• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N2608081_าไม ใส ใจ งไงครอบคร วก_part2

admin79 by admin79
August 21, 2025
in Uncategorized
0
N2608081_าไม ใส ใจ งไงครอบคร วก_part2

ความเคลื่อนไหวสำคัญของ Cavalino Motor ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถสปอร์ตพันธ์ม้าลำพองจากเมือง Maranello ประเทศ Italy เพียงอย่างเดียวในปีที่ผ่านมา นั่นคือ การจัดงานเปิดตัว รถสปอร์ตเปิดประทุนหลังคาแข็งพับได้ Ferrari Portofino อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เมื่อ 7 มิถุนายน 2018 ที่ผ่านมา ตั้งราคาไว้ที่ 20.9 ล้านบาท

ทว่า ความเคลื่อนไหวในต่างประเทศของ Ferrari นั้น น่าจับตามองให้ดี เพราะหลังจากการเสียชีวิตของ Sergio Marchionne ประธานใหญ่ FCA Group (Fiat Chrysler หนึ่งในผู้ถือหุ้นสำคัญของ Ferrari) ค่ายม้าป่าผยองใช้เวลาไม่นานในการทบทวนแผนธุรกิจใหม่และนำเสนอ Five-year plan ต่อคณะกรรมการและผู้ถือหุ้นเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยกลยุทธ์การตลาดจะเริ่มจากการแบกเซกเมนต์รถในค่ายตัวเองออกอย่างชัดเจน เป็น Sports (เช่น 488GTB, 812 Superfast), Gran Turismo (เช่น GTC4 Lusso, Portofino), Special Series (เช่น 488 Pista) และ Icona หรือ Icon (รถพิเศษจับตลาดเศรษฐีพันล้าน)

นอกจากนี้ CEO คนใหม่ Louis Camilleri ยังบอกอีกว่าภายในปี 2022 รถใหม่ของ Ferrari ที่ขายนั้นจะมี 60% ที่เป็นรถไฮบริด และอีกภายใน 5 ปีนับจากวันนี้ Ferrari จะเปิดตัวรถรุ่นใหม่ทั้งหมด 15 รุ่นด้วยกัน พร้อมทั้งเผยว่าจะมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Platform) ใหม่สำหรับ Ferrari ในอนาคต 2 แบบ แบบแรกสำหรับรถเครื่องวางกลาง และแบบที่สองสำหรับรถเครื่องวางหน้า ทั้งสองแบบสามารถปรับขนาดให้รองรับรถตัวถังต่างๆกัน และล้วนรองรับการทำเป็นรถไฮบริด

หลังจากเปิดตัว 488 Pista และ Pista Spider ไปในปี 2018 ก็จะเป็นการสั่งลาโมเดล “488” และเตรียมหลีกทางให้กับรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางลำรุ่นใหม่ รหัสโครงการพัฒนา F173 ใช้ขุมพลัง V8 DOHC 32 วาล์ว 3.9 ลิตร Twin Turbo ที่พัฒนาต่อจากเครื่องของ 488 Pista ให้กำลังสูงสุด 723 แรงม้า (HP) เพิ่มจาก 488GTB เดิมที่มีอยู่ 661 แรงม้า (HP) และตัวเลขเหล่านี้ยังไม่รวมพลังที่จะได้รับจากมอเตอร์ไฟฟ้า ขึ้นอยู่กับว่า Ferrari จะนำมาใช้กับรถรุ่นนี้หรือไม่ เพราะก่อนสิ้นชีพ Sergio Marchionne กล่าวไว้ว่า Ferrari จะมีเครื่อง V8 Turbo Hybrid มาในปี 2019 จากนั้นจะตามด้วย รุ่นเปลี่ยนโฉมของ GTC4 Lusso ในปี 2020

นอกจาก F173 แล้ว Ferrari ยังได้นำโครงสร้างพื้นฐานเดียวกันนี้ ไปพัฒนาต่อเป็น Super Car ขนาดเล็ก โดยขุดเอาแบรนด์ ” Dino ” ซึ่งตั้งตามชื่อลูกชายของ Enzo Ferrari กลับมาทำตลาดใหม่อีกครั้ง มันเป็นรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางลำตัว Mid-Ship Engine ที่มีขนาดตัวถังและระยะฐานล้อสั้นกว่า F173 ใช้เครื่องยนต์ V6 (วี-หก พิมพ์ไม่ผิด) ขนาด 2.9 ลิตร Twin Turbo พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้า ที่น่าจะสร้างพละกำลังได้ 610 แรงม้า (HP) ทำตลาดอยู่ในกลุ่มใกล้เคียงกับ Portofino และ มีราคาถูกกว่า F173

ล่าสุด Ferrari ยังไม่ละทิ้งความคิดที่จะสร้างรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางลำตัว รุ่นเล็กกว่า F173 แต่ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าอย่างไรก็อาจต้องรอไปถึงปี 2023 กว่าที่จะผลิตและส่งมอบให้ลูกค้าได้ ทั้งนี้เราอาจได้เห็นหน้าตาของรถเวอร์ชั่นผลิตจริงกันก่อนภายในปลายปี 2022


(Image Source : www.TruckAndSUV.com)

ส่วน SUV คันแรกของ Ferrari ที่พวกเขายืนยันมาตั้งแต่ปี 2018 ว่าจะสร้างออกมาขายอย่างแน่นอนนั้น ล่าสุด Ferrari ออกมาประกาศแล้วว่า SUV รุ่นแรกสุดนี้ จะมีชื่อเรียกว่า “Ferraai Purosangue” และเลื่อนกำหนดเปิดตัวจากปี 2020 เป็นปี 2021 โดยเป็นรถที่สร้างบนแพลทฟอร์มใหม่ล่าสุดที่ทำมาสำหรับรถเครื่องวางหน้า ติดตั้งเกียร์เอาไว้ท้ายรถและขับเคลื่อนสี่ล้อเหมือนกับ GTC4 Lusso  ทั้งนี้ Ferrari ไม่ยอมใช้คำว่า SUV กับรถของตัวเอง เพราะคิดเอาเองว่าฟังแล้วไม่เข้ากัน เลยให้สื่อมวลชนเรียกเสียใหม่ว่า FUV – Ferrari Utility Vehicle (ห้ะ!?)

Purosangue จะใช้ตัวถังหลักอะลูมิเนียมเพื่อเซฟน้ำหนักตัว ซึ่งจะต้องเตรียมไว้รับกับชุดขับเคลื่อนและขุมพลังแบบไฮบริด ซึ่งอาจเป็นเวอร์ชั่นและพิเศษของขุมพลัง V6 2.9 ลิตรทวินเทอร์โบที่ Ferrari ซุ่มพัฒนาอยู่ หรือเป็นเครื่อง V8 3.9 ลิตรทวินเทอร์โบ และยังสามารถเรียกกำลังเสริมจากมอเตอร์ได้อีก 161 แรงม้า ทำให้ Purosangue ไฮบริดอาจมีพลังได้เกิน 700 แรงม้า Ferrari เคลมว่า มันจะต้องแรงและเร็วกว่ารถรุ่นอื่นในเซกเมนต์รวมถึง Lamborghini Urus และทำความเร็วทะลุ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม Ferrari พูดในเชิงปฏิเสธแบบไม่เต็มปากนักว่า การที่ Purosangue ใช้โครงสร้างพื้นฐานใหม่ร่วมกับรถที่จะมาแทน GTC4 Lusso ไม่ได้หมายความว่ามันจะได้เครื่องยนต์ V12 มาใช้ บ่งชี้ว่าแท้จริงแล้ว Ferrari ต้องการเน้นเครื่อง V8 หรือ V6 ซึ่งจะสามารถทำให้ขยายพื้นที่สำหรับห้องโดยสารได้มาก เป็นสิ่งที่เหมาะกับจุดประสงค์ของการเป็น SUV มากกว่า

สำหรับคนที่ยังหลงใหลเสน่ห์ของเครื่องยนต์ V12 แบบไร้เทอร์โบ Ferrari ก็จะยังคงผลิตต่อไป แต่มีมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวช่วย โดยยังไม่ได้คอนเฟิร์มว่าจะเป็น Mild-hybrid หรือ Plug-in อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยเหตุผลจากความเข้มงวดด้านมลพิษ ของสหภาพยุโรป

____________________________

FORD

  • 2019 : Ranger & Everest Special Edition
  • 2020 : Ranger & Everest Last Minorchange
  • 2021 : Ranger & Everest Special Edition
  • 2022 : Next Generation Ranger / Everest (๋with new Partner “VW”!!)

ตลอดปี 2018 ที่ผ่านมา Ford ทุ่มการทำตลาดอย่างหนักหน่วง ในทุกช่องทาง รวมทั้งกระหน่ำเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ลงสู่ตลาด มากถึง 4 รุ่นรวด ในปีเดียว เริ่มจากการเปิดตัว รถกระบะรุ่นพิเศษสมรรถนะโหดพอๆกับราคาอย่าง Ford Ranger Raptor ออกสู่ตลาด กันเสียที เมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2018 หลังจากปล่อยให้รอมานาน Raptor ได้สร้างความฮือฮา ในฐานะรถกระบะที่แพงระยับที่สุดในตลาด แต่ถึงกระนั้น ค่าตัว 1,699,000 บาท ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับกลุ่มลูกค้าระดับเศรษฐีชาวไทย ที่พากันเหมารถรุ่นปี 2018 ไปจนหมดโควต้าสำหรับเมืองไทย ทั้ง 2,000 คัน จนหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว! กลายเป็นกรณีศึกษาด้านการตลาดเรื่องใหม่ สำหรับวงการรถยนต์เมืองไทยไปเรียบร้อยแล้ว

จากนั้น รุ่นปรับโฉม Minorchange ของ Ford Everest เมื่อ 10 กรกฎาคม 2018 รถกระบะ Ranger Minorchange เมื่อ 20 กรกฎาคม 2018

ไม่เพียงเท่านั้น ช่วงปลายปี Ford ยังสร้างความฮือฮา ด้วยการนำเข้า รถสปอร์ตระดับตำนานอย่าง Ford Mustang กลับมาเปิดตัวในเมืองไทยอีกครั้ง เมื่อ 4 ตุลาคม 2018 หลังจากหายหน้าหายตาไปเกินกว่า 30 – 40 ปี ทั้งหมดนี้ ช่วยสร้างยอดขาย ให้ Ford จนทำให้ชื่อเสียงของแบรนด์อเมริกันอันดับ 2 กลับขึ้นมาครองใจผู้ใช้รถชาวไทยได้อีกครั้ง

