• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N2408024_อย าโทษแม เพราะคนท แย อต วเรา (1)_part2

admin79 by admin79
August 22, 2025
in Uncategorized
0
N2408024_อย าโทษแม เพราะคนท แย อต วเรา (1)_part2

ตามหลังจากการเผยโฉม CLA ไม่นาน ก็จะเป็นเวลาที่รถ SUV อย่าง Mercedes-Benz GLE เริ่มถูกส่งมอบให้ลูกค้าในยุโรป เริ่มต้นในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนเป็นต้นไป ในปัจจุบันยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องยนต์ มากไปกว่าจะเริ่มต้นทำตลาดด้วยขุมลัง เบนซิน 6 สูบ DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร Turbocharger 372 แรงม้า (PS) ใน GLE450 4MATIC

มีแนวโน้มว่า Mercedes-Benz (Thailand) น่าจะรอให้มีการเปิดตัวรุ่น Diesel Turbo หรือรุ่น Plug-in Hybrid ก่อน เพราะจะมีโอกาสในการทำราคาได้ถูกกว่า จากภาษีที่ถูกกว่า ถ้าตลาดพวงมาลัยซ้ายส่วนใหญ่รวมถึงประเทศจีนจะได้สัมผัส GLE ใหม่ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2019 ดังนั้นโอกาสที่จะมาไทยเร็วสุดคือครึ่งหลังของปี หรือไม่เช่นนั้นก็อาจต้องดึงไปรอเป็นต้นปี 2020

นอกจากนี้ จะมีการนำเข้า Mercedes-Benz EQC รถ SUV ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้ามาจำหน่ายในประเทศไทย! และนี่ไม่ได้มาด้วยโชคช่วย แต่เพราะทางบริษัทแม่ที่เยอรมนีความต้องการที่จะผลักดันรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของตน ให้แจ้งเกิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนหน้านี้เราก็ได้ทราบกันอยู่แล้วว่า Mercedes-Benz มีการลงทุนมหาศาลเพื่อสร้างโรงงานสำหรับผลิตแบตเตอรี่ในประเทศไทย และเดินหน้าประสานงานกับหน่วยงานรัฐอย่างต่อเนื่อง

EQC ที่จะเข้ามาขายในไทยนั้น น่าจะเป็น EQC แบบ 2 มอเตอร์ขับเคลื่อน 4 ล้อที่มีพลังถึง 408 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 765 นิวตันเมตร (77.9 กก.-ม.) เมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็มจะสามารถวิ่งได้ไกล 450 กิโลเมตร (อาจน้อยกว่านั้นเมื่อมาพบกับอากาศร้อนและการใช้งานแบบไทยๆ)

กำหนดการเปิดตัว Mercedes-Benz EQC ในประเทศไทย จะเกิดขึ้น ประมาณ ช่วงไตรมาสที่ 3 หรืออย่างช้าคือช่วง Motor Expoของปี 2019 นี้

สำหรับออฟโรดขาโหด สำหรับมหาเศรษฐี สายลุย ตัวจริงอย่าง Mercedes-Benz G-Class นั้น เปิดตัวรุ่นใหม่ไปตั้งแต่ปีที่แล้ว และต้องรอนานกว่าหนึ่งปีถึงจะได้มาขายในไทย เพราะว่าพวกฝรั่งเล่นเปิดมาด้วยรุ่น G500 (หรือ G550 ในตลาดอเมริกาเหนือ) เครื่องยนต์เบนซิน V8 4.0 ลิตร Turbocharger ล้วนๆ ตามมาด้วย G63 ทำให้ไม่มีขุมพลังที่เหมาะสำหรับการนำมาขายในประเทศไทย

จนกระทั่ง เดือนธันวาคม 2018 ที่ผ่านมานี้เอง Mercedes-Benz ถึงเปิดตัว G 350d ซึ่งใช้ขุมพลัง Diesel 6 สูบเรียง DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร 286 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร (ุ61.14 กก.-ม.) ที่ 1,200 – 3,200 รอบ/นาที แบบเดียวกับที่อยู่ใน S-Class S 350d ที่มีขายในประเทศไทยอยู่แล้ว มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4MATIC) ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic

ดังนั้นจึงไม่ต้องเดาว่า G-Class ตลาดประเทศไทยจะต้องเปิดตัวพร้อมกับขุมพลังนี้แน่นอนในปี 2019 แต่อย่าคาดหวังเรื่องราคา มากนัก เพราะรุ่นเก่า G 350d โฉมก่อนก็อยู่แถวๆ 8 ล้านกว่าบาท แล้ว

สำหรับรถ SUV/Crossover ขนาดกลางอย่าง Mercedes-Benz GLC และ Mercedes-Benz GLC Coupe นั้น ก็ได้มาถึงช่วงครึ่งกลางของเจนเนอเรชั่นแล้ว ดังนั้นแน่นอนว่าภายใน 2 ปีนับจากวันนี้ทั้งสองรุ่นจะมีเวอร์ชั่น Minorchange ออกมา โดย GLC จะเผยโฉมในตลาดโลกปี 2019 นี้ ส่วนประเทศไทยนั้นต้องรอดูก่อนว่าตลาดโลกเผยโฉมเมื่อไหร่ ให้บวกไปอีก 4-5 เดือนก็น่าจะได้เห็นกัน

รายละเอียดการปรับปรุงในคราวนี้ ก็คือ เครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.1 ลิตร ใน GLC250d จะถูกเปลี่ยนเป็นขนาด 2.0 ลิตร (อาจใช้ชื่อรุ่น GLC220d) ที่มีตัวเลขแรงม้าน้อยลง แต่เรี่ยวแรงไม่น้อยลง แถมยังประหยัดขึ้น ระบบไฟฟ้าและแผงหน้าปัด (Dashboard) จะถูก Upgrade ไปในทิศทางเดียวกับ C-Class ไมเนอร์เชนจ์ ไม่ว่าจะเป็นจอกลางที่ใหญ่ขึ้น หน้าปัดสี TFT แบบไฮโซในตัวท้อป พร้อมระบบปฏิบัติการณ์ใหม่ Mercedes-Benz UX เป็นต้น

ส่วน GLC Coupe นั้นค่อนข้างแน่ชัดว่าจะต้องรออีกประมาณ 1 ปีหลังการเปิดตัว GLC เวอร์ชั่นปกติ และใช้ขุมพลังเดียวกัน ซึ่งในเมืองนอก อาจมีรุ่น GLC53 (AMG) ที่นำเครื่องยนต์กับเกียร์จาก CLS53 มาใส่ ส่วนเวอร์ชั่นไทยนั้นก็ยังมีลุ้น เพราะพักหลังบริษัทนี้เขาใจกล้าเรื่องทางเลือกมากกว่าสมัยก่อน ส่วนรุ่นปกติที่ไม่ใช่ AMG จะใช้ขุมพลังเบนซินเทอร์โบ 4 สูบแรงม้าใกล้เคียงของเดิมใน GLC250

ต่อมา ในปี 2020 รถยนต์พลังไฟฟ้าขนาดเล็กอย่าง Meredes-Benz EQA จะถึงคราวเปิดตัวสู่ตลาดโลก หน้าตาของรถนั้นอาจมีความแตกต่างจาก EQA Concept ที่เคยเผยโฉมครั้งแรกในงาน Frankfurt Motor Show เดือนกันยายน 2017 และเพิ่งนำมาโชว์ตัวในงาน Motor Expo เดือนพฤศจิกายน 2018 อยู่บ้าง ถ้าอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร ให้ลองจินตนาการ โดยนำเส้นสายหลักของ Concept Car ไปบวกกับรายละเอียดกระจก หลังคาและกระจกมองข้างกับภายในของ A-Class Hatchback รุ่นล่าสุด  ขับเคลื่อนด้วย มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ให้กำลังสูงสุด 268 แรงม้า (PS)

สำหรับรถระดับ Flagship อย่าง Mercedes-Benz S-Class Full ModelChange นั้น มีกำหนดเปิดตัวแบบโมเดลเชนจ์ในช่วงปลายปี 2020 หรือต้นปี 2021 เป็นอย่างช้า (อายุตลาดของ S-Class เจนเนอเรชั่นหลังๆมาจะอยู่ประมาณตัวถังละ 7 ปี) สิ่งที่จะเป็นเทคโนโลยีใหม่ของรถรุ่นนี้คือระบบขับเคลื่อนกึ่งอัตโนมัติซึ่งประกอบด้วย Distronic Active Proximity Control และ Active Steer Assist ซึ่งทำงานร่วมกับระบบความปลอดภัยอื่นในรถและระบบนำทาง ทำให้สามารถยกระดับการขับแบบกึ่งอัตโนมัติจาก Level 2 ที่มีอยู่ในรุ่นปัจจุบันกลายเป็น Level 3 ที่สามารถใช้ขับไปในเมือง หยุดรถและออกรถเองที่ไฟแดงและเลี้ยวเองตามทางแยกได้

ส่วนขุมพลังขับเคลื่อนนั้น ยังไม่มีรายละเอียดครบ แต่ทราบว่าจะมีรุ่น S 560e ไฮบริดแบบเสียบปลั๊ก ซึ่งสามารถวิ่งใน EV Mode ได้ไกล 50 กิโลเมตรเช่นเดียวกับ C300e และ E300e นอกจากนี้ขนาดของรถก็จะขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมและมีห้องโดยสารที่กว้างขึ้น แต่จะมี S-Class รุ่น Full-EV ออกมาหรือไม่นั้น ทาง Mercedes-Benz ยังไม่ยืนยัน เนื่องจากขนาดของแบตเตอรี่จะกินที่ในห้องโดยสาร และที่สำคัญ พวกเขามีโครงการที่จะทำ EQS ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าขนาดโตสุดอยู่แล้วแม้จะเป็นแผนระยะยาวไปในอนาคตก็ตาม

จากนั้นในปี 2021 Mercedes-Benz C-Class ใหม่รหัสตัวถัง W206 สู่ตลาดโลก รถรุ่นนี้จะใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบ MRA2 ที่ปรับปรุงขึ้นจาก MRA เวอร์ชั่นเดิมโดยการผนวกเทคโนโลยีบางส่วนที่ใช้อยู่ใน Mercedes-Benz EQC เข้าไปด้วย ซึ่งแน่นอนว่าโครงสร้างนี้จะถูกนำไปใช้กับ E-Class W214 เช่นเดียวกัน C-Class W206 จะมีเครื่องยนต์ดีเซล OM654 แบบ 4 สูบอย่างที่ใช้อยู่ในรุ่นปัจจุบัน แต่สำหรับรุ่นดีเซล 6 สูบจะได้เครื่องยนต์แบบใหม่ที่ยกมาจาก S-Class ทั้งแบบเทอร์โบเดี่ยว 286 แรงม้า และเทอร์โบคู่ 340 แรงม้า ส่วนในเวอร์ชั่นตัวแรงและ AMG ก็แน่นอนว่าจะได้ใช้ขุมพลัง 6 สูบเรียง 3.0 ลิตรที่มีแรงม้าระดับ 400 ตัวขึ้นไป แต่อนาคตของเวอร์ชั่น V8 ทวินเทอร์โบอย่าง C63 นั้น ยังเป็นที่น่าจับตาว่าจะถูกตัดออกแล้วแทนที่ด้วยขุมพลัง Plug-in Hybrid สมรรถนะสูงหรือไม่

ปิดท้ายปี 2021 ด้วย Mercedes-Benz EQB ซึ่งเป็นรถขนาดอยู่ตรงกลางระหว่าง EQA และ EQC โดยในปัจจุบันนั้น แหล่งข่าวบอกว่าโครงสร้างพื้นฐานจะใช้ร่วมกับ EQA แต่ปรับทรงรถให้เป็นกล่องสูง มีลักษณะเป็น SUV ใกล้เคียงกับรถรุ่น GLB และใช้มอเตอร์คู่ 268 แรงม้าของ EQA ในการขับเคลื่อนเช่นกัน

ยอมรับว่าปีที่ผ่านมา และปีต่อๆไปนี้เป็นปี “ดาวดุ” เพราะขยันเปิดตัวของใหม่กันเหลือเกิน แค่ในเมืองไทยนี้ก็อาจจะต้องจัดงานเปิดตัวกันทุกๆ 2 เดือนเพราะน่าจะมีรถใหม่หรือขุมพลังทางเลือกใหม่รวมแล้ว 5-8 รุ่นได้เลยทีเดียว อย่าว่าแต่คนใน Mercedes-Benz (Thailand) จะเหนื่อยเลย คนเขียนบทความนี้ (Pan) กว่าจะสรุปมาได้ทั้งหมดนี่ก็ใกล้บ้าเหมือนกัน

สิ่งที่อยากจะฝากถึง Mercedes-Benz (Thailand) ก็คือ ยิ่งมีปริมาณรุ่นรถยนต์เข้ามาจำหน่ายมากๆ ยิ่งต้องเตรียม จัดการแก้ไขปัญหาด้านบริการหลังการขาย ที่ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ตามไปด้วย ไม่ว่าปัญหาต่างๆเห่านั้น จะเกิดขึ้นจากชิ้นส่วนภายในตัวรถ หรือ จากการดูแลไม่ทั่วถึงของดีลเลอร์ต่างๆ เพราะปัจจุบันนี้ ในสายตาของลูกค้า บริการหลังการขายของ Mercedes-Benz (Thailand) นับวันยิ่งแย่ลง จนเริ่มทำท่าว่าจะแย่กว่า Ford และ ใกล้เคียงกับ Mazda เข้าไปเรื่อยๆแล้ว

____________________________

MG

  • 2019 : Maxus T60 Pickup-Truck / MG eZS / HS
  • 2020 : MG GV
  • 2021 : Smart Car / Autonomous Drive!

หลังสร้างปรากฎการณ์ ถล่มตลาด B-Segment Crossover SUV ด้วย MG ZS ที่อัดแน่นด้วยอุปกรณ์อำนวยคามสะดวกมากมาย โดยเฉพาะ หลังคา Panoramic Glass Roof และระบบ Infotainment “i-Smart” เมื่อ 14 พฤศจิกายน 2017 จนทำให้ลูกค้าพากันมองข้ามอัตราเร่งที่แสนจะอืดอาดยืดยาด และกินน้ำมันเอาเรื่อง มุ่งหน้าเข้าโชว์รูม MG เซ็นใบจองอุดหนุนมากมาย พอถึงปี 2018 ผู้ผลิตรถยนต์จาก SAIC ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมยานยนต์แดนมังกร ก็ส่งรถยนต์รุ่นใหม่ เพียงแค่รุ่นเดียว นั่นคือ MG 3 Minorchange เปลี่ยนเครื่องยนต์และเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะลูกใหม่ ออกสู่ตลาดเมื่อ 21 มิถุนายน 2018 จากนั้น จึงมีรุ่น Limited Edition ตามออกมา เมื่อ 16 พฤศจิกายน 2018

ปี 2019 ถือเป็นปีที่ MG จะต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ เพราะแม้ว่าในช่วงครึ่งแรกของปี จะยังไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่ ทว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี พวกเขาตั้งใจจะเปิดตลาดรถกระบะ MG ในบ้านเรา เป็นครั้งแรกในโลก โดยนำรถกระบะ Maxus T60 จากบริษัท Maxus ในเครือของ SAIC ซึ่งเปิดตัว และ ออกจำหน่ายในแดนมังกร มาตั้งแต่ 6 พฤศจิกายน 2016 เข้ามาผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย โดยเปลี่ยนมาพะโลโก้ MG แทน

งานนี้ SAIC ไม่ได้มองแค่เล่นๆ เพราะมีการเตรียมงานกันมายาวนานหลายปีแล้ว คาดว่า โรงงานแห่งใหม่ของ MG ที่เพิ่งเปิดดำเนินการไปสดๆร้อนๆ เมื่อเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา จะกลายเป็นฐานการผลิตรถกระบะรุ่นใหม่นี้ เพื่อส่งออกไปยังทั่วโลก

T60 มีตัวถังยาว 5,365 มิลลิเมตร กว้าง 1,900 มิลลิเมตร ความสูงรุ่นกระบะส่งของ 1,722 มิลลิเมตร รุ่น Cab และ 4 ประตู ตัวเตี้ย 1,809 มิลลิเมตร รุ่น 4×4 สูง 1,845 มิลลิเมตร หากเป็นรุ่นฐานล้อยาวพิเศษจะเพิ่มความยาวตัวถังอีก 315 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อรุ่นช่วงสั้นยาว 3,155 มิลลิเมตร รุ่นช่วงยาว 3,470 มิลลิเมตร พื้นที่กระบะของรุ่น 4 ประตู ฐานล้อมาตรฐานจะมีความยาว 1,485 มิลลิเมตร กว้าง 1,510 มิลลิเมตร สูง 530 มิลลิเมตร

รูปลักษณ์ ภายนอกดูร่วมสมัย ไม่แตกต่างจากรถกระบะในท้องตลาดมากนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว 2 ปี รองรอยแห่งความเชยก็เริ่มเข้ามาเยือนบ้างเป็นธรรมดา ชุดไฟหน้าเป็นแบบ LED พร้อม Daytime Running Light และระบบปรับมุมองศาจานฉาย ตามการเลี้ยวของพวงมาลัย AFS มาให้เป็นออพชัน ส่วนภายในห้องโดยสาร ก็จะติดตั้ง ระบบ i-Smart เข้ามาด้วย

ขุมพลังในตลาดเมืองจีนตอนนี้ มีให้เลือกเพียงแบบเดียว เป็นแบบ VM Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.8 ลิตร ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ Common-Rail 3rd Generation จาก BOSCH พ่วงด้วย Turbocharger มีให้เลือก 2 ระดับความแรง ทั้งแบบมาตรฐาน 136 แรงม้า (PS) ที่ 3,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 310 นิวตัน-เมตร (31.5 กก.-ม.) ที่ 1,500 – 3,000 รอบ/นาที และแบบ Hi-Output 150 แรงม้า (PS) ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 360 นิวตัน-เมตร (36.68 กก.-ม.) ที่ 1,600 – 2,800 รอบ/นาที จับคู่เกียร์ธรรมดา 5 หรือ 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะโดย Punch Powertrain ซัพพลายเออร์ระบบเกียร์จากเบลเยี่ยม กับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ จาก BorgWarner

ส่วนช่วงล่างหลัง Maxus T60 เป็นตับแหนบ ที่ถูกออกแบบจุดยึดโดยคำนึงถึงความสะดวกสบายในการขับขี่หากมีการบรรทุกเบาและสามารถรองรับการบรรทุกหนักได้ ด้านระบบความปลอดภัยจะติดตั้งระบบควบคุมการทรงตัว และเสถียรภาพ ESP, ระบบเตือนเปลี่ยนเลน Lane Departure กับ ถุงลมนิรภัยมากถึง 6 ใบ เป็นต้น

สิ่งที่ต้องจับตาดูกันต่อไปคือ MG จะใช้กลยุทธ์ วางรุ่นย่อย กับออพชัน ให้สัมพันธ์กับราคาขาย ได้น่าสนใจมากพอจะยั่วให้บรรดาเถ้าแก่เจ้าของกิจการ ลองเปลี่ยนใจจากค่ายญี่ปุ่นมาได้มากน้อยแค่ไหน อีกทั้งเรายังต้องรอให้ทางจีนกับอังกฤษ พัฒนาเครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Common-rail Turbocharger ให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน ทั้งหมดนี้ ต้องทำควบคู่ไปกับการเตรียมยกระดับเครือข่ายผู้จำหน่ายทั่วประเทศรองรับเอาไว้ให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ คงต้องรอกันจนถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2019 จึงจะได้เห็นรูปโฉมคันจริงกันเสียที

คันต่อมา ที่มีแนวโน้มสูงว่าอาจจะโผล่เข้ามาเปิดตลาดในเมืองไทยนั้น คือ MG eZS เวอร์ชันขับเคลื่อนด้วยมเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ ซึ่งต่อยอดมาจาก MG ZS B-Segment Crossover SUV ที่ขายดีอย่างเหลือเชื่อในบ้านเราตอนนี้ SAIC เพิ่งเปิดตัว eZS ไปในงาน Guangzhou Auto Show เมื่อ 15 – 16 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมานี้เอง

รูปลักษณ์ภายนอก บนตัวถังที่มีความยาว 1,314 มิลลิเมตร กว้าง 1,809 มิลลิเมตร สูง 1,620 มิลลิเมตร มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,585 มิลลิเมตร มีความแตกต่างจาก ZS รุ่นปกติ เพียงแค่ กระจังหน้า เปลี่ยนมาเป็นแบบปิดทึบ ซ่อนจุดชาร์จไฟไว้ด้านหลังสัญลัษณ์ MG รวมทั้งการปรับ รายละเอียดเส้นสายบริเวณส่วนล่างของเปลือกกันชนหน้าใหม่, เพิ่มระบบประตู Smart Entry, กุญแจ Keyless ออกแบบขึ้นใหม่, ล้ออัลลอย ขนาด 17 นิ้ว ลวดลายใหม่ มาพร้อมกับยาง 215/50 R17 และ สีตัวถังใหม่

ส่วนภายใน แตกต่างจากรุ่นปกติ ตรงที่ ชุดคอนโซลกลางแบบ 2 ชั้น มีช่องเสียบ USB 2 จุด พร้อมปลั้กไฟ 12V บริเวณชั้นล่าง ส่วนด้านบน จะพบว่าคันเกียร์หายไป แต่ใช้การควบคุมด้วยสวิตช์มือหมุน แบบเดียวกับ Jaguar / Land Rover รุ่นใหม่ๆ พร้อมกันนี้ ยังติดตั้ง เบรกมือไฟฟ้า พร้อมระบบ Auto Hold เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน รวมถึงมีที่พักแขนตรงกลางและช่องเก็บของ, ที่วางแก้วน้ำพร้อมฝาเลื่อนเปิด – ปิด และ ช่อง USB เพื่อเสียบชาร์จโทรสับมือถือ สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง เพิ่มมาให้อีกด้วย

รายละเอียดทางเทคนิคเบื้องต้นก็คือ eZS ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ติดตั้งแบตเตอรี่ Lithium-ion จำนวน 3 แผง ซึ่งพัฒนาโดย SAIC Era Power Battery System (ยังไม่ทราบตัวเลขปริมาณความจุ และ แรงดัน) ไว้บนบริเวณพื้นตัวถังรถ โดยสามารถวิ่งได้เป็นระยะทาง 335 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) แต่อย่างไรก็ดี ถ้าหากใช้การวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดไม่เกิน 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทาง MG ระบุว่า ระยะทางที่วิ่งได้จะถูกยืดออกไปเป็น 428 กิโลเมตร เลยทีเดียว

กำหนดการเปิดตัวในไทย อาจเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุด ภายในตั้งแต่ช่วงกลางปี 2019 เป็นต้นไป

อีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย เพื่อทำตลาดแทน MG GS นั่นคือ MG HS C-Segment Crossover SUV รุ่นใหม่ โดยชื่อรุ่น HS ย่อมาจากคำว่า Hormones และ Sense สามารถตีความได้ว่า มันเป็นรถยนต์ที่สะท้อนถึงพลังของความเยาว์วัย ความน่าหลงใหล มอบประสบการณ์การขับขี่จากประสาทสัมผัสหลายมิติ

HS มีขนาดตัวถัง ยาว 4,574 มิลลิเมตร กว้าง 1,876 มิลลิเมตร สูง 1,664 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,720 มิลลิเมตร มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ระดับความแรง ทั้งรุ่น 20T เป็นขุมพลังเบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,490 ซีซี Direct Injection พ่วง Turbocharger กำลังสูงสุด 169 แรงม้า (PS) ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร (25.47 กก.-ม.) ที่ 1,700 – 4,400 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 7 จังหวะ และรุ่น 30T วางขุมพลัง เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,995 ซีซี Direct Injection พ่วง Turbocharger กำลังสูงสุด 231แรงม้า (PS) ที่ 5,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร (36.68 กก.-ม.) ที่ 2500 – 4,000 รอบ/นาที โดยจะมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อให้เลือก มีความเป็นไปได้ว่าจะจับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และ เกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 6 จังหวะ พวงมาลัยแบบ Rack & Pinion พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering) ระบบกันสะเทือนหน้า MacPherson Strut ด้านหลังเป็นแบบ Multi-Link

หากไม่มีอะไรผิดพลาด ลูกค้าชาวไทยอาจได้สัมผัสกับ HS ในบ้านเรา ภายในช่วงปี 2019 นี้ ซึ่งจะเป็นช่วงที่ MG จะเริ่มทำเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน Autonomous Drive มาให้คนไทยได้เริ่มสัมผัสกัน ตามที่พวกเขาเคยประกาศเอาไว้เมื่อ 2 ปีก่อน

ท้ายสุด ด้านความเคลื่อนไหวของรถตู้ G10 ที่เคยมีข่าวว่า จะถูกส่งเข้ามาแข่งกับ รถตู้ Hyundai H-1 นั้น ปรากฎว่า หลังจากติดปัญหาด้านโครงสร้างภาษีสรรพสามิต ทำให้ ทางจีนเองก็ต้องถอยกลับไปตั้งหลักกันก่อน แต่ดูเหมือนจะตั้งนานไปหน่อย เพราะจนป่านนี้ ก็ยังตั้งหลักกันไม่เสร็จสักที

MG ก็เป็นอีกบริษัทหนึ่ง ที่จะต้องปรับปรุงเรื่องบริการหลังการขาย กันอย่างจริงจัง ให้มากกว่านี้ เพื่อรองรับกับปริมาณลูกค้าที่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากสุดคือ คุณภาพของชิ้นส่วนที่นำมาประกอบขึ้นเป็นคันรถ ไม่ว่าจะมาจากในประเทศไทย หรือจีน ย่อมต้องมีการเข้มงวดด้านคุณภาพให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ อีกทั้งระบบไฟฟ้า ที่ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆของตัวรถ ควรจะปรับปรุงให้มีความเสถียรมากยิ่งกว่านี้ ไม่ใช่ว่า ยังไม่พร้อม หรือพัฒนาไม่เสร็จ ก็รีบปล่อยออกมาขาย ใหลูกค้าต้องมาทนแบกรับเวรกรรมกันเอาเอง


(Photo : www.Motor1.com)

MITSUBISHI MOTORS

  • 2019 : Pajero Sport Minorchange / All New Mirage
  • 2020 : All New Attrage (with 1.0 L Turbo Engine?)
  • 2021 : LANCER?

ถึงแม้จะมีรถยนต์รุ่นใหม่หลักๆ ตลอดปี 2018 เพียงรุ่นเดียว แต่ Mitsubishi Motors ก็พยายามกระตุ้นตลาด ด้วยสารพัดรุ่นย่อยใหม่ และ รุ่นพิเศษ ของพี่น้องในตระกูล เริ่มจากการเปิดตัว Mitsubishi Pajero Sport MY (Model Year) 2018 เมื่อ 13 มีนาคม 2018 ตามด้วย Mitsubishi Mirage Limited Edition หลังคาดำ เมื่อ 6 มีนาคม 2018 ต่อเนื่องกับ Mirage รุ่นปรับอุปกรณ์ MY 2018 เมื่อ 18 มิถุนายน 2018 เปิดตัว Mitsubihi Triton Big Minorchange เมื่อ 9 พฤศจิกายน 2018 และกระตุ้นตลาดให้กับ Pajero Sport ด้วยรุ่นพิเศษ Mitsubishi Pajero Sport Elite Edition เมื่อ 22 พฤศจิกายน 2018

Pajero Sport รุ่นปัจจุบัน ถือเป็น SUV/PPV รุ่นขายดี และมีการปรับโฉมบ่อยครั้งที่สุดรุ่นหนึ่งในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ Mitsubishi Motors ในเมืองไทย เพราะพี่ท่านเล่นปรับโฉม ปรับอุปกรณ์ กันทุกปี แม้กระทั่งเพิ่มลูกเล่นนิดๆหน่อยๆ ก็ปรับอุปกรณ์กันเฉยเลย บ่อยเสียจนแทบจะใกล้เคียงกับ Mitsubishi Lancer Champ ขวัญใจมหาชน ในยุค 1985 – 1997 แล้วนะนั่น

แต่ยังครับ…ยังไม่จบ ในเมื่อ Triton เพิ่งปรับโฉม Minorchange ไป แน่นอนว่าคิวถัดไป ก็หนีไม่พ้น Pajero Sport ที่จะได้ฤกษ์ปรับโฉม Minorchange ครั้งใหญ่กันเสียที และจะเกิดขึ้นในปี 2019 นี่แหละ ล่าสุด มีภาพถ่าย Spyshot หลุดออกมา ขณะแล่นทดสอบในสภาพภูมิอากาศอันหนาวเหน็บ คาดว่าจะมีการปรับโฉมบริเวณด้านหน้า รวมทั้งชุดไฟท้าย ทรงไม้เท้า ที่หลายคนไม่ชอบ ให้ดูดีขึ้น ส่วนภายในห้องโดยสาร น่าจะปรับปรุงไม่เยอะ อ้างอิงได้จาก Triton Minorchange

คาดว่า เราอาจจะได้เห็น Mitsubishi Pajero Sport รุ่นปรับโฉม Minorchange ในช่วงประมาณเดือนสิงหาคม 2019 อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับงาน BIG Motor Sales เป็นอย่างช้าที่สุด

(รายละเอียดเพิ่มเติม คลิกอ่านได้ ที่นี่)

(Illustrated By : KNK)

รถยนต์อีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งมีคิวจะต้องเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน แบบ Full ModelChange ในปีนี้ นั่นคือ Mitsubishi Mirage Hatchback 5 ประตู ซึ่งออกสู่ตลาดมาตั้งแต่ปี 2012 แล้ว หากนับอายุจนถึงตอนนี้ ก็ปาเข้าไป 7 ปีกว่าๆ สมควรแก่เวลาต้องเปลี่ยนตัวถังใหม่กันเสียที

Trevor Mann : Corporation chief operating officer และ Vincent Cobee : Vice-president of product strategy ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนต่างประเทศ เมื่องานเปิดตัว Triton Minorchange ในประเทศไทย ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา ว่า ถึงแม้เทรนด์ของตลาดรถยนต์ทั่วโลก จะหันไปอุดหนุน SUV มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไงๆ Mitsubishi Motors ก็ยังจำเป็นต้องมีรถเก๋งขนาดเล็ก เอาไว้ดึงดูดลูกค้า เข้ามายังโชว์รูม โดยเฉพาะ กลุ่มลูกค้าที่ไม่เคยสนใจในแบรนด์ Mitsubishi Motors มาก่อน Mann ยืนยันว่า Mirage ใหม่ จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง CMF-B ของ Renault – Nissan ร่วมกันกับ Nissan Micra เวอร์ชันยุโรป ที่เปิดตัวไปเมื่อ 2 ปีก่อน

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่เล็ดรอดออกมาในตอนนี้ น้อยมากๆ มีเพียงการยืนยันว่า รูปลักษณ์ด้านหน้า จะถูกออกแบบขึ้นตามแนวทาง Dynamic Shield แบบเดียวกับ ญาติพี่น้องร่วมสายพันธ์ Mitsubishi รุ่นใหม่ๆ ในตอนนี้ และเส้นสายตัวถังจะมีความเฉียบคมขึ้นกว่ารุ่นปัจจุบันซึ่งดูเรียบง่ายเกินไป แค่นั้น ยังไม่มีการยืนยันใดๆ แม้กระทั่งรายละเอียดของเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง แม้จะมีความเป็นไปได้ว่า Mirage ใหม่ อาจยังไม่ได้ใช้เครื่องยนต์ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.0 ลิตร Turbo จาก Nissan Almera ใหม่

กำหนดเปิดตัว จะเกิดขึ้นในช่วง ปลายไตรมาส 4 ปี 2019 อาจจะเป็นเพียงการอวดโฉมในงาน Tokyo Motor Show เดือนตุลาคม 2019 กันก่อน  จากนั้น ก็เริ่มส่งมาขึ้นเวทีในงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2019 ซึ่งก็เท่ากับว่า ไทม์มิงการเปิดตัว จะเหมือนกับ Mirage รุ่นปัจจุบัน เมื่อปี 2011 – 2012 เปี๊ยบ!

หลังจากนั้น ในปี 2020 ก็จะถึงคิวของ Mirage เวอร์ชัน Sedan 4 ประตู หรือ Mitsubishi Attrage ซึ่งคาดว่า จะมีชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้าแตกต่างกันไปเล็กน้อย แต่จะใช้เครื่องยนต์กลไก ระบบส่งกำลัง ช่วงล่าง รวมทั้งอะไหล่ตัวถังอย่าง เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar กระจกยังลมหน้า บานประตูคู่หน้าทั้งยวง เสาหลังคาคู่กลาง B-Pillar แผงหน้าปัด และเบาะนั่งคู่หน้า รวมทั้งชิ้นส่วนอะไหล่ในบริเวณดังกล่าว ร่วมกัน เป็นอย่างน้อย

สำหรับ รถเก๋งอย่าง Lancer นั้น แม้จะเพิ่งถูกยกเลิกการผลิตไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2018 ที่ผ่านมา  หลังครบอายุตลาด 11 ปี พอดี แต่ Mitsubishi Motors เอง ก็กำลังอยู่ในช่วงวางแผน และเตรียมการพัฒนากันอยู่ โดยมีแนวโน้มว่า จะใช้พื้นตัวถัง CMF-C ของ Renault – Nissan ร่วมกับ Sylphy / Sentra และ Juke รุ่นต่อไป กระนั้น เวลานี้ ยังไม่มีข้อมูลอื่นใดมากมายไปกว่านี้ และคาดกันว่า กว่าจะคลอดออกมาจำหน่ายได้นั้น คงไม่มีทางเร็วไปกว่าปี 2021 แน่ๆ

____________________________

NISSAN

  • 2019 : X-Trail Minorchange / ALMERA (1.0 Turbo or E-POWER)
  • 2020 : KICKS e-Hybrid / Sylphy or Sentra Full Modelchange / Navara & Terra Minorchange
  • 2021 : Note e-Power (Next Generation)

ปี 2018 ถือเป็นปีที่เหนื่อยยากของ Nissan เพราะแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงสิ่งต่างๆ ภายในองค์กรมากมายขนาดไหน แต่ด้วยปัญหาเดิมๆ นั่นคือ การเมืองในองค์กรระดับนานาชาติ มันหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่ทีมงานในเมืองไทยจะทนไหว แถมด้วย Policy บ้าบอคอแตกมากมายเต็มไปหมด ส่งผลกระทบให้การเปิดตัวรถยนต์รุ่นต่างๆ ตลอดปีที่ผ่านมา ทั้ง Nissan Terra (16 สิงหาคม 2018) Nissan Teana Last Minorchange สั่งลาก่อนปิดตำนาน Cefiro / Teana D-Segment รุ่นใหญ่ของตนในเมืองไทย (1 พฤศจิกายน 2018) และการเปิดราคาขาย Nissan LEAF ที่ 1.99 ล้านบาท แต่ไม่มีระบบ Pro Pilot มาให้ (28 พฤศจิกายน 2018 ใน Motor Expo) เรียกเสียงฮือฮา และ ก่นด่าจากบรรดาลูกค้าเก่า แฟนพันธ์ุแท้ และ กองเชียร์ จนเซ็งเป็ดไปตามๆกัน

สำหรับปี 2019 Nissan จะประเดิมศักราชใหม่ ด้วยการเปิดตัว Nissan X-Trail Minorchange ซึ่งถูกเลื่อนจากกำหนดการเดิมในช่วง ปลายปี 2018 มาเป็นช่วงไตรมาสแรกของปี 2019 แทน

ความเปลี่ยนแปลง จะเกิดขึ้นที่ชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้าของรถ อันได้แก่เปลือกกันชนหน้า พร้อมกระจังหน้า แบบใหม่ ยกชุดมาจากเวอร์ชันญี่ปุ่น ชุดไฟหน้าแบบใหม่ รวมทั้งจะมีการปรับปรุงแผงหน้าปัดใหม่ ให้สวยงาม ร่วมสมัยขึ้นเล็กน้อย อีกทั้งยังจะเพิ่มสารพัดอุปกรณ์ตัวช่วยด้านความปลอดภัย และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบาย ให้ทัดเทียมกับคู่แข่งในตลาดมากกว่าที่เป็นอยู่

อย่างไรก็ตาม ทางเลือกขุมพลัง อาจมีการตัดรุ่นเครื่องยนต์ MR20DD เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร ออกไป เหลือไว้แค่เครื่องยนต์ QR25DE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.5 ลิตร เหลือเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ไว้ในรุ่น Hybrid เท่านั้น พ่วงกับมอเตอร์ไฟฟ้า เท่ากับว่า จะลดลง จาก 3 แบบ เหลือเพียง 2 แบบ

ล่าสุด Nissan ร่อนหมายเชิญงานแถงข่าวเปิดตัว X-Trail Minorchange ออกมาแล้ว ว่าจะเกิดขึ้น ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2019 ที่ The Link Asok-Makkasan คาดว่ารุ่นเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร จะมีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น ไปถึงรุ่นท้อป โดยทำราคาลดลงมาใกล้เคียง 2.0 ลิตรเดิม จากนั้นแทรกด้วยรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 Hybrid 2 รุ่นย่อย รอติดตามกันว่า ราคา และ สเป็คจะเป็นอย่างไร

(Illustrated By : KNK)

ไม่เพียงเท่านั้น ในปี 2019 Nissan จะมี รถยนต์ อีก 1 รุ่นสำคัญ จ่อคิวรอเปิดตัวในประเทศไทย นั่นคือรุ่นเปลี่ยนโฉม Full Modelchange ของ Nissan ALMERA Full Modelchange ซึ่งยังไม่มีภาพถ่ายใดๆยืนยันความเคลื่อนไหวในการพัฒนาออกมาให้เห็นกันเลยในตอนนี้

Nissan ALMERA Full ModelChange จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง V-Platform ที่ถูกปรับปรุงใหม่ โดยรูปลักษณ์ภายนอกนั้น ด้านหน้า จะมีเค้าโครงจาก Nissan Micra รุ่นล่าสุด ซึ่งทำตลาดในยุโรป ส่วนบั้นท้าย จะได้เส้นสายมาจาก Nissan Altima ใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวในสหรัฐอเมริกา กับจีน (และยืนยันแล้วว่า…ทั้ง Micra และ Altima ใหม่ จะไม่มาเมืองไทยอย่างแน่นอน…ทั้งปีทั้งชาติ ทีของดีๆนะ ชอบเก็บเอาไว้ขายแต่พวกฝรั่งหัวทองกันอยู่ได้ ไม่เคยหรอก ที่จะแบ่งของดีๆเหล่านั้นมาให้คนไทยได้อุดหนุนกันบ้าง)

ไม่เพียงเท่านั้น คราวนี้จะยังมีการเปลี่ยนขุมพลังใหม่ มาเป็นแบบ เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.0 ลิตร คาดว่า จะมีกำลังสูงสุด ประมาณ 100 แรงม้า (PS) เพียงแต่ว่า ยังไม่มีข้อสรุปเร่องกำลังม้าที่แน่ชัด แต่ที่แน่ๆ Almera ใหม่ จะยังคงใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน CVT ตามเดิม

ปัญหาสำคัญของ ALMERA ใหม่ ก็คือ กำหนดการเปิดตัว จริงอยู่ว่า ลูกค้าชาวจีน จะได้ยลโฉม ALMERA ใหม่กันก่อน ในเดือนเมษายน 2019 จากนั้น จึงตามด้วยประเทศไทย ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วง ไตรมาส 4 ปี 2019

ทว่า…นั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ Honda จะเปิดตัว City ใหม่ ขุมพลัง 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.0 ลิตร เช่นกัน แต่มีพละกำลังสูงกว่า คือ 120 แรงม้า (PS) โดยประมาณ

ดังนั้น นอกจากจะต้องคำนึงถึงการทรงตัว และการปรับเซ็ตพวงมาลัย กับช่วงล่าง ให้เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ จนเทียบเท่ากับ Nissan Note หรือดีกว่านั้นแล้ว Nissan จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเซ็ตตัวเลขแรงม้า ให้สูงขึ้นจากเป้าหมายเดิม โดยยังต้องคำนึงถึงการปล่อยก๊าซ CO2 ไม่ให้เกินกว่าข้อกำหนดของรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการ ECO Car Phase 2 ของรัฐบาลไทยด้วย…ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว

ย่างเข้าสู่ปี 2020 ก็น่าจะถึงเวลาที่ Sub-Compact Crossover SUV อย่าง Nissan KICKS จะออกมาขึ้นโชว์รูมในเมืองไทยได้สักที หลังจากเจอโรคเลื่อน โดนดอง เป็นแตงกวา มานานหลายปีแล้ว

KICKS เปิดตัวในตลาดโลก เมื่อ 24 กรกฎาคม 2016 ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง V-Platform เช่นเดียวกับ March Note และ Almera จุดเด่นอยู่ที่ การติดตั้งระบบ Around View Monitor และระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวของวัตถุ ระบบ Chassis Dynamic Control ซึ่งมีทั้งระบบการควบคุมการทรงตัวขณะเลี้ยงโค้ง (Active Trace Control) ระบบสร้างเสถียรภาพขณะวิ่งทางลูกคลื่น (Active Ride Control), ระบบ Active Engine Brake เป็นต้น รวมทั้งพื้นที่ในห้องโดยสาร ที่แก้ปัญหาความคับแคบจาก Juke ได้สำเร็จ

ช่วงแรกที่เปิดตัว KICKS วางเครื่องยนต์ HR16DE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.6 ลิตร 109 แรงม้า (PS) ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT ที่มีอยู่แล้วใน Sylphy เวอร์ชันไทย

ทว่าตอนนี้ ความเคลื่อนไหวล่าสุดก็คือ Nissan กำลังวางแผนจะเปิดตัว Kicks ในประเทศไทย ด้วยรูปโฉมแบบ Minorchange พร้อมทั้งเปลี่ยนขุมพลัง มาเป็นแบบ HYBRID e-POWER (เครื่องยนต์ HR12DE จาก March Almera และ Note เชื่อมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า) เพียงอย่างเดียว ไม่มีเครื่องยนต์สันดาปเพียวๆให้เลือก และนี่เป็น อีกเหตุผลที่ KICKS มาถึงเมืองไทยช้ากว่าปี 2016 นอกเหนือจากเหตุผลซ่อนเร้น ด้านเกมการเมืองในองค์กร Nissan ระหว่างประเทศ บางประการ จนทำให้กำหนดออกขายในเมืองไทย เลื่อนออกไปไกลจนถึงปี 2019

อยากขอเตือน Nissan ไว้ตรงนี้ว่า ลูกค้าในกลุ่ม B-Segment SUV นี้ เป็นกลุ่มที่คล้ายคลึงกับลูกค้าของ Nissan Juke และตามปกติแล้ว กลุ่มลูกค้าของ Nissan มักจะมีการคำนึงถึงเรื่องราคา (Price Sensitive) ค่อนข้างสูง อีกทั้งยังค่อนข้างไม่มั่นใจกับเทคโนโลยี Hybrid ดังนั้น หากเป็นไปได้ ควรมีเครื่องยนต์สันดาปปกติ มาให้ลูกค้าได้เลือก อย่างน้อยสัก 1-2 รุ่นย่อย ก็ยังดี

ขนาด ยักษ์ใหญ่เจ้าตลาด อย่าง Toyota ยังไม่กล้าเสี่ยงเต็มตัว เปิดตัว C-HR ออกมา ด้วยทางเลือกขุมพลังถึง 2 แบบ แบรนด์รองอย่าง Nissan เองก็ควรพิจารณาประเด็นนี้ ให้จงหนัก!

