• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N2808085_อยากได เธอค นเพราะอด ตทำต วไม_part2

admin79 by admin79
August 25, 2025
in Uncategorized
0
N2808085_อยากได เธอค นเพราะอด ตทำต วไม_part2

ถ้าคุณไม่รู้จัก ผมจะเล่าให้ฟังว่า มันคือรายการทอล์คโชว์ กึ่งดราม่าชีวิตมนุษย์ที่โด่งดังพอสมควร เพราะแทนที่จะจับดารามานั่งตอบคำถามหรือกระโดดแหลกกระแทกปุ่ม ฝันที่เป็นจริง นำเสนอเรื่องราวความยากลำบากของคนสู้ชีวิต ดำเนินรายการโดย คุณต๋อย ไตรภพ ลิมปพัทธ์ พิธีกรที่ Hot ที่สุดในยุคนั้น ผลิตโดย บอร์น แอนด์ แอสโซซิเอท และมีสปอนเซอร์รายหลักเป็นผงซักฟอกบรีส (90s ของแท้ ภาพข้างกล่องต้องมีแม่บ้านสูดดมผ้า อารมณ์ราวกับเด็กดมกาว)

วิธีการนำเสนอของทางรายการ ก็คือ รับจดหมายเล่าเรื่องราวจากทางบ้าน จากนั้นก็คัดเลือกเรื่องที่โดนใจ เชิญเจ้าของเรื่องมาสัมภาษณ์ ว่าชีวิตมีความเป็นมาอย่างไร ประสบชะตากรรมอันเลวร้ายอย่างไร และมีวิธีใดที่ใช้เพื่อฟันฝ่าอุปสรรคความยากลำบากนั้น โดยทางรายการจะนำเสนอในรูปแบบละครสั้น ใช้นักแสดงแทน เพื่อให้ผู้ชมเห็นภาพ จากนั้นค่อยตามด้วยการสัมภาษณ์ที่เต็มไปด้วยน้ำตา ก่อนที่จะปิดท้ายรายการด้วยอาต๋อย ไตรภพ มอบรถเข็นขายอาหารที่มีโลโก้บรีสตราแม่บ้านนักดม ให้กับผู้ร่วมรายการเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสู้ชีวิตต่อไป

รายการได้รับความนิยมสูงมากจนต้องขยายความยาวของรายการ เพิ่มวันออกอากาศจากวันอาทิตย์ กลายเป็นเสาร์-อาทิตย์ เรตติ้งพุ่งสูงอยู่สักพักก่อนถึงขาลง ถูกย้ายเวลาออกอากาศ และกลายเป็นตำนานในที่สุด

ผมเองก็อยากมีฝันที่เป็นจริงอย่างนั้นในช่วงวัยรุ่น แต่แทนที่จะเป็นความใฝ่ฝันของคนสู้ชีิวิต มันกลับเป็น…การได้ขับรถเปิดประทุนไปไหนสักแห่งกับผู้หญิงที่สวยที่สุด (อาจจะไม่ใช่ในโลก แต่เอาสายตาเรามองแล้วรู้สึกเคลิ้มฟุ้งๆได้บ้างก็พอ)

ความฝันนี้มันเกิดขึ้น เพราะในสมัยที่ผมยังเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนสาธิตฯสถาบันราชภัฎสวนสุนันทา มีรุ่นพี่ขับ Mercedes-Benz SLK230 R170 สีเขียวน้ำทะเล ผมนั่งมองเขาขับรถผ่านไปพร้อมกับรุ่นพี่สาวสวยคนหนึ่ง..เมื่อเห็นดังนั้น ผมเลยตั้งใจว่าสักวัน ผมจะมีรถเปิดประทุนโก้ๆ มีคนนั่งไปเคียงข้างแบบนั้น จะด้วยวิธีการกำมะลอแค่ไหนก็ช่าง

20 ปีผ่านไป ผมก็มีรายการ..ซึ่งไม่น่าเรียกว่า “ฝันที่เป็นจริง” แต่น่าจะเป็น “ฝัน 1 วันที่เป็นจริง” มากกว่า และแทนที่จะเป็น คุณต๋อย ไตรภพ ไสรถเข็นส้มตำออกมามอบให้ผม มันกลับกลายเป็นพี่ดอม กับพี่ฝน แห่ง Mercedes-Benz Thailand ที่ทำให้ผมได้มีโอกาสแตะ Mercedes-AMG SLC 43 สีดำคันละเกือบ 5 ล้านบาท

แล้วสุภาพสตรีที่นั่งข้างๆจะเป็นใครดีล่ะ? เนื่องจากผมไม่ได้มีคู่รักให้นึกถึงเหมือนใครเขา ทางออกก็คงจะมีเพื่อนหญิงที่อายุรุ่นน้องผม 2-3 ปีคนหนึ่งซึ่งสนิทกันพอควร ทั้งผมและเขาโสดทั้งคู่ (ฝ่ายเขามีคนมาจีบอยู่ ส่วนผมนั่งเฝ้าไร่แห้วมาตลอด) ผมส่งรูปรถให้เธอดูแล้วถามอย่างสุภาพบุรุษสุดใจดีว่า “วันนี้มึงว่างมั้ย?”