กระนั้น ด้านปัญหาค้างเก่า จากปัญหาเกียร์ Dual Clutch Power Shift ของ Ford Fiesta ,Focus และ EcoSport จนลูกค้าจำนวนมาก ยังเข็ดขยาดกับบริการหลังการขายจากช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา  ในที่สุด ศาลคุ้มครองผู้บริโภค มีคำสั่งให้ Ford ชดใช้ลูกค้า 308 ราย รวมมูลค่า 23 ล้านบาท แต่ ศาลก็ยังยกฟ้องลูกค้า 12 ราย ที่มีการดัดแปลงสภาพรถไปก่อนหน้านี้ คำตัดสินมีขึ้นเมื่อ 21 กันยายน 2018 ที่ผ่านมา และกลายเป็นคดีประวัติศาสตร์อีกเคสหนึ่งของเมืองไทย

สำหรับปี 2019 Ford ยืนยันแล้วว่า พวกเขาจะไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่ถอดด้าม ไม่มีรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน Full ModelChange หรือรุ่นปรับโฉม Minorchange ใดๆ ทั้งสิ้น อาจมีเพียงแค่ เวอร์ชันพิเศษของ รถกระบะ Ranger หรือ SUV รุ่นปรับอุปกรณ์ประจำปีของ SUV/PPV รุ่น Everest รวมทั้ง Ford Mustang ล็อตใหม่ ที่จะเข้ามาทำตลาดต่อเนื่องจากล็อตแรกซึ่งขายหมดไปแล้ว ได้ยินลอยๆว่า คราวนี้จะมีชุดเครื่องเสียงระดับ Premium Grade ติดตั้งมาให้จากโรงงาน Flatrock มลรัฐ Michigan กันเลยทีเดียว เพียงแต่ว่า ลูกค้าเองก็คงต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกหลายหมื่นบาท ตามธรรมเนียม

ปี 2020 คาดว่าอาจจะมีการปรับโฉม ให้กับ Ranger และ Everest กันอีกครั้ง ก่อนที่พวกเขาจะค่อยๆเริ่มแผนการเปิดตัวรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน Full ModelChange ให้กับ สองศรีพี่น้อง คู่นี้ ให้เราได้เห็นกันในช่วงปี 2022

ทว่า การเปลี่ยนโฉมครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องไม่ธรรมดา เพราะหลังจากที่เจรจากันมาพักใหญ่ ในที่สุด Ford ก็หันกลับไปจับมือกับกิ๊กเก่าอย่าง Volkswagen ซึ่งเคยร่วมงานกันมาตั้งแต่สมัยพัฒนารถตู้ Minivan รุ่นยอดนิยม 3 ฝาแฝด อย่าง Volkswagen Sharan / Seat Alhambra และ Ford Galaxy เมื่อช่วงปลายทศวรรษ 90 แล้ว

Ford และ Volkswagen เพิ่งร่วมกันออกแถลงการณ์ ประกาศความร่วมมือในการลงนามข้อตกลงอย่างเป็นทางการ ในการพัฒนารถกระบะร่วมกัน เมื่อ 16 มกราคม 2019 ที่งาน Detroit Auto Show ในเมือง Detroit มลรัฐ Michigan, USA (ดีทรอยท์ สหรัฐอเมริกา) Volkswagen Group และ Ford Motor Companyประกาศความร่วมมือในการลงนามข้อตกลงอย่างเป็นทางการ ในการพัฒนารถกระบะร่วมกัน

Herbert Diess ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Volkswagen และ Jim Hackett ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Ford Motor Company ยืนยันว่า บริษัททั้ง 2 มีแผนพัฒนารถตู้เชิงพาณิชย์ และ รถกระบะขนาดกลางเพื่อจำหน่ายในตลาดทั่วโลกในปี 2022

นั่นหมายความว่า…ทั้งคู่ตกลงกันอย่างเป็นทางการแล้ว ว่า Volkswagen Amarok รุ่นต่อไป จะถูกพัฒนาขึ้น ในลักษณะ ฝาแฝดร่วมแชสซีส์ และใช้โครงสร้างวิศวกรรมพื้นฐานร่วมกับ Ford Ranger รุ่นต่อไป แต่จะมีรูปทรงเส้นสาย และงานออกแบบ ที่แตกต่างกัน เพื่อให้มีบุคลิกเป็นไปตามแต่ละแบรนด์

นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้สูงมาก ที่ Volkswagen จะย้ายฐานการผลิตรถกระบะ Amarok รุ่นต่อไปของตน มาขึ้นสายการผลิตเดียวกับ Ford Ranger ที่โรงงาน Ford Thailand Manufacturing (FTM) จังหวัดระยอง ด้วยเหตุผลจาก สิทธิประโยชน์ด้านภาษี เท่ากับว่า Volkswagen ก็ไม่ต้องลงทุนตั้งโรงงานใหม่เอง รวมทั้ง ไม่ต้องมองหาโรงงานประกอบรถยนต์แบรนด์อื่น มาช่วยรับจ้างผลิต เหมือนอย่างที่พวกเขาเคยซุ่มทำการศึกษาในประเทศไทย เงียบๆ มาก่อนหน้านี้

ตอนนี้ ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่า Ranger และ Amarok รุ่นต่อไป จะมีหน้าตาอย่างไร เครื่องยนต์อะไร ราคาเท่าไหร่ เพราะกว่าที่ทั้ง 2 แบรนด์ จะเริ่มได้ข้อสรุป ก็คงต้องรอไปถึงปี 2021 และกว่าที่ทั้งคู่จะเข็นรถกระบะรุ่นใหม่ของตนออกมาขายได้จริงๆ ก็คงต้องรอกันถึงปี 2022

____________________________

HONDA

  • 2019 : Civic 5 Door “ BLUE ” with ” SENSING ” / ACCORD Full Model Change / CITY Full Model Change (1.0 Turbo)
  • 2020 : JAZZ Full Model Change (1.0 Turbo) / CITY Hybrid / CR-V Minorchange
  • 2021 : JAZZ Hybrid / New Beginner Crossover SUV / HR-V Full Model Change
  • 2022 : New CIVIC

2018 ถือเป็นปีที่ Honda ทิ้งช่วง ว่างเว้นจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่แบบแกะกล่องไปบ้าง เพื่อจะใช้เวลาทั้งหมด ทำยอดขายให้สูงสุด เพื่อหวังจะครองแชมป์ตลาดรถยนต์นั่งในเมืองไทย ต่อเนื่องอีกสมัย ดังนั้น ความเคลื่อนไหวหลักๆของ Honda ก็มีเพียงแค่ การขึ้นบ้านใหม่ ย้ายสำนักงานใหญ่ จากโกดังดัดแปลง ปากซอย อุดมสุข (สุขุมวิท 103) ไปอยู่บนอาคาร Phiraj Tower ที่ BITEC สี่แยกบางนา และเริ่มปรับตัวตามยุคสมัย โดยเริ่มให้พนักงานบางแผนกที่ไม่จำเป็นต้องนั่งประจำออฟฟิศ ไม่ต้องมีโต๊ะทำงานของตนเอง แถมยังสามารถนั่งปั่นงานจากบ้านหรือที่แห่งใดในโลกก็ได้!

นอกนั้น ก็มีเพียงแค่ การปล่อย Honda Civic RED 5 ประตู ในงาน ฺBangkok Motor Show ตามด้วยการปรับโฉม Minorchange ครั้งใหญ่ให้กับ Honda HR-V ช่วงเดือนสิงหาคม 2018 ก่อนงาน BIG Motor Sales และล่าสุด สร้างเรียกเสียงมหาชน ในงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2018 ทั้งการปรับทัพ Honda CR-V ด้วยการเพิ่มรุ่น 5 ที่นั่ง เสริมเข้ามาจากเดิมที่มีแต่แบบ 7 ที่นั่ง รวมทั้งปรับโฉมให้กับ Honda Civic Minorchange โดยตัดสีแดงออก แล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินแทน พร้อมกับเพิ่ม ระบบตัวช่วยความปลอดภัย Honda SENSING มาให้ครบครัน ในราคาเพิมขึ้นแค่ราวๆ 20,000 บาท และมีให้เลือกเฉพาะตัวถัง Sedan ก่อน เท่านั้น

ปี 2019 ถ้าใครอยากได้ Honda Civic MY2019 พร้อมระบบ Honda SENSING ในตัวถัง 5 ประตู คาดว่าเจอกันได้ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ โดยรายละเอียดอุปกรณ์ต่างๆ ที่เพิ่มเข้ามา ก็จะเหมือนๆกันกับรุ่น Sedan ทุกประการ

แต่นั่นเป็นเพียงแค่ออร์เดิร์ฟเรียกน้ำย่อยเท่านั้น เพราะในปีนี้ Honda จะจัดหนักจัดเต็ม กับการเปิดตัว 2 รถยนต์รุ่นสำคัญ สำหรับตลาดเมืองไทย ซึ่งรุ่นแรกนั้น ก็เพิ่งส่งขึ้นไปอวดโฉมบนเวทีในงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากนั้น ก็เพิ่งพาสื่อมวลชนจากเมืองไทย ไปลองขับสั้นๆ กันถึง Los Angeles มลรัฐ California ในสหรัฐอเมริกามาหมาดๆ ช่วงกลางเดือนมกราคม 2019 นี่เอง

ถูกต้องแล้วครับ เรากำลังพูดถึง Honda Accord Gen10 ใหม่ ซึ่งแม้จะเปิดตัวเมื่อ 14 กรกฎาคม 2017 และ ออกสู่ตลาดอเมริกาเหนือไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อ 18 กันยายน 2017 ทว่า กว่าจะมาถึงเมืองไทย ต้องใช้เวลานานมากกว่าปกติพอดู เนื่องจาก คราวนี้ ทีมงานฝั่ง American Honda Motor เขามามีส่วนร่วมในการพัฒนารถคันนี้มากกว่าแต่ก่อน (แม้จะไม่ถึงขั้นเข้ามาเป็นแม่งานหลักในการพัฒนา เหมือนเช่นกรณีของ Honda Civic รุ่นปัจจุบัน ก็ตาม) เท่ากับว่า ต้องมีการปรับตัวภายในองค์กรกันพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องของการทำราคา และ การควบคุมต้นทุนในการนำเข้ามาประกอบขายในบ้านเรา ซึ่งเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย

อีกทั้งในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2018 พี่เบิ้มเจ้าตลาดกลุ่ม D-Segment อย่าง Toyota ก็ชิงเปิดตัว Camry ใหม่ ออกมาเก็บกวาดลูกค้ากันก่อนพอสมควร ทำให้ Honda เอง ต้องตัดสินใจ ปรับแผน ด้วยการนำ Accord G10 คันทดลองประกอบ ขึ้นไปจอดตั้งโชว์บนแท่นหมุน ในงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2018 ทั้งที่ตอนแรก ไม่ได้มีแผนว่าจะนำมาจัดแสดงเสียด้วยซ้ำ ไม่ต้องบอกก็รู้กันดีว่า Honda จำเป็นต้องทำแบบนี้ เพื่อดักกระแสลูกค้าที่จะเดินไปจอง Camry ว่า ” ช้าก่อนนะจ้ะทุกท่าน Accord ใหม่ ใกล้พร้อมเปิดตัวแล้วนะ รออีกหน่อยได้ไหม ? ”