(Photo : www.Autohome.com.cn)

ด้านความเคลื่อนไหวของ รถเก๋ง C-Segment Sedan รุ่นใหม่ ที่จะเปิดตัวทำตลาดแทน Sylphy ภายใต้รหัสโครงการพัฒนา L21B นั้น ล่าสุด มีภาพถ่าย Spysot จากเว็บไซต์ Autohome.com.cn ประเทศจีนหลุดออกมา เมื่อ 12 ธันวาคม 2018 เห็นได้ชัดเลยว่า รูปลักษณ์ภายนอก มีกลิ่นอายจาก Nissan Altima และ Maxima อันเป็น Sedan รุ่นใหญ่สำหรับตลาดอเมริกาเหนือ กันมาเต็มๆ ลบภาพความน่าเบื่อของ Sylphy/Sentra รุ่นเดิมลงไปได้เยอะ ส่วนกระจังหน้าแบบ V-Motion นั้น มาเป็นไฟท์บังคับ หลีกเลี่ยงไม่ได้

ด้านรายละเอียดขุมพลัง ในตลาดโลก จะมีขุมพลัง ให้เลือกหลายหหลาย เน้นหนักไปที่ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ตามเคย นอกจากนี้จะยังมีขุมพลังตัวแรง Hybrid เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Turbocharger พ่วง มอเตอร์ไฟฟ้า มาให้เลือกด้วย แต่เชื่อว่า เครื่องยนต์ดังกล่าว ยังไงๆก็คงมาไม่ถึงประเทศไทย ถ้าตราบใดที่นโยบายของสำนักงานใหญ่ใน Yokohama ยังชอบ กั๊กของดีๆ ไว้ขายชาวยุโรปและลูกค้าบ้านตัวเองกันอยู่อย่างนี้

กำหนดการเปิดตัว Sylphy ใหม่ ในตลาดโลก จะเกิดขึ้นภายในปี 2019 นี้ ทว่า กว่าที่ลูกค้าเมืองไทยจะได้เป็นเจ้าของกัน อาจต้องรอไปจนถึงปี 2020 เลยทีเดียว ผู้เขียนได้แต่คาดหวังว่า เมื่อถึงเวลาที่ C-Segment รุ่นใหม่คันนี้เปิดตัวในบ้านเรา ก็ควรจะเปลี่ยนกลับไปใช้ชื่อ Sentra ซึ่งเคยถูกนำมาใช้ในประเทศไทย ช่วงปี 1986 – 1996 อันเป็นชื่อที่เหมาะสมกับตัวรถ และง่ายต่อการจดจำมากกว่า Sylphy เป็นอย่างยิ่ง!

ด้านรถกระบะ Nissan Navara และ SUV/PPV อย่าง Nissan Terra นั้น ยังคงต้องลากทำตลาด

ท้ายสุด หลายคนที่ถามไถ่ว่า Nissan ยังคิดจะนำ Note e-Power มาทำตลาดในเมืองไทยหรือไม่ คำตอบที่ผู้เขียนยืนยันได้ก็คือ พวกเขาคิด และ วางแผนกันอยู่ เพียงแต่ว่า ไม่ใช่รุ่นปัจจุบัน ซึ่งเปิดตัวในญีุ่่ปุ่นมานานแล้ว ขายดีมานานแล้ว และมีการนำเข้ามาแล่นทดสอบในเมืองไทย นานแล้ว

คราวนี้ Nissan กำลังลองทำในสิ่งที่ต่างออกไป พวกเขาวางแผนจะนำ Note รุ่นต่อไป มาเปิดตัวในประเทศไทย ควบคู่กับการใช้โรงงานผลิตของ Mitsubishi Motors ที่แหลมฉบัง เป็นฐานการผลิตและส่งออก Note รุ่นใหม่ กลับไปยังญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศทั่วโลกอีกด้วย โดยขุมพลังที่จะวางลงใน Note ใหม่เวอร์ชันไทย เป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นเครื่องยนต์ Hybrid e-Power ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ให้มีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงดีขึ้นกว่าเดิม กว่าที่เราจะได้เห็น Note ใหม่ คันจริง อาจต้องรอไปจนถึงปี 2020 – 2021

____________________________

PORSCHE

  • 2019 : Thailand Premier :  911 (992) / Taycan
  • World Premier : 911 Cabriolet / 911 Turbo /911 GT3 / 911 Carrera GTS / Cayenne Coupe
  • 2020 : Cayman & Boxster Full Model Change
  • 2021 : EV Crossover

ปีที่แล้ว AAS ผู้จำหน่าย รถสปอร์ตนำเข้าจากเยอรมนี ทะยอยเปิดตัว Porsche รุ่นใหม่ๆ เพื่อรองรับกับความต้องการของลูกค้า ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจาก Panamera 4 E-Hybrid Sport Turismo เมื่อ 29 มกราคม 2018 ตามมาด้วย การเปิดตัว Cayenne e-Hybrid เมื่อ 14 กันยายน 2018 ปิดท้ายด้วยการเปิดตัว SUV รุ่นเล็ก Macan ใหม่ ในงาน Motor Expo (28 พฤศจิกายน 2018)

ขณะเดียวกัน ในต่างประเทศ รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Modelchange ของรถสปอร์ตรุ่นหลักประจำแบรนด์อย่าง 911 เพิ่งเผยโฉมไปเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2018 บนแท่นหมุนของงาน L.A.Auto Show ใน Los Angeles , California สหรัฐอเมริกาและกลายเป็น Hi-light สำคัญของ Porshce ในปี 2018 เลยทีเดียว

992 มีตัวรถที่กว้างขึ้น ยาวขึ้น และขยายฐานล้อจากรุ่น 991 ออกไปอีก 45 มิลลิเมตรเพื่อเพิ่มความสบายภายในห้องโดยสาร ดีไซน์ภายนอกแม้จะดูคล้ายรถรุ่นเดิม แต่ไฟท้ายใหม่ได้รับอิทธิพลมาจาก Panamera และ Cayenne พอสมควร ส่วนภายในนั้น ปรับเปลี่ยนแดชบอร์ดเป็นแบบใหม่ เพิ่มระบบควบคุมฟังก์ชั่นต่างๆของรถโดยผ่านจอทัชสกรีนแบบที่คล้ายกันกับใน Cayenne

ในช่วงแรกที่เปิดตัว จะมีให้เลือกแค่ 3 รุ่น ได้แก่รุ่น Carrera เครื่องยนต์ Flat-6 3.0 ลิตรทวินเทอร์โบ ปรับเพิ่มแรงม้าจาก 370 เป็น 385 แรงม้า รุ่น Carrera S ซึ่งใช้เครื่องยนต์บล็อกหลักเดียวกับ Carrera แต่ปรับพลังเพิ่มเป็น 450 แรงม้า (มากกว่ารุ่นที่แล้ว 30 แรงม้า และเท่ากับรุ่น Carrera GTS 911) และท้ายสุดกับ Carrera 4S ที่ใช้เครื่องยนต์ 450 แรงม้าบวกกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ระบบส่งกำลัง ในช่วงเปิดตัวจะมีเพียงแค่เกียร์คลัตช์คู่ PDK 8 จังหวะรุ่นใหม่ แต่ในภายหลังอาจมีการนำเกียร์ธรรมดา 7 จังหวะมาใช้ เพราะ Porsche ไม่น่าทิ้งฐานลูกค้าที่ชอบสับเกียร์เองง่ายๆ

ตัวเลขสมรรถนะของ Carrera 4S + Sport Chrono package นั้น ทำอัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายใน 3.2 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 306 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รายละเอียดเพิ่มเติม คลิกอ่านได้ ที่นี่ Click Here

911 รหัสรุ่น 992 มีกำหนดถูกส่งมาเปิดตัวในประเทศไทย อย่างฉับไว ภายในช่วง ครึ่งหลังของปี 2019 นี้ อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่า ช่วงแรก อาจจะมีเฉพาะรุ่นเริ่มต้น ทั้ง Carrera และ Carrera 4S กันไปก่อน

หลังจากการเปิดตัวของ 992 รุ่นปกติ ในปี 2019 ก็จะมีรุ่นอื่นๆทยอยตามออกมาเรื่อยๆ ในภาพบนสุดคือรุ่น Cabriolet ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการทดสอบ และมีกำหนดเปิดตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 2019 โดยรุ่นที่มีให้เลือก ก็จะเริ่มต้นกับรุ่น Carrera Cabriolet และ Carrera S Cabriolet ซึ่งมีแรงม้า 385 และ 450 แรงม้าตามลำดับ รายละเอียดต่างๆก็เหมือนกับตัวคูเป้ ยกเว้นส่วนของหลังคา

คันต่อมาคือ 911 GT3 ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวหนาหู ว่า Porsche จะเลิกใช้เครื่องยนต์ NA รอบจัด 9000 RPM แบบที่ใช้มาตลอดแล้วหันไปคบกับเครื่องเทอร์โบ 3.8 ลิตรแทน แต่ล่าสุดหลังจากที่มีรถทดสอบออกวิ่งแถวๆ Nurburgring และรอบเมือง Stuttgart บรรดาช่างภาพสปายช้อตได้ยินเสียงเครื่องยนต์แล้วบอกว่าเสียงมันไม่เหมือนเครื่องเทอร์โบ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่า 992 รุ่น GT3 นั้นจะยังใช้เครื่องยนต์ 6 สูบนอนไร้เทอร์โบตามเดิม

ซึ่งก็เป็นสิ่งที่สมเหตุผล เพราะถ้าไม่เช่นนั้นแล้วตำแหน่งการตลาดจะทับซ้อนกับ 911 Turbo และ GT2 อย่างไม่ต้องสงสัย เจตนาของผู้บริหาร Porsche เองก็อยากให้มีรถรอบจัดไร้เทอร์โบอย่างน้อย 1-2 รุ่นในค่ายอยู่แล้ว ส่วนระบบส่งกำลัง จะมีทั้งเกียร์คลัตช์คู่ PDK 8 จังหวะตัวใหม่ และเกียร์ธรรมดาซึ่งยังไม่แน่นอนว่าจะเป็นแบบ 6 จังหวะเหมือน GT3 เดิม หรือขยับไปใช้ 7 จังหวะแบบรุ่น 3.0 ลิตรทวินเทอร์โบ ปี 2019 ก็จะได้ฤกษ์เปิดตัวในตลาดโลก และมาถึงไทยในปี 2020

สำหรับคนที่มองหาความไม่ธรรมดา แต่ไม่มีงบพอจะไปเล่นรุ่น 911 Turbo หรือ GT3 ก็คงต้องเลือก 911 Carrera GTS ซึ่งจะมาในแนวทางเดิม คือเหมือนกับเอา Carrera S/ Carrera 4S มาอัพพลัง ติดตั้ง Sport Chrono Package ให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และใช้ล้ออัลลอยแบบ Center-locking พร้อมอุปกรณ์อื่นๆ แต่ขายในราคาถูกกว่าการเอา Carrera S ไปติดตั้งอุปกรณ์เหล่านั้นเพิ่มเติมเอง Carrera GTS จะมีให้เลือกทั้งแบบหลังคาแข็ง ทาร์ก้า และเปิดประทุน มีทั้งรุ่น GTS และ 4 GTS ขับเคลื่อน 4 ล้อ พลังแรงม้าน่าจะเพิ่มจาก 450 ในรุ่นเดิมไปอยู่ที่ประมาณ 480 หรือมากสุด 500 แรงม้า กำหนดการเปิดตัวยังไม่แน่ชัด อาจเป็นเดือนมกราคม 2020 หรือเร็วกว่านั้น

เหตุที่เป็นอย่างนั้น เพราะ Porsche ต้องวุ่นกับการจัดการ Portfolio 911 หลายรุ่นภายในปีเดียว นอกจากจะต้องส่งมอบ 922 Carrera ให้ทันแล้ว ยังต้องเปิดตัวรุ่น Cabriolet, GT3 และอาจจะต้องรวมรุ่น 911 Turbo เข้าไปด้วย ซึ่งสำหรับ 911 Turbo นั้น น่าจะถูกปรับปรุงให้มีแรงม้าสูงยิ่งกว่าเดิม ซึ่งในโฉม 991 รุ่น Turbo S ก็ทำตัวเลขได้ถึง 580 แรงม้า (PS) แล้ว มีแนวโน้มว่า เมื่อ 911 Turbo รุ่นใหม่ คลอดออกมา น่าจะมีกำลังสูงสุดระหว่าง 570-620 แรงม้า (PS) เลยทีเดียว มีกำหนดเปิดตัวในเดือนกันยายน 2019

ความเคลื่อนไหวต่อมา ทางด้านของรถขุมพลังไฟฟ้านั้น มีข่าวมาว่าทีม Porsche ประเทศไทยกำลังเสาะหาช่องทางการบริการเรื่องจุดชาร์จไฟ สำหรับรถยนต์พลังไฟฟ้า ซึ่งดูจากระดับความใหญ่ของโครงการ ไม่น่าจะทำมาแค่ให้ลูกค้า Cayenne หรือ Panamera e-Hybrid เอาไว้ชาร์จเล่นแน่นอน ประกอบกับมีแหล่งข่าวบอกว่าพวกเขากำลังพยายามผลักดันให้ Porsche Taycan (อ่านว่า ทาย คาน ไม่ใช่เทคาน คนโสดอย่าระแวง..ต่อให้อีกกี่ปีคุณก็โสดอยู่ดี) เข้ามาจำหน่าย หรืออย่างน้อยก็ให้คนไทยได้ยลโฉมกันภายในปี 2019 ช่วงปลายปี