สรุปว่าคุณเธอว่าง และแม้ปกติเธอจะไม่ใช่ผู้หญิงบ้ารถ แต่เธอก็ดูสนใจใน SLC43 ด้วยรูปลักษณ์ของมัน ผมจึงมอบหมายให้เธอคิดว่าเราต้องการจะไปไหน ผมยินดีจะวิ่งไปที่ไหนก็ได้ที่ยังมีเชื้อเพลิงให้เติม เธอบอกว่าเราน่าจะไปหาร้านกาแฟนั่งสักที่แถวทองหล่อ

“Perfect” ผมคิด..โรดสเตอร์เยอรมันไฮโซ..สาวสวยวัย 30 up..ร้านกาแฟทองหล่อ..กับผู้ชายไม่หล่อ แถมอ้วนอีกด้วย นี่มันคือ combination ในฝันของผม และน่าจะเป็นวิถีชีวิตแบบที่ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของรถอย่าง SLC หลายคนเลยนี่หว่า! เรามาลองใช้ชีวิตแบบที่เราไม่เคยมีดูสักวันน่าจะไม่เลว

หนึ่งในความฝันที่อยากจะทำ..ก็ต้องเปิดหลังคา ผมขับรถไปจอดรอคุณเธอที่คอนโดไกลนอกชานเมืองแห่งหนึ่ง แล้วก็เปิดหลังคาไฟฟ้าของ SLC43 รอไว้เสร็จสรรพ เธอเดินยิ้มหัวเหม่งมาแต่ไกล ก่อนจะถามผมว่า “นี่จะเปิดหลังคาขับไปจริงๆน่ะเหรอ”

ณ จุดนี้ คุณคงนึกภาพหนังวัยรุ่นอเมริกัน มีผมขับรถเปิดหลังคากับเธอไปถึงร้านกาแฟ ดื่มด่ำกับสายลม และบรรยากาศด้านบนที่เปิดโล่ง..แต่ในความเป็นจริง เราแค่ขับไปที่เซเว่นฯ ในหมู่บ้าน 500 เมตรจากจุดเกิดเหตุ คุณเธอก็บอกให้ผมจัดการปิดหลังคานั่นซะเพราะทนความร้อนของแดดตอนกลางวันไม่ไหว

และแม้ว่าเธอจะดูตื่นเต้นตื่นตาไปกับบุคลิกและลักษณะของรถ แต่ในความเป็นจริงเธอแทบไม่เคยขับรถเกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดังนั้นเมื่อผมแย๊บคันเร่ง SLC43 แค่เพียง 1/3 รถก็พุ่งไปอย่างน่ากลัว ตามมาด้วยเสียงจาก Humanoid Speed Limiter (HSL) ว่า “ช้าๆ แก ชั้นกลัว ชั้นไม่เคยนั่งรถเร็วๆ” พอผมแกล้งกดคันเร่งอีกดอกสองดอก ระบบก็เตือนว่า “แก ชั้นซีเรียสว่ะ”

นับจากนาทีนั้น ม้า 367 ตัวใต้ฝากระโปรงโดนลูกดอกยาสลบยิงไป 330 ตัว อีก 37 ตัวที่เหลือก็เดินอย่างเจียมตัวภายใต้ความเร็วและอัตราเร่งที่ Nissan March บรรทุกเต็มคันยังฮา SLC43 ที่ปิดหลังคาแล้วโดนจำกัดพลัง ก็เหลือค่าแค่รถแคบๆ เสียงหลังคาลั่นๆ ช่วงล่างแข็งแถมดิ้นชวนอึ้กอั้กไปตลอดทาง ทริปไปกลับ 70 กิโลเมตรของเราส่วนมากอยู่ในบรรยากาศนี้ ถ้าไม่นับบทสนทนา เมาท์ชาวบ้านตามประสาหญิงเจอกับชายที่พูดจาภาษาเหมือนเกย์…แค่ว่ามันไม่ใช่เกย์

อย่างไรก็ตาม “ฝัน 1 วัน” ของผมจบลงด้วยดี บางทีอาจจะเป็นเพราะกาแฟอร่อย และกลิ่นน้ำหอมล็องแว็งปะครี (Lanvin Paris) ที่เธอประพรมราวกับน้ำมนต์มานั้นทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาดท่ามกลางเสียงรบกวนจากชุดหลังคาและความดีดเด้งของช่วงล่าง มีบางช่วงที่เธอเปิดโอกาสให้ผมลองกดคันเร่งได้บ้างแต่นั่นก็คืออีก 3 กิโลเมตรจะกลับถึงคอนโดฯเธอแล้ว

มาถึงวรรคนี้ คุณอาจจะจับใจความได้แล้วว่าถ้าเราไม่คิดจะใช้ประโยชน์จากการเปิดหลังคากินลม รถอย่าง SLC43 ก็ดูจะไม่มีประโยชน์อะไรเหลือให้รักอีก..แต่ยัง..ยังก่อน เพราะยังมีอีกหลายสิ่งที่คุณควรเรียนรู้เกี่ยวกับรถคันนี้ก่อนที่จะจ่ายเงินเกือบ 5 ล้านเพื่อซื้อมัน

รถ 1 คันมีเรื่องให้คุณตