler AG. ไม่มีการพูดถึงประเทศไทยในแผนของ
X-Class เลยแม้แต่น้อย ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลก ว่าตลาดรถกระบะขนาด
1 Ton ที่ใหญ่มากสุดในดลก อย่างปรเทศไทย จะตกสำรวจไปได้ยังไง?

สุดท้าย มร.ไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร Mercedes-Benz (Thailand)
กล่าวยืนยัน ในงานฉลองยอดประกอบรถยนต์ Mercedes-Benz ที่โรงงาน
ธนบุรีประกอบรถยนต์ ครบ 100,000 คัน เมื่อ 20 ธันวาคม 2016 ชัดเจนว่า
MBTh จะไม่นำ X-Class เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย อย่างแน่นอน

เป็นอันปิดฉาก และฝันสลายด้วยประการฉะนี้!

——————————————————-

MG_GS_Minorchange_2017

MG
2017 : MG GV / MG 3 Minorchange / MG ZS / MG GS Minorchange
2018 : New Pickup Truck

หลังจากเข้ามาเปิดตลาดในเมืองไทยได้ 3 ปี ประชากร MG ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงวันที่ SAIC จากจีน และ กลุ่ม C.P. ในบ้านเรา เริ่มต้นก้าว
เข้ามาทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายรถยนต์ในบ้านเรา จาก 0 และต้องทุ่มงบประมาณ
เพื่อสร้างแบรนด์กันอย่างหนักตลอดหลายปีมานี้

ยอดขายรถยนต์ของแบรนด์ MG ตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำตลาดในไทย ช่วงปี 2014
ในปีแรก ทำไปได้เพียง 204 คัน จากนั้นในปี 2015 มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด
จากการเปิดตัวของ MG ทำไปได้ 3,779 คัน และ ในปี 2016 นี้เอง จากต้นปี
เดือน มกราคม ถึง ยอดขายเดือน ตุลาคม ที่มีตัวเลขล่าสุด รวม 6,605 คัน
ดังนั้นในประเทศไทยตอนนี้มีรถยนต์ MG วิ่งอยู่บนถนนราวๆ 10,000 คัน

SAIC เริ่มนำแบรนด์ MG กลับเข้ามาเปิดตลาดบ้านเราอีกครั้งในปี 2014 พวกเขา
เริ่มต้นได้ไม่สวยนัก แม้ว่าความพยายามในการสร้างแบรนด์ ด้วยการโหมโฆษณา
ในทุกสื่อ อย่างหนักหน่วง หวังทำให้ลูกค้าในกลุ่มที่ไม่รู้เรื่องรถยนต์มากนัก มอง
ว่า MG คือรถยุโรป มาจากอังกฤษ เป็นผลสำเร็จ ทว่า ลูกค้าในกลุ่มคนรักรถก็รู้อยู่
เต็มอก ว่า MG ถูกซื้อกิจการไปอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ใหญ่สุดในจีน
อย่าง SAIC มานานแล้ว

อีกทั้งตัวบุกตลาดรุ่นแรกในการกลับคืนสู่เมืองไทยอย่าง MG 6 เอง มีสมรรถนะ
ในภาพรวมยังไม่น่าประทับใจเท่าที่ควร จากนั้น ปี 2015 MG ก็เปิดตัว MG3 ใน
งาน Bangkok International Motor Show 2015 และได้รับการกล่าวขวัญในด้าน
การบังคับควบคุมรถ และช่วงล่าง ที่ดีเหนือความคาดหมาย ไปพร้อมๆกับอาการ
ตอบสนองกระฉึกกระฉักเกินคำบรรยาย จากเกียร์กึ่งอัตโนมัติ AMT ที่คนไทย
ส่วนใหญ่ ไม่คุ้นชินกับพฤติกรรมของมัน

ปี 2015 MG 6 รุ่นปรับโฉม Minorchange ถูกเข็นออกสู่ตลาด หลังจากปรับปรุง
และแก้ไขทั้ง โปรแกรมของสมองกลเครื่องยนต์ ให้รองรับน้ำมันแก็สโซฮอลล์
E85 ได้ รวมทั้งปรับการทำงานของสมองกลเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch ใหม่ให้
ราบรื่นดีขึ้นกว่าเดิมบ้าง พอจะเรียกลูกค้าได้นิดหน่อย ไม่เยอะเท่า MG 3

ขณะเดียวกัน ในปี 2015 MG ก็ส่ง MG5 เข้ามาเปิดตลาด วางตำแหน่งให้เป็น
รถยนต์นั่งกลุ่ม B-Segment ที่มีขนาดตัวถังเทียบเท่ากับ C-Segment แถมยังมี
รูปลักษณ์ภายนอก สไตล์รถยนต์ Coupe 4 ประตู พอจะมีลูกค้าอุดหนุนไปบ้าง
เพราะยอมรับในสมรรถนะการขับขี่ โดยเฉพาะการเข้า-ออกจากโค้ง ที่ทำได้
ดีเกินคาดหมาย อีกทั้งยังมีเครืองยนต์ 1.5 ลิตร Turbo ที่เรียกกำลังให้แรงเท่าๆ
รถเก๋ง C-Segment เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร แต่ยังคงมีจุดด้อยเรื่องการออกแบบด้าน
สรีรศาสตร์ เช่นเบาะคนขับ ปรับระดับสูง – ต่ำ ไม่ได้ บางคนนั่งแล้ว ศีรษะชน
เพดานหลังคา เป็นต้น

พอช่วงต้นปี 2016 พวกเขาก็ส่ง MG GS เปิดตัวในงาน Bangkok International
Motor Show โดยเริ่มจากรุ่น 2.0 ลิตร Turbo ทั้งขับเคลื่อนล้อหน้า และ 4 ล้อ แต่
ด้วยค่าตัวที่สูงจนทัดเทียมกับเจ้าตลาด แถมสมองกลเกียร์ยังปรับจูนมาไม่ลงตัว
รวมทั้งการสื่อสารทางการตลาดที่ไม่ชัดเจน ทำให้ลูกค้าต่างพากันเมินหน้าหนี
โดยไม่รู้เลยว่า GS ก็มีรุ่นขับล้อหน้าให้เลือกด้วย

ปลายปี 2016 ในงาน Motor Expo พวกเขาจึงแก้ปัญหาด้วยการสั่งเครื่องยนต์
1.5 ลิตร Turbo (คนละตัวกับใน MG 5) มาวางลงใน GS เพิ่มทางเลือกใหม่ในชื่อ
MG GS 1.5 Turbo เน้นทำตลาดกับรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยค่าตัวเริ่มต้นถูกมาก
เพียง 890,000 บาท และรุ่น Top 990,000 บาท มาเปิดตัวรับจอง ก่อนจะเริ่ม
ทะยอยส่งมอบรถได้ ในช่วง เดือนมกราคม 2017

สำหรับช่วงปี 2017 – 2018 นี้ MG จะมีรถยนต์รุ่นใหม่ มาให้เลือกกัน 3 รุ่น ทั้งการ
นำ MG 3 น้องเล็กในตระกูล มาปรับโฉม Minorchange โดยเน้นการปรับเปลี่ยน
หน้าตา และบั้นท้าย รวมทั้ง มีการเปลี่ยนแผงหน้าปัดใหม่ ยกชุด ให้ดูใกล้เคียงกับ
บรรดา รถเก๋งขนาดเล็ก จากค่ายเจ้าตลาดมากขึ้น ซึ่งคาดว่าน่าจะเปิดตัวได้ในช่วง
ปลายปี 2017 ถึง ต้นปี 2018

maxus_g10_1
5
G10-interior-1
saic-maxus-datong-g10-012

แต่ก่อนที่จะไปถึง MG 3 ตอนนี้ MG กำลังเตรียมสั่งนำเข้ารถตู้ Maxus G10 จาก
เมืองจีน มาเปิดตลาดในบ้านเรา โดยสวมแบรนด์ MG ออกขายในชื่อ MG GV!

MG GV มีตัวถังยาว 5,168 มิลลิเมตร กว้าง 1,980 มิลลิเมตร สูง 1,928 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 3,210 มิลลิเมตร เวอร์ชันไทย จะวางเครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC
16 วาล์ว 2.0 ลิตร Common-Rail Turbo จัดวางตำแหน่งทางการตลาดเป็นรถตู้
Minivan 11 ที่นั่ง ตั้งใจดับเครื่องชน Hyundai H-1 กันจังๆ!

กำหนดเปิดตัว จะมีขึ้นในงาน ฺBangkok Internationa Motor Show เดือนมีนาคม
2017 แต่อาจจะเผยโฉมกันก่อน ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2017

รุ่นถัดไป ที่มีกำหนดเปิดตัวในช่วงปี 2017 – 2018 คือ MG GS Minorchange ที่
เปิดตัวอย่างฉับไวมากๆในประเทศจีน เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2016 ที่ผ่านมา เร็ว
จนทีมงาน MG ในเมืองไทย ถึงกับ สตันท์ ทึ่ง และอึ้งไปพักใหญ่ ว่า ทางเมืองจีน
จะรีบปรับโฉมกันไป โดยไม่ถามไถ่ ฝั่งไทยสักหน่อยก่อนเลยเหรอ? เพราะบ้านเรา
เพิ่งจะเปิดตัวรุ่น GS ได้ไม่ทันครบปี แถมยังเพิ่งจะกระตุ้นตลาดด้วยรุ่น 1.5 Turbo
จู่ๆ ฝั่งจีน ปล่อยรุ่น Minorchange ออกมากันแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแบบนี้ ลูกค้าใน
เมืองไทย ที่เพิ่งซื้อ GS ไป หรือรอรับรุ่น 1.5 Turbo อยู่ ก็ด่า MG เละเทะกันพอดี

งานออกแบบภายนอกถูกปรับเปลี่ยนใหม่ โดยเฉพาะกระจังหน้า เพิ่มแถบโครเมี่ยม
คาดกลางมาให้ จนดูคล้ายกระจังหน้าของ Toyota Corolla Altis Minorchange
แถมยัง เปลี่ยนกันชนหน้าใหม่ เว้นที่ว่างให้โลโก้มากขึ้น พร้อมออกแบบช่องดักลม
ด้านหน้า ให้ดูเรียบง่ายกว่าเดิม

อีกความเปลี่ยนแปลงสำคัญอยู่ที่ การเปลี่ยนแผงหน้าปัดใหม่แบบยกชุด อัพเกรด
ให้ดูดีขึ้น ด้วยวัสดุหนังหุ้ม พร้อมบุน่มเสริมด้านหลัง ลดขนาดช่องแอร์ตรงกลาง,
เปลี่ยนหน้าจอสัมผัส และวัสดุรอบหน้าจอใหม่, เรียงสวิตช์เครื่องปุ่มปรับอากาศ
และปุ่มที่จำเป็นให้ใช้งานง่ายขึ้น, เปลี่ยนคอนโซลกลางใหม่, เปลี่ยนช่องแอร์ทั้ง
ซ้ายและขวาใหม่ รวมทั้งเปลี่ยนทรงพวงมาลัยใหม่แบบ Flat Bottom

กำหนดเปิดตัวของ GS Minorchange เวอร์ชันไทย น่าจะต้องรอกันไปอีกประมาณ
1 ปี ถึง 1 ปีครึ่ง ดังนั้น ใครที่รีบใช้รถ รุ่น 1.5 Turbo ก็ยังน่าจะเหลือเวลาทำตลาด
อีกราวๆ 1 ปี แต่ถ้ายังไม่รีบ ควรรอไปก่อน

MG_ZS_001
MG_ZS_002
MG_ZS_004

อีกรุ่นหนึ่งที่น่าจับตามองของ แบรนด์ MG เป็น Crossover SUV น้องเล็กรุ่นใหม่
ที่มีขนาดเล็กกว่า MG GS นั่นคือ MG ZS ซึ่งเพิ่งจะเผยเรือนร่างในงาน กวางโจว
มอเตอร์โชว์ เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2016 ที่ผ่านมา จุดเด่นอยู่ที่การนำเส้นสายหรือ
Design Theme ใหม่ มาใช้กับรถยนต์ MG เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการพลิกโฉมงาน
ออกแบบของ MG รุ่นก่อนๆไปโดยสิ้นเชิง

MG ZS จะวางเครื่องยนต์ 2 ขนาด ทั้งแบบ เบนซิน 1.0 ลิตร Turbo 125 แรงม้า (PS)
แรงบิดสูงสุด 170 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ
Dual Clutch 7 จังหวะ อีกรุ่นหนึ่งเป็นขุมพลังเบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร
ไม่มีระบบอัดอากาศใดๆมาให้ 120 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตร เชื่อม
กับเกียร์อัตโมัติ Dual Clutch 7 จังหวะ

กำหนดออกสู่ตลาดโลก จะเกิดขึ้นในช่วง ไตรมาส 1 ของปีนี้ โดยเริ่มจากประเทศจีน
เป็นแห่งแรก จากนั้น น่าจะตามด้วย สหราชอาณาจักร ส่วนลูกค้าชาวไทย เจอกันได้
ในช่วงปลายปีนี้ ที่งาน Motor Expo 2017

MG_Maxus_T60

นอกเหนือจากนี่้ MG ยังสนใจที่จะร่วมกระโจนเข้าสู่ตลาดรถกระบะขนาดกลาง อัน
โหดหฤหรรษ์ อีกด้วย โดยในช่วงปี 2015 – 2016 ที่ผ่านมา พวกเขาลงประกาศว่าจ้าง
คนทำงานในแผนก Product Planning เพื่อดูแลการทำตลาดรถกระบะโดยเฉพาะ และ
ไม่เพียงเท่านั้น SAIC และ MG ยังแอบดอดไปสำรวจ “ตลาดไทย” อันเป็นศูนย์รวม
ของผู้ใช้รถกระบะ ในภาคการขนส่ง และภาคธุรกิจส่วตัวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
มาแล้วเรียบร้อย แสดงให้เห็นถึงความเอาจริงเอาจัง ว่าพวกเขา ตั้งใจบุกตลาดอย่าง
แน่นอนแล้ว