มันจะเป็นงานที่หนักมาก เพราะเท่ากับว่าเครือข่ายการชาร์จไฟแบบ VIP รวมถึงการฝึกช่าง ทีมขาย ตลอดจนการเจรจาเพื่อนำเข้ามาขาย การตรวจสอบรับรองจากหน่วยงานรัฐ ทุกอย่างจะต้องทำอย่างเร่งรีบและพลาดไม่ได้เลย หากมาขายได้ทันจริง ต้องปรบมือให้กับทีมไทยซึ่งมีจำนวนคนทำงานอยู่เพียงไม่กี่คน

ข้อมูลเบื้องต้นของ Taycan เท่าที่มีในตอนนี้ ก็คือ จะมีการแบ่งออกเป็น 3 รุ่นย่อย ได้แก่ Taycan, Taycan 4S และ Taycan Turbo (ซึ่งไม่รู้จะเรียกว่า Turbo หาปลาเค็มอะไรทั้งๆที่ตัวรถจะไม่มี Turbo เลยสักลูก) แต่ละรุ่น จะมีขุมพลังในระดับที่ต่างกัน โดยรุ่น Top จะมีกำลังสูงสุด มากกว่า 600 แรงม้า (PS) ทำอัตราเร่ง 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาต่ำกว่า 12 วินาที และแล่นได้ไกล 500 กิโลเมตร (ภายใต้การขับแบบปกติ) ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง และใช้ระบบไฟฟ้า 800V

อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นปี 2018 เคยมีข่าวหลุดมาว่า Porsche จะสร้างรถให้มี 3 ระดับกำลัง คือ 402, 536 และ 670 แรงม้า ดังนั้นเมื่อถึงเวลาจำหน่ายจริง ก็อาจได้ตัวเลขที่ใกล้เคียงกัน Taycan ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า PSM (ย่อมาจาก Permanently Synchronous Motor ไม่ใช่ Porsche Stability Management) สองลูก ติดตั้งที่ด้านหน้าและด้านท้าย ติดตั้งแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ไว้ที่พื้นรถ

ภายในเดือนมีนาคม หรืออย่างช้าที่สุดคือมิถุนายน 2019 รายละเอียดต่างๆน่าจะเผยออกมาครบ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า คันแรกของแบรนด์ Porsche ที่พร้อมจำหน่ายจริงรุ่นนี้

โครงการรถยนต์พลังไฟฟ้าอีกแบบหนึ่งของ Porsche ปรากฏให้เห็นในรถต้นแบบ Porsche Mission e Cross Turismo Concept ซึ่งสร้างออกมาในช่วงต้นปี 2018 เพื่อสำรวจความคิดเห็นของสื่อมวลชน และสาธารณชน หลังจากเก็บข้อมูลได้ครบ ช่วงท้ายของปี ผู้บริหาร Porsche ก็เปิดไฟเขียวอนุมัติให้โครงการเดินหน้าต่อได้ เพราะมีแนวโน้มในการสร้างยอดขายที่ดี จากการเจริญเติบโตของรถ Crossover บวกกับความสามารถที่จะควบคุมต้นทุนโดยใช้โครงสร้างพื้นฐานและระบบขับเคลื่อนทั้งหมดจาก Taycan

ทั้งนี้ เรายังไม่แน่ใจว่ารถ EV รุ่นใหม่นี้จะใช้ชื่อว่า Taycan Sport Turismo หรือเปลี่ยนชื่อใหม่ไปเลย เพราะรถยังอยู่ในขั้นวิจัยและพัฒนา เราอาจต้องรอจนถึงปี 2021 จึงจะเห็นสิ่งต่างๆเป็นรูปเป็นร่างมากกว่านี้

สำหรับ Cayenne Coupe นั้น มีรถทดสอบออกวิ่งพรางตัวอยู่ในเยอรมนีเรียบร้อยแล้ว และคาดว่ารถรุ่นนี้ จะใช้ตัวถังส่วนหน้าร่วมกับ Cayenne แต่ส่วนอื่นๆที่เหลือจะออกแบบใหม่ทั้งหมด ประตูทุกบานต่างกัน แนวหลังคาลาดและเตี้ยกว่า ลักษณะของรถโดยรวมจึงคล้ายกับการเอาท่อนล่างของ Cayenne บวกกับลำตัวส่วนบนของ Panamera (ตามภาพกราฟฟิคที่ได้มาด้านบน)

เครื่องยนต์ต่างๆที่จะมีให้เลือก ยกมาจาก Cayenne SUV ทั้งหมด คือ 3.0 ลิตรเทอร์โบเดี่ยว 340 แรงม้า, 3.0 ลิตรเทอร์โบไฮบริด 462 แรงม้า, 2.9 ลิตรทวินเทอร์โบ 440 แรงม้า, 4.0 ลิตร V8 ทวินเทอร์โบ 550 แรงม้า และ 4.0 ลิตร V8 ทวินเทอร์โบไฮบริด 680 แรงม้า กำหนดเปิดตัวคือช่วงปลายปี 2019 นี้ที่ยุโรป

รถสปอร์ตพิกัดเล็กสุดของค่ายก็มีความเคลื่อนไหวกับเขาเหมือนกัน ในช่วงปลายปี Porsche เผยโฉม 718 Boxster T และ 718 Cayman T ไป แต่นี่ไม่ใช่โมเดลสมรรถนะสูงสุด เพราะที่จริงแล้วมันใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเทอร์โบเดี่ยว 300 แรงม้าร่วมกับรุ่นธรรมดา และแม้จะตัดเอาเครื่องเสียงออก และติดมือจับเปิดประตูแบบใช้สายดึงแทน น้ำหนักตัว 1,350 กิโลกรัมก็ยังมากกว่ารุ่นปกติอยู่ 15 กิโลกรัม ส่วนหนึ่งอาจมาจากล้อที่ขนาดโตกว่า ช่วงล่างที่เป็นแบบ Adaptive Suspension และชุด Sport Chrono Package โดยภายในต้นปี 2019 Porsche จะเปิดราคาขาย โดยใบ้แค่ว่า “ถูกกว่าเอา 718 ธรรมดามาใส่ออพชั่นแบบเดียวกัน ราว 5-15%”

จากนั้นในช่วงท้ายปี ก็จะเป็นคราวของเวอร์ชั่นสั่งลา กับ 718 Spyder ตามที่เห็นในภาพข้างบน ซึ่งมีโครงหลังคาผ้าใบแบบดูง่ายแต่ใช้จริงยากเหมือนกับ 981 Spyder รุ่นก่อน ขุมพลังนั้นต้องปรับเปลี่ยนจากเดิม มันอาจได้ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบนอนเช่นเดียวกับ Cayman GT4 และมีแรงม้าระหว่าง 385-400 แรงม้า หรืออาจเป็นใช้เครื่องยนต์ของรุ่น GTS 365 แรงม้ามาปรับแต่งเพิ่ม ซึ่งไม่มีปัญหาอยู่แล้วที่จะสร้างพลังให้ทะลุ 375 แรงม้าที่ Boxster Spyder รุ่นเดิมทำไว้

โดยปกติ เมื่อ Porsche นำรุ่น Spyder มาขายเมื่อไหร่ มันเป็นสัญญาณบ่งบอกได้ว่ารถโมเดลใหม่จะตามมาในอีกไม่เกิน 1 ปีหลังจากนั้น ดังนั้น แม้เราจะยังไม่มีภาพถ่ายสปายช็อตใดๆ ก็สามารถคาดเดาได้ว่าในปี 2020 ช่วงปลายปี ก็จะถึงเวลาโมเดลเชนจ์ของ Boxster และ Cayman ซึ่งจะมีเครื่องยนต์ 4 สูบเทอร์โบเป็นตัวยืนพื้นเหมือนเดิม แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่ารุ่นพิเศษอย่าง GT4 จะยังได้ใช้เครื่อง 6 สูบนอนอยู่หรือไม่


(Photo : www.Carscoops.com)

Rolls-Royce

  • 2019  : Ghost Model Change & Phantom Special model/ Wraith Minorchange
  • 2020 : Ghost Long wheelbase/ Ghost Electric/ Cullinan Electric
  • 2021 : Dawn MinorChange
  • 2022 : SUV ขนาดเล็กกว่า Cullinan

ความเคลื่อนไหวของ Rolls-Royce ที่สำคัญสุดในปี 2018 ที่ผ่านมา คือการเปิดตัว SUV คันแรกอย่าง Cullinan ในตลาดโลก เมื่อ 10 พฤษภาคม 2018 ก่อนที่ทาง กลุ่ม MGC Asia (Millennium Group) จะสั่งนำเข้ามาเปิดตัวอย่างรวดเร็ว ในประเทศไทย เป็นครั้งแรก พร้อมกับการเปิดโชว์รูมพิเศษ Exclusive Showcase ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่ ICONSIAM เมื่อ 21 พฤศจิกายน 2018 ก่อนจะนำไปเปิดตัวในงาน Motor Expo เมื่อ 28 พฤศจิกายน 2018 ติดป้ายราคาเริ่มต้นสูงถึง 36 ล้านบาท และเริ่มส่งมอบให้กับลูกค้าได้ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นไป !!

Rolls-Royce ตระหนักดีว่าต่อให้ขายรถแพงไม่ง้อลูกค้าขนาดไหน แต่ถ้าอยากอยู่รอดต่อไป พวกเขาก็ควรจะขายรถยนต์ให้ได้มากพอที่จะสร้างกำไรได้ ดังนั้น ในปี 2019 Rolls Royce จึงขยับเป้าหมายยอดขายทั่วโลกเพิ่มเป็น 5,000 คัน/ปี โดยจะเน้นหนักไปที่ Cullinan SUV เป็นหลัก

สิ่งที่คุณควรรู้ก็คือ Cullinan จะไม่ยืนหยัดอยู่กับเครื่องยนต์เพียงแบบเดียว เพราะ SUV รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ ใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบ All-aluminium ซึ่งประยุกต์มาจากโครงสร้างของ Rolls-Royce Phantom 2017 แต่ด้วยความที่เล็งเห็นอนาคตของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า จึงได้ออกแบบให้รองรับการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างน้อย 2 ชุด นั่นแปลว่า เราจะได้เห็น “Cullinan Electric” กันในปี 2020

ส่วนตระกูลน้องเล็กสุด ของ Rolls-Royce นั้น รุ่นแรกที่จะได้คิวเปลี่ยนโฉมก่อนเลยคือ Ghost 4 ประตู ซึ่ง ลากจำหน่ายตัวถังเดิม มาตั้งแต่ปี 2010 คราวนี้จะได้ใช้แพลทฟอร์มใหม่ที่มีเทคโนโลยีระดับเดียวกับ Cullinan และ Phantom และมาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ๆทั้งด้านความบันเทิง ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย ชนิดอัดแน่นเต็มพิกัด ยกยวงมาจาก Phantom VIII และ Cullinan

ส่วนขุมพลัง มีแนวโน้มว่าอาจจะมีการขยับขึ้นไปใช้ เครื่องยนต์ เบนซิน V12 DOHC 48 วาล์ว 6.75 ลิตร Twin-Turbo จาก Phantom VIII ซึ่งจะถูกปรับจูนให้มีกำลังสูงสุด เกินกว่า 600 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด เกินกว่า 780 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ซึ่งจะเป็นขุมพลังที่เปิดตัวก่อนภายในปี 2019 หลังจากนั้นในปี 2020 ถึงจะมี Ghost Electric ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ตามออกมา

(รายละเอียดเพิ่มเติมของ Ghost ใหม่ Click Here!)

ส่วนรุ่น Coupe 2 ประตู อย่าง Wraith และรุ่นเปิดประทุนอย่าง Dawn นั้น เนื่องจากตัวถังนี้เพิ่งเริ่มจำหน่ายจริงไปเมื่อปี 2014 ถือว่ายังมีอายุน้อยสำหรับ Rolls-Royce ดังนั้น ในปี 2019 จึงจะมีการเปลี่ยนแปลงแค่ระดับไมเนอร์เชนจ์เท่านั้น Wraith Series II จะยังคงใช้ขุมพลัง 6.6 ลิตร V12 เทอร์โบ 632 แรงม้าเหมือนเดิม แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดปลีกย่อย เช่นไฟหน้า ไฟท้าย กันชน และอุปกรณ์ตกแต่งในจุดต่างๆเท่านั้น ส่วนเวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์ของ Rolls-Royce Dawn ที่เป็นรถเปิดประทุน จะตามมาในปี 2021

รถยนต์รุ่นใหม่ที่น่าจับตามองจริงๆ ของ Rolls-Royce ก็คือ SUV รุ่นที่ 2 ซึ่งจะเผยโฉมในปี 2022 ซึ่งจะใช้โครงสร้างพื้นฐาน CLAR – CLuster ARchitecture แบบเดียวกับที่อยู่ใน BMW X7 และ X5 โดยจะเป็น Rolls-Royce SUV ที่มีราคาถูกลงกว่า Cullinan และจับลูกค้าได้กว้างขึ้น เพราะในปี 2022 เป้าการขายของ Rolls-Royce อาจเข้าสู่หลัก 10,000 คัน ซึ่งจะเพิ่มความซับซ้อนเรื่องมาตรฐานมลภาวะตามกฎหมายในแต่ละประเทศ

SUV รุ่นนี้ จะถูกประกอบขึ้นที่โรงงานในรัฐ South Carolina สหรัฐอเมริกา แต่จะผลิตแค่โครงสร้างหลักกับชิ้นส่วนภายนอก จากนั้นโครงดิบจะถูกส่งไปที่โรงงานใน Goodwood ที่อังกฤษ เพื่อทำสี ติดตั้งเบาะ ภายใน และเก็บรายละเอียดต่างๆ ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา หรือเครื่องยนต์ที่จะเลือกใช้ แต่การที่ Rolls-Royce มอง Lamborghini Urus/ Bentley Bentayga เป็นคู่แข่ง ก็น่าจะมีการนำเอาเครื่องยนต์ขนาด V8 ของ BMW มาเป็นทางเลือก ในขณะที่เครื่องยนต์ V12 ก็ยังมีอยู่เพราะโครงสร้าง CLAR ก็ทำมารองรับเครื่องยนต์ขนาด 12 สูบเช่นเดียวกัน

____________________________

SUBARU

  • 2019 : New Forester Made in Thailand + Eyesight / XV + Eyesight
  • 2020 :  Legacy Full ModelChange / Impreza Minorchange / New SUV
  • 2021 : Forester e-Boxer New Powertrain upgrade?