Honda Accord G10 เวอร์ชันไทย จะมีเครื่องยนต์ให้เลือก เพียง 2 แบบ และ ไร้เงาของขุมพลัง 2.0 Turbo ตัวแรง 252 แรงม้า (PS) อย่างแน่นอน เนื่องจากในตลาดโลกเครื่องยนต์ 2.0 Turbo จะมาทำหน้าที่แทน V6 3.5 ลิตร เดิม รายละเอียดเบื้องต้น มีดังนี้

เบนซิน 1.5 ลิตร VTEC Turbo

เครื่องยนต์ L15 เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,498 ซีซี หัวฉีด PGM-FI Direct Injection พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Dual VTC และ Turbocharger จาก Mitsubishi MHI รุ่น TD03 กำลังสูงสุด 192 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร (26.49 กก.-ม.) ที่ 1,600 – 5,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า (ขุมพลังนี้จะมาแทนที่เครื่องยนต์ เบนซิน 2.0 ลิตร และ 2.4 ลิตร K24 รุ่นเดิม)

เบนซิน 2.0 Hybrid i-VTEC i-MMD (3rd Generation)

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,996 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 81.0 x 96.7 มิลลิเมตร กำลังอัด 13.5 : 1 หัวฉีด PGM-FI จุดระเบิดแบบ Atkinson Cycle พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC 143 แรงม้า (SAE) ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 17.82 กก.-ม.ที่ 3,500 รอบ/นาที พ่วงด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า AC Synchronous Permanent Magnet 2 ลูก 181 แรงม้า (SAE) ที่ 5,000 – 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 32.01 กก.-ม.ที่ 0 – 2,000 รอบ/นาที เมื่อทำงานร่วมกัน จะได้พละกำลังรวมทั้งระบบ 212 แรงม้า (SAE) ที่ 6,200 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ E-CVT มีการปรับปรุงใหม่เป็นเจเนอเรชั่นที่ 3 มีการย้ายชุดแบตเตอรี่จากท้ายรถ มาไว้ที่ใต้เบาะนั่งด้านหลัง

Accord จะถูกติดตั้งระบบความปลอดภัย Honda SENSING มาให้เต็มพิกัด แถมยังเพิ่มระบบช่วยหมุนพวงมาลัยถอยเข้าจอดอัตโนมัติ (ซึ่งยังไม่มีในเวอร์ชันอเมริกา) มาให้คนไทยได้ใช้ก่อนอีกด้วย! ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังเลือกนำ Mercedes-Benz E-Class กับ BMW 5-Series มาเป็น Benchmark ในการปรับปรุงเรื่องคุณภาพการขับขี่ โดยมองข้ามขั้นขึ้นไปจาก Toyota Camry (รุ่นที่แล้ว) กันไปเลย ดังนั้น ข้าวของที่ใส่มาให้ ล้วนแล้วแต่เป็นสเป็กพิเศษ ที่เหนือกว่าเดิมทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น พวงมาลัย Dual-Pinion แบบ อัตราทดเฟืองแปรผัน (Variable Ratio) พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering) จาก ZF ระบกันสะเทือนหน้าแบบ MacPherson Strut ด้านหลังแบบ Multi-ink พร้อมเหล็กกันโคง หน้า-หลัง ในขนาดที่แตกต่างกัน แถมด้วยช็อกอัพ สเป็กพิเศษเพื่อการซับแรงสะเทิอนที่ดีขึ้น และปรับบุคลิกการขับขี่ ให้เน้นไปในแนว “Sport”ยิ่งขึ้น

ทั้งคู่จะถูกเปิดตัวพร้อมกันในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2019 นี้ โดยรุ่นที่จะพร้อมส่งมอบก่อนเพื่อนคือ 1.5 ลิตร Turbo ส่วนรุ่น 2.0 ลิตร Hybrid จะมีกำหนดขึ้นสายการผลิต ในอีก 2 เดือนถัดมา คือราวๆ เมษายน 2019

(Illustrated By : KNK)

จากนั้น ทิ้งช่วงไปจนถึงไตรมาส 4 ปี 2019 ต่อเนื่องกันไปจนถึง ปี 2020 ก็จะถึงเวลาของ การเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันให้กับ B-Segment Sedan และ Hatchback รุ่นขายดีที่สุด ทั้ง Honda City ใหม่ และ Honda Jazz ใหม่ ซึ่งจะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดอีกครั้งหนึ่งของทั้ง 2 รุ่นนี้ ในตลาดเมืองไทย

นั่นก็เพราะว่า Honda ตัดสินใจ ยืนหยัดพิกัดขนาดตัวรถไว้ในกลุ่ม B-Segment เช่นเดิม แต่เปลี่ยนขุมพลังใหม่ เป็นแบบ Downsizing 3 สูบ 1.0 ลิตร VTEC Turbo มาวางแทน เพื่อให้เข้ามาอยู่ในกลุ่ม ECO-Car Phase 2 ซึ่งจะว่าไปแล้ว นี่เป็นกลยุทธ์เดียวกับที่ Mazda ใช้ใน Mazda 2 จนประสบความสำเร็จในตลาดเมืองไทยเป็นอย่างดีมาแล้ว นั่นหมายความว่า ต่อจากนี้ รถเก๋ง B-Segment กับ กลุ่ม ECO-Car จะถูกควบรวมเข้าด้วยกันอย่างจริงจัง เสียที ไม่ได้แยกประเภทออกจากกันตามพิกัดเครื่องยนต์ ทั้งที่มีขนาดตัวถังเท่าๆกัน อีกต่อไป!

ขุมพลังใหม่สำหรับทั้ง City และ Jazz รุ่นต่อไป จะมีให้เลือก 2 แบบ ดังนี้

เบนซิน 3 สูบ 1.0 ลิตร VTEC Turbo

เครื่องยนต์ใหม่ เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 998 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก 73.0 x 78.7 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.0 : 1 พร้อมระบบแปรผันวาล์ว ทั้งแบบ VTEC และ Dual VTC พ่วง Turbocharger แบบ Single Scroll ของ Borg Warner กำลังสูงสุดประมาณ 120 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 200 นิวตัน-เมตร (20.38 กก.-ม.) ที่ 2,000 – 4,500 รอบ/นาที ยกมาจาก Civic 1.0 Turbo เวอร์ชันจีน แต่จะมีการปรับปรุงให้สามารถเติมน้ำมัน Gasohol E85 ตามออกมาในภายหลัง

เบนซิน 1.5 ลิตร Hybrid i-MMD (New Generation)

เครื่องยนต์ L15 เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,498 ซีซี หัวฉีด PGM-FI เดิม แต่ปรับปรุงระบบ Hybrid ใหม่ โดยเพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไป รวมเป็น 2 ลูก (เนื่องจากการพัฒนายังไม่เสร็จสิ้น ดังนั้น รายละเอียดทางเทคนิคและตัวเลขพละกำลัง จึงยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในตอนนี้)

ด้านรูปร่างหน้าตานั้น City ใหม่ จะมีเส้นสายที่สวยงามลงตัวและดูสมส่วน มากสุดเท่าที่ Honda เคยสร้าง City ออกมา โดยจะมีรูปลักษณ์ภายนอก อิงกับ Honda Insight ชุดไฟหน้าและไฟท้าย เรียวยาว กระจังหน้าแบบ Solid Wing  ส่วนชุดไฟท้าย ค่อนข้างคล้ายคลึงกับ BMW 3-Series G20 รุ่นใหม่ล่าสุด ส่วนงานออกแบบภายใน อย่าคาดหวังมากนัก


(Photo : www.Carscoops.com)

ขณะเดียวกัน Honda Jazz ใหม่ ก็เพิ่งจะถูกช่างภาพอิสระ แอบบันทึกภาพไว้ได้ ขณะแล่นทดสอบอยู่ทางตอนใต้ของยุโรป ต่อให้พรางตัวมากขนาดไหน ก็ยังเผยให้เห็นเส้นสายตัวรถที่มาในลักษณะเดิม คือ ป้อมๆกลมๆ เป็นลูกหมู กระจังหน้า จะยังเป็นแบบ Solid Wing เหมือน Honda รุ่นใหม่ๆ ในช่วง 3-4 ปีมานี้

ทว่า ฝากระโปรงหน้าจะไม่ตั้งชันมากเท่ารุ่นก่อนๆอีกแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น เสาหลังคาคู่หน้าจะลาดเทมากขึ้น ทำให้ต้องออกแบบกระจกหูช้าง (กระจกโอเปร่าคู่หน้า) ให้ใหญ่โตบานทะโร่โท่ มากกว่าเดิม คล้ายกับ Opel / Vauxhall Zafira รุ่นปัจจุบันในตลาดโลกตอนนี้ หากดูผ่านๆ อาจคล้ายกับ Fiat Punto Gen.3 ที่เลิกผลิตไปแล้ว เมื่อไม่นานมานี้

กระนั้น เห็นได้ชัดว่า ตัวรถจะถูกเพิ่มความยาว ระยะฐานล้อ (Wheelbase) มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อเพิ่มพื้นที่โดยสารด้านหลัง และพื้นที่วางสัมภาระ ให้กว้างขวางและอเนกประสงค์มากยิ่งขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ดูเหมือนว่า ทีมวิศวกร จะพยายามวางตำแหน่งเบาะคนขับให้อยู่ตรงกลางระหว่างล้อหน้าและหลัง มากขึ้นตามไปด้วย แน่นอนว่า ทีมออกแบบภายใน จะยังคงรักษาเบาะนั่งแถวหลัง ที่สามารถพับเก็บได้ดีที่สุดในกลุ่ม B-Segment ทุกคันในโลกนี้ เอาไว้เช่นเดิม แต่อาจเพิ่ม อุปกรณ์ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้ตัวรถมากยิ่งขึ้น เช่นระบบ Honda SENSING ซึ่งในตลาดโลก น่าจะเป็นเวอร์ชันเต็ม ส่วนเวอร์ชันไทย อาจถูกตัดทอนออกบ้างในบางส่วน หรือไม่ ก็จะยังไม่มีติดตั้งมาให้ในช่วงแรกที่เปิดตัว ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น ในตอนนี้

(รายละเอียดเพิ่มเติม คลิกอ่านต่อได้ ที่นี่ CLICK HERE)

All NEW Honda Fit/Jazz และ City Platform ใหม่ จะเปิดตัวพร้อมกันทั่วโลกภายในช่วง ไตรมาส 3 ของปี 2019 แต่จะมีจังหวะการเปิดตัวที่ไม่เหมือนกัน ดังนี้

  • Japan : Jazz จะถูกเปิดตัวออกมาก่อนในญี่ปุ่น ภายใต้ชื่อ Honda Fit เหมือนเช่นเคย มีทั้งรุ่นเครื่องยนต์ 3 สูบ 1.0 ลิตร VTEC Turbo และรุ่น Hybrid ที่จะเผยโฉมออกมา พร้อมกันในทันที ส่วนเวอร์ชัน Sedan อย่าง City นั้น ยังไม่แน่ชัดว่า จะถูกส่งไปจำหน่ายที่ญี่ปุ่น ในฐานะรุ่นเปลี่ยนโฉม Full Model Change ของ Honda GRACE ด้วย หรือไม่
  • Thailand : ในจังหวะเดียวกันกับที่ Honda ญี่ปุ่น เปิดตัว Fit/Jazz ใหม่ ตรงกันข้าม เราก็จะได้สัมผัสกับ City ใหม่ ก่อนใครในโลก อีกตามเคย เช่นเดียวกัน ในช่วงเวลา ไล่เลี่ยกัน ไม่ทิ้งห่างกันนานนัก ประเดิมด้วยขุมพลัง 3 สูบ 1.0 ลิตร VTEC Turbo ก่อน

ส่วนรุ่น Hybrid i-MMD ของทั้ง 2 รุ่น จะตามมา อีกประมาณ 1 ปี หลังการเปิดตัวของแต่ละรุ่น นั่นหมายความว่า City Hybrid น่าจะเปิดตัวได้ก่อน ช่วงประมาณ ไตรมาส 4 ปี 2020 ส่วน Jazz Hybrid น่าจะคลอดตามมา ราวๆ ไตรมาสแรก ปี 2021

ด้านกลุ่ม Crossover และ SUV ของ Honda มีความเคลื่อนไหวสำคัญที่น่าจับตามอง เพราะหลังจากนี้ Honda จะต้องปรับกลยุทธ์การทำตลาด รถยนต์อเนกประสงค์กลุ่มนี้เสียใหม่ ทั้งหมด ด้วยการผลักให้ แต่ละรุ่น เติบโตขึ้นไปเพื่อรองรับกับความเปลี่ยนแปลงของกลุ่มลูกค้าที่เริ่มเปลี่ยนไป

CR-V พี่ใหญ่สุดของกลุ่ม นับจากนี้ จนถึงปี 2020 จะยังไม่มีอะไรแปลกใหม่ หากจะมีก็เพียงแค่รุ่นปรับอุปกรณ์เล็กๆน้อยๆเท่านั้น เพราะ Honda วางแผนจะปรับโฉมครั้งใหญ่ Minorchange ในปี 2020 โดยเป้าหมายหลัก อยู่ที่การ ปรับรายละเอียดห้องโดยสาร ให้สบายขึ้น ตามติดเวอร์ชัน North America คาดว่าน่าจะออกสู่ตลาดเมืองไทย ช่วงปลายปี 2020 เป็นอย่างเร็วที่สุด โดยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเครื่องยนต์อื่นใด ยืนหยัดอยู่กับเครื่องยนต์ เบนซิน 2.4 ลิตร i-VTEC และ Diesel 1.6 ลิตร Turbo เหมือนเดิม

จากนั้น Honda จะลากขาย CR-V Gen 5 รุ่นปัจจุบันนี้ กันไปอีก 2 ปี ก่อนจะเปลี่ยนโฉมใหม่หมดจรดทั้งคัน พร้อมยกระดับขึ้นไปจาก C-Segment SUV ไปเป็น D-Segment SUV ช่วงปลายปี 2022 ถึงกลางปี 2023 เมื่อถึงเวลานั้น อาจจะได้เห็น CR-V Hybrid ในเมืองไทย ก็เป็นได้ แต่สำหรับรุ่นปัจจุบัน จะยังไม่มีขุมพลัง Hybrid แน่นอน แม้จะเป็นรุ่น Minorchange ก็ตามเถอะ

ขณะที่ HR-V Crossover รุ่นขายดี และทำรายได้ให้ Honda เยอะเป็นประวัติการณ์อยู่พักใหญ่นั้น หลังการปรับโฉม Minorchange ครั้งล่าสุดไปแล้ว นับจากนี้ จะไม่มีการปรับโฉมใดๆอีก อาจมีเพียงแค่การปรับทัพ เสริมอุปกรณ์ กันไปจนกว่าจะหมดอายุตลาดในปี 2021

กระนั้น โครงการพัฒนา HR-V Gen.2 ก็เดินทางมาถึงช่วงกลางตามระยะเวลาที่กำหนดแล้ว โดย HR-V รุ่นต่อไป จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังร่วมกับ Civic รุ่นใหม่่ รวมทั้งจะถูกอัพเกรดขนาดตัวถัง จากพิกัด B-Segment Crossover SUV เดิม ขึ้นไปเป็น C-Segment Crossover SUV เต็มตัวกว่านี้ ด้านขุมพลังสำหรับเวอร์ชันญี่ปุ่น จะเป็นเครื่องยนต์ เบนซิน Hybrid แบบใหม่ล่าสุด 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร พ่วงกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว และจะมีให้เลือก ถึง 2 ตัวถัง ทั้งแบบ Crossover มาตรฐาน และ Coupe Crossoverท้ายลาดยิ่งกว่าเดิม สไตล์เดียวกับ BMW X4 หรือ Mercedes-Benz GLC

คาดว่า เราจะได้เห็น HR-V Gen 2 กันในฐานะ รถยนต์ต้นแบบกันก่อน ณ งาน Tokyo Motor Show เดือนตุลาคม 2019 นี้ ก่อนที่เวอร์ชันจำหน่ายจริง จะคลอดตามมาช่วงปี 2020 และจะมีกำหนดเปิดตัวในประเทศไทย (เบื้องต้น) คือปี 2021 ขณะนี้ รายละเอียดต่างๆยังห่างไกลจากความจริงมากโข จึงไม่มีข้อสรุปด้านรายละเอียดทางเทคนิคอื่นใด

การยกระดับ HR-V ขึ้นไป นั่นหมายความว่า Honda จะต้องพัฒนา Crossover SUV ขนาดเล็กรุ่นใหม่ มาอุดช่องว่างเดิมที่ขาดหายไป Honda เริ่มต้นศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการนี้กันมานานหลายปีดีดัก ถึงขั้นเคยสร้างรถยนต์ต้นแบบ 7 ที่นั่งในชื่อ Honda Concept XS-1 ออกอวดโฉมในงาน Auto Expo 2014 ที่ India มาแล้ว เพื่อชิมลางให้สาธารณชนได้รู้ว่า Honda กำลังวางแผนที่จะทำรถยนต์ประเภทนี้ออกมา

จากข้อมูลของ AUTOCAR INDIA ระบุว่า Honda จะแบ่งออก SUV ขนาดเล็กรุ่นใหม่ ออกเป็น 2 รุ่น คันแรกจะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังของ Honda Brio AMAZE รุ่นล่าสุด และมีขนาดตัวถังยาวไม่เกิน 4 เมตร ตามนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ของรัฐบาล India ค่อนข้างแน่นอนว่า SUV ขนาดเล็ก วางเครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.2 ลิตร รวมทั้ง เครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.4 ลิตร และสั้นกว่า 4 เมตร คันนี้ จะไม่มีขายในบ้านเราแน่นอน เพราะเป็น SUV ที่ทำขึ้นมาเพื่อเอาใจตลาด India และประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ โดยเฉพาะ

ส่วน B-Segment Crossover SUV อีกรุ่นหนึ่ง ที่มีแผนอยู่ว่าจะมาเปิดตัวในเมืองไทย จะมีขนาดตัวถังยาวประมาณ 4.2 – 4.3 เมตร แต่ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่า จะเป็นแบบ 5 ที่นั่ง หรือ 7 ที่นั่งกันแน่ อีกทั้ง จนถึงตอนนี้ ก็ยังไ่ม่ชัดเจนว่า Crossover รุ่นที่ 2 นี้ จะใช้ Platform จาก Honda Brio Amaze รุ่นล่าสุด หรือเปลี่ยนไปใช้พื้นตัวถังร่วมกับ Honda Fit/Jazz และ City ใหม่ กันแน่ แต่กว่าที่จะเปิดตัว ก็คงต้องรอกันจนถึงหลังปี 2021 – 2022 ซึ่งในปีนั้น นอกจากจะชนกับ Small Crossover คันเล็กรุ่นใหม่จาก Toyota พอดีด้วยแล้ว Honda Civic เก๋ง C-Segment รุ่นขายดี ก็จะได้เวลาเปลี่ยนโฉมใหม่ Full Model Change กันพอดี

ส่วน Honda Mobilio และ BR-V พี่น้องสองศรี 7 ที่นั่ง ที่แม้ผลิตขายในไทย แต่ออกแบบมาเอาใจชาว Indonesia นั้น จนถึงป่านนี้ แผนการพัฒนารุ่นเปลี่ยนโฉม Full Model Change ของทั้ง คู่ ยังเงียบกริบ เสียจนชวนให้สงสัยว่า B-Segment Crossover รุ่นที่กำลังจะทำออกมาใหม่นี้ จะเข้ามาทำตลาดแทน BR-V เดิมหรือเปล่า ดังนั้น ณ ตอนนี้ จึงมีเพียงแค่ แผนการปรับโฉม Minorchange ให้กับ Mobilio อีกครั้ง ซึ่งจะเกิดขึ้นที่ Indonesia ก่อน ภายในช่วงไตรมาสแรกของ ปี 2019 นี้ จากนั้น เวอร์ชันไทยจึงจะตามมาในช่วงครึ่งหลังของปีเดียวกัน และถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็ควรจะได้เห็น BR-V Minorchange ในปี 2020 ทั้งที่ Indonesia และในเมืองไทย

สำหรับใครที่ยังคงรอคอยและคาดหวังจะเห็น Sub-Compact Minivan 7 ที่นั่ง อย่าง Honda FREED Gen.2 ใครก็ตามที่ถามไถ่ว่า Honda Freed จะกลับมาขายในบ้านเราหรือไม่ ? ขอตอกย้ำค้ำยันให้มั่นเหมาะตรงนี้อีกครั้งเลยว่า เลิกรอไปได้เลย เพราะจนถึงวันนี้ (มกราคม 2019) ทาง Honda Automobile (Thailand) ยังไม่มีแผนการนำเข้า Freed รุ่นใหม่ล่าสุด มาทำตลาดในเมืองไทย ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมาในรูปรถนำเข้าทั้งคันจากประเทศเพื่อนบ้าน หรือ นำมาขึ้นสายการประกอบที่บ้านเราก็ตาม เหตุผลที่อธิบายได้ง่ายสุด ก็คือ ยังไม่มีการผลิตใน Indonesia และ ต่อให้มี ก็อาจจะ ” ทำราคาขายให้ถูกพอจะแข่งขันกับชาวบ้านเขา ไม่ได้ ”

ไม่เพียงเท่านั้น Honda Brio และ Brio AMAZE รุ่นล่าสุด ซึ่งเพิ่งเปิดตัวที่ India ไปในช่วงต้นปี 2018 บนถนนบ้านเรานั้น ก็จะเป็นอีก 2 รุ่น ที่จะไม่ถูกนำเข้ามาผลิตขายในเมืองไทยอย่างแน่นอนแล้วเช่นกัน เหตุผลก็คือ Honda ตัดสินใจจะนำเทคโนโลยีเครื่องยนต์แบบ Downsizing เบนซิน 3 สูบ 1.0 ลิตร Turbo มาวางให้กับ City และ Jazz ใหม่ เพื่อเข้าร่วมโครงการ ECO Car Phase 2 ของรัฐบาลไทย ไปแล้ว หากนำ Brio และ Amaze ใหม่ มาทำขาย ก็อาจจะซ้ำซ้อน และขายไม่ออก เพราะรูปทรงก็ออกแบบมาเอาใจคน India มากกว่า หน้าตาไม่ค่อยสวย แถมขนาดตัวถังยังเล็ก และสู้ชาวบ้านชาวช่องเขาไม่ได้เลย อาจไม่คุ้มหากปล่อยให้ทำตลาดต่อไป จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนำ Brio และ Amaze ใหม่ มาผลิตขายในบ้านเราตามแผนเดิม (ที่เคยวางไว้ว่า จะเปิดตัวในปี 2016) อีก ให้ชีช้ำเล่น ดังนั้น โครงการนี้ จึงถูกพับแผนไปเรียบร้อยแล้ว

____________________________

HYUNDAI

  • 2019 : Kona Electric
  • 2020 : Ioniq EV Minorchange
  • 2021 : H-1 / Grand Starex Full Modelchange

ผลของการลั่นวาจาเอาไว้ของชาวเกาหลีใต้ ที่ว่า “ต่อไปนี้ Hyundai เมืองไทย จะต้องขายรถยนต์รุ่นอื่นด้วย ไม่ใช่อยู่รอดได้เพียงแค่รถตู้ H-1 อย่างเดียว” ในที่สุด ปี 2018 ที่ผ่านมา Hyundai Motor Thailand บริษัทร่วมทุนกันระหว่าง Hyundai Motor เกาหลีใต้ และ Sojitsu บริษัท Trading Company ก็มีรถยนต์รุ่นใหม่เข้ามาขายในบ้านเรา ถึง 2 รุ่น ในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้ง Hyundai Ioniq Electric รถยนต์พลังไฟฟ้า EV ล้วนๆ ที่เข้ามาเปิดตลาดในงาน Bangkok Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2018 ตัดหน้า Nissan LEAF ได้สำเร็จ

อีกรุ่นนึ่งก็คือ รุ่นปรับโฉม Minorchang ของรถตู้ Hyundai H-1 และ Grand Starex รุ่นขายดีที่สุดของพวกเขา ในเมืองไทย จัดงานเปิดตัวไปแล้ว เมื่อ 9 สิงหาคม 2018 ที่ผ่านมา ถึงจะเปลี่ยนหน้าตาใหม่ให้ไฉไลขึ้น แต่ด้วยเหตุที่ ทาง Hyundai เกาหลีใต้ ยังคงงี่เง่าอยู่ จะกั๊กแผงหน้าปัดแบบใหม่ เอาไว้ให้ลูกค้าในบ้านเกิดของตนใช้ เพียงเท่านั้น ทำบ้าอะไรไม่รู้ เวอร์ชันไทย ก็เลยยังคงต้องทนพบเจอแผงหน้าปัดชุดเดิมๆ เครื่องยนต์เดิมๆ และ งานวิศวกรรมแบบเดิมๆ ทั้งหมด

ในปี 2019 แนวทางการตลาดของ Hyundai ที่มุ่งเน้นสร้างความแตกต่างไปจากผู้เล่นทุกราย ด้วยการฉีกออกไปบุกเบิกตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าล้วนๆ จะยิ่งชัดเจนขึ้น ด้วยการส่ง Hyundai Kona Electric สี Ceramic Blue หลังคาขาว พร้อมภายในสีเดียวกับตัวถังภายนอกรถ มาอวดโฉมในงาน Motor Expo เมื่อ 27 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา ก่อนที่จะแย้มกระซิบมาว่า พวกเขามีแผนจะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า รุ่นที่ 2 สำหรับตลาดเมืองไทย คันนี้ ในช่วงต้นปีหน้า

Kona เป็น B-Segment Crossover SUV ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเน้นเอาใจตลาดยุโรปเป็นหลัก เผยโฉมครั้งแรกเมื่อ 19 มิถุนายน 2017 ก่อนส่งไปเปิดตัวในงาน Frankfurt Motor Show ต้นเดือนตุลาคม 2017 ส่วนรุ่น Electric นั้น ตามมาติดๆในช่วงต้นปี 2018

Kona Electric ลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ (Aerodynamic) Cd 0.288 มีตัวถังยาว 4,180 มิลลิเมตร กว้าง 1,800 มิลลิเมตร สูง 1,555 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,600 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า/หลัง 1,565 / 1,575 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวเปล่า 1,685 – 1,713 กิโลกรัม ตามแต่ละรุ่นย่อย น้ำหนักรวมบรรทุก 2,170 กิโลกรัม สวมล้อขนาด 7.0J X 17 นิ้ว พร้อมยางขนาด 215/55 R17 พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลังมีขนาด 373 ลิตร (VDA) แต่เมื่อพับเบาะทั้งหมด จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,174 ลิตร (VDA)

ขุมพลัง เป็นมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) !! แรงบิดสูงสุด 395 นิวตัน-เมตร (40.25 กก.-ม.) พ่วงกับ แบ็ตเตอรีขาด 64 kWh (กิโลวัตต์/ชั่วโมง) ส่งกำลังด้วย Single Speed Reductionn Gear ตัวเลขจากโรงงานระบุว่า อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ใน 7.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 167 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระยะเบรกจาก 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง จนหยุดนิ่ง 42.3 เมตร ระยะทางแล่นได้ไกลสุดถึง 482 กิโลเมตร ต่อการชาร์จไฟแบบปกติ 1 ครั้ง!

พวงมาลัยเป็นแบบ Rack & Pinion พร้อม Power ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering) ระบบกันสะเทือนหน้าแบบ MacPherson Strut ด้านหลังแบบ Multi-Link

ยืนยันอีกครั้งว่า Kona Electric จะถูกเปิดตัวในเมืองไทยอย่างแน่นอน ภายในช่วงงาน Bangkok Motor Show ไตรมาสแรก ปี 2019 แต่หลังจากนั้น เรายังไม่แน่ใจว่า Hyundai Tucson Minorchange หรือบรรดารถยนต์พลังไฟฟ้ารุ่นอื่นๆของ Hyundai จะทะยอยตามเข้ามาเปิดตลาดในบ้านเราต่อ ได้อีกเมื่อไหร่?

พอถึงปี 2020 มีความเป็นไปได้สูงว่า Hyundai Ioniq Electric ซึ่งเพิ่งจะเปิดตัวในบ้านเราไปในปี 2018 ก็น่าจะมีรุ่นปรับโฉม Minorchange ตามเข้ามาเปิดตัวในประเทศไทย หลังจากที่รุ่น Plug-in Hybrid เพิ่งเผยโฉมไปใน เกาหลีใต้ เมื่อ 28 มกราคม 2019 สดๆร้อนๆ

ส่วนใครที่ถามไถ่ถึงรุ่นเปลี่ยนโฉมของ H-1 และ Grand Starex บอกได้เลยว่า พวกเขาเพิ่งปรับโฉม Minorchange กันไป ดังนั้น กว่าจะมีรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ Full ModelChange เราคงต้องทนเห็นรถตู้รุ่นปัจจุบันกันไปยาวๆ จนถึง ปี 2021!!

____________________________

ISUZU

  • 2019 : MU-X MY2019 / D-Max Full ModelChange
  • 2020 : MU-X Full ModelChange
  • 2021 : D-MAX & MU-X Hybrid (?)

ปีที่ผ่านมา Isuzu พยายามรักษาฐานที่มั่นในตลาดรถกระบะของเมืองไทยเอาไว้ได้เป็นอย่างดี แม้ว่ายอดขายในภาพรวม จะอยูในอันดับ 2 และโดนเจ้าตลาดอย่าง Toyota แซงนำหน้าขึ้นไปเพียง 1,350 คัน เท่านั้น!! (?) ด้านรถยนต์รุ่นใหม่ พวกเขา เลือกกระตุ้นตลาดด้วย การปล่อย D-Max X-Series เวอร์ชันตกแต่งเอาใจวัยรุ่น เมื่อ 26 มกราคม 2018 ตามด้วย MU-X Iconic ออกมาเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2018 แล้วก็ทิ้งช่วง มาจนถึง D-Max STEALTH รุ่นตกแต่งพิเศษ เมื่อ 20 ตุลาคม 2018 นี่ยังไม่นับรถบรรทุกรุ่นใหม่ FRR เมื่อ 20 กันยายน 2018 อีกต่างหาก

ปี 2019 จะถือเป็นปีที่ Isuzu เริ่มมีความเคลื่อนไหวมากขึ้นกว่าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา พวกเขาจะเริ่มประเดิมปีใหม่ ด้วย MU-X รุ่นพิเศษ สีแดง ซึ่งจะเปิดตัวภายใน เดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2019 นี้ มาพร้อมถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง แล้วเสียที หลังจากที่ลูกค้ารอคอยกันมานานแสนนาน นั่นเท่ากับว่า จะเหลือเพียง Chevrolet Trailblazer เท่านั้นที่ให้ถุงลมนิรภัย แค่ 3 ตำแหน่ง

จากนั้น ใครที่ถามไถ่ว่า เมื่อไหร่ D-Max จะเปลี่ยนโฉมทั้งคันกันเสียที คงต้องรอลุ้นระทึกกันแล้ว เพราะจู่ๆ ก็มีภาพ Spyshot ของ รถทดสอบ ซึ่งคาดว่าจะเป็น Isuzu D-Max Full Modelchange หลุดออกมา ขณะทดสอบในสภาพภูมิอากาศหนาวเย็น เมื่อ ช่วงกลางดึก คืนวันที่ 24 มกราคม 2019 ที่ผ่านมา

D-Max ใหม่ นี้ จะเป็นรถกระบะรุ่นแรกของ Isuzu ที่พวกเขาพัฒนาขึ้นเอง ร่วมกับ Mazda โดยไม่พึ่งพาความช่วยเหลือจาก พันธมิตรเก่าแก่อย่าง General Motors (GM) / Chevrolet ที่เคยจับมือกันพัฒนารถกระบะ มาตั้งแต่ปี 1970 อีกต่อไป เพราะทั้งคู่ ประกาศร่วมกัน ตั้งแต่ 22 กรกฎาคม 2016 เป็นต้นมา ว่าขอยุติการพัฒนาและผลิตรถกระบะออกจำหน่ายร่วมกันทั่วโลก ตลอด 45 ปี

เหตุผลของการยุติความสัมพันธ์ครั้งนี้ มาจากความไม่ลงรอยกันระหว่างทั้งคู่ ที่มีมาช้านานแล้ว GM ต้องการสร้างรถกระบะให้มีเอกลักษณ์ในแบบของตนเอง และพวกเขา ” เชื่อว่า ” สามารถลงทุนทำเองได้ตามลำพัง Isuzu จึงจำเป็นต้องมี พาร์ทเนอร์รายใหม่ มาร่วมแชร์ค่าใช้จ่ายในการพัฒนา มากขึ้น และชื่อของพันธมิตรรายใหม่ นั้นก็คือ Mazda

ต้นเหตุของการที่ GM จะประกาศหย่าร้างกับ Isuzu นั่นคือ เพียง 10 วัน ก่อนหน้านั้น Mazda ก็ได้ประกาศความร่วมมือในการพัฒนารถกระบะรุ่นใหม่ กับ Isuzu เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2016 หลังจาก Mazda ตัดสินใจเลือกจะแยกทางกับ Ford โดยจะไม่พัฒนารถกระบะรุ่นต่อไปร่วมกันอีก เช่นเดียวกัน Ford ไม่แยแสอยู่แล้ว เพราะสุดท้าย พวกเขาจับมือกับ Volkswagen ร่วมกันทำ Ford Ranger และ Volkswagen Amarok รุ่นต่อไป ที่จะคลอดในปี 2022 แต่ Mazda ไม่มีเงินมากพอที่จะพัฒนารถกระบะรุ่นใหม่ได้เอง จึงต้องหาพันธมิตรมาช่วยแชร์ค่าใช้จ่ายในการพัฒนา และ Isuzu คือทางออกที่ดีสุดของ Mazda นั่นเอง

จากภาพถ่าย จะเห็นว่า หากดูผิวเผิน ตัวรถอาจมีเส้นสายไม่ต่างจากรุ่นปัจจุบันนัก แต่ถ้ามองกันให้ดี จะพบว่า ตัวถังภาพรวม มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่นเดียวกับกระจังหน้าซึ่งใหญ่โต กว่าเดิม ชุดไฟหน้า เป็นแบบเดียวกันกับภาพถ่ายที่หลุดออกมาเมื่อช่วงปลายปี 2018 ไม่มีผิดเพี้ยน แถมยังมีรายละเอียดแตกต่างกันหลายจุด

ด้านขุมพลัง ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า D-Max ใหม่จะมีเครื่องยนต์ให้เลือกในเบื้องต้น 2 แบบ มีทั้ง เครื่องยนต์ รหัส RZ4E-TC Diesel 4 สูบเรียง DOHC 16 วาล์ว 1,898 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก 80 x 94.4 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.5 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด Commonrail Direct Injection พร้อมระบบอัดอากาศ แบบ Turbocharger แปรผันครีบ VGS และ Intercooler กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร (35.66 กก.-ม.) ที่ 1,800-2,600 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ / เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ซึ่งเป็นขุมพลังที่ประจำการอยู่แล้วใน D-Max รุ่นปัจจุบ้ัน

ส่วนรุ่น Top คาดว่า Isuzu จะปลด ขุมพลัง Diesel 3.0 ลิตร VGS Turbo ออกไป เพื่อแทนที่ด้วย เครื่องยนต์ใหม่ ตระกูล RZ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.4 ลิตร จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด Commonrail Direct Injection พร้อมระบบอัดอากาศ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่า เป็นแบบ Turbo เดี่ยว หรือ Twin-Turbo แต่พละกำลังน่าจะเกินกว่า 190 แรงม้า (PS) และเน้นแรงบิดในรอบต่ำ เพื่อความประหยัดน้ำมัน อันเป็นจุดขายที่มีมาช้านานของ Isuzu

D-Max ใหม่ Full ModelChange มีกำหนดเปิดตัวที่ยังไม่แน่นอน แต่คาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงปลายปี 2019 จนถึงช่วงไตรมาสแรก ปี 2020  (รายละเอียดเพิ่มเติม คลิกอ่านได้ที่นี่ CLICK HERE)

จากนั้น เว้นช่วงกันไปอีก 1 ปีเต็ม เวอร์ชัน SUV/PPV -v’ D-Max หรือ รุ่นเปลี่ยนโฉม Full ModelChange ของ MU-X ก็จะถูกพัฒนาเสร็จสิ้น และพร้อมออกสู่ตลาดในช่วง ปลายปี 2020 โดยใช้เครื่องยนต์ 2 รุ่นข้างต้น เช่นเดียวกัน

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีความเป็นไปได้สูงว่า Isuzu อาจกำลังซุ่มพัฒนารถกระบะ ขุมพลัง Diesel Hybrid เป็นอีกเวอร์ชันหนึ่งให้เลือกกันอีกด้วย! ซึ่งก็เป็นไปตามความคาดหมาย หลังจากการประกาศอัตราภาษีสรรพสามิต แบบใหม่ ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อรถกระบะและ SUV/PPV ขุมพลัง Hybrid มากขึ้น แต่เราจะยังไม่เห็นเครื่องยนต์ Diesel Hybrid จาก Isuzu จนกว่าจะผ่านพ้นปี 2020 – 2021 ขึ้นไป

____________________________

JAGUAR

  • 2019 : I-PACE (Thailand Premier) // XE Minorchange (Global), New XJ (EV)
  • 2020 : New Flagship SUV (J-PACE)

อนาคตของ Jaguar ในขณะนี้ เหมือนเด็กมัธยมปลายที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ไม่รู้จะเลือกไปเรียนในคณะไหนที่จะส่งเสริมอนาคตอันดีงามของตัวเอง ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา พวกเขาก็เหมือนเด็กมัธยมต้นที่เลือกทางเดินถูก สละความโบราณและชิ้นส่วนที่เคยแชร์กับ Ford ได้ “พ่อยก” เงินหนาใจดีอย่าง Tata Motors ทำให้ Jaguar มีชีวิตที่ดูรุ่งโรจน์อยู่พักใหญ่ แต่ในปัจจุบัน ยอดขายในตลาดหลักลดลงมาก ความนิยมในรถสปอร์ตและซาลูน (ซึ่งเป็นสิ่งที่ Jaguar ถนัดมาตลอด) ก็ลดลงเพราะกระแสของ SUV/Crossover

ผลกระทบดังกล่าวทำให้ Jaguar ขาดทุนสะสมถึง 90 ล้านปอนด์ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2018 และอาจนำพาไปสู่การปลดพนักงานครั้งใหญ่ของกลุ่ม Jaguar/Land Rover ถ้าสถานการณ์ไม่ดีขึ้น

เมื่อไม่นานมานี้ ทาง Autocar ประเทศอังกฤษได้ตีข่าวทิศทางของ Jaguar ในอนาคต โดยสรุปความได้ว่าผู้บริหารของค่ายเริ่มคิดที่จะเปลี่ยน Jaguar ให้เป็น “Total EV brand” ทำแต่รถยนต์ไฟฟ้าขายเพียงอย่างเดียวภายใน 10 ปีหลังจากนี้ โดยเบนเป้าจากเดิมที่เล็ง BMW หรือ Mercedes-Benz เป็นคู่แข่ง เป็น Tesla แทน

ก้าวแรกของค่ายนี้สู่โลกแห่ง EV คือ Jaguar I-PACE ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า EV สไตล์ Crossover 5 ที่นั่ง ที่เผยโฉมครั้งแรก มาตั้งแต่งาน L.A. Auto Show เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2016 แต่กว่าจะพร้อมออกสู่ตลาดจริง ก็เพิ่งจะเริ่มขายได้ เมื่อ เดือนมีนาคม 2018 มานี้เอง

I-Pace เป็น SUV-Crossover สไตล์สปอร์ต แบบ 5 ที่นั่ง มิติตัวรถ ยาว 4, 680 มิลลิเมตร, กว้าง 1,890 มิลลิเมตร และ สูง 1,560 มิลลิเมตร ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ล้อคู่หน้า และหลัง ตำแหน่งละ 1 ลูก ให้กำลังสูงสุดรวม 406 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร (71.38 กก-ม.) ใช้แบตเตอรี่ขนาด 90 kWh คาดว่าสามารถเดินทางเป็นระยะทางสูงสุด 482 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง การชาร์จไฟจาก 0-80% ทำได้ภายในเวลา 90 นาที (1 ชั่วโมงครึ่ง) โดยที่ชาร์จ 50 kW แบบชาร์จเร็ว (Fast Charging) อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 4.0 วินาที ความจุที่เก็บสัมภาระด้านท้ายอยู่ที่ 530 ลิตร และ เนื่องจากไม่มีเครื่องยนต์จึงมีที่เก็บสัมภาระด้านหน้ารถอีก 36 ลิตร

โครงสร้างของ Jaguar I-PACE ทำจากวัสดุอะลูมิเนียม ช่วยให้น้ำหนักเบา ทั้งยังมีค่าความแข็งเชิงแรงบิด (Torsional Rigidity) ที่ 36kNm/degree ซึ่งถือว่าสูงที่สุดเท่าที่ Jaguar เคยทำมา ช่วงล่างมีระบบ Air Suspension ให้ติดตั้งเพิ่ม โดยระบบจะลดความสูงลง 10 มิลลิเมตร โดยอัตโนมัติ เมื่อใช้ความเร็วมากกว่า 105 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อลดการต้านลม

ระบบ Air Suspension ยังสามารถยกความสูงขึ้นเพื่อเพิ่ม Ground Clearance ไว้ใช้ในกรณีที่นำไปลุยทาง off-road ด้วย ส่วนช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ Double Wishbone ด้านหลังเป็นแบบ Integral Link rear axle

สำหรับความเคลื่อนไหวในประเทศไทยนั้น มีข่าวว่าทาง Inchcape ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการจะนำ I-PACE มาขายตั้งแต่ครึ่งหลังของปีก่อน แต่คาดว่าน่าจะมีข้อติดขัดบางประการ จึงต้องเลื่อนมาเป็นปี 2019 แทน และ I-PACE น่าจะเป็นโมเดลใหม่สดเพียงรุ่นเดียวของ Jaguar ที่เปิดตัวในไทยภายในช่วง 2-3 ปีนับจากวันนี้ (ไม่นับรุ่นที่อัปเดตหรือไมเนอร์เชนจ์) เจอกันในงาน Bangkok International Motor Show 2019 นี้