ก่อนหน้านี่้ มีรายงานจากเว็บไซต์  GoAuto ว่า รัฐบาลไทย โดยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รองนายกรัฐมนตรี (ในตอนนั้น) เข้าร่วมประชุมโรดโชว์ชักจูงการลงทุนอุตสาหกรรม ณ
นครเซี่ยงไฮ้ เมื่อ เดือนมิถุนายน 2016 จนได้ข้อสรุปว่า SAIC Motor จะลงทุนตั้งโรงงาน
ผลิตรถยนต์ และรถกระบะในบ้านเรา ด้วยกำลังการผลิตสูงมากถึง 1 แสนคัน/ปี เพื่อเป็น
ฐานการส่งออกไปยังภูมิภาคอื่น เช่น Australia / New Zealand  จึงมีความเป็นไปได้ว่า
รถกระบะ Maxus จาก SAIC คันนี้จะเป็นรถที่จะเตรียมขึ้นสายการผลิตในไทยเร็ว ๆ นี้

ล่าสุด บริษัทในเครือของ SAIC อย่าง Maxus เพิ่งพัฒนารถกระบะ Maxus T60 เสร็จสิ้น
และออกจำหน่ายในแดนมังกร เมื่อ 6 พฤศจิกายน 2016 ที่ผ่านมา

T60 มีตัวถังยาว 5,365 มิลลิเมตร กว้าง 1,900 มิลลิเมตร ความสูงรุ่นกระบะส่งของ 1,722
มิลลิเมตร รุ่น Cab และ 4 ประตู ตัวเตี้ย 1,809 มิลลิเมตร รุ่น 4×4 สูง 1,845 มิลลิเมตร หาก
เป็นรุ่นฐานล้อยาวพิเศษจะเพิ่มความยาวตัวถังอีก 315 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อรุ่นช่วงสั้น
ยาว 3,155 มิลลิเมตร รุ่นช่วงยาว 3,470 มิลลิเมตร พื้นที่กระบะของรุ่น 4 ประตู ฐานล้อ
มาตรฐานจะมีความยาว 1,485 มิลลิเมตร กว้าง 1,510 มิลลิเมตร สูง 530 มิลลิเมตร

รูปลักษณ์ ภายนอกไม่แตกต่างจากรถกระบะในท้องตลาดมากนัก เสริมความโดดเด่นด้วย
การติดตั้งไฟหน้า LED พร้อม Daytime Running Light และระบบปรับมุมองศาจานฉาย
ตามการเลี้ยวของพวงมาลัย AFS

ขุมพลังมีให้เลือกเพียงแบบเดียว เป็นแบบ VM Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.8 ลิตร
ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ Common-Rail 3rd Generation จาก BOSCH พ่วงด้วยระบบ
Turbocharger มีให้เลือก 2 ระดับความแรง ทั้งแบบมาตรฐาน136 แรงม้า (PS) ที่ 3,200
รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 310 นิวตัน-เมตร (31.5 กก.-ม.) ที่ 1,500 – 3,000 รอบ/นาที และ
แบบ Hi-Output 150 แรงม้า (PS) ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 360 นิวตัน-เมตร
(36.68 กก.-ม.) ที่ 1,600 – 2,800 รอบ/นาที จับคู่เกียร์ธรรมดา 5 หรือ 6 จังหวะ และเกียร์
อัตโนมัติ 6 จังหวะโดย Punch Powertrain ซัพพลายเออร์ระบบเกียร์จากเบลเยี่ยม กับ
ระบบขับเคลื่อนn 4 ล้อ จาก BorgWarner ส่วนช่วงล่างหลัง Maxus T60 เป็นตับแหนบ
ที่ถูกออกแบบจุดยึดโดยคำนึงถึงความสะดวกสบายในการขับขี่หากมีการบรรทุกเบาและ
สามารถรองรับการบรรทุกหนักได้ ด้านระบบความปลอดภัยจะติดตั้งระบบควบคุมการ
ทรงตัว และเสถียรภาพ ESP, ระบบเตือนเปลี่ยนเลย Lane Departure,กับ ถุงลมนิรภัย
มากถึง 6 ใบ เป็นต้น

ดังนั้น จึงพอมีความเป็นไปได้สูงว่า รถกระบะ T60 คันนี้ เมื่อส่งมาทำตลาดในบ้านเรา
อาจจะไม่ได้พะแบรนด์ Maxus และอาจจะใช้ตรา MG แทน แต่กว่าที่พวกเขาจะพร้อม
เปิดตัวรถกระบะรุ่นนี้ น่าจะเป็นปี 2018 ขึ้นไป มากกว่า

——————————————————-

Mitsubishi_XM_Concept_2016

MITSUBISHI MOTORS
2017 : XM Minivan 1.5 L CVT From Indonesia / Triton Minorchange
2018 : Pajero Sport Minorchange
2019 : All New Mirage & Attrage

การเปิดตัว Mitsubishi Pajero Sport ใหม่ในเดือนสิงหาคม 2015 กลายเป็น
Talk of the town ที่ปลุกกระแส แบรนด์ Mitsubishi Motors ให้กลับฟื้นชีพ
ขึ้นมาอยู่ในความสนใจของผู้บริโภคชาวไทยอีกครั้งได้อย่างดี ต้องให้เครดิต
กับบรรดาทีมงานฝ่ายการตลาด โฆษณา และประชาสัมพันธ์ในยุคนั้น ที่ต่าง
ช่วยกันผลักดันให้ออกมาประสบความสำเร็จได้อย่างสวยงาม

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเปิดตัวรถกระบะ Triton รุ่นปี 2016 ในช่วงปลายปี
2015 เพื่อแก้ปัญหายอดขายไม่กระเตื้อง อันเกิดจากงานออกแบบกระจังหน้า
ที่ทำให้ Triton ใหม่ ดูคล้ายรถกระบะจากเมืองเสิ่นเจิ้น จนลูกค้าเมินหนี แต่
เหมือนโชคร้ายมาเยือน การเปลี่ยนตัวผู้บริหารระดับสูง ก่อให้เกิดเรื่องราว
และความวุ่นวายภายในองค์กร มากมาย

1 สิงหาคม 2016 การย้ายสำนักงานใหญ่ จากทุ่งรังสิต เข้ามาอยู่ที่ ตึก FYI
สี่แยกคลองเตย ทำให้ บรรดาคนเก่าๆ ที่เคยทำงานอย่างจงรักภักดีให้กับ
องค์กร จำนวนมาก บางคนอยู่มาตั้งแต่สมัยเมื่อครั้งยังเป็น MMC สิทธิผล
ต่างทนไม่ไหว ยกพลตบเท้าลาออก ครั้งมโหฬาร ชนิดที่ต้องจารึกเอาไว้
ว่า ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของบริษัทนี้ และทำให้ค่ายทุ่งรังสิต…
เอ้ย..แยกคลองเตย เต็มไปด้วยความเครียด และ ความกดดันไปพักใหญ่
จากปัญหา งานล้น แต่ไม่มีคนทำ ส่งผลกระทบต่อยอดขายที่ไม่ฉลุยนัก
แม้ว่าจะมีความพยายาม ปรับปรุง Triton กันอีกรอบ ในช่วง กลางปี ก็ยัง
ไม่มีแนวโน้มว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก เมื่อบริษัทแม่ในญี่ปุ่น ถูก
รัฐบาลญี่ปุ่น จับได้ว่า โกงตัวเลจอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ในรถยนต์พิกัด
K-Car 660 ซีซี ในตลาดบ้านตัวเอง ทั้ง eK Wagon กับ eK Custom และ
ยังเลยเถิดไปถึง พันธมิตรอย่าง Nissan ทั้ง รุ่น Dayz และ Dayz Roox อีก
ยิ่งซ้ำเติมให้ยิ่งเจ็บหนัก หุ้นร่วงระนาว จนกระทั่ง Nissan ตัดสินใจซื้อหุ้น
ของ Mitsubishi Motors 34% เมื่อ 12 พฤษภาคม 2016 ตามรายละเอียด
เพิ่มเติม Click Here!

ผลจากการเข้าถือหุ้นใหญ่ของ Nissan ทำให้ ทั้ง 2 ค่าย ต่างเห็นประโยชน์
ร่วมกัน ในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ร่วมกัน ทั้งโรงงาน จัดซื้อ
หรือแม้แต่ การแชร์โครงสร้างวิศวกรรมยานยนต์และเทคโนโลยีต่างๆ เข้า
ด้วยกัน โดยเฉพาะ เทคโนโลยี ด้านระบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ที่ Nissan
ถนัด และระบบ Plugin Hybrid ที่ Mitsbishi Motors ชำนาญกว่า

หนึ่งในโครงการความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย และเขตภูมิภาค
ASEAN จะเกิดขึ้นเป็นรูปธรรม ในปี 2017 นี้ นั่นคือ Mitsubishi Motors
กำลังซุ่มพัฒนา Minivan ขนาดเล็กรุ่นใหม่ และ Nissan เอง ก็สนใจจะ
ร่วมนำรถรุ่นนี้ ไปขายในแบรนด์ของตนเองอีกด้วย

Minivan ขนาดเล็กคันนี้ จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังสำหรับรถเก๋งขนาดเล็ก
และมีรูปลักษณ์ภายนอก กับภายใน ยกมาจากรถยนต์ต้นแบบ XM Concept
ที่เพิงจะนำมาจัดแสดงในงาน Motor Expo เมื่อต้นเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา
คาดว่าจะวางเครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร ขับเคลื่อน
ล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน CVT

ล่าสุด มีผู้พบเห็นรถคันนี้ กำลังพรางตัว แล่นทดสอบในต่างประเทศ แสดงว่า
ใกล้จะได้เวลาปล่อยอกสู่ตลาดแล้ว เพราะตามแผนการที่วางไว้ กำหนดการ
เปิดตัว จะเกิดขึ้นในงาน Gaikindo Indonesia International Motor Show
ช่วงเดือนสิงหาคม 2017 ก่อนจะส่งมาเปิดผ้าคลุมในเมืองไทย ภายในช่วง
ไตรมาส 3 และ 4 ของ ปี 2017 แต่อาจจะต้องรอกำหนดทำตลาดจริงในช่วง
ต้นปี 2018 โดยคู่แข่งที่ดูจะใกล้เคียงกับรถคันนี้มากสุด คือ Honda BR-V

เริ่มเห็นแล้วใช่ไหมครับ มีแนวโน้มว่า ยอดขาย อาจไม่สูงอย่างที่ตั้งใจไว้
ดูยอดขายต่อเดือนของ BR-V ก็คงพอรู้แล้ว มีทางเดียวที่พอจะช่วยพยุง
ยอดขายไว้ต่อไปได้ นั่นคือ อัดออพชันมาให้เยอะมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
และปรับปรุงบุคลิกการขับขี่ รวมทั้ง ฟีลลิง พวงมาลัย กับช่วงล่าง ให้ดีๆ

รายการต่อไป ได้แก่ การปรับโฉม Big Minorchange ให้กับ Triton ใหม่
โดยจะเน้นไปที่การเปลี่ยนกระจังหน้า และชุดไฟหน้าออกแบบขึ้นใหม่หมด
ส่วนรายละเอียดด้านวิศวกรรมนั้น แทบไม่แตกต่างจากรุ่นปัจจุบันมากนัก
น่าจะเกิดขึ้นในปี 2017

จากนั้น จะเป็นคิวของ Pajero Sport ที่จะถูกส่งกลับไปแต่งหน้าทาปากใหม่
เป็นรุ่น ปรับโฉม Minorchange ที่มีกำหนดเปิดตัวในปี 2018 ขณะนี้ยังเร็ว
เกินไป ที่จะสรุปรายละเอียดความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ในปีนี้
แต่ช่วงปี 2017 คงมีการปรับอุปกรณ์ให้กับรุ่น GLS Ltd. และ GT ตามรุ่น
ท๊อป GT-Premium ที่ปรับไปแล้วในช่วงปลายปี 2016

ท้ายสุด ปี ใครที่เริ่มเบื่อหน้า 2 พี่น้องคู่หู B-Segment (ECO Car) ทั้งรุ่น
Mirage (Hatchback 5 ประตู) และ Attrage (Sedan 4 ประตู) ยืนยันว่า
ทั้งคู่ จะทะยอย เปลี่ยนโฉมใหม่ Full Model Change ราวๆ ปี 2019แแ

——————————————————-

Nissan_Note_2017

NISSAN
2017 : NOTE / GT-R !? / Teana NISMO ?
2018 : New SUV – PPV / All New ALMERA / KICKS
2019 : All New Teana? / C-Segment Sedan

ปี 2016 ที่ผ่านมา Nissan ต้องเจอมรสุมมากมาย ทั้งจากยอดขายที่ลดลง
ไปจนถึงปัญหาการถูก ดีลเลอร์ รายหนึ่ง ทำ Double Finance (อธิบายให้
เข้าใจง่ายๆคือ ปกติ ดีลเลอร์จะกู้เงินจาก Nissan Leasing เพื่อมาซื้อรถ
จากโรงงาน ไปขาย แต่ดีลเลอร์รายนี้ เมื่อได้รถมาแล้ว กลับเอารถไปเข้า
กระบวนการไฟแนนซ์ กับ บริษัทไฟแนนซ์  อีกทอดหนึ่ง) ว่ากันว่า มูลค่า
ความเสียหาย อาจสูงถึงประมาณ 2,000 ล้านบาท จนทำให้ประธานใหญ่
มร.นัมบุ ประกาศลาออก พร้อมกับ ประธานของ Nissan Leasing