เหตุการณ์สำคัญที่ควรบันทึกเอาไว้ สำหรับค่ายดาวลูกไก่ ภายใต้การนำของกลุ่ม Tan Chong Group จากสิงค์โปร์ ในปี 2018 ที่ผ่านมา นอกจากการเปลี่ยนชื่อบริษัทแม่ จาก Fuji Heavy Industries มาเป็น Subaru Corporation ในช่วงเดือนเมษายน 2018 แล้ว ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ช่วงตลอดทั้งปี ของ Subaru ในเมืองไทย ตกอยู่ในภาวะ ระส่ำ และไม่มีใครรู้ชะตากรรม รถเริ่มขายได้น้อยลง มีปัญหาด้านบริการหลังการขาย รวมทั้งขาดแม่ทัพมือฉมังอย่าง คุณตะวัน คำฤทธิ์ ที่ลาออกเพื่อย้ายค่ายไปอยู่ Nissan ในช่วงปลายปี 2016 ทำให้ภายในเกิดความปั่นป่วนพอสมควร

อย่างไรก็ตาม ข่าวดีก็คือ หลังจากค้นพบว่า อยู่ที่ Nissan แล้ว ทำผลงานได้ไม่เต็มที่ สู้กลับมาเป็นแม่ทัพตามเดิมดีกว่า ตอนนี้ คุณตะวัน Come back กลับคืนสู่ Subaru อีกครั้ง สอดรับกับการเปิดตัว Subaru Forester Full Modelchange ประกอบในประเทศไทย อีกครั้ง นับตั้งแต่ปี 1987 หรือ เมื่อ 32 ปีที่แล้ว เป็นต้นมา พอดี นั่นหมายความว่า ทุกอย่างจะเริ่มเข้าที่เข้าทาง และกลับมาเป็นไปในทิศทางที่ควรจะเป็นกันเสียที

สำหรับปี 2019 อาจจะไม่ใช่ปีที่หวือหวานัก ของ Subaru ในเมืองไทย เพราะนอกจาก พวกเขาจะมี XV รุ่นตกแต่งพิเศษ ออกมากระตุ้นตลาด 1 รุ่น รวมไปถึงการติดตั้งระบบ Eyesight และ Forester Made in Thailand รุ่น Top Model ซึ่งจะมีระบบ EyeSight ที่เรารอคอยกันมานาน พร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าได้ ในช่วง เดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2019 แล้ว พวกเขาจะไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่อื่นใดในปีนี้

สำหรับขุมพลัง Hybrid e-Boxer ที่เพิ่งเปิดตัวไปใน Forester เมื่อช่วงกลางเดือนมกราคม 2019 ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ นั้น Feedback จากสื่อมวลชนไทย ที่มีโอกาสได้ลองขับส่วนใหญ่ มองว่า อัตราเร่ง ด้อยไปนิดนึง และยังไม่มีใครรู้ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่แน่ชัด แต่แนวโน้มความคิดเห็น เป็นไปในเชิงบวกมากกว่าลบ ดังนั้น ตอนนี้ Subaru จึงยังชั่งใจอยู่ว่า จะนำ ขุมพลัง e-Boxer มาวางลงใน Forester Made in Thailand ภายในช่วงปี 2020 จะทันหรือไม่ เพราะอันที่จริง โรงงานแห่งใหม่ในเมืองไทยของพวกเขา จัดเตรียมไว้รองรับการประกอบ Forester e-Boxer อยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ถ้าจะรอให้มีการปรับปรุงสมรรถนะ ให้มีอัตราเร่งดีกว่านี้ รวมทั้งประหยัดน้ำมันมากกว่านี้ แล้วค่อยนำเข้ามาประกอบในเมืองไทย ช่วงปี 2021 ก็ยังถือว่า ไม่สายจนเกินไป

อย่างไรก็ตาม พอถึงปี 2020 หากดูจาก Line-up ในต่างประเทศแล้ว บรรดา ญาติพี่น้อง รุ่นนำเข้าจากญี่ปุ่น ทั้ง Legacy Impreza หรือแม้แต่ BRZ ก็จะถึงแก่เวลาจะต้องเปลี่ยนโฉมใหม่ Full Modelchange หรือปรับโฉม Minorchange กันตามแต่ละรุ่น เสียที ถึงเวลานั้น Subaru บ้านเราก็พร้อมจะสั่งนำเข้ามาเอาใจลูกค้ากลุ่มย่อยๆ ที่อยากได้ Subaru ในแบบที่แตกต่างไปจาก XV และ Forester

เมื่อถึงเวลานั้น สิ่งที่ต้องจับตาดูกันต่อไปก็คือ ความเป็นไปได้ ในการสรรหารถยนต์ใหม่ รุ่นที่ 2 เพิ่อจะมาประกอบขาย ในประเทศไทย ร่วมกับ Forester ซึ่งในตอนนั้น แม้จะยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด แต่ดูเหมือนว่า Impreza และ XV หรือไม่ก็ Compact SUV รุ่นใหม่ ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาที่ญี่ปุ่น ดูจะเป็น Candidate ที่มีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น เนื่องจากว่า โรงงานแห่งใหม่ของ Subaru ในประเทศไทย ย่านลาดกระบังนั้น สามารถประกอบรถยนต์ได้ ทั้งเวอร์ชันพวงมาลัยซ้าย หรือขวา เพราะทางญี่ปุ่นเอง ก็มองว่า อยากจะใช้ประเทศไทย เป็นฐานการส่งออกรถยนต์ ไปยังภูมิภาค ASEAN ซึ่งอาจรวมไปถึง Australia & New Zealand ด้วยในอนาคต


SUZUKI

  • 2019 : ERTIGA Full ModelChange / Jimny (Import From Japan) / Ciaz Minorchange /
    All New Carry!!

HighLight สำคัญของ Suzuki ในปีที่แล้ว อยู่ที่การ เปิดตัว Suzuki Swift ใหม่ Generation ที่ 3 (นับตั้งแต่ปี 2003) ในบ้านเรา เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2018 ที่ผ่านมา คราวนี้ Suzuki พยายามบุกตลาดด้วยการจัดกิจกรรมทดลองขับ กับเว็บไซต์ Headlightmag ของเรา ทั้งในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และขอนแก่น ซึ่งพอจะกวาดยอดจองไปได้เพิ่มขึ้นอีกพอสมควร

อย่างไรก็ตาม หลายๆคนก็สงสัยว่า ทำไมไม่ค่อยเห็น Swift ใหม่ บนท้องถนนเมืองไทยกันเท่าใดนัก คำตอบก็เพราะว่า ในช่วงก่อนเปิดตัว ทางโรงงาน คาดการณ์ว่า ลูกค้าน่าจะอุดหนุนรุ่น GL กันเยอะ พอเปิดตัวสู่สาธารณชน กลายเป็นว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ เฮละโล โผล่ไปสั่งจองรุ่น Top กันเยอะมาก ทำให้ต้องมีการปรับกำลังการผลิต และเกิดปัญหา Back Order ค้างอยู่พักใหญ่ กว่าที่สถานการณ์จะค่อยๆคลี่คลาย ก็ใช้เวลาหลายเดือน แม้ยังไม่รุนแรงมากเท่าสมัย Swift Generation 2 ในปี 2012 ก็ตาม

ปี 2019 นี้ Suzuki น่าจะได้ฤกษ์ พร้อมส่งรถยนต์รุ่นใหม่ มากถึง 4 รุ่นรวด ซึ่งถือว่าเยอะที่สุดตั้งแต่พวกเขาเคยเปิดตัวในประเทศไทย มีทั้งรุ่นใหม่สดซิง และรุ่นที่ถูกเลื่อนการเปิดตัว ออกมาจากปี 2018

เริ่มต้นด้วย Sub-Compact Minivan 7 ที่นั่ง อย่าง Suzuki ERTIGA Generation ที่ 2 ซึ่งเพิ่งเปิดตัวใน Indonesia เป็นแห่งแรกในโลก เมื่อ 19 เมษายน 2018

เหตุผลที่ Ertiga มาเมืองไทยล่าช้ากว่ากำหนดการเดิมที่เคยวางกันไว้ในช่วงปลายปี 2018 สืบเนื่องมาจาก Ertiga ใหม่ ได้รับความนิยมจากลูกค้าชาว Indonesia อย่างสูงมาก ทำให้ยอดสั่งจองไหลท่วมทะลักเข้ามา จนโรงงานที่ Indonesia ก็ประกอบไม่ทัน จึงต้องเลื่อนการเปิดตัวในหลายๆประเทศที่เกี่ยวข้อง ออกไปเป็นปี 2019 นี้แทน

Ertiga ใหม่ ถูกพัฒนาขึ้นบนโครงสร้างพื้นตัวถัง Heartech Technology เหมือน Swift ใหม่ มีตัวถังยาว 4,395 มิลลิเมตร กว้าง 1,735 มิลลิเมตร สูง 1,690 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,760 มิลลิเมตร วางเครื่อยนต์ใหม่ รหัส K15B เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,462 ซีซี. DOHC 16 วาล์ว กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก 74.0 x 85.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 ให้กำลังสูงสุด 104.7 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 138 นิวตันเมตร (14.06 กก.-ม.) ที่ 4,400 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือ เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า

พวงมาลัย Rack & Pinion พร้อม เพาเวอร์ผ่อนแรง ระบบกันสะเทือนด้านหน้า MacPherson Strut ด้านหลัง Torsion Beam พร้อมระบบห้ามล้อ ดิสก์เบรกคู่หน้า ดรัมเบรกคู่หลัง เสริมความปลอดภัยด้วยตัวช่วยมาตรฐาน ทั้งระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรกตามน้ำหนักบรรทุก EBD (Electronics Brake Force Distribution) รวมทั้งระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP (Electronics Stability Program)

Ertiga มีกำหนดเปิดตัวในประเทศไทย อย่างเป็นทางการ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2019 นี้ด้วยค่าตัวที่คาดเดาได้เลยว่า แพงกว่าเดิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

สำหรับใครที่ยังคงรอ Sub-Compact Body on Frame SUV ขนาดเล็ก พันธูแท้ อย่าง Suzuki Jimny นั้น ตลอดปี 2018 ที่ผ่านมา มีหลายกระแสข่าวลือก่อนการมาถึง เต็มไปหมด อย่างไรก็ตาม หลังจากเปิดตัวในตลาดญี่ปุ่น เมื่อ 18 มิถุนายน 2018 เมื่อฝุ่นผงเลิกฟุ้งกระจาย ความจริงจึงกระจ่างชัดขึ้น ว่า มันมีอุปสรรคสำคัญรออยู่

Jimny เปิดตัวครั้งแรก เมื่อเดือนเมษายน 1970 และเคยถูกสั่งเข้ามาประกอบขายในบ้านเรา ด้วยชื่อ Suzuki Caribean 1,300 ซีซี ในปี 1988 จนโด่งดัง และขายดิบขายดี ประมาณ 10 กว่าปีเศษ จนถึงกลางปี 2018 Jimny ทำยอดขายสะสมทั่วโลก ได้มากถึง 2,850,000 คัน

รุ่นปัจจุบันถือเป็นรุ่นที่ 4 มีให้เลือกทั้ง Jimny แบบมาตรฐาน พิกัดตัวถังในกลุ่ม K-Car หรือรถยนต์ขนาดกระทัดรัด ที่มีขายเฉพาะในญี่ปุ่น มีขนาดตัวถังยาว 3,395 มิลลิเมตร กว้าง 1,475 มิลลิเมตร สูง 1,725 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,250 มิลลิเมตร วางเครื่องยนต์ รหัส R06A เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 658 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 64.0 x 68.2 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.1 : 1 พ่วง Turbocharger กำลังสูงสุด 64 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 96 นิวตันเมตร (9.78 กก.-ม.) ที่ 3,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือ เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ

ส่วนรุ่นที่จะถูกส่งออกสู่ตลาดทั่วโลก คือ Jimny Sierra มีขนาดตัวถังยาว 3,550 มิลลิเมตร กว้าง 1,645 มิลลิเมตร สูง 1,730 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,250 มิลลิเมตร วางเครื่องยนต์ รหัส K15B เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,460 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 74.0 x 84.9 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.0 : 1 หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ กำลังสูงสุด 102 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 130 นิวตันเมตร (14.06 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือ เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ

ทั้ง 2 ตัวถัง ส่งกำลังผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Part-time ให้ผู้ขับขี่เลือกเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนได้เอง ช่วงล่างแบบ 3-link rigid axel type เสริมด้วยระบบป้องกันล้อหมุนฟรี Electrically Controlled Brake LSD Traction Control, ระบบป้องกันรถไหล Hill Hold Control และระบบควบคุมความเร็ว ขณะวิ่งลงทางลาดชัน Hill Descent Control เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย

ด้วยเหตุที่ Jimny ใหม่ มยอดสั่งจองจากลูกค้าชาวญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก และบางราย ต้องรอกันจนถึงเกือบ 1 ปีเต็ม! ดังนั้น จนถึงตอนนี้ Suzuki ยังตัดสินใจอยู่ว่า จะเพิ่มสายการประกอบ Jimny ใหม่ ที่ ศูนย์การผลิตของตน ใน Indonesia ด้วยหรือไม่? ซึ่งนั่นจะเป็นทางเดียวที่พอจะช่วยให้ราคาขายปลีก ของ Jimny ถูกลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ จากอานิสงค์ของข้อตกลงการค้าเสรี ASEAN Free Trade Area (AFTA) ที่ทำให้ภาษีรถยนต์นำเข้า ระหว่างทุกประเทศในโซน ASEAN เหลือเพียง 0% นั่นจะทำให้ค่าตัวของ Jimny หล่นลงมาอยู่ในระดับที่ลูกค้าซื้อหากันได้สบายๆ คือเหลือเพียง 7 แสนบาทปลายๆ – 8 แสนบาท ปลายๆ