ส่วนรถเก๋ง Premium C-Segment Saloon อย่าง Jaguar XE ซึ่งเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2015 และถูกคาดหมายว่าจะแย่งยอดขายกับ Mercedes-Benz C-Class,BMW 3 Series และ Audi A4 แต่ผลที่ออกมากลับไม่ดีตามที่คาด ในปี 2017 XE ขายได้ 19,000 คันในยุโรป ส่วน C-Class ได้ยอดกว่า 170,000 คัน สิ่งนี้ ประกอบกับยอดขายของ F-PACE ที่ฟันไปได้ 70,000 กว่าคันในปีเดียวกัน  ทำให้ Jaguar เริ่มทบทวนความคิดที่จะสร้างซาลูนเจนเนอเรชั่นใหม่ แต่ในระหว่างที่การตัดสินใจยังไม่ตกผลึก พวกเขาก็ตัดสินใจทำ XE ไมเนอร์เชนจ์ ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวสู่ตลาดโลกกลางปี 2019

XE ไมเนอร์เชนจ์ยังมีโครงสร้างหลักเหมือนเดิมทุกประการ จะมีการเปลี่ยนแปลงแค่ไฟหน้า ไฟท้าย กระจังหน้าและกันชน แต่ในส่วนของระบบขับเคลื่อนนั้น จะมีการเพิ่มระบบ Mild Hybrid ที่ช่วยลดมลภาวะและใช้ไฟฟ้าแบบ 48V ในลักษณะคล้ายกันกับทาง Audi และ Mercedes-Benz เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร V6 เบนซิน ถูกถอดออกจากไลน์การผลิตตั้งแต่ปี 2018 และไม่น่าจะกลับมาผลิตใหม่ คงเหลือแต่เครื่องยนต์เบนซินและดีเซล 2.0 ลิตรตระกูล Ingenium เท่านั้น

เมื่อถึงเวลาที่ XE ใหม่เปิดตัวในไทย ซึ่งน่าจะเป็นต้นปี 2020 ทาง Jaguar ที่เมืองนอกน่าจะแน่ชัดแล้วกับอนาคตของรถซาลูนของค่าย แค่ในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็มีกระแสข่าวหนาหูมากว่าทั้ง XE และ XF จะยุติการทำตลาดในปี 2023 โดย Jaguar จะไปเอา SUV พลังไฟฟ้าขนาดใหญ่กว่า e-tron และ EQC มาขายแทน ส่วน Jaguar XJ (X351) ที่ลากสังขารขายมาครบ 10 ปี ก็จะยังมีต่อไปจนกว่ารถ EV Saloon ขนาดใหญ่จะเปิดตัวในปี 2019 ช่วงปลายปี และอาจมาทำตลาดแทน XJ อย่างถาวรโดยไม่มีรุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายในให้เลือกอีกต่อไป

Image source : AUTOCAR UK

ภายในปี 2020-2021 Jaguar จะมีรถ SUV ที่ขนาดโตกว่า F-PACE จำหน่าย โดยใช้ชื่อว่า J-PACE (สบายหนุ่ม…!!??) เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Porsche Cayenne โดยอาศัยโครงสร้างพื้นฐานอะลูมิเนียมจาก Range Rover รวมถึงอาจยืมเครื่องยนต์กลไกต่างๆ และระบบไฮบริดมาใช้ด้วย ทั้งนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า การที่ Jaguar เริ่มอยากเลิกใช้เครื่องยนต์ V8 5.0 ลิตรจาก Ford แล้วไปหยิบยืม V8 4.4 ลิตรของ BMW ใช้แทนก่อนหน้านี้ อาจส่งผลกับทางเลือกขุมพลังที่ติดตั้งลงใน J-PACE

สำหรับอนาคตรถสปอร์ตของทางค่ายอย่าง F-Type นั้น อยู่ในช่วงวิกฤติ เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมานั้น F-Type ที่ออกมาในฐานะตัวสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ในแง่ของการเป็นรถสปอร์ต กลับไม่ได้รับการโปรโมท และไม่ได้สร้างกระแสมากเท่าที่ควร ถึงแม้ Jaguar จะทำเวอร์ชั่นหลังคาแข็ง และท้ายสุดคือยอมเอาเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรมายัดใต้ฝากระโปรงแล้ว ยอดขายของ F-Type ก็อยู่ที่แค่เพียงปีละ 10,000 คันบวกลบ สิ่งนี้ทำให้ผู้บริหารเริ่มมีความเห็นแตกออกเป็นสองฝ่าย ว่า Jaguar ควรทำอย่างไรกับรถตระกูลนี้

อย่างไรก็ตาม หาก F-Type ถูกสั่งให้ไปต่อ โครงการวิจัยและพัฒนาก็จะเริ่มต้นในปี 2019 (ตามคำบอกเล่าของ Ian Callum บอสฝ่ายออกแบบ) ซึ่งก็แปลว่าเราจะต้องอยู่กับ F-Type รุ่นปัจจุบันไปจนกว่าจะปี 2022 ส่วนรถสปอร์ตแบบ 2+2 ที่จะมาทำตำแหน่งทางการตลาดของ XK นั้น ทราบแค่เพียงว่าท่านพ่อยก Ratan Tata เจ้าของเงินก้อนใหญ่เคยเปรยว่า “อยากให้มี” แต่หลังจากวิกฤติขาดทุนและยอดขายที่เอนเอียงไปทางด้านรถ SUV/Crossover อย่างมากในปีที่ผ่านมา อาจทำให้พ่อยกยอมเปลี่ยนใจ

____________________________

KIA MOTORS

  • 2019 : Niro Plug-in Hybrid or eNiro ?
  • 2020 : Brand New B-SUV for emerged market (Codename : SP2)

หลังจากเปิดตัว Sport Saloon รุ่น Stinger ก็ขายไปได้แค่ 1 คัน จากที่นำเข้ามาทั้งหมด 2 คัน ซึ่งก็ต้องทำใจ เพราะราคารวมภาษีนำเข้า มันเทียบเท่ากับรถยุโรประดับ Premium Brand เลยทีเดียว รวมทั้ง Kia Soul EV รถยนต์พลังไฟฟ้าล้วนแบบแรกที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเมืองไทย ด้วยค่าตัวที่แพงถึง 2.297 ล้านบาท ซึ่งพอมียอดขายบ้าง ไม่กี่คัน ทำให้ ปี 2018 Kia ต้องพยามกระตุ้นตลาด รถตู้อย่างต่อเนื่องด้วย Grand Carnival Minorchange ที่เปิดตัวในช่วงกลางปี พร้อมกับเทียบเชิญ หมอโอ๊ค และ โอปอ ปาณิสรา อารยะสกุล กับครอบครัว มาเป็น Presenter และนั่นดูจะเป็นความเคลื่อนไหวเดียวของ Kia ในปีที่ผ่านมา

สำหรับปี 2019 นี้ ยนตรกิจ Kia Motor ผู้นำเข้าและจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ก็ยังไม่ลดละความพยายามสรรหารถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามาเปิดตลาดในเมืองไทย แม้จะต้องเจอข้อจำกัดด้านภาษีนำเข้า และภาษีสรรพสามิต ซึ่งทำให้ราคาขายปลีกของรถยนต์นำเข้า ไม่ว่ารุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ แพงขึ้นมากอย่างที่ไม่ควรเป็น ซึ่งนี่คืออุปสรรคสำคัญในการทำตลาดของ Kia ในเมืองไทยมาตลอด

ปีนี้ Kia กำลังใช้ความพยายามอยู่ว่า จะหาทาง นำ Niro รถยนต์นั่งแบบ B-Segment Crossover เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยให้ได้ เพียงแต่ว่า ตอนนี้ ยังติดขัดอยู่ในเรื่อง การขอราคาพิเศษ จากบริษัทแม่ในเกาหลีใต้ ทำให้จนถึงตอนนี้ เรายังไม่รู้ว่า Kia จะสามารถนำเข้า Niro ทั้งรุ่น Plug-in Hybrid กับ eNiro (EV) มาได้ทั้ง 2 รุ่น หรือได้แค่เพียงรุ่นใดรุ่นหนึ่ง หรือ อาจจะแพงจนทำราคาไม่ได้ จนต้องยกเลิก ไม่นำเข้าซะเลย กันแน่ เนื่องจากว่า หากไม่ได้มีการช่วยเหลือจากสำนักงานใหญ่ ค่าตัวของ Niro ก็อาจจะแพงเท่าๆกับ Soul EV คือคันละราวๆ 2.2 ล้านบาท กันเลยทีเดียว

Niro Plug-in Hybrid มีรายละเอียดทางเทคนิคภาพรวม ที่เหมือนกันกับ Niro Hybrid ซึ่งออกสู่ตลาดมาตั้งแต่ปี 2016 มีขนาดตัวถังยาว 4,355 มิลลิเมตร กว้าง 1,805 มิลลิเมตร สูง 1,545 มิลลิเมตร แต่มีระยะฐานล้อยาวถึง 2,700 มิลลิเมตร วางขุมพลัง เพียงแบบเดียว และเหมือนกันทั่วโลก เป็นเครื่องยนต์ Kappa เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.6 ลิตร จุดระเบิดแบบ Atkinson Cycle 105 แรงม้า (PS) ที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 15.0 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที พ่วงกับมอเตอร์ไฟฟ้า 43.5 แรงม้า (PS) พร้อมระบบ Re-generative Brake และขับเคลื่อนล้อหน้าด้วย เกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 6 จังหวะ แบบมีโหมด บวก/ลบ Sportmaticเพียงแต่ว่ามีการเพิ่ม ปลั๊กเสียบชาร์จบริเวณเหนือซุ้มล้อด้านหน้าฝั่งซ้าย มาให้ และมีการ Upgrade แบ็ตเตอรี ขึ้นมาให้มีความจุ 24.7 Ah. ให้กำลังไฟ 8.9 kWh กำลังสูงสุด 59 กิโลวัตต์ แรงดันไฟฟ้า 360 V

เมื่อรวมการทำงานทั้งระบบเข้าด้วยกัน จะได้กำลังสูงสุด 139 แรงม้า (HP) ที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 26.91 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที สามารถขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนๆอย่างเดียว 42.3 กิโลเมตร ระยะทางแล่นทั้งหมดเมื่อใช้น้ำมันและไฟฟ้าร่วมกัน 912.8 กิโลเมตร

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัย Rack & Pinion พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า MDPS (Motor Driven Power Steering) ระบบกันสะเทือนหน้า MacPherson Strut ด้านหลังแบบ Multi-Link พร้อมเหล็กกันโคลงทั้งหน้า-หลัง  ระบบห้ามล้อ เป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System) จานเบรกคู่หน้า 11 นิ้ว คู่หลัง 11.2 นิ้ว