ตอนนี้ประธานคนใหม่ ชาวฝรั่งเศส เข้ามารับช่วงดูแลกิจการแทน และเริ่ม
สานต่องานเก่าที่คั่งค้างไว้ มากมาย ทั้งการปรับปรุงบริการหลังการขาย
การบริหารจัดการ ปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ และรวมทั้ง เปิดัวรถยนต์
รุ่นใหม่ๆ เพื่อช่วยฉุดสถานการณ์ Nissan ที่ร่วงลงเหว ให้กลับฟื้นขึ้นมา
อีกครั้ง

เริ่มต้นปี 2017 Nissan จะเปิดตัว NOTE เป็นครั้งแรกในไทย ตามคิดตลาด
ญี่ปุ่นที่เพิ่งเปิดตัวไป เมื่อต้นเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา กระนั้น Note เวอร์ชันไทย
จะยังยืนหยัดวางขุมพลัง HR12DE แบบ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1,198 ซีซี.
และเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน CVT ยกชุดมาจาก March และ Almera
แต่ มีการปรับปรุงสมองกลเกียร์ใหม่ ให้สามารถลากรอบเครื่องยนต์ไปจนถึง
Red Line แล้วจะมีะบบตัดลงมาอยู่ที่ระดับ 5,000 รอบ/นาที เพื่อให้ลากรอบ
เครื่องยนต์ ได้สนุกขึ้น แบบเกียร์อัตโนมัติทั่วไป (D-Range) โดยจะไม่มีขุมพลัง
Hybrid e-Power มาให้แบบเวอร์ชันญี่ปุ่น

แต่จุดขายสำคัญของ Note จะอยู่ที่การประโคมอัดอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย
มาให้เต็มพิกัด เกินหน้าเกินตา บรรดา ECO Car คันอื่นๆมากๆ อาทิ ระบบ
เบรกอัตโนมัติ เมื่อเข้าใกล้วัตถุหรือยานพาหนะข้างหน้ามากเกินไป และ
ระบบ Pre-Crash Safety

กำหนดการเปิดตัว Note ในบ้านเรา จะอยู่ที่ 17 มกราคม 2017 นี้ ซึ่งเป็น
รอบ Preview ก่อน ยังไม่มีรถคันจริงให้ชมโฉมกัน จากนั้น กำลังการผลิต
จะเดินเครื่องได้เต็มที่ ในช่วงเดือนมีนาคม 2017

ไม่เพียงเท่านั้น เรายังแอบได้ยินมาว่า Nissan กำลังคิดจะสั่งนำเข้า GT-R
และ GT-R NISMO รุ่นปี 2017 มาขายให้กับลูกค้าชาวไทย ที่อยากได้รถซึ่ง
ถูกฏหมาย แต่ยอมจ่ายแพงกว่าพอสมควร กระนั้น ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
ในตอนนี้

Nissan_Teana_Nismo_2017

ไม่เพียงเท่านั้น ในปี 2017 เราคาหวังจะเห็นการกระตุ้นตลาดให้กับ Teana
Sedan D-Segment ที่ขับดี แต่กลับขายไม่ดีเอาเสียเลย อย่างไรก็ตาม อย่า
คาดหวังว่าจะมีรุ่น Minorchange เพราะพวกเขาจะไม่ทำขายออกมาแน่ๆ
แต่ในเมื่อ ตลาด มาเลเซีย เพิ่งมีการเปิดตัว Nissan Teana NISMO ซึ่ง
ก็คือการออกแบบชิ้นส่วนตกแต่งมาประดับเรือนร่าง รวมทั้งปรับปรุงสปริง
กับช็อกอัพใหม่ ให้หหนึบขึ้นอีกนิด ดังนั้น พอจะคาดหวังได้ว่า อาจมีสิทธิ์
มาเปิดตลาดในเมืองไทย อย่างน้อยๆ ก็เอาไว้ประกบกับ Toyota Camry
Extremo ก็ยังดี

navara_ppv

(ภาพจาก Motor1.com)

สำหรับใครที่รอ Nissan Navara SUV/PPV นั้น ความเคลื่อนไหวล่าสุด
ก็คือ มีภาพถาย Spyshot พอให้เห็นเค้าลางของรถคันจำหน่ายจริง ออก
มาวิ่งทดสอบกันบ้างแล้ว

ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่น่าจะทำให้ขา PPV ถูกใจคือดีไซน์ด้านหน้า
จะไม่เหมือนกับ Navara เสียทีเดียว เพราะมีแนวโน้มว่ามันจะเป็นใบหน้า
ที่ถูกปรับปรุงให้ดูอัพเดทขึ้นด้วยชุดกระจังหน้า V-Shape ที่ใหญ่โตแบบ
V-Motion ที่ขอบกระจังหน้ากินพื้นที่กันชนหน้า

มีความเป็นไปได้สูงว่า Nissan Navara PPV จะมาพร้อมกับชุดโคมไฟหน้า
บูมเมอแรงทรงเพรียวขึ้น (ที่มีขอบขยักชายล่างไฟหน้า)และมีกันชนหน้า
ที่มีมิติรับกับไฟหน้า ส่วนบั้นท้ายก็ยังเป็นปริศนาว่าจะมีไฟท้ายทรงใด

ด้านขุมพลัง มีเครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.3 ลิตร จาก
Renault ที่แฟนๆ Nissan ฝั่งกระบะ เขารอคอยกันอยู่ แต่ถ้าจะถามว่า
ขุมพลังบล็อกนี้ จะมาขายในบ้านเราเมื่อไหร่ คำตอบก็คือ อาจต้องรอ
ให้ Navara SUV/PPV เปิดตัวในตลาด ตะวันออกกลาง และเมืองจีน
ช่วงกลางปี 2017 ก่อน เราถึงจะได้สัมผัสกับรถคันนี้อย่างเร็วที่สุดช่วง
ปลาย 2017 จนถึงต้นปี 2018

Nissan_KICKS_2018

ล่วงเข้าสู่ปี 2018 Nissan จะมี 3 โครงการสำคัญ ที่จะต้องเปิดตัวในบ้านเรา
เริ่มต้นกันด้วย Nissan KICKS B-Segment Crossover SUV คันใหม่ ที่จะ
เข้ามาเปิดตัว และทำตลาดในเมืองไทย แทนที่ Nissan Juke ซึ่งจะถูกยุติ
บทบาทลงในอีกไม่นานนี้

Kick เพิ่งเปิดตัวในตลาดโลก เมื่อ 24 กรกฎาคม 2016 ที่ผ่านมา ถูกสร้างขึ้น
บนพื้นตัวถัง V-Platform เช่นเดียวกับ March Note Almera วางเครื่องยนต์
HR16DE พร้อมเกียร์อัตโนมัติ CVT ที่มีอยู่แล้วใน Sylphy เวอร์ชันไทย

จุดเด่นอยู่ที่ ในตลาดโลก Kick จะมีระบบ Around View Monitor และระบบ
ตรวจจับการเคลื่อนไหวของวัตถุ ระบบว่า Chassis Dynamic Control ซึ่งมีทั้ง
ระบบการควบคุมการทรงตัวขณะเลี้ยงโค้ง (Active Trace Control) ระบบสร้าง
เสถียรภาพขณะวิ่งทางลูกคลื่น (Active Ride Control), ระบบ Active Engine
Brake เป็นต้น รวมทั้งพื้นที่ในห้องโดยสาร ที่แก้ปัญหาความคับแคบจาก Juke
ได้สำเร็จ

กำหนดออกขายในเมืองไทย จะอยู่ในช่วงปี 2018 ซึ่งจะเป็นปีที่ Nissan ต้อง
เตรียมเปิดตัว Almera Full ModelChange เพื่อที่จะเข้าร่วมโครงการ ECO
Car Phase 2 ของรัฐบาลไทยด้วย หลังจากนั้น เราก็ต้องมาลุ่นกันต่อไป ว่า
Nissan จะถอดใจ เลิกนำ Teana รุ่นถัดไป มาประกอบขายในบ้านเราหรือไม่
แ้วพวกเขาจะเดินหน้าอย่างไรต่อกับโครงการพัฒนา C-Segment Sedan
รุ่นต่อจาก Sylphy N17 อนาคต ยังยากจะหยั่งรู้

——————————————————-

Porshce_Panamera_Hybrid_2017_2

PORSCHE
2017 : 911 GTS / Panamera 4 e-Hybrid  /718 GTS (Boxster & Cayman)
          : Cayenne Full Modelchange
          : Panamera Sport Turismo  (Shooting Brake)

ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา AAS Auto Service ผู้นำเข้าและจำหน่าย Porsche
ในบ้านเราอย่างเป็นทางการ ส่งรถสปอร์ต และ SUV รุ่นใหม่ๆ มาเอาใจ
กลุ่มลูกค้าเศรษฐีรุ่นใหม่ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะในปี 2016 พวกเขาส่ง
911 Carrera รุ่นปรับโฉม มาเปิดตัวในงาน Bangkok Motor Show
เดือนมีนาคม 2016 ต่อมา 30 ตุลาคม 2016 ก็เปิดตัว Panamera
ใหม่หมดครบทั้งตระกูล ก่อนส่งท้ายปีที่ผ่านไป ด้วยการเปิดผ้าคลุม
Cayenne S E-Hybrid Platinum Edition และรุ่น 718 Cayman ใน
งาน Motor Expo ไปหมาดๆ

สำหรับปีนี้ Porsche เตรียมรถสปอร์ตรุ่นใหม่ไว้เปิดตัวมากมาย เริ่มจาก
ช่วงต้นปี เดือนมกราคมนี้ Porsche จะจัดงานเปิดตัว 911 GTS กันไกล
ถึง South Africa ซึ่งงานนี้ คุณ Pan Paitoonpong จาก Headlightmag
ของเรา จะได้รับเชิญให้บินไปร่วมงานดังกล่าวด้วย รายละเอียดของรถ
เวอร์ชันขายจริง รอพบได้จากคุณ Pan ปลายเดือนมกราคม 2017 นี้

กลับมาดูเมืองไทย Panamera 4 e-Hybrid จะมาถึงบ้านเรากลางปีนี้
พร้อม ขุมพลัง 6 สูบ 2,894 ซีซี 330 แรงม้า (PS) ที่ 5,250 – 6,500
รอบ/นาที แรงบิด 450 นิวตันเมตร (45.85 กก.-ม.) ที่ 1,750 – 5,000
รอบ/นาที พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้า 136 แรงม้า (PS) ที่ 2,800 รอบ/นาที
แรงบิด 400 นิวตันเมตร (40.76 กก.-ม.) ที่ 2,300 รอบ/นาที เมื่อรวม
กำลังในระบบทั้งหมดจะอยู่ที่ 462 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิด 700 นิวตันเมตร (71.33 กก.-ม.) ที่ 1,100 – 4,500 รอบ/นาที
พร้อมเกียร์อัตโนมัติ PDK และระบบชาร์จไฟผ่านปลั๊ก กำหนดเริ่มส่ง
มอบให้ลูกค้าได้ ในช่วงกลางปี 2017 ด้วยค่าตัว 9,800,000 บาท

Panamera 4S เครื่องยนต์เบนซิน Bi-Turbo V6 2.9 ลิตร 2,894 ซีซี.
อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 กำลังสูงสุด 440 แรงม้า ที่ 5,650 – 6,600
รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 5,500 รอบ/นาที
จับคู่กับ เกียร์อัตโนมัติ PDK 8 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ All-Wheel Drive
สนนราคาที่ 13,500,000 บาท

และปิดท้ายด้วย Panamera Turbo เครื่องยนต์เบนซิน Bi-Turbo V8
4.0 ลิตร 3,996 ซีซี. อัตราส่วนกำลังอัด 10.1 : 1 กำลังสูงสุด 550 แรงม้า
ที่ 5,750 – 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 770 นิวตันเมตร ที่ 1,960 –
4,500 รอบ/นาที จับคู่กับ เกียร์อัตโนมัติ PDK 8 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ
All-Wheel Drive กับค่าตัวที่ 21,900,000 บาท

ช่วงปลายปีจะถึงเวลาของรุ่นแรงพิเศษ 718 GTS ที่จะมีให้เลือกทั้ง
ตัวถังเปิดประทุน Boxster และ หลังคาแข็ง Cayman คาดว่าจะใช้
เครื่องยนต์ 4 สูบ 2.5 ลิตร Turbo เหมือน รุ่น S แต่จะเพิ่มกำลังให้
แรงขึ้น จากนั้น รุ่น 718 GT4 จะตามออกมาในเวลาไม่นานนัก และ
เป็นรุ่นเดียวในตระกูล ที่ยังคงใช้เครื่องยนต์ Boxer 6 สูบนอน อยู่

ไม่เพียงเท่านั้น ปลายปี 2017 เราอาจจะได้พบกับตัวถัง Shooting
Brake (Sport Wagon 2 ประตู) ในชื่อ Panamera Sport Turismo
ตามออกมา โดยใช้เครืองยนต์กลไก และงานวิศวกรรม ร่วมกับพี่ชาย
ตระกูล Panamera ทุกประการ แ่ต่หลังคาด้านหลังจะเตี้ยลง และมี
บุคลิก เป็น Sport Wagon ชัดเจน

สำหรับตระกูล SUV นั้น แม้จะถึงเวลาที่ Cayenne จะต้องเปลี่ยนโฉม
Full Modelchange แต่ก็ยังไม่มีข้อมลใดๆแน่ชัดออกมา ขณะที่รุ่นเล็ก
อย่าง Porsche Macan จะมีการปรับโฉม Minorchange ครั้งใหญ่ ในปี
2018 แต่ยังไม่มีข่าวว่าจะเปลี่ยนโฉมใหม่ Full Modelchange เมื่อใด