หากไม่ทำเช่นนั้นแล้ว Suzuki Motor Thailand จำเป็นต้องสั่งนำเข้า Jimny จากโรงงานในประเทศญี่ปุ่น อันเป็นฐานผลิตเพียงแห่งเดียว เมื่อรวมภาษีนำเข้าที่ต้องจัดเก็บเต็มอัตราศึก 217% ก็จะทำให้ Jimny มีค่าตัวพุ่งขึ้นไปเแตะที่ระดับ 1.5 ล้านบาท ซึ่งก็จะขายลำบากยากเข็นขึ้นไปอีก

ในเบื้องต้น Suzuki Motor Thailand จะยอมนำเข้า Jimny มาจากญี่ปุ่นก่อน เพื่อทดลองตลาด อย่างเร็วที่สุด คืองาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2019 นี้ ซึ่งถือว่า เร็วกว่าที่เราคาดการณ์เอาไว้พอสมควร กระนั้น เราก็คงต้องทำใจกับค่าตัวที่แพงหูฉี่ ประมาณ 1.5 ล้านบาท จากผลของภาษีนำเข้า ภาษีสรรพสามิต ฯลฯ อีกมากมาย แต่ถ้าตลาดให้การตอบรับดี ก็ยังพอมีโอกาสที่ Suzuki จะตัดสินใจเพิ่มไลน์ผลิต ที่ Indonesia ได้ ดังนั้น เรายังจำเป็นต้องติดตามความเคลื่อนไหวในประเด็นนี้กันอย่างใกล้ชิดต่อไป

ถัดจาก Ertiga ก็จะเป็นคิวของ Suzuki Ciaz Minorchange ECO-Car Sedan ที่มีขนาดตัวถังใหญ่สุด และห้องโดยสารนั่งสบายมากสุดในตลาด แรกเริ่มเดิมที คาดกันณ์ว่ารุ่นปรับโฉม น่าจะเปิดตัวได้ในปี 2018 แต่พอเอาเข้าจริง กว่าที่รุ่น Minorchange จะเปิดตัวสู่ตลาด India ก็ต้องรอกันจนถึง วันที่ 20 สิงหาคม 2018 ที่ผ่านมา จึงจะได้เห็นรูปโฉมคันจริงกันว่า มีการเปลี่ยนกระจังหน้า เปลือกกันชนหน้า และเพิ่มกรอบโครเมียม บริเวณช่องตกแต่ง ทั้ง 2 ฝั่ง ของเปลือกกันชนหลัง รวมทั้งชุดไฟท้ายลายใหม่

แม้ว่าตลาด India จะได้สัมผัสกับเครื่องยนต์ K15B เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,462 ซีซี หัวฉีด EPI 104.7 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.06 กก.-ม.ที่ 4,400 รอบ/นาที พร้อมกับระบบ Smart Hybrid (Mild Hybrid) และรหัส D13 Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,248 ซีซี DDiS 89.7 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 20.38 กก.-ม.ที่ 1,750 รอบ/นาที

แต่สำหรับเวอร์ชันไทย ยังไงๆ ก็ยังคงจะต้องยืนหยัดอยู่กับเครื่องยนต์เดิม K12B ด้วยเหตุผลด้านข้อตกลงในการขอรับการลงทุนตามโครงการ ECO Car Phase 1 จาก BOI นั่นเอง ยังไม่มีการปรับปรุงใดๆ ทั้งสิ้น เว้นเสียแต่ว่า Suzuki เกิดคิดพิลึก นำเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร DualJet จาก Swift ใหม่ มาใส่ให้กับ Ciaz ซึ่งค่อนข้างเป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ

เวอร์ชันไทยของ Ciaz Minorchange น่าจะถูกลากยาวไปเปิดตัวช่วงครึ่งหลังของปี 2019 หลังการเปิดตัว Ertiga เสร็จสิ้นลง ด้วยค่าตัวที่น่าจะแพงขึ้นกว่าเดิมไม่มากนัก

รุ่นสุดท้ายที่จะมีการเปิดตัวในบ้านเรา ในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกับ Ciaz Minorchange นั่นคือ Suzuki Carry กระบะคันเก่ง ขวัญใจผู้ประกอบการ Food Truck ซึ่งจะรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ Full Modelchange ทั้งคัน โดยจะถูกเปิดตัว ใน Indonesia อันเป็นฐานผลิตหลักก่อน ภายใน 1-2 เดือนข้างหน้านี้ ก่อนจะส่งมาเปิดตัวตามติดในประเทศไทย ช่วงประมาณ กลางปี 2019


TOYOTA / LEXUS

  • 2019 : C-HR MY2019 / Fortuner Minorchange / Lexus UX250h / Yaris & Ativ MY2019 / All New Corolla ALTIS
  • 2020 : Hilux Revo Minorchange / Yaris & Ativ Minorchange / Camry Minorchange / Hi-Ace & Commuter Full Model Change / Brand New B-Segment SUV Based on C-HR (TNGA)
  • 2021 : Fortuner Minorchange
  • 2022 : Yaris & Ativ Full Model Change (TNGA)

ปี 2018 ถือเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรของ Toyota ค่อนข้างเยอะ หลายสิ่งหลายอย่าง ถูกแก้ไขปัญหา เพื่อเตรียมการสู่อนาคตวันข้างหน้าที่ดีขึ้น ซึ่งก็ต้องฝากฝีมือไว้กับประธานญี่ปุ่นคนปัจจุบัน Michinobu Sugata เอาไว้ต่อเนื่อง เพราะ Toyota จะต้องเผชิญศึกหนัก ในตลาดรถกระบะ และ รถเก๋งขนาดเล็ก จนกว่าจะถึงปี 2023 กันเลยทีเดียว

เมื่อปีที่แล้ว Toyota ทยอยส่งรถยนต์รุ่นใหม่ เปิดตัวตามกันออกมาเรื่อยๆ ตลอดทั้งปี เริ่มด้วย C-HR ที่เปิดตัวในงาน Motor Expo 2017 แต่ประกาศราคา เมื่อ 11 มกราคม 2018 ท่ามกลางความงุนงง ว่า ไม่เห็นจัดงานเปิดตัวเหมือนรุ่นอื่นๆเขาเลย  จากนั้น เป็นคิวของ Toyota Vios 1.5 GT Street รุ่นเปลี่ยนช็อกอัพพิเศษ (27 สิงหาคม 2018) Toyota Hilux Revo ทั้งรุ่น Rocco 2.4 Smart Cab กับ 2.8 Telematics และรุ่น Single Cab (3 กันยายน 2018) ต่อด้วย Toyota Hiace / Commuter VSC + TRC (3 ตุลาคม 2018) Toyota C-HR ADIDAS Limited 1,200 คัน (4 ตุลาคม 2018) Toyota Yaris Hatchback 1.2 G+ (18 ตุลาคม 2018) Toyota Yaris ATIV 1.2 S+ (22 ตุลาคม 2018) Toyota Ventury MY2018 (24 ตุลาคม 2018) Toyota Camry Full Modelchange (29 ตุลาคม 2018) ปิดท้ายด้วย Toyota Fortuner TRD Sportivo II (9 พฤศจิกายน 2018)

สำหรับปี 2019 Toyota จะกลับมาถล่มตลาดอย่างคึกคักในหลายเซกเมนต์ด้วยกัน เริ่มต้นด้วย การปรับอุปกรณ์มาตรฐานของ C-HR Crossover SUV สุดโฉบเฉี่ยว แถมขับดีเกินคาด ให้โดนใจลูกค้ามากขึ้น เช่นเพิ่มสีตัวถังขาว หลังคาดำ เพิ่มเบาะหนังในรุ่นเบนซินตัวล่างสุด และ เพิ่มล้ออัลลอย 17 นิ้ว ลายใหม่ ให้กับรุ่น Hybrid กำหนดส่งขึ้นโชว์รูม อยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2019 นี้

จากนั้น คิวต่อไป เรายังต้องมาติดตามกันต่อว่า Lexus UX Compact Hatchback Crossover รุ่นนี้ จะยังมีสิทธิ์เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยได้หรือไม่ เนื่องจาก ติดปัญหาเดิมๆ ซึ่งมักฉุดรั้งอนาคตของ Lexus ในเมืองไทยเอาไว้ นั่นคือ ทำราคาไม่ได้ เนื่องจากการกำหนดราคา จากฝั่ง สิงค์โปร์ ก็ยังคงคิดในมุมตามใจตนเองเพียงอย่างเดียว หากเป็นไปได้เร็วที่สุด ก็น่าจะมีการเปิดตัวในช่วงหลังงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2019 ผ่านพ้นไปแล้ว (รายละเอียดของตัวรถต่างๆ และการทดลองขับ สั้นๆ ที่ สวีเดน คลิกอ่านต่อได้ที่นี่ CLICK HERE)

เมื่อผ่านพ้นครึ่งแรกของปี 2019 ไปแล้ว ก็จะถึงเวลาของ HighLight สำคัญ ประจำปีนี้ นั่นคือ Toyota Corolla ใหม่ ล่าสุด มีการยืนยันอย่างแน่นอนแล้วว่า ประเทศไทย ก็จะยังคงได้สัมผัสแค่รุ่น Sedan 4 ประตู ตามเคยเท่านั้น ส่วนรุ่น Hatchback 5 ประตู และ Station Wagon 5 ประตู หมดสิทธิ์ ! แม้ว่าหลายคนอยากให้รุ่นท้ายตัดเข้ามาขายในบ้านเรามากๆ แต่ผู้เขียน (J!MMY) ขอยืนยันว่า ” ไม่มาหนะดีแล้ว ” เพราะเมื่อได้มีโอกาสไปทดลองนั่ง ที่ญี่ปุ่น ช่วงปลายปี 2018 พบว่า พื้นที่โดยสารด้านหลัง เล็กแคบเสียพอๆกับ Mazda 3 รุ่นเก่าๆ เลย ! ขืนเอาเข้ามา คงเสร็จ Honda Civic Hatchback และ Mazda 3 Hatchback แน่ๆ

ด้านขุมพลัง คาดว่านอกจากจะมีเครื่องยนต์ เบนซิน 1.8 ลิตรแล้ว เราอาจได้เห็น ขุมพลัง เบนซิน Hybrid วางลงใน Corolla ใหม่เป็นครั้งแรกในเมืองไทย อีกด้วย กำหนดการเปิดตัว น่าจะเกิดขึ้น ในช่วง ไตรมาส 3 ของปี 2019 โดยยังไม่แน่ชัดว่า Toyota ในบ้านเรา จะยังใช้ชื่อ ALTIS ต่อไปตามเดิม หรือว่าจะลองเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Corolla AXiO เหมือนเวอร์ชันญี่ปุ่น ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในตลาดแดนปลาดิบ พร้อมกับรุ่น Wagon ในชื่อ Corolla Fielder ในเดือนสิงหาคม 2018 นี้ เช่นกัน !

ด้านรถยนต์นั่งกลุ่ม B-Segment ECO Car อย่าง Yaris และ Yaris ATIV ในปีนี้ คาดว่าจะมีการปรับอุปกรณ์ กันอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะมีการปรับโฉม Minorchange ในปี 2020 เราจะไม่ได้เห็นเปลือกกันชนหน้า ซึ่งดูพิลึกพิลั่น ไม่เข้ากับชุดไฟหน้า ในรุ่นปัจจุบันกันอีกต่อไป คาดว่า จะมาพร้อมงานออกแบบที่ฉวัดเฉวียน แต่ลงตัวขึ้นกว่าเดิม แต่กว่าที่ 2 พี่น้อง คู่นี้ จะเปลี่ยนโฉม คงต้องรอกันไปจนถึงปี 2022 เราจึงจะได้พบกับ Yaris & Yaris ATIV Full ModelChange (บนพื้นตัวถัง TNGA) สำหรับตลาดประเทศกำลังพัฒนากัน  และตอนนี้ ยังไกลเกินไปกว่าที่เราจะคาดการณ์ได้ว่า รถรุ่นใหม่ จะมีรายละเอียดอะไรบ้าง

ส่วนอนาคตของ Toyota Vios นั้น ยังดูมืดมนอยู่มาก แม้ว่า รถยนต์ต้นแบบที่มีแนวโน้มว่าอาจเปิดตัวในประเทศไทย ถูกส่งไปเปิดผ้าคลุมในงาน Gaiikindo International Motor Show ที่ Indonesia มาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2017 ในชื่อ Daihatsu DN-F Sedan ซึ่งถ้าพิจารณาจากเส้นสายตัวถังที่ไม่เหมือน Daihatsu ทุกรุ่นที่เคยมีมา รวมทั้งขนาดตัวรถที่ยาว 4,200 มิลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตร สูง 1,430 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อยาว 2,510 มิลลิเมตร และการติดตั้ง เครื่องยนต์เบนซิน รหัส 3NR-VE 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,197 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 72.5 x 72.5 มิลลิเมตร พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Dual VVT-i 88 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 10.8 กิโลกรัมเมตรที่ 4,200 รอบ/นาที แล้ว จะพบว่า รถคันนี้ มีเค้าลางที่ดูเป็นไปได้มากสุด หากจะนำมาพัฒนาต่อเนื่องเป็น Toyota Vios รุ่นต่อไป

หากเป็นไปตามการคาดเดาของผู้เขียน เชื่อว่า Toyota และ Daihatsu จะเปิดตัว Coupe-Like Sub-Compact Sedan คันนี้ ทั่ว ASEAN ในปี 2019 ภายใต้แบรนด์ที่แตกต่างกันของตน ในลักษณะรถยนต์ฝาแฝด Toyota กับ Daihatsu

แต่สำหรับประเทศไทย ยังคงมีความไม่แน่นอนว่า รถคันนี้ จะกลายมาเป็น Vios รุ่นต่อไปหรือไม่ เนื่องจาก หากนำมาประกอบขายในบ้านเรา ก็มีโอกาสจะเกิดความซ้ำซ้อนในตลาดรถยนต์ระดับราคา 700,000 – 900,000 บาท อยู่ พอสมควร สิ่งที่ Toyota มองคือ หากยอดขายของ Yaris Ativ ไปได้ดีกว่านี้ ก็อาจไม่จำเป็นต้องมี Vios โฉมต่อไป แต่ถ้าสถานการณ์ยังเป็นอยู่อย่างทุกวันนี้ ก็ยังพอมีโอกาสที่เราจะได้เห็น Vios รุ่นถัดจากนี้ไปบ้าง แต่ก็ไม่น่าจะเป็นปี 2019 อีกต่อไป