ส่วน eNiro ซึ่งเป็นเวอร์ชัน ไฟฟ้าล้วนๆ ไม่ใชเครื่องยนต์สันดาปเลย เพิ่งเปิดตัวในงาน Paris Auto Salon เดือนกันยายน 2018 ที่ผ่านมา สดๆร้อนๆ มอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) แบ็ตเตอรีความจุ 67.0 kWh วางตรงกลางด้านหน้ารถ แล่นได้ไกลถึง 385 กิโลเมตร มาพร้อมสารพัดเทคโนโลยีตัวช่วยด้านความปลอดภัย ทั้งระบบ LKA (Lane Keeping Assist) ระบบ LFA (Lane Following Assist) ไปจนถึงระบบ RCCW (Rear Cross Traffic Collision Warning) ฯลฯ

หากทุกฝ่าย หาข้อยุติเรื่องราคาและสเป็กของ Niro สำหรับตลาดเมืองไทยได้สำเร็จ เราอาจได้เห็น Niro Plug-in Hybrid หรือ eNiro ร่ใดร่นหนึ่ง หรือทั้ง 2 รุ่น เข้ามาเปิดตัว ในงาน BIG Motor Sales ช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2019 นี้

อีกรุ่นหนึ่ง ซึ่ง น่าจับตามอง นั่นคือ All New B-Segment Crossover SUV รุ่นใหม่ล่าสุด สำหรับตลาดประเทศกำลังพัฒนา ภายใต้รหัสโครงการ SP2 ซึ่ง Kia ได้เปิดเผยโครงการนี้ สู่สาธารณชน ผ่านการเปิดตัวรถยนต์ต้นแบบ Kia SP Concept ในงานแสดงรถยนต์ที่ India อย่าง Auto Expo เมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2018 หรือเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา Kia ตั้งเป้าหมายให้รถคันนี้ บุกไปทำตลาดได้ในแทบทุกประเทศที่มีรถยนต์ Kia จำหน่ายอยู่ ล่าสุด มีข่าวจากทางฝั่ง India ว่า อาจจะได้ใช้ชื่อรุ่น Kia Tusker

กำหนดเปิดตัวในตลาดโลก คือช่วงไตรมาส 1-2 ของปี 2019 แต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่แน่ชัดว่า รถคันนี้ จะถูกสั่งเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทยได้หรือไม่ ถ้าสมมติว่า สเป็กลงตัว ราคาสวยงาม เราก็อาจเห็น B-SUV คันนี้ ในงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2019 นั่นคือการมองโลกในแง่ดีมากสุดแล้ว

____________________________

LAND ROVER

  • 2019 : New Evoque in Thailand / All New Defender L851 (World Premier)
  • 2020 : All New Defender L851 (Thailand Premier) / Special Model
  • 2021 : All New Range Rover (MLA Platform)

ปีที่แล้ว Inchcape ผู้นำเข้า และจำหน่าย Jaguar LandRover ในบ้านเรา สร้างความฮือฮา ด้วยการ หั่นราคาขายปลีกอย่างเป็นทางการของ Range Rover Velar ลง คันละ 1 ล้านบาท!! สำหรับรถยนต์ระดับราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท แล้ว นี่ถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน ในวงการรถยนต์บ้านเรา ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวสำคัญของ Land Rover ในเมืองนอก คือการเปิดตัว All New Range Rover Evoque มาแทนตัวเดิมซึ่งไ้ด้รับความนิยมอย่างสูงมากจากทั่วโลก และทำตลาดมานาน 7-8 ปี เมื่อ 22 พฤศจิกายน 2018

รูปลักษณ์ภายนอกในภาพรวม มีเส้นและและสัดส่วนที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นเดิมมากนัก รวมถึงหลังคาสไตล์ลาดจากด้านหน้าลงไปหาด้านท้าย แต่จุดที่เปลี่ยนคือการดีไซน์ด้านหน้าใหม่ รายละเอียดบนเปลือกกันชน กระจังหน้า ช่องดักอากาศ รวมถึงรายละเอียดของไฟหน้า/ไฟท้าย ที่ถูกขัดเกลาให้ทันสมัยขึ้น มีลูกเล่นมากขึ้น

ขุมพลังขับเคลื่อนของ Evoque ใหม่ในตลาดโลก เกือบทั้งหมดยกเว้นรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อราคาประหยัดสุด จะใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 48V Mild-Hybrid (Synchronous Reluctance Motor) เพื่อช่วยในการออกตัว แบตเตอรี่ 46.2 V Lithium-ion ส่วนตัวเครื่องสันดาปภายใน จะมีให้เลือกดังนี้

  • TD4 (150PS) Diesel 2.0 ลิตร Turbo 150 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร
  • TD4 (180PS) Diesel 2.0 ลิตร Turbo 180 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร
  • SD4 (240PS) Diesel 2.0 ลิตร Turbo 240 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร
  • SI4 (200PS) เบนซิน 2.0 ลิตร Turbo 200 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 340 นิวตันเมตร
  • SI4 (250PS) เบนซิน 2.0 ลิตร Turbo 250 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 365 นิวตันเมตร

ในรุ่น 150 แรงม้าจะมีเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะให้เลือก นอกเหนือจากนั้นไป จะเป็นเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ แม้ยังไม่มีการระบุว่ารุ่นใดจะถูกนำเข้ามาขายในไทย แต่พอคาดเดาได้ว่าเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 180 แรงม้าที่ให้กำลังใกล้เคียงกับคู่แข่งฝั่งเยอรมนีน่าจะเป็นตัวยืน แต่อาจมีลุ้นสำหรับรุ่นที่มีสมรรถนะสูงกว่านั้น

ทาง Inchcape ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ จะนำ Evoque ใหม่เข้ามาเปิดตัวในเมืองไทย อย่างเร็วที่สุดภายในปลายปี 2019 นี้ หรือ อาจจะต้องขยับเป็นช่วงต้นปี 2020 คงต้องรอติดตามข่าวคราวกันอย่างใกล้ชิด

รุ่นต่อมาของ Land Rover ก็คือ Defender ใหม่ ซึ่งเป็นการผสมผสานแนวคิดในแง่การใช้งาน ระหว่างการลุยไม่เกรงฝุ่นโคลนของ Defender รุ่นเดิม (ซึ่งขายมาตั้งแต่ปี 1983) เข้ากับความง่ายในการใช้งานแบบครอบครัวอย่างที่รุ่น Discovery เคยมีเมื่อก่อนเปลี่ยนศตวรรษ จากนั้นในเรื่องของการออกแบบ ทาง Land Rover กล่าวว่ามันจะเหมือนกับการนำเอา Defender รุ่นเก่ามาบวกกับเส้นสายที่ไฮเทคของรุ่น Velar แต่จากทรวดทรงของรถทดสอบพรางตัวที่เห็น พนันได้ว่าหลายส่วนจะทำให้นึกถึง Discovery รุ่นที่ 3-4 เช่นกัน

Land Rover Defender ใหม่ จะใช้เครื่องยนต์ Ingenium เบนซิน 2.0 ลิตร Turbo และ Diesel 2.0 ลิตร Turbo วางตามยาวด้านหน้า และในภายหลังจะมีเครื่องยนต์ใหม่แบบ 6 สูบเรียง ตามออกมา ซึ่งเครื่องยนต์รุ่นนี้จะแบ่งให้ Jaguar ใช้ด้วย แถมยังมีการพัฒนาขุมพลังให้รองรับการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ นั่นหมายความว่า Defender รุ่นไฮบริดก็อาจตามออกมาในอนาคต

Defender ใหม่จะแตกแขนงตัวถังออกเป็นหลายแบบ รุ่นฐานล้อยาว 5 ประตูหลังคาปกติ อาจเผยโฉมก่อนในปี 2019 ตามมาด้วยรุ่น 2 ประตูฐานล้อสั้นหลังคาแข็ง และรุ่น 2 ประตูหลังคาผ้าใบ แต่ในภาพรวม Land Rover กล่าวว่าลูกค้าตลาดพวงมาลัยขวาจะได้รับมอบ Defender ภายในปี 2020 อย่างแน่นอน และตัวถังของ Defender จะมีการขยายหรือปรับดีไซน์สร้างเป็นโมเดลแยกออกมาภายใต้ธีมการออกแบบเดียวกัน ลองนึกถึง Range Rover/ Range Rover Sport และ Discovery/Discovery Sport ดูจะเข้าใจ แต่รถรุ่นนี้จะยังไม่มาจนกว่าจะปี 2023 ที่แน่ๆ เวอร์ชันไทย อาจต้องรอกันจนถึงปี 2020

หลังจากการเผยโฉมของ Defender ไป Land Rover อาจเผยโฉม Range Rover รุ่นพิเศษ ซึ่งยังไม่มีรายละเอียดใดๆออกมา แต่ที่แน่ๆ All New Range Rover ตัวโตเรือธงของค่ายจะเปิดตัวใหม่ในปี 2021 พร้อมกับโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่เรียกว่า MLA – Modular Longitudinal Architecture เพื่อช่วยให้ตัวรถมีสมรรถนะที่ดีขึ้นและชดเชยกับน้ำหนักแบตเตอรี่ที่จะต้องแบกเพิ่มในเวอร์ชั่น Plug-in/Full EV ซึ่ง Land Rover ต้องการผลิต SUV แบบไฟฟ้าล้วนโดยอาศัยโครงสร้างนี้เป็นพื้นฐาน และจะแบ่งไปใช้ต่อกับรุ่นอื่นๆในอนาคต

Range Rover รุ่นปัจจุบันมีปัญหาจากน้ำหนักตัว ในรุ่น V8 ซูเปอร์ชาร์จนั้น ปาเข้าไปถึง 2,606 กิโลกรัม ซึ่ง Bentley Bentayga รุ่น W12 ยังเบากว่าอยู่ถึง 166 กิโลกรัม

Previous Post

N2608088_คนเราพลาดได แต ไม ควรม ใครสมควรต องเจ Uเพราะความพลาดน_part2

Next Post

N2608084_อหน าเร ยกท บหล งแท งข างหล งท กดอก_part2

Next Post
N2608084_อหน าเร ยกท บหล งแท งข างหล งท กดอก_part2

N2608084_อหน าเร ยกท บหล งแท งข างหล งท กดอก_part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N2412071 มตรแท แอร พรสวรรค part2
  • N2412073 ฝนท พย หลอกหล part2
  • N2412059 ไม เช อส งท คนอ นพ ดส ดท ายเห นก บตาเส ยใจมาก part2
  • N2412065 โจ ปากแจ วถามก ญแจรถอย ไหน part2
  • N2412067 เม ยเบอร หน งไม เป นรองใคร part2

Recent Comments

No comments to show.

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.