——————————————————-

Rolls_Royce_Phantom_2017_Spyshot_1

ROLLS ROYCE
2017 : All New PHANTOM
2018 : Cullinan SUV

อธิบายกันนิดนึงก่อนว่า Rolls Royce ยุคใหม่ จะแบ่งกลุ่มรถยนต์หรู
ของพวกเขาไว้ 2 รุ่นหลัก นั่นคือ กลุ่มรุ่นเล็ก อย่าง Ghost Saloon
Wraith Coupe และ Dawn เปิดประทุน กับกลุ่มรุ่นใหญ่อย่างตระกูล
Phantom Saloon , Coupe กับ Drophead หรือเปิดประทุน ซึ่งมี
ราคาแพงกว่ามาก

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2003 เป็นต้นมา จนถึง
วันนี้ Rolls Royce ไม่เคยปรับปรุง Saloon คันใหญ่ ระดับ Flagship
รุ่น Phantom เลย ได้แต่ผลิตรถตามใบสั่งของลูกค้าไปวันๆ เรื่อยๆ
สบายๆ ไม่เร่งรีบ และถือว่า ทำยอดขายได้ในระดับน่าพอใจ

ล่าสุด เมื่อ 5 กรกฎาคม 2016 ผู้ผลิตรถยนต์ระดับหรู จอม Slow Life
ชาวอังกฤษ แห่งเมือง Goodwood เพิ่งเปิดเผย ภาพถ่าย Spyshot
ชุดแรกของ Phantom ใหม่ แบบเปลี่ยนโฉมทั้งคัน ออกมาครั้งแรก

คราวนี้ Phantom ใหม่ จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง MEB Modular
Platform พร้อมโครงสร้างตัวถัง All Aluminium Space Frame
น้ำหนักเบาขึ้น รวมทั้งจะใช้วัสดุ Carbon-Fibre reinforced plastic
(CFRP) มาใช้ในการผลิตเพื่อช่วยลดน้ำหนักตัวลงมาอีกด้วย

ขุมพลังเบื้องต้น คาดว่า ยังคงยืนหยัดกับเครื่องยนต์ V12 สูบ เช่นเดิม
แต่มีความเป็นไปได้ว่า เราอาจได้เห็นเวอร์ชัน Plug-in Hybrid ตาม
ออกมาในเวลาไม่นานนัก พร้อมกันนี้ Roll Royce ยังเตรียมนำระบบ
Infotainment ต่างๆ จาก BMW 7-Series มา Upgrade เพิ่มขึ้นไป
ให้เหนือชั้นยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยยังคงรักษามาตรฐานในการประกอบ
ระดับงานฝีมือชั้นเลิศของพวกเขาเอาไว้อย่างเหนียวแน่น

กำหนดเปิดตัวในตลาดโลก จะเกิดขึ้นในช่วงปี 2017 นี้

Rolls_Royce_Cullinan_Official_Spyshot

หลังจากนั้น ในช่วงครึ่งแรกของปี 2018 Rolls Royce Cullinan SUV
คันแรกอย่างเป็นทางการของพวกเขา จะพร้อมเปิดตัว และส่งมอบให้
ลูกค้าได้

Cullinan คือ SUV ที่ถูกสร้างขึ้นบนโครงสร้างพื้นตัวถัง MEB Modular
All Aluminium Platform แบบเดียวกับ Phantom ใหม่ คาดว่าจะวาง
เครื่องยนต์ V12 สูบ 6.6 ลิตร ยกมาจาก Ghost และ Wraith และอาจ
มีเวอร์ชัน Plug-in Hybrid ตามมาให้เลือกในภายหลัง

เพื่อไม่ให้บรรดาอภิมหาเศรษฐีระดับถังข้าวสาร หรือถุงทองคำ รอเก้อ
Rolls Royce จึงปล่อยภาพถ่ายอย่างเป็นทางการ หรือ Official Leak
ของ Cullinan ในสภาพหุ้มห่อด้วยสติกเกอร์พรางตัว แบบลอกออกได้
รอบคัน เมื่อ 1 ธันวาคม 2016 ที่ผ่านมา

พวกเขากล่าวว่า หลังพ้น Christmas 2016 ไปแล้ว รถคันนี้จะถูกส่งไป
ทดสอบในสภาพอากาศหนาวสุดขั้วที่ Arctic Circle ก่อนจะส่งต่อไป
ทดสอบในสภาพอากาศร้อนจัด กลางทะเลทรายในตะวันออกกลาง
ช่วงกลางปี 2017 เพื่อให้พร้อมสำหรับการเปิดตัวในช่วงครึ่งแรกของ
ปี 2018

สำหรับเมืองไทย Rolls Royce Motor Car (Thailand) ในเครือของ
MGC (กลุ่ม Millennium) น่าจะพร้อมเตรียมสั่ง Phantom ใหม่ เข้า
มาเปิดตัวก่อน ช่วงกลางปี 2017 และ ตามด้วย Cullinan ประมาณ
ช่วงปลายปี 2018

——————————————————-

Ssangyong_LIV2_2016_Paris_Show

SSANGYONG
2017 : New Rexton

ดูเหมือนว่าผู้ผลิตรถยนต์ชาวเกาหลีใต้ ผู้อุทิศตัวให้กับการผลิตแต่ SUV
ในเครือของกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรม Mahindra & Mahindra จากอินเดีย
มีความเคลื่อนไหวแค่เพียงการทดลองนำ Sub-Compact Crossover ใหม่
รุ่น Tivoli เข้ามาทดลองตลาด แต่ด้วยค่าตัวแพงถึง 1,500,000 บาท จึง
แทบไม่มีลูกค้าสนใจ โชคดีที่สั่งเข้ามาเพียงแค่ 2 คัน และต้องยุติแผนไป
อย่างน่าเสียดาย

กระนั้น ในตลาดโลก Ssangyong เพิ่งจะเผยโฉมรถยนต์ SUV ต้นแบบรุ่น
LIV2 ในงาน Paris Auto Salon เดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งคาดกันว่า นี่
คือเค้าโครงหน้าตาของ Ssangyong Rexton รุ่นใหม่ ที่มีกำหนดเปิดตัวใน
ตลาดโลก ปี 2017 ที่จะถึงนี้

เมื่อมีการเปิดตัวในตลาดโลกอย่างเร็วที่สุดในงาน Geneva Motor Show
เดือนมีนาคมนี้ เราอาจได้เห็น Rexton ใหม่ ถูกสั่งเข้ามาจำหน่ายในไทย
ราวๆ ต้นปี 2018

——————————————————-

Subaru_XV_Concept_2017

SUBARU
2017 : “All Model” Minorchange / XV Full Modelchange

ค่ายดาวลูกไก่ภายใต้การทำตลาดของ T.C.Subaru จากกลุ่ม Tan Chong Group
สิงคโปร์ ยังคงได้รับการกล่าวขวัญมากมาย ในความสามารถปลุกตลาด Subaru ที่
เคยเงียบเหงาดุจนั่งเฝ้าป่าช้า ให้ฟื้นกลับมากระปรี้กระเปร่า ได้อีกครั้ง จนบริษัทแม่
ที่ญี่ปุ่น FHI (Fuji Heavy Industries) เริ่มให้ความสำคัญกับประเทศไทยมากขึ้น
ถึงขั้นส่งคนมาเยี่ยมเยียนบ่อยมากในช่วงปี 2015 – 2016 ที่ผ่านมา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลดราคาครั้งประวัติศาสตร์ที่ทำให้โชว์รูม Subaru ถึงขั้น
หัวบันไดไม่แห้ง เมื่อช่วงต้นปี 2015 ทำให้ Subaru เติบโตขึ้นพรวดพราด ทำให้
หลายค่าย เริ่มจับตามอง ค่ายดาวลูกไก่มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การประคองตลาด XV ให้อยู่รอดไปจนถึงสิ้นปี 2017 ไม่ใช่เรื่องง่าย
T.C.Subaru เองก็หาทางส่ง Forester ประกอบจากมาเลเซีย เข้ามาเปิดตลาดใน
ราคาทีถูกจนแย่งลูกค้าจาก XV มาได้พอสมควร ไปพร้อมๆกับหาทางนำรถยนต์
รุ่นอื่นๆ เข้ามาเปิดตลาดบ้าง ทั้ง Outback ใหม่ ในงาน Motor Expo 2014 และ
Levorg ในงาน Motor Expo ปี 2015 แต่ทั้ง 2 รุ่น กลับมียอดขายไม่เยอะนัก

พอเข้าสู่ปี 2016 กลับมีกลยุทธ์ประหลาดๆจากฝั่ง สิงค์โปร์ ที่เลือกจะขึ้นราคา XV
และอีกหลายๆรุ่น กันดื้อๆ จนลูกค้าพากันก่นด่าและสาบส่งเละเทะอยู่พักใหญ่ แต่
ท้ายสุด พวกเขาก็ยอมตัดสินใจ หั่นราคา Levorg เหลือแค่ 1,890,000 บาท เพื่อ
ระบายสต็อกที่มีอยู่ทั้ง 20 คัน หมดเกลี้ยงภายในเวลาเพียง สัปดาห์เดียวเท่านั้น
ส่วน XV ก็ยังคงต้องกระตุ้นตลาด ด้วย รุ่นตกแต่งพิเศษ ของ XV กันต่อไป

พร้อมกันนั้น T.C.Subaru ก็นำ Forester 2.0 ลิตร Made in Malaysia มาเปิดตัว
ในงาน Bnagkok International Motor Show เมื่อ 21 มีนาคม 2016 ด้วยราคา
ที่ยั่วยวนใจให้คนที่คิดจะซื้อ XV กัดฟันเพิ่มงบอีกนิด เพื่อยกระดับไปเล่นรุ่นใหม่
ตัวใหญ่กว่ากันนิดหน่อยไปเลยดีกว่า ทำให้ Forester พอมียอดขายเพิ่มขึ้นอีก
เล็กน้อย

brz_all_edit

ไม่เพียงเท่านั้น รถสปอร์ต 2 ประตู ขับเคลื่อนล้อหลัง ฝาแฝดของ Toyota 86
อย่าง Subaru BRZ ก็เริ่มมีรุ่นปรับโฉม Minorchange ออกมาในช่วงปลายปีนี้
เรียบร้อยแล้ว แต่ในช่วงแรก เพิ่งส่งไปอวดโฉม ที่นครราชสีมา ก่อน เพราะยัง
ไม่อยากให้เป็นกระแสมากนัก กลับกลายเป็นว่า มีลูกค้าสนใจสั่งจองกันเยอะ

ปี 2017 จะเป็นปีแห่งการเริ่มต้นก้าวเข้าสู่ ยุคถัดไปของ Subaru เพราะพวกเขา
เพิ่งเปิดตัว Impreza Full ModelChange รถยนต์นั่ง C-Segment รุ่นแรก ที่ใช้
พื้นตัวถังใหม่ Subaru Global Platform architecture เมื่อ 24 มีนาคม 2016
ในงาน New York Auto Show ก่อนเริ่มออกขายในญี่ปุ่น เมื่อ 13 ตุลาคม 2016
ปรากฎว่า สร้างสถิติยอดสั่งจอง สูงถึง 11,050 คัน หรือ 4 เท่าของเป้าจำหน่าย
2,500 คัน/เดือน ในระยะเวลาเพียง 1 เดือนหลังเปิดตัว แถมยังเป็นกลุ่มลูกค้าที่
เคยใช้รถยี่ห้ออื่น มากถึง 51%

ล่าสุด เวอร์ชันต้นแบบ ในชื่อ Subaru XV Concept 2016 เผยโฉมแล้วในงาน
Geneva Auto Salon เมื่อ 1 มีนาคม 2016

รูปลักษณ์ภายนอก จะถูกสร้างสรรค์ขึ้นภายใต้แนวทางการออกแบบใหม่ล่าสุด
Dynamic X Solid เน้นความแข็งแรงและมีพลังของทุกเส้นสายบนตัวถัง ส่วน
รายละเอียดทางวิศวกรรม ยังคงเป็นความลับ แต่เป็นไปได้สูงมากว่า XV ใหม่
เวอร์ชันไทย จะได้ใช้เครื่องยนต์ FB20 บล็อก 4 สูบนอน Boxer DOHC 16
วาล์ว 1,995 ซีซี  ไร้ระบบอัดอากาศ 152 แรงม้า (PS) เชื่อมกับระบบขับเคลื่อน
4 ล้อ AWD (All Whell Drive) เอกลักษณ์ประจำค่าย ด้วยเกียร์อัตโนมัติ
อัตราทดแปรผัน CVT คล้ายคลึงกับรุ่นปัจจุบัน

คาดว่า เวอร์ชันจำหน่ายจริง น่าจะเปิดตัวได้ในงาน Geneva Auto Salon เดือน
มีนาคม 2017 และน่าจะเข้ามาเปิดตัวในประเทศได้ อย่างเร็วที่สุด ภายในก่อน
สิ้นปี 2017 – ต้นปี 2018 โดยโรงงานของ Tan Chong Group ใน Malaysia
จะยังคงรับหน้าที่ผลิต XV ใหม่ ส่งมายังเมืองไทย ตามเคย

เปล่าหรอกครับ Impreza ใหม่หนะ ไม่มาเมืองไทยแน่ๆ แต่รถยนต์ที่สร้างขึ้นบน
พื้นฐานงานวิศวกรรมร่วมกับ Impreza Hatchback 5 ประตู อย่าง XV รุ่นใหม่นั่น
ต่างหาก ที่มีแผนจะถูกนำเข้ามาเปิดตัวในประเทศไทย

แล้วระหว่างต้นปี จนถึง Motor Expo ละ? ไม่ต้องห่วง Subaru XV รุ่นปัจจุบัน
จะยังมีจำหน่ายเพียง 2 รุ่นย่อยสุดท้าย นั่นคือ Crosstrek กับ XV STI ตกแต่ง
ด้วยชุด Aero Part ของ Subaru Technica Internatonal ที่เพิ่งเปิดตัวไปใน
งาน Motor Expo 2016 อีกราวๆ 300 คัน เท่านั้น หมดแล้ว หมดเลย!

ส่วน Subaru Forester ก็จะยังคงมีทำตลาด 2 รุ่นย่อยตามเดิม แต่อาจเพิ่มเติม
ด้วยรุ่นตกแต่งพิเศษ สไตล์เดียวกับ XV Sti

ขณะเดียวกัน บรรดา รถยนต์รุ่นที่ขายได้น้อย ก็จะมีการปรับโฉมเช่นเดียวกันทั้ง
Outback และ WRX รวมทั้ง WRX STi ด้วย ในช่วงกลางปี

ท้ายสุด คือ Levorg Sport Wagon จะยืนราคาไว้ที่ 2,100,000 บาท ตลอดปี
ไม่มีลดราคาและขึ้นราคากันอีกแล้ว เพราะตอนนี้ ทางผู้บริหารที่สิงค์โปร์ ได้
เรียนรู้แล้วว่า จะเอากลยุทธ์การขึ้น-ลงราคารถตามใจชอบ แบบในบ้านตัวเอง
มาใช้กับประเทศไทยหนะ ไม่ได้! กระนั้น ช่วงกลางปีนี้ Levorg จะถูกปรับโฉม
เล็กน้อย มาพร้อมกับ Advanced package ครบชุด ทั้ง Blind Spot Monitor
Lane Keeping Assist ฯลฯ อีกมากมาย แต่จะยังไม่มีระบบ Eyesight มาให้
เหมือนเดิม เพราะตลอดปีที่ผ่านมา มีการนำระบบ Eyesight มาทดสอบใน
เมืองไทยแล้ว แต่ยังทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร (แหงละ สภาพการจราจรของ
บ้านเรา มันไม่เอื้อกับการทำงานของระบบนี้เลยจริงๆ!)

ส่วนแผนการนำ Subaru กลับเข้ามาประกอบในประเทศไทยอีกครั้ง ในรอบหลาย
สิบปี อาจต้องชะลอกันไปก่อน เพราะผู้บริหารชาวสิงค์โปร์ของกลุ่ม Tan Chong
พูดไว้ชัดเจนว่า “จะไม่สร้างโรงงานใหม่ จนกว่าประเทศไทยจะมีรัฐบาลที่มาจาก
การเลือกตั้ง…” ดังนั้น ถ้าปีนี้ มีการเลือกตั้ง ตาม Road Map ของรัฐบาล เราอาจ
ได้เห็น การประกาศแผนนำรถยนต์ Subaru มาประกอบในประเทศไทย เสียที
แต่กว่าจะถึงวันที่ รถคันแรก คลอดออกจากสายการผลิตในบ้านเรา คงต้องรอถึง
ปี 2018 – 2019 ขึ้นไป

——————————————————-

Suzuki_Swift_3_2017

SUZUKI
2017 : No New Cars!
2018 : SWIFT Full Model Change
2019 : IGNIS ?

สถานการณ์ของผู้ผลิตรถยนต์ชาวญี่ปุ่น จากเมือง Hamamatsu ในยามนี้
ถือว่า อยู่ในระดับ “ประคับประคองตัว” เหตุผลนั่นเพราะว่า รถยนต์ระดับ
Sub-Compact ที่ขายดีสุดของแบรนด์ อย่าง Swift กำลังเดินทางเข้าสู่
ช่วงปลายอายุตลาดแล้ว

ขณะเดียวกัน Sub-Compact Sedan รุ่น Ciaz ที่มีเรือนร่างใหญ่โตเท่าๆ
C-Segment Compact Sedan แต่วางเครื่องยนต์1.2 ลิตร ของ Swift ก็
เพิงจะเริ่มมียอดขายทะยอยเข้ามา ราวๆ เดือนละ 1,000 คัน โดยเฉลี่ย
แถมยังมี ฺBack Order อยู่ที่ 1 เดือน อีกต่างหาก!

อีกรุ่นหนึ่งที่ยังคงขายได้เรื่อยๆ คือ รถกระบะ Carry 1.6 ลิตร ซึ่งยังคง
อยู่ในห้วงความคิดของ เถ้าแก่ SME และบรรดา Food Truck Owner
ยุคใหม่ เสมอๆ เมื่อคิดจะซื้อรถกระบะเล็ก มาต่อยอดกิจการของตน
สักคันหนึ่ง

นอกนั้น เจ้าเปี๊ยก Celerio กับ Ertiga ยังคงเป็นเพียงเถาวัลย์เส้นเล็กๆ
ประดับโชว์รูมให้ดูเต็มพื้นที่ เพียงเท่านั้น ไมสามารถสร้างยอดขายได้
มากมายอย่างที่คาดหวังกันไว้ ก็แน่ละ Celerio มีหน้าตาจืดชืดขนาดนั้น
ส่วน Ertiga ก็ยังมีเรื่องยนต์เล็กสุดในกลุ่มคู่แข่ง สู้แบรนด์ใหญ่เขาไม่ได้

หลังการเปิดตัว Suzuki Ciaz ในช่วงกลางปี 2015 แล้ว จนถึงวันนี้ Suzuki
ก็แทบจะไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวอื่นใดให้เราได้ติดตามกันเลย อย่างมาก
ก็มีเพียงแค่ การเปิดตัว Suzuki Ertiga DREZA รุ่นปรับโฉม Minochange
ของ Sub-Compact Minivan 7 ที่นั่ง ขุมพลัง 1.4 ลิตร และ Suzuki Swift
Sai รุ่นตกแต่งพิเศษ สีม่วง พร้อมชุดเครื่องประดับรอบคัน และล้ออัลลอย
ลายพิเศษ ในงาน Bangkok Internatioal Motor Show เดือนมีนาคม
2016 เพียงเท่านั้น

ด้านกิจกรรมการตลาดที่เหลือ ก็เน้นไปยังการสนับสนุนผู้ประกอบการด้าน
อาหาร ให้นำ รถกระบะ Carry มาจัดกิจกรรมแนว Food Truck Festival
ซึ่งได้รับความสนใจอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ทั้งกลุ่มเจ้าของ SME
และกลุ่มนักชิมของอร่อย

Suzuki_Swift_4_2017

สำหรับปี 2017 นั้น Suzuki จะไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่ในบ้านเราทั้งสิ้น หากมี
ก็เป็นแค่เพียง การนำ Swift และ Ciaz มาตกแต่งเป็นรุ่นพิเศษ ในแบบ
“Limited Edition” เหมือนเช่นที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ทุกปี

อย่างไรก็ตาม ในญี่ปุ่น Suzuki เพิ่งเปิดตัว Swift ใหม่ 3rd Generation
Full Model Change ออกสู่ตลาดแดนปลาดิบอย่างฉับไวเรียบร้อยแล้ว
เมื่อ 27 ธันวาคม 2016 ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ ด้วยรูปลักษณ์ภายนอก ที่เพิ่ม
ความโค้งมน พร้อมกับใบหน้าที่แปลกตาไปจากตระกูล Suzuki ด้วยกัน
ทุกคัน แถมมีเสาหลังคาด้านหลังสุด C-Pillar เป็นแบบ สีดำ เล่นระดับ
ในสไตล์ Floating C-Pillar อีกด้วย

Swift ใหม่ ถูกสร้างบนโครงสร้างพื้นตัวถังใหม่ล่าสุด HEARTECT โดย
ตัวรถจะมีความยาว 3,840 มิลลิเมตร (สั้นลงกว่าเดิม 10 มิลลิเมตร) กว้าง
1,695 มิลลิเมตร (เพิ่มขึ้น 5 มิลลิเมตร) สูง 1,500 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ
2,450 มิลลิเมตร (ยาวขึ้น 20 มิลลิเมตร เท่า Honda Jazz รุ่นปี 2008)

ตัวรถมีขนาดใกล้เคียงกับรุ่นปัจจุบัน นั่นหมายความว่า Swift ใหม่จะยังคง
ออกแบบมาโดยรักษาบุคลิกรถขับสนุกเอาใจชาวยุโรป ไว้ตามเดิม แต่ถ้า
จะคาดหวังพื้นที่ห้องโดยสารด้านหลังเพิ่มเติม ต้องบอกเลยว่า เสียใจด้วย
ดูจากสเป็กแล้ว เบาะหลังน่าจะนั่งไม่ถึงกับสบายนัก พอกันกับรุ่นปัจจุบัน

เวอร์ชันญี่ปุ่น จะมีขุมพลังให้เลือก 3 แบบ ดังนี้

Dual JET

– เครื่องยนต์ เบนซิน รหัส K12C 4 สูบ DOHC 1,242 ซีซี. กระบอกสูบ x
ช่วงชัก : 73.0 x 74.2 มิลลิเมตร กำลังอัด 12.5 : 1 ระบบหัวฉีดคู่ Dual Jet
91 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 12.02 กก.-ม.(118 นิวตันเมตร)
ที่ 4,400 รอบ/นาที จับคู่เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และ เกียร์อัตโนมัติ CVT

MILD Hybrid

– ขุมพลัง Mild Hybrid (SHVS) ที่นำเครื่องยนต์เบนซิน K12C 1.2 ลิตร
พ่วงกับชุด ISG (Integrated Starter Generator) ทำงานร่วมกับมอเตอร์
ไฟฟ้า WA05A 3.1 แรงม้า (PS) ที่ 1,100 รอบ/นาที แรงบิด 50 นิวตันเมตร
ที่ 100 รอบ/นาที เชื่อมกับ แบตเตอรี่ Lithium-ion

Booster JET

– เครื่องยนต์เบนซิน K10C 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 996 ซีซี. กระบอกสูบ
x ช่วงชัก : 73.0 x 79.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.0 : 1 พ่วง Turbo 102
แรงม้า (PS) ที่ 5,550 รอบ/นาที แรงบิด 15.2 กก.-ม. (150 นิวตัน-เมตร)
ที่ 1,700 – 4,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ยกมาจาก
พี่สาวรุ่นใหม่อย่าง Suzuki Baleno 5 ประตู

จุดเด่นของ Swift ใหม่ อยู่ที่น้ำหนักตัวรถ เพราะรุ่นล่างสุดหนักเพียงแค่
830 กิโลกรัม ส่วนรุ่น Mild Hybrid จะมีน้ำหนักเบาแค่ 910 กิโลกรัม
และรุ่น 1,o ลิตร  Turbo จะหนักเพียง 930 กิโลกรัม เท่านั้น กำหนดการ
เปิดตัว ในญี่ปุ่น คาดว่าจะเกิดขึ้นภายใน ช่วง เดือน มกราคม 2017 นี้
ก่อนจะส่งไปเปิดตัวในยุโรป ที่งาน Geneva Auto Salon เดือนมีนาคม
2017 และจะเริ่มทะยอยออกจำหน่ายไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก ในช่วง
ครึ่งหลังของปี 2017 เป็นต้นไป

มาถึงตรงนี้ คุณผู้อ่าน ก็คงจะเริ่มตั้งคำถามในใจว่า แล้วบ้านเราจะได้ใช้
Swift ใหม่ เครื่องยนต์แบบไหน และจะเปิดตัวกันเมื่อไหร่

สำหรับ Swift ใหม่ เวอร์ชันไทย อาจยังคงต้องใช้เครื่องยนต์ K12B
พ่วงด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT กันต่อไปตามเดิม พักหนึ่งก่อน แม้ว่าเรา
อยากจะให้ Suzuki นำเครื่องยนต์ 3 สูบ 1.0 ลิตร Turbo เข้ามาขายใน
เมืองไทย ใจจะขาด

กำหนดเปิดตัวในไทยนั้น เราอาจต้องรอให้ลูกค้าชาวญี่ปุ่นได้เป็นหนู
ทดลองยาไปสักระยะหนึ่งก่อน เพื่อหาข้อบกพร่องของตัวรถแล้ว หา
แนวทางแก้ไขปรับปรุง รอไว้ล่วงหน้า ไปพร้อมๆกับการเตรียมงาน ขึ้น
สายการผลิตราวๆ 12 – 18 เดือน ตามมาตรฐานของวงการอุตสาหกรรม
ยานยนต์ในบ้านเรา ดังนั้น Swift ใหม่ จึงมีโอกาส เปิดตัวในเมืองไทย
ช่วงต้นปี 2018 หรืออีก 1 ปี นับจากนี้

Suzuki_IGNIS_2017

ส่วนรถยนต์รุ่นใหม่ที่ตามมาหลังจากนั้น มีความเป็นไปได้สูงมาก ว่าอาจ
เป็น Suzuki IGNIS Mini Crossover SUV คันกระเปี๊ยก ที่มีรูปลักษณ์
ภายนอก แปลกตา อาจไม่ถูกใจใครหลายคนนัก แต่ภายในห้องโดยสาร
คือจุดขายสำคัญของ IGNIS ใหม่ ทั้งด้วยการออกแบบที่ร่วมสมัย วัสดุ
ตกแต่งที่ดีเกินหน้าเกินตา รถเก๋งคันเล็กในบ้านเราไปเยอะ

เวอร์ชันญี่ปุ่น มีเฉพาะ ขุมพลัง Mild HYBRID ประกอบด้วยเครื่องยนต์
รหัส K12C เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,250 ซีซี DualJet 91 แรงม้า
(PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 118 นิวตัน-เมตร (12.0 กก.-ม.)
ที่ 4,400 รอบ/นาที จับคู่กับระบบ SHVS ซึ่งมี มอเตอร์ไฟฟ้า 3.1 แรงม้า
(PS) แรงบิดสูงสุด 50 นิวตัน-เมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน
CVT และมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AllGrip เป็นออพชั่นให้เลือก

อย่างไรก็ตาม จนถึงเวลานี้ ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัด ว่า IGNIS จะเข้ามา
เปิดตัวในประเทศไทย ได้เมื่อไหร่ และจะวางเครื่องยนต์ แบบใด ต้อง
รอความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนกว่านี้อีกครั้ง ในปีหน้า

ส่วนใครก็ตาม ที่เคยรอว่า เมื่อไหร่ Suzuki จะนำ Lapin และ Hustler
มาขยายตัวถัง จาก พิกัด K-Car 660 ซีซี. แล้ววางเครื่องยนต์ใหญ่ขึ้น
เป็น 1,000 – 1,200 ซีซี.ประกอบขายในบ้านเรา บอกได้เลยว่า เลิกรอ
เถอะครับ หลังจากความพยายามในการพูดคุยกับบริษัทแม่ ถึงกรณีนี้
ปรากฎว่า ประเทศในเขต ASEAN ชาติอื่นๆ ต่างไม่เอาด้วยกับไอเดีย
ของทีมงานฝั่งไทย เพราะรสนิยมการใช้รถยนต์ของพวกเขา ไม่ชอบ
รถเก๋ๆ แนวญี่ปุ่นกันเลย ดังนั้น โอกาสเสี่ยงที่จะไม่คุ้มค่าต่อการนำมา
ผลิตขายในบ้านเรา เพิ่อทำตลาดในประเทศ และส่งออกสู่ตลาดรอบๆ
เมืองไทย เป็นไปได้สูงมาก นั่นทำให้ Hustler และ Lapin ต้องถูกพับ
เก็บโครงการเข้าลิ้นชักไปอย่างน่าเสียดายยิ่ง

——————————————————-

Toyota_Camry_2018

TOYOTA / LEXUS
2017  : Camry & Camry HYBRID Modelchange (in U.S.A.)