อีกโครงการหนึ่งซึ่งเริ่มต้นมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นแล้ว และจะมีความเกี่ยวข้องกับประเทศไทยเต็มเม็ดเต็มหน่วย นั่นคือ การพัฒนา Crossover B-SUV รุ่นใหม่ บนพื้นฐานโครงสร้างวิศวกรรม TNGA ร่วมกับ Toyota C-HR เพียงแต่ว่า ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่ายข้นก็คือ หาก C-HR มาในรูปแบบของ Coupe Crossover คล้าย BMW X4 ดังนั้น B-SUV คันต่อไป ก็จะมาในสไตล์เดียวกับ BMW X3

ยังเร็วเกินไปที่เราจะสรุปข้อมูลของ B-Segment SUV รุ่นใหม่ จาก Toyota ในเวลานี้ เพราะโครงการพัฒนา เพิ่งเริ่มต้นมาได้ไม่นานนัก สิ่งเดียวที่พอจะยืนยันได้ก็คือ รถยนต์รุ่นใหม่นี้ จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังและโครงสร้างวิศวกรรม TNGA Platform ร่วมกับ C-HR แต่กว่าที่เราจะได้เห็นรูปโฉมของรถคันจริง ก็คงต้องรอกันไปจนกว่าจะถึงกลางปี 2020

ปี 2020 นั้น ยังมีอีกรุ่นหนึ่ง ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นคือ การเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ในรอบ 10 กว่าปี ของรถตู้ Hi-Ace / Commuter ซึ่งจะเปลี่ยนโฉมใหม่ และอาจเปลี่ยนชื่อใหม่ เป็น Toyota GRAN-ACE

เหตุผลก็เพราะว่า คราวนี้ทีมวิศวกรของ Toyota ตัดสินใจ ย้ายตำแหน่งเครื่องยนต์ จากใต้เบาะนั่งคนขับและผู้โดยสาร ด้านหน้า ไปไว้ที่บริเวณหน้ารถ ด้วยเหตุผลเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ขณะเกิดอุบัติเหตุมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ HiACE / Commuter รุ่นปัจจุบัน เป็นรุ่นสุดท้ายที่จะมี หัวเก๋งแบบ ด้านหน้าสั้น 1 Box ซึ่งเป็นรูปแบบรถตู้ที่ชาวเอเซีย นิยมมาตลอด 40 กว่าปี เพราะนับจากนี้ไป รถตู้รุ่นใหม่จะมีด้านหน้า ยื่นออกไป เหมือนรถตู้ยุโรป อย่าง Volkswagen Caravelle หรือแม้กระทั่ง Toyota ProAce (พี่ชายที่ใหญ่กว่า HiACE, Toyota ร่วมมือกับ กลุ่ม PSA Peugeot / Citroen ผลิตขายเฉพาะในยุโรปเท่านั้น)

รายละเอียดด้านวิศวกรรม ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า จะใช้เฟรมแชสซีส์ ของ Hilux Revo , Fortuner , Innova นำมาดัดแปลง เพื่อความเหมาะสมกับลักษณะการใช้งานของตัวรถ รวมทั้งการขยายระยะฐานล้อของรุ่นมาตรฐาน ให้ยาวขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ตามรูปแบบการวางเครื่องยนต์และตำแหน่งล้อคู่หน้าที่จำเป็นต้องยื่นไปใกล้มุมหน้ารถมากขึ้น ด้านขุมพลัง คาดว่าจะมีเครื่องยนต์ Diesel Turbo ตระกูล GD จาก 3 ศรี พี่น้องตระกูล IMV มาเป็นตัวชูโรงอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปข้อมูลในเชิงลึก

กำหนดการเปิดตัว ของ GRAN-ACE ใหม่ จะอยู่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2019 ไปแล้ว และกว่าจะมาถึงเมืองไทย ก็อาจต้องรอไปจนกระทั่งต้นปี 2020 เป็นอย่างเร็วที่สุด

ในปี 2020 Toyota ก็ยังจะต้องปรับโฉม Minorchange ให้กับ Hilux Revo กันอีกครั้ง เพื่อรักษาแชมป์เจ้าตลาดรถกระบะให้อยู่ในอันดับ 1 ต่อเนื่องกันนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ตามด้วย การปรับโฉม Minorchange ให้กับ Fortuner และ Camry ช่วงปี 2021


VOLVO

  • 2019 : All New S60 (ประกอบในอาเซียน) / S40 เปิดตัวในตลาดโลก
  • 2020 : V40 เปิดตัวในตลาดโลก
  • 2021 : XC90 เจนเนอเรชั่นที่ 3 เปิดตัวในตลาดโลก

หลังจากที่ Volvo จัดงานเปิดตัว SUV/Crossover ขนาดเล็กอย่าง XC40 ในเมืองไทย อย่างยิ่งใหญ่ เมื่อ 10 กันยายน 2018 (แต่กว่าจะพร้อมส่งมอบให้ลูกค้าได้ ต้องรอถึงต้นปี 2019) เท่ากับว่า ตอนนี้ รถยนต์ Volvo ที่เก่าและถึงเวลาต้องเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน ก็จะเหลือเพียงแค่ S60 และ V60 ซึ่งจัดเป็นรถยนต์นั่ง Saloon และ Estate ขนาดกลาง ซึ่งเคยสร้างยอดจำหน่าย และฐานลูกค้าได้มาก ในช่วงปี 2010 – 2015 ก่อนที่จะเริ่มมีปัญหากับเครื่องยนต์และเกียร์จาก Ford ในรุ่น 1.6 ลิตร Drive-E ซึ่งมีปัญหาดับกลางอากาศ กว่าจะค้นหาสาเหตุเจอ โดยแม้จะยังไม่มีข่าวยืนยันที่แน่ชัดถึง V60 รุ่นใหม่ แต่แหล่งข่าวจากเว็บไซต์ paultan ก็มีการเผยว่าโรงงานที่ Shah Alam ในมาเลย์เซียจะเริ่มผลิต S60 ซาลูนในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2019 และโรงงานนี้ก็คือแหล่งผลิตรถที่ส่งมาขายในประเทศไทย ดังนั้นก็คาดการณ์ได้ว่าช่วงเวลาดังกล่าว ไทยเราจะได้เห็น S60 รุ่นใหม่ด้วยเช่นกัน แต่ถ้าหากมีการนำเข้ามาขายทั้งคันจากประเทศอื่นก่อน ก็ยังไม่น่าจะมาไทยเร็วไปกว่ากำหนดส่งมอบของรถในประเทศอื่นๆ คือไตรมาสที่ 2 ของปี 2019

S60 เป็นรถรุ่นแรกของ Volvo ที่จะทำตลาดโดยไม่มีเครื่องยนต์ Diesel อีกต่อไป เพื่อยืนยันแนวทางที่ชัดเจนของ Volvo ในการมุ่งเข้าสู่การใช้ขุมพลังแบบ Plug-in Hybrid และมอเตอร์ไฟฟ้าล้วน อย่างไรก็ตาม ยังมีเครื่องยนต์เบนซินเพียวให้เลือกโดยทุกรุ่นจะใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Turbocharger มีทั้งรุ่น T5 กำลังสูงสุด 254 แรงม้า (HP) รุ่น T6 แรงขึ้นเป็น 310 แรงม้า (HP) จากนั้นจะเป็นรุ่น T6 Plug-in Hybrid ที่แรงเพิ่มเป็น 340 แรงม้า (HP) และ T8 Plug-in Hybrid ที่ให้พลังสูงถึง 400 แรงม้า และจากการที่ปัจจุบันในประเทศไทย Volvo มีขุมพลัง T8 ติดตั้งอยู่ใน XC60 ซึ่งเป็นรถคลาสเดียวกับ S60 (ต่างกันที่รูปแบบตัวถัง) ดังนั้นประเทศไทยจึงน่าจะได้ใช้ S60T8 AWD เหลือแค่ว่าจะยังมีรุ่นเบนซินปกติอย่าง T5 มาเป็นตัวเลือกด้วยหรือไม่

อย่างไรก็ตาม การที่ Volvo เปิดตัว S60 โดยเห็นได้ชัดว่ามีขุมพลังเบนซินไร้มอเตอร์ให้เลือก ดูจะขัดกับที่ Hakan Samuelsson ซึ่งเป็น CEO ของ Volvo กล่าวไว้ในปี 2017 ว่ารถยนต์นั่ง Volvo ทุกคันที่ขายจะต้องมีมอเตอร์ไฟฟ้า (ไม่ว่าจะเป็นในรูปของ Plug-in Hybrid หรือเป็นรถ EV) ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นไป ..หรือว่าเพราะ S60 เผยโฉมในปี 2018 เลยไม่นับ?

การเปิดตัว S60 และ V60 ในตลาดโลกก่อนนั้น ทำให้แผนการเดิมที่ Volvo ตั้งใจจะเปิดตัว S40 Saloon ขนาดเล็กที่ใช้โครงสร้างพื้นฐาน CMA ร่วมกับ XC40 ก็เผยโฉมไม่ทันกำหนดสิ้นปี 2018 อย่างที่คาดหวังไว้ เพราะ Priority ในการพัฒนา กลับถูกมอบให้ S60/V60 ซึ่งย้ายจาก 2020 มาเผยโฉมในปี 2018/2019 แทน ส่วน S40ใหม่นั้น อาจต้องและเป็นไปได้ว่าอาจต้องเลื่อนไปเป็นปี 2019 โดยเปิดตัวพร้อมกัน หรือในช่วงระยะเวลาไล่เลี่ยกันกับ V40 ไปเลยคือปี 2020

รูปลักษณ์ของ S40 ใหม่ จะยกมาจาก รถยนต์ต้นแบบ 40.2 คันที่เห็นอยู่ข้างบนนี้ แทบทั้งยวง อันเป็นความตั้งใจที่จะแยกความแตกต่างในงานออกแบบ ไม่ให้เหมือนกับบรรดารุ่นพีในตระกูล ที่ใช้พื้นตัวถัง SPA แต่รายละเอียดต่างๆน่าจะถูกขัดเกลา Tone-down ลงมา กระนั้น แผงหน้าปัด (Dashboard) อาจมีรูปแบบไม่หนีจาก XC40 มากนัก และแน่นอนว่า S40 ก็จะใช้โครงสร้างพื้นฐานและขุมพลังขับเคลื่อนร่วมกัน

หลังการเปิดตัวกองทัพรถยนต์รุ่นใหม่ยก สายพันธ์  ก็จะเป็นไปตามที่ผู้บริหารของ Volvo เคยพูดเอาไว้ว่า เมื่อถึง ปี 2021 SUV รุ่นใหญ่ XC90 ก็จะกลายเป็นรถยนต์ที่เก่าสุดในกลุ่มไปโดยปริยาย กระนั้น พวกเขาก็กำลังเตรียมพร้อมในการพัฒนารุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ Full ModelChange กันอยู่ แม้จะยังไม่มีข้อมูลรายละเอียดรูปภาพหรือรถทดสอบพรางตัวออกวิ่ง แต่ผู้บริหารของ Volvo ที่สวีเดนก็ได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Car Magazine จากอังกฤษว่า XC90 ใหม่มีคิวที่จะเผยโฉมในปี 2021 โดยจะเป็น Volvo รุ่นที่ 2 ที่นำไปผลิตที่โรงงานใน Charleston สหรัฐอเมริกาต่อจากรุ่น S60 โดยจะไม่มีขุมพลังดีเซลหรือเบนซินล้วนให้เลือกอีกต่อไป มีแค่ Plug-in Hybrid หรือพลังแบตเตอรี่+มอเตอร์ไฟฟ้าล้วนเท่านั้น และพอจะคาดเดาได้ว่าก็คงหนีไม่พ้นขุมพลัง 2.0 ลิตร Twin Engine เทอร์โบ+ซูเปอร์ชาร์จ+มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้อยู่ในรุ่นปัจจุบัน แต่อาจมีการปรับปรุงเพื่อลดมลภาวะจากตัวเครื่องยนต์และเพิ่มระยะทางการวิ่ง EV Mode จากรุ่นเดิมไปอีก

และไม่ว่าจะมาในรูปแบบใด การที่รถอย่าง XC90 จะมาขายในไทยได้ก็อาจต้องรอจนถึงปี 2022 ขึ้นอยู่กับความพร้อมในการขึ้นไลน์ประกอบของโรงงานที่มาเลย์ด้วย เพราะในปัจจุบัน XC90 ที่ขายในไทยก็ส่งมาจากโรงงานนี้ การรอจังหวะอาศัยรถที่มาจากมาเลย์จะมีส่วนช่วยในการให้ทางไทยสามารถตั้งราคาที่แข่งขันกับคู่แข่งได้อย่างดุเดือดมากกว่าที่จะขนส่งรถมาจากอเมริกา

คิวต่อไปหลังจากนั้น เราอาจจะได้เห็น Crossover Coupe SUV รุ่นใหม่ล่าสุด ที่จะเข้าทำตลาดแทน V40 รุ่นปัจจุบัน ซึ่งจะถูกสร้างขึ้นบน Platform CMA ร่วมกับ S40 และ XC40 โดยตัวรถ จะฉีกแนวออกไปจากการเป็น Premium Crossover Compact Hatchback จากรุ่นเดิม ซึ่งเคยทำตลาดฟัดกับ Mercedes-Benz GLA , Infiniti QX30 และ Lexus UX ให้กลายมาเป็นคู่ต่อกรกับ BMW X4 แต่กว่าที่เราจะได้เห็นรูปโฉมคันจริง ต้องรอกันอีกนานจนถึงราวๆ ปี 2022 โน่น

Previous Post

N2408028_ใครไม เจอก บต ไม นเข าใจ_part2

Next Post

N2408020_อย ายอมมากไป จนโดนเอาเปร ยบ ละครส นต องมนต_part2

Next Post
N2408020_อย ายอมมากไป จนโดนเอาเปร ยบ ละครส นต องมนต_part2

N2408020_อย ายอมมากไป จนโดนเอาเปร ยบ ละครส นต องมนต_part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N2412071 มตรแท แอร พรสวรรค part2
  • N2412073 ฝนท พย หลอกหล part2
  • N2412059 ไม เช อส งท คนอ นพ ดส ดท ายเห นก บตาเส ยใจมาก part2
  • N2412065 โจ ปากแจ วถามก ญแจรถอย ไหน part2
  • N2412067 เม ยเบอร หน งไม เป นรองใคร part2

Recent Comments

No comments to show.

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.