           : VIOS Minorchange / YARIS Minorchange
           : Hilux Revo Minorchange / LEXUS All New LS
2018 : Camry Full Modelchange (THAI) / C-HR !!!
           : Fortuner Minorchange /
: New HIACE / Commuter
2019 : VIOS Full Model Change (ECO Car Phase 2 ?)
           : COROLLA ALTIS Full ModelChange

ปี 2015 Toyota ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับ การเปิดตัวรถกระบะกับ
SUV / PPV รุ่นใหม่จากโครงการ IMV Gen 2 ทั้ง Hilux Revo และ
Fortuner ในช่วงกลางปี ทว่าหลังออกสู่ตลาด บรรยากาศตามโชว์รูม
ทั่วประเทศ กลับเงียบงัน พลิกความคาดหมาย ลูกค้าที่มีเงินพอ ก็จะ
อุดหนุน Fortuner กันต่อไป ขณะที่ Hilux Revo นั้น ช่วงแรกถึงกับ
เข็นยอดขายกันไม่ขึ้นเลย ต้องงัดสารพัดแคมเปญออกมาใช้กันจน
ตาเหลือก ยอดขายถึงเริ่มเดินหน้าขึ้นไปบ้าง

สาเหตุที่ทำให้ Hilux Revo ไม่ได้รับการตอบสนองจากลูกค้าใน
ช่วงแรกที่เปิดตัว เนื่องจาก รูปลักษณ์ด้านหน้า ที่หลายคนบอกว่า
“ไม่สวย” รวมทั้งการเซ็ตระบบกันสะเทือนหลัง ที่แข็งเกินไป จน
นั่งไม่สบายเท่าที่ควร จนต้องออกรุ่นปรับอุปกรณ์ ในช่วงกลางปี
2016 จึงจะพอช่วยดึงยอดขายให้ดีขึ้นมาได้บ้าง

ขณะที่ Fortuner เอง ช่วงแรกยอดขายก็ไม่เดิน เนื่องจากเจอกับ
กระแสความแรงของ Mitsubishi Pajero Sport รุ่นใหม่ ที่เปิดตัว
ตามมาติดๆ แซงหน้าขึนไปพักหนึ่ง แต่หลังจากเริ่มมีรถส่งมอบ
ให้แก่ลูกค้าไปสักพัก ตัวเลขยอดขายก็เพิ่มขึ้นๆ และเริ่มกลับมา
แซงหน้า Pajero Sport ขึ้นแท่น แชมป์ SUV/PPV ไปในที่สุด
ยิ่งพอ Toyota เปิดตัวรุ่น TRD Sportivo ที่เซ็ตช่วงล่างด้านหลัง
ให้นิ่งขึ้นชัดเจน ยิ่งเพิ่มยอดขายได้อีกเยอะ

ข้ามมาดูฝั่งรถเก๋งบ้าง ในปี 2015 Toyota Camry Minorchange
ออกสู่ตลาด ทวงบรรลังก์แชมป์ยอดขาย รถเก๋งกลุ่ม D-Segment
คืนจาก Honda Accord ได้สำเร็จ แถมยังมีการเปิดตัว รุ่นนำเข้า
จาก Australia อย่าง Camry Esport ที่ใช้ตัวถังภายนอกแตกต่าง
จาก Camry เวอร์ชันไทย โดยสิ้นเชิง กระนั้น พวกเขาก็ยังไม่พอใจ
ส่งรุ่นปรับอุปกรณ์ของ Camry 2.0 Camry Extremo กับ Esport
มาย้ำแค้นอีกครั้ง แม้จะเป็นแชมป์ได้ แต่ยอดขายภาพรวมกลับ
ลดต่ำลง เนื่องจากพฤติกรรมลูกค้าจำนวนไม่น้อย เปลี่ยนไปซื้อ
SUV แทน ส่วนกลุ่มลูกค้าองค์กร ทีจะซื้อรถประจำตำแหน่ง ก็ยัง
ไม่ค่อยคิดจะเปลี่ยนรถใหม่กันในช่วงปี 2015 – 2016 มากนัก

พอย่างเข้าปี 2016 สถานการณ์ ตลาดที่ซบเซาลง ก็ทำให้ Toyota
ต้องงัดสารพัดยุทธวิธีทำตลาด มางัดข้อกับสภาพตลาดที่เป็นอยู่
ประเดิมปีใหม่ด้วย Vios หน้าตาเดิม เปลี่ยนขุมพลังใหม่ พร้อมกับ
เกียร์อัตโนมัติ CVT จาก Yaris เพียงรุ่นเดียว แต่ตัวเลขยอดขาย
ก็ยังโดน Honda City มายืนหายใจรดต้นคออยู่ จนบางเดือน ก็
แซงขึ้นนำเป็นอันดับ 1 ไปได้

ครึ่งหลังของปี 2016 Toyota พยายามเปิดตัวรถยนต์ Minivan
จาก Indonesia ถึง 2 รุ่น ในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้ง Sienta ซึ่งเริ่ม
ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และ Innova Crysta ที่มีลูกค้า
เล็งจะอุดหนุนกันอยู่ แต่ในช่วงเดือนตุลาคม แม้ตลาดชะงักงัน
จากเหตุการณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จ
สวรรคต กระนั้น เมื่อเข้าสู่ช่วง Motor Expo ต้นเดือนธันวาคม
Toyota เอง ก็ตัดสินใจ เปิดตัว Corolla Altis Minorchange
เพื่อหวังจะกระตุ้นให้ตลาด กลับมาคึกคักขึ้นบ้าง

สำหรับปี 2017 แม้ว่าในตลาดอเมริกาเหนือจะเตรียมต้อนรับการ
เผยโฉมครั้งแรกในโลก ของ Toyota Camry ใหม่ ที่จะมีเส้นสาย
แนว Sport น่าตื่นตาตื่นใจ ณ งาน NAIAS (North American
International Auto Show หรือ Detroit Auto Show ) ต้นเดือน
มกราคม 2017 แต่กว่าจะเข้ามาเปิดตัวเมืองไทย ต้องรอกันไปถึง
ครึ่งหลังของ ปี 2018

ดังนั้น สำหรับ Highlight สำคัญของ Toyota ในเมืองไทย ตลอด
ทั้งปี 2017 จะอยู่ที่ การเตรียมปรับโฉม Minorchange ให้บรรดา
รถยนต์รุ่นหลักๆของตนมากกว่า

ทันทีที่พ้นวันขึ้นปีใหม่มาได้สัก 2 สัปดาห์ Toyota ก็เตรียม สกัด
ความร้อนแรงของ Honda City Minorchange ด้วยการส่ง Vios
Minorchange เปิดตัวตามประกบทันที 23 มกราคม 2017 นี้

จุดที่จะมีการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ กระจังหน้า ชุดไฟหน้าและไฟ
ตัดหมอกหน้า รวมทั้งเปลือกกันชนหลัง คาดว่าน่าจะมีการเพิ่ม
ลูกเล่นใหม่ๆ เข้าไปให้ครบถ้วนอย่างที่ควรเป็นกันเสียที แต่
เครื่องยนต์ และเกียร์อัตโนมัติ CVT จะยังคงเหมือนรุ่น 2016

จากนั้น เป็นคิวของน้องเล็ก Toyota Yaris ที่ได้เวลาปรับโฉม
Minorchange ตามกันมาไม่ห่างนัก คาดว่าจะมีรูปโฉมหน้าตา
แตกต่างไปจากเวอร์ชันจีน ส่วนรายละเอียดด้านงานวิศวกรรม
จะยังคงเหมือนเดิม จะเปิดตัวได้ ในช่วง กลางปี 2017 เพราะรุ่น
TRD Sportivo สีเหลือง เพิ่งจะคลอดออกมาในงาน Motor
Expo 2016 จึงต้องทิ้งช่วงเว้นระยะไว้สัก 3 – 6 เดือน

ส่วน Hilux Revo คาดว่าจะต้องมีการปรับโฉม Minorchange
ภายในปี 2017 เพื่อประคับประคองยอดขายให้ยังอยู่ในระดับ
9,000 คัน/เดือน กันต่อไป โดยคาดว่าจะมีการปรับเปลี่ยนงาน
ออกแบบด้านหน้ารถใหม่เกือบทั้งหมด รวมทั้งปรับอุปกรณ์และ
ปรับรุ่นย่อยต่างๆ ใหม่ คาดว่าจะเปิดตัวได้ในช่วงกลางปีไปแล้ว

Toyota_C_HR_2018_EDIT

ข้ามมาถึงปี 2018 จะเป็นปีที่ Toyota บุกแหลกลาญ หมายมั่น
ปั้นมือ จะกลับมาชิงบรรลังก์อันดับ 1 แชมป์ตลาดรถยนต์นั่งใน
บ้านเราให้ได้ จึงโหมทุ่มสรรพกำลังในช่วงนี้อย่างหนักหน่วง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะเป็นปีแรก ที่ Toyota เริ่มนำรถยนต์ที่ใช้
พื้นตัวถัง TNGA (Toyota New Global Architecture) เป็น
Modular Platform มาเปิดตัวในประเทศไทย

เริ่มต้นในช่วง ไตรมาสแรก ของปี 2018 ด้วย การเผยโฉมของ
รถยนต์ B-Segment Crossover SUV ที่หลายๆคนเฝ้าจับตา
เมียงมอง รอคอยเป็นเจ้าของ นั่นคือ Toyota C-HR ซึ่งเพิ่ง
เปิดตัวในตลาดญี่ปุ่นไปแล้ว เมื่อ 15 ธันวาคม 2016 ที่ผ่านมา
หลังจากประกาศเปิดตัวในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ไปแล้วเมื่อ
11 กันยายน 2016 และ 17 พฤศจิกายน 2016 ตามลำดับ

C-HR เป็นรถยนต์ Toyota รุ่นที่ 2 ซึ่งถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง
ใหม่ล่าสุด TNGA (Toyota New Global Architecture) เป็น
Modular Platform ที่มีหลักการเดียวกับ พื้นตัวถัง MQB ของ
Volkswagen Group และ พื้นตัวถัง CMF ของกลุ่ม Renault-
Nissan

TNGA จะเป็นชุดโครงสร้างงานวิศวกรรมสำเร็จรูป ที่ประกอบ
ด้วยพื้นตัวถังส่วนห้องเครื่องยนต์, พื้นตัวถังห้องโดยสาร, พื้น
ตัวถังบริเวณห้องเก็บสัมภาระ ชุดระบบส่งกำลัง/ระบบไฟฟ้าซึ่ง
สามารถใช้ร่วมกันได้โดยไม่ต้องดัดแปลงให้เปลืองต้นทุน โดย
C-HR ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง TNGA-C สำหรับรถยนต์นั่งกลุ่ม
Compact Class เช่นเดียวกับ Prius ใหม่ รุ่นล่าสุด และ Corolla
Altis สำหรับตลาดโลก โฉมต่อไป ในปี 2018 – 2019

C-HR ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อประกบกับ Nissan Juke , Honda HR-V
และ Mazda CX-3 โดยมีตัวถังยาว 4,350 มิลลิเมตร กว้าง 1,795
มิลลิเมตร สูง 1,565 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,640 มิลลิเมตร

ในตลาดโลก C-HR จะมีขุมพลังให้เลือก 3 แบบ ดังนี้

– เครื่องยนต์เบนซิน รหัส 8NR-FTS บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
1,197 ซีซี.กระบอกสูบ x ช่วงชัก 71.5 x 74.5 มิลลิเมตร กำลังอัด
10.0 : 1  ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด Direct Injection D4 พร้อม
ระบบแปรผันวาล์ว ถึง 2 รูปแบบในเครื่องยนต์เดียว มีครบทั้งแบบ
VVT-iw (intake) และ VVT-i (exhaust) พ่วง Turbocharger
116 แรงม้า (PS) ที่ 5,200 – 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 185
นิวตัน-เมตร (18.9 กก.-ม.) ที่ 1,500 – 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับ
เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และ เกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน CVT

– ขุมพลัง Hybrid ประกอบด้วย เครื่องยนต์ รหัส 2ZR-FXE เบนซิน
4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,798 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก 80.5 x 88.3
มิลลิเมตร กำลังอัด 13.04 : 1  จุดระเบิดแบบ Atkinson cycle พร้อม
ระบบแปรผันวาล์ว VVT-i 98 แรงม้า (PS) ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิด
142 นิวตัน-เมตร (14.5 กก.-ม.) ที่ 3,600 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับ
มอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous 72 แรงม้า (PS)
แรงบิด 163 นิวตัน-เมตร (16.6 กก.-ม.) พ่วงแบตเตอรี่แบบ Ni-MH
( Nickel metal Hydride ) จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน
CVT รวมพละกำลังจากทั้งเครื่องยนต์และ มอเตอร์ไฟฟ้าแล้ว ได้
กำลังสูงสุด 122 แรงม้า (PS)

– เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,987 ซีซี กระบอกสูบ
x ช่วงชัก 80.4 x 97.6 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.5 : 1 หัวฉีด EFI แบบ
Direct Injection (DIS) พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VVT Valvematic
ให้กำลังสูงสุด 146 แรงม้า (PS) ที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
190 นิวตัน-เมตร (19.35 กก-ม.) ที่ 3,900 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่าน
ล้อคู่หน้า ด้วย เกียร์อัตโนมัติ CVT ล็อคพูเล่ย์ 7 จังหวะ (เฉพาะ
เวอร์ชันอเมริกาเหนือเท่านั้น)

ส่วนความคืบหน้าของ C-HR เวอร์ชันไทย ยังคงเหมือนเดิม นั่นคือ
ตัวรถจะถูกขึ้นสายการประกอบในประเทศ และ จะเปิดตัวในบ้านเรา
ช่วงต้นปี 2018 แต่อาจจะมีการเปิดผ้าคลุมอวดโฉมโชว์ตัวกันก่อน
ในงาน Motor Expo ช่วงปลายปี 2017

สาเหตุที่ล่าช้ากว่าตลาดอื่นๆ เนื่องจาก

1. อันที่จริงแล้ว C-HR ไม่ได้อยู่ในแผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่
ของ Toyota ในประเทศไทย มาก่อน มันถูกแทรกเข้ามาในแผน
แบบเดียวกันกับ Minivan 7 ที่นั่ง อย่าง Toyota Wish ซึ่งเปิดตัว
ในบ้านเรา เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2003 ด้วยเหตุนี้ กำลังคนที่ต้อง
ใช้ในการพัฒนารถยนต์ของทั้ง Toyota และ TMAP-EM เอง จึง
ไม่เพียงพอรองรับ ปริมาณงานมหาศาลที่ Overload จึงส่งผลให้
การเปิดตัวต้องล่าช้าออกไปบ้าง และส่งผลกระทบต่อแผนเปิดตัว
All New Camry ใหม่ ด้วย

2. ต้องมีการปรับเปลี่ยนสายการผลิตใหม่พอสมควร เพราะ C-HR
ใช้พื้นตัวถังใหม่ TNGA ซึ่งไม่สามารถอ้างอิงกับรถยนต์ Toyota
รุ่นใดๆ ที่มีการผลิตอยู่ในบ้านเราตอนนี้ได้เลย

อย่างไรก็ตาม จนถึงวันปิดต้นฉบับ (31 ธันวาคม 2016) เรายังคง
ไมทราบแน่ชัดว่า สรุปแล้ว C-HR เวอร์ชันไทย จะวางเครื่องยนต์
แบบใดบ้าง จริงอยู่ว่า อาจมีขุมพลัง Hybrid มาให้เลือก กระนั้น
เครื่องยนต์เบนซิน แบบปกติ ก็ยังดูเป็นปริศนาอยู่ในตอนนี้ แม้ว่า
ตัวเลือกที่เหมาะสมมากที่สุดสำหรับบ้านเรา คือขุมพลัง 2.0 ลิตร
จากเวอร์ชันอเมริกาเหนือ ก็ตาม

Toyota_Camry_Teaser_NAIAS_2017

หลังจาก C-HR เปิดตัวไปแล้วในช่วงต้นปี ก็จะถึงคิวของพี่ใหญ่
All new Camry  Full ModelChange ทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน
และ Hybrid ที่จะใช้ตัวถังเดียวกับ เวอร์ชันอเมริกาเหนือ

นั่นหมายความว่า นับจากนี้ไป Camry จะถูกยุบรวม เหลือเพียง
ตัวถังเดียวแล้วไม่แยกเป็นเวอร์ชัน อเมริกา / ออสเตรเลีย กับ
เวอร์ชันญี่ปุ่น/ไทย และทั่วโลก อีกต่อไป

Camry ใหม่ เป็นรถยนต์คันที่ 3 ที่ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง TNGA
โดยเป็นแบบ TNGA-D สำหรับรถยนต์นั่งขับเคลื่อนล้อหน้าขนาด
ใหญ่ รูปลักษณ์ภายนอก ให้นึกถึงการนำ Camry ESport ในไทย
(หรือ Camry เวอร์ชันอเมริกา / ออสเตรเลีย) มาเพิ่มขนาดตัวถัง
ให้ใหญ่โตขึ้น ปรับรายละเอียดงานออกแบบให้โฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น
แต่มีเส้นสายตัวถังที่โค้งมน คล้ายคลึง Lexus ES รุ่นปัจจุบัน

ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวถึงรายละเอียดทางเทคนิคในเชิงลึก
เพราะยังเหลือเวลาอีกตั้ง 1 ปี กับอีก 3 เดือน กว่า Camry ใหม่ จะ
เปิดตัวในเมืองไทย ต้องรอให้ถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2018 เสียก่อน


(ภาพ โดย KNK ลิขสิทธิ์ Headlightmag.com)

ไม่เพียงเท่านั้น บรรดาวินรถตู้ทั่วประเทศไทยทั้งหลาย เตรียมเก็บ
ตังค์ไว้ตั้งแต่บัดนี้ เพราะรถตู้ยอดฮิตติดลมบนตลอดกาลในบ้านเรา
ทั้ง HiACE / Commuter จะได้ฤกษ์เปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน แบบ
Full ModelChange กันเสียที

ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของ HiACE / Commuter ใหม่ รุ่นที่ 6
คือ การย้ายตำแหน่งเครื่องยนต์ จากใต้เบาะนั่งคนขับและผู้โดยสาร
ด้านหน้า ไปไว้ที่บริเวณหน้ารถ ด้วยเหตุผลเพื่อเพิ่มความปลอดภัย
ขณะเกิดอุบัติเหตุมากขึ้น

นั่นจะทำให้ HiACE / Commuter รุ่นปัจจุบัน เป็นรุ่นสุดท้ายที่จะมี
หัวเก๋งแบบ ด้านหน้าสั้น 1 Box ซึ่งเป็นรูปแบบรถตู้ที่ชาวเอเซีย นิยม
มาตลอด 40 กว่าปี เพราะนับจากนี้ไป รถตู้รุ่นใหม่จะมีด้านหน้า ยื่น
ออกไป เหมือนรถตู้ยุโรป อย่าง Volkswagen Caravelle หรือแม้
กระทั่ง Toyota ProAce (พี่ชายที่ใหญ่กว่า HiACE, Toyota ร่วมมือ
กับ กลุ่ม PSA Peugeot / Citroen ผลิตขายเฉพาะในยุโรปเท่านั้น)

รายละเอียดด้านวิศวกรรม คาดว่า อาจใช้เฟรมแชสซีส์ ของ Hilux
Revo , Fortuner , Innova นำมาดัดแปลง เพื่อความเหมาะสมกับ
ลักษณะการใช้งานของตัวรถ ด้านขุมพลัง คาดว่าจะมีเครื่องยนต์
Diesel Turbo ตระกูล GD จาก 3 ศรี พี่น้องตระกูล IMV มาเป็นตัว
ชูโรงอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปข้อมูลในเชิงลึก

กำหนดการเปิดตัว ของ HiACE / Commuter ใหม่ จะอยู่ในช่วง
ครึ่งหลังของปี 2018 ไปแล้ว

ด้านพี่ชายร่วมตระกูล IMV อย่าง Fortuner ก็จะยังคงมีรุ่นย่อย
พิเศษกระตุ้นตลาดในปี 2017 ไปเรื่อยๆ ตามความคาดหมาย ยัง
ไม่น่าตื่นเต้นมากนัก กว่าจะปรับโฉมใหญ่ Minorchange อีกที
อาจต้องรอถึงกลางๆ ปี 2018 หรือเกินกว่านั้น

ที่แน่ๆ ใครที่เคยถามถึง Fortuner Hybrid ว่าจะมีการเปิดตัว
ในบ้านเราหรือไม่ คำตอบก็คือ หลังจากการวิจัยตลาดในช่วง
3 ปีที่ผ่านมา พบว่า ลูกค้าชาวไทยส่วนใหญ่ ยังคงมองเห็น
คุณประโยชน์ของเครื่องยนต์ Diesel Turbo เป็นหลักมากกว่า
ทั้งด้านความประหยัดน้ำมัน และพละกำลังในช่วงรอบต่ำ แถม
ยังมีความทนทาน และเหมาะกับสภาพถนนรวมทั้งการใช้งาน
ในประเทศไทยมากกว่า ดังนั้น โอกาสที่เราจะเห็น Fortuner
วางเครื่องยนต์ เบนซิน Hybrid จึงเป็นไปได้ยาก แม้เราจะรู้
อยู่เต็มอกว่า Toyota อยากทำมากๆ ก็ตามเถอะ

จากนั้น ในปี 2019 Toyota จะยังมีไม้เด็ด ออกมาฟาดฟันกับ
คู่แข่งในตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ทั้งการเปิดตัว Corolla
Altis รุ่นเปลี่ยนโฉม Full ModelChange ที่จะถูกสร้างขึ้น
บนพื้นตัวภัง TNGA-C เช่นเดียวกับ C-HR และ Prius ใหม่
เพียงแต่ว่า ณ ตอนนี้ ยังไม่มีรายละเอียดของตัวรถแน่ชัด

กระนั้น Toyota จะยังคงแยกการทำตลาด Corolla เวอร์ชัน
ตลาดโลก รวมทั้งเมืองไทย ออกจาก Corolla Axio Sedan
กับ Corolla Fielder Wagon เวอร์ชันญี่ปุ่น เหมือนเช่นทั้ง
3 รุ่นที่ผ่านมา อย่างแน่นอน

อีกรุ่นหนึ่งที่คาดว่าจะถูกเปิดตัวในปี 2019 นั่นคือ Vios ใหม่
ที่จะต้องเปลี่ยนโฉมทั้งคันแบบ Full ModelChange กระนั้น
มีกระแสข่าวลอยมาว่า Toyota คิดจะเล่นมุขเดียวกับ Honda
นั่นคือ การนำ Vios ใหม่ ปรับลดขนาดเครื่องยนต์ แล้วส่งเข้า
ไปเป็นหนึ่งใน ECO Car Phase 2

ความชัดเจนในเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรนั้น ยังไม่มีใครให้คำตอบ
ได้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ Vios รุ่นต่อไป ต้องเปิดตัว ในปี 2019

Lexus_LS_Concept_2015

ข้ามมาดูฝั่ง Lexus กันบ้าง แผนกรถยนต์หรู ของ Toyota ในปีนี้ มีเพียง
รุ่นเดียวที่จะเปิดตัวในตลาดโลก ถือเป็นรุ่นสำคัญมากที่สุด เพราะนี่คือ
การเปลี่ยนโฉมครั้งใหม่ ในรอบ 12 ปี ของ Lexus LS สุดยอด พาหนะ
Saloon ระดับ Flagship รุ่นใหญ่และแพงที่สุดในตระกูล Lexus

นับตั้งแต่ LS รุ่นแรก เปิดตัวครั้งแรกในโลกพร้อมกับแบรนด์ Lexus ณ
งาน NAIAS (Detriot Auto Show) เดือนมกราคม 1989 หรือเมื่อช่วง
28 ปีที่แล้ว LS ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถยนต์ระดับหรู ทั้งในด้าน
คุณภาพการผลิต การขับขี่ สมรรถนะ การเก็บเสียง และอื่นๆอีกมากมาย
จนสร้างความประหลาดใจให้กับผูัผลิตรถยนต์ระดับ Premium ในยุโรป
เป็นอันมาก Toyota ส่ง Lexus LS ไปเปิดตัวรวมทั้งหมด 90 ประเทศ
ทั่วโลก และเป็นที่ยอมรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี รวมทั้งในเมืองไทย

มาถึงวันนี้ LS 5th Generation จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง TNGA-L
(Platform สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลังขนาดใหญ่) แบบเดียวกับ
Lexus LC500 Coupe ใหม่ แต่ถูกขยายขนาดระยะฐานล้อ ให้ยาวขึ้น

LS ใหม่จะมาพร้อมกับ รูปลักษณ์ภายนอก และภายใน ที่ถูกปรับปรุง
ต่อเนื่องจากรถยนต์ต้นแบบ Lexus LF-FC Fuel Cell Concept ซึ่ง
เผยโฉมครั้งแรก ในงาน Tokyo Motor Show (28 ตุลาคม 2015)

แม้ว่า ณ วันปิดต้นฉบับ (31 ธันวาคม 2016) Toyota ‘ Lexus ยังไม่ยอม
เปิดเผยรายละเอียดใดๆของ LS ใหม่ทั้งสิ้น ถึงกระนั้น พวกเขายืนยันว่า
จุดเด่นของ LS ใหม่ จะอยู่ที่ สมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยมยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
พื้นที่ห้องโดยสารโอ่โถงยิ่งกว่าเดิม หรูหรา และเต็มเปี่ยมด้วยสารพัด
เทคโนโลยีที่อัดแน่นมาเต็มคันรถเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ที่เหนือทุก
ความคาดหวังจากรถยนต์ระดับ Flagship Sedan ทั้งปวง!

กำหนดการเปิดตัว เวอร์ชันจำหน่ายจริง จะมีขึ้นครั้งแรกในงาน NAIAS
(Detroit Auto Show) วันที่ 9 มกราคม 2017 จากนั้น เมืองไทย จะอยู่
ในคิวต้นๆ ของประเทศที่ได้สิทธิ์ในการเปิดตัว LS ใหม่ ก่อนชาติอื่นใด
ในโลก คาดว่า อาจเป็นช่วงกลางปี 2017

——————————————————-

Volvo_Platform

VOLVO
5 Years 5 Models!
2017 : XC60
2018 : XC40
2019 : All New S40 / V40
2020 : All New S60 / V60

หลังการเปิดตัว Volvo XC90 ในเมืองไทย เมื่อช่วงปลายปี 2015
และตามด้วย S90 Saloon ใหม่ ในงาน Motor Expo 2016 ทำให้
เราได้เห็นว่า Volvo ภายใต้เงินลงทุนจากกลุ่ม Geely ของจีน นั้น
กำลังจะสยายปีกไปทั่วโลก ครั้งใหญ่ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

การไปเยือนจีนของผู้เขียน ตามคำเชิญของ Volvo เมื่อช่วงเดือน
พฤศจิกายน 2016 ที่ผ่านมา ทำให้ได้ประจักษ์แก่สายตาแล้วว่า
Volvo กำลังเตรียม เปิดโรงงานใหม่ ในจีน รวมทั้งขยายกำลังการ
ผลิต รวมถึง 3 แห่ง ด้วยกำลังการผลิตมากกว่า 4 แสน คัน!!

นับจากนี้ จนถึงปี 2020 Volvo มีแผนเตรียมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ
มากถึง 5 รุ่น ทั้งในต่างประเทศ และเมืองไทย ทุกรุ่นจะถูกสร้างขึ้น
ภายใต้โครงสร้างวิศวกรรมที่แตกต่างกัน 2 Platform

– SPA (Scalable Product Architecture) เป็น Platform ขับเคลื่อน
ล้อหน้า และ 4 ล้อ แบบ AWD สำหรับ รถยนต์นั่งขนาดกลางและใหญ่
อย่าง ตระกูล 60 กับ 90

– CMA (Compact Modular Architecture) เป็น Platform ขับเคลื่อน
ล้อหน้า และ 4 ล้อ แบบ AWD สำหรับรถยนต์ขนาดเล็ก ตระกูล 40 ซึ่ง
ถูกสร้างขึ้นโดย Volvo ภายใต้การลงทุนร่วมกับ Geely ของจีน โดยใน
อนาคต Geely รุ่นใหม่ๆ จะใช้พื้นตัวถัง CMA ของ Volvo เฉพาะในจุด
ที่เป็นงานวิศวกรรมหลัก นั่นหมายความว่า Volvo และ Geely รุ่นเล็ก
ที่ใช้ Platform CMA จะมีขนาดระยะฐานล้อ ระบบช่วงล่างหน้า – หลัง
และจุด Hard points อื่นๆ ร่วมกัน ทว่า Volvo จะไม่ยอมแชร์อุปกรณ์
ระบบไฟฟ้าร่วมกับ Geely นอกจากนี้ งานออกแบบของทั้ง 2 แบรนด์
จะต้องแตกต่างกัน นั่นหมายรวมถึงว่า รถยนต์ของ Geely จะไม่ถูกแปะ
ตรา Volvo เด็ดขาด

ขุมพลังที่ Volvo ออกแบบให้สามารถติดตั้งลงบน CMA Platform ได้
มี 4 แบบ ดังนี้

– ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเครื่องยนต์สันดาป ตามปกติ
– ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเครื่องยนต์ Plug-in Hybrid (เรียกว่า Twin Engine)
– ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบกลไก Mechanical AWD ด้วยเครื่องยนต์ ปกติ
– มอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ BEV (Battery Electric Vehicle)

สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ ของ Volvo นั้น จะเริ่มจาก XC60 ใหม่ Crossover
SUV รุ่นขายดีที่สุด และทำรายได้ให้ Volvo อย่างมหาศาล ตลอด 8 ปี
ในอายุตลาดจะถูกพัฒนาขึ้น บนพื้นตัวถัง SPA แต่ถูกนำมาหั่นฐานล้อ
ให้สั้นลง

เครื่องยนต์ จะมีให้เลือกทั้งแบบ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร
Turbo 2 ระดับความแรง ทั้ง รุ่น D4 187 แรงม้า (PS) และ D5 232 แรงม้า
(PS) นอกจากนี้ จะมีรุ่น T8 ที่มาพร้อมขุมพลัง Plug-in Hybrid มุขเดียวกับ
XC90 โดยจะมีกำลังสูงสุดถึง 400 แรงม้า (PS)

กำหนดการเปิดตัว จะเกิดขึ้นภายในไม่เกินครึ่งแรกของปี 2017 แต่อาจมาถึง
เมืองไทยเร็วสุดคือ ช่วงปลายปี 2017 – ต้นปี 2018

Volvo_XC40_Concept_2017

ต่อมา ในปี 2018 และ 2019 Volvo เตรียมจะเผยโฉมรถยนต์รุ่นใหม่
ที่สร้งขึ้นบนพื้นตัวถัง CMA กันบ้าง ล่าสุด พวกเขาก็ปล่อยภาพถ่าย
Computer Graphic ของรถยนต์ต้นแบบ 2 คัน ที่จะเผยให้เห็นถึง
แนวทางของ Volvo ตระกูลเล็ก ต่อไปในอนาคต

คันแรกคือ 40.1 ซึ่งคาดว่าจะเป็นต้นแบบของ XC40 B-Segment
Crossover SUV ซึ่งเป็นรถคันแรกของ Volvo ที่จะถูกสร้างขึ้นเพื่อ
ต่อกรกับ Audi Q3, BMW X1, Mercedes-Benz GLA, และ Nissan
Infiniti QX30

ทางเลือกขุมพลัง ในตอนนี้ ยังไม่มีการกำหนดแน่ชัด แต่คาดว่าจะมี
เครื่องยนต์ Diesel Turbo ตามรหัสความแรง ทั้ง D3 D4 D5 และ
อาจมีเครื่องยนต์เบนซิน Hybrid ในรหัส T5 โผล่มาด้วย

XC40 จะยังคงมีฐานผลิตอยู่ที่โรงงาน Ghent ใน Belgium รวมทั้งที่จีน
แต่จะมีกำหนดเปิดตัวสู่สายตาชาวโลกได้ ในปี 2018 และคาดว่าน่าจะ
ส่งมาเปิดตัวในเมืองไทย ปลายปี 2018 ถึงต้นปี 2019

Volvo_S40_Concept_2018

คันถัดมาเป็น 40.2 ซึ่งมาในรูปลักษณ์ Premium Compact Sedan
4 ประตู และคาดกันว่า จะเป็นต้นแบบให้กับ Volvo S40 และ V40
โฉมถัดไป สร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง CMA เช่นเดียวกัน กับ XC40 นั่น
หมายความว่า โอกาสที่ ทั้ง XC40 และ S40 / V40 จะมีขุมพลัง
ให้เลือก เหมือนๆกัน นั้น เป็นไปได้สูงมากๆ

กำหนดการออกสู่ตลาดของ S40 / V40 ใหม่ คาดว่าจะอยู่ในช่วง
ปี 2019 และ อาจจะเข้ามาสู่ตลาดเมืองไทย ราวๆ ปี 2020 เป็น
อย่างช้าที่สุด

ส่วน S60 / V60 นั้น แม้ว่าสื่อต่างประเทศจะไม่ค่อยพูดถึงมากนัก
แต่ก็ไม่ต้องตกใจ เพราะ เชื่อแน่ว่า Volvo เอง ก็คงไม่ปล่อยให้
แบรนด์ตัวเอง มีแค่รถยนต์ SUV แต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่คิด
เหลียวแล รถยนต์ Premium MidSize รุ่นที่เคยทำยอดขายให้
ในอดีตไปแน่ๆ เพียงแต่ว่า กว่าที่ Volvo จะพร้อมเปิดตัวรุ่นใหม่
ให้กับ S60 / V60 เราอาจต้องรอกันจนรากงอกไปถึงปี 2020

——————————————————-

Volkswagen_Amarok_Design_Sketch

VOLKSWAGEN
2018 – 2019 :
Waiting for “Next Amarok Made in Thailand” Launch?

หลายปีผ่านไป คำถามที่ว่า “เมื่อไหร่ Volkswagen เยอรมันจะเข้ามา
เปิดตลาดบ้านเราเองเสียที?” ก็เริ่มจางหายไปเรื่อยๆ เชื่อแน่ว่า ทุกคน
คงรอกันจนเบื่อหน่าย เหมือนเป็นการรออย่างไร้จุดหมาย

ก่อนหน้านี้ เดิมที Volkswagen Group เคยมีความชัดเจนว่าจะลงทุน
ก่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์สำหรับขึ้นสายการผลิต รถยนต์ประหยัด
พลังงานในโครงการ ECO Car Phase 2 และ Volkswagen รุ่นอื่นๆ
(ซึ่งว่ากันว่าอาจจะผลิตรถกระบะ Amarok รุ่นต่อไปเพื่อเป็นฐานการ
ส่งออก) ภายใต้การสนับสนุนการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการ
ส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มูลค่า 37,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 27
มีนาคม 2015

ต่อมา สำนักข่าว Nikkei ได้ระบุเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2015 ว่าโครงการ
ลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ Volkswagen ในไทย และ แผนการ
ผลิตรถยนต์ รุ่นอื่น ๆ อาจต้องมีการทบทวนโครงการใหม่หรืออาจยกเลิก
แผนนี้ทิ้งตามนโยบาย Matthias Müller CEO ในขณะนั้น ที่ต้องการ
ผ่าตัด Volkswagen ครั้งยิ่งใหญ่ จากผลกระทบของเหตุการณ์ที่ VW
โกงค่ามลพิษ ครั้งมโหฬาร ในดือนตุลาคม 2015 นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะทำให้ Volkswagen ต้องยอม
เปลี่ยนแผน และหาเงินมาจ่ายค่าปรับ รวมทั้งแก้ปัญหาต่างๆที่ตนก่อไว้
มากมายมหาศาล จนถึงวันนี้ 1 ปีผ่านไป ก็ยังเคลียร์ไม่จบสักที กระนั้น
สำหรับแผนการเข้ามาเปิดตลาดในเมืองไทยเอง เราเชื่อว่า พวกเขายังคง
เคลื่อนไหวอยู่

สิ่งเดียวที่เราพอจะยืนยันได้คือ Volkswagen เคยเข้ามาสำรวจวิจัยตลาด
ถึงลักษณะความต้องการของผู้บริโภคในประเทศไทยมาแล้ว หลายครั้ง

จากข้อมูลที่เรามีอยู่ มีความเป็นไปได้สูงมากว่า เมื่อใดที่ รถกระบะ Amarok
2nd Generation พัฒนาเสร็จสิ้นลง โอกาสที่ VW จะมาตั้งฐานการผลิตใน
ประเทศไทย อาจเป็นไปได้อีกครั้ง

ก่อนหน้านี้ Amarok รุ่นปัจจุบัน เคยถูกเปิดตัวในบ้านเรา โดยผู้จำหน่ายราย
ดั้งเดิม อย่าง ไทยยานยนตร์ ณ งาน Motor Expo 2012 ตอนนั้น Amarok
เวอร์ชันไทย วางขุมพลัง Diesel 2.0 ลิตร TDi 177 แรงม้า (PS) พร้อมเกียร์
อัตโนมัติ 8 จังหวะ จาก ZF ทว่า การนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคันมาจากโรงงานใน
ต่างประเทศ ทำให้ต้องเสียภาษีเต็มอัตราจนส่งผลให้ค่าตัวของมัน พุ่งสูง
มากถึง 1.8 ล้านบาท แน่นอนว่า มีลูกค้า ไม่ถึง 20 ราย ที่ยอมจ่ายเงินเพื่อ
ความแปลกใหม่ไม่เหมือนใครเขา

ถึงวันนี้ แม้ว่า Amarok รุ่นปี 2017 จะเพิ่งเผยโฉมในตลาดโลก เมื่อช่วง
เดือนกันยายน 2016 และยังดูอีกห่างไกล กว่าที่ Amarok รุ่นถัดไป จะ
พร้อมเปิดตัว กระนั้น เราคาดการณ์ว่า เมื่อการพัฒนาเสร็จสิ้นลง เราอาจ
จะได้เห็น Amarok Made in Thailand กันก็เป็นได้ แต่นั่นคงต้องรอกัน
จนถึงปี 2018 – 2019 เลยทีเดียว

Previous Post

N2408077_แต งต วขอทานไปงานร บปร ญญาน องสาว_part2

Next Post

N2408071_แต งต วจน โดนไล ไปน งนอกร าน_part2

Next Post
N2408071_แต งต วจน โดนไล ไปน งนอกร าน_part2

N2408071_แต งต วจน โดนไล ไปน งนอกร าน_part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N2512034 กน องนะไม ใช ละครส นต องมนต part2
  • N2512033 เอาค ละครส นต องมนต part2
  • N2512049 ทำต วแบบน อย าเร ยกต วเองว าผ ชาย ละครส part2
  • N2512055 าวกล องสะท อนใจคน (ละครส น) part2
  • N2512039 คนม ปม ไม จำเป นต องอ อนแอ หน งส part2

Recent Comments

No comments to show.

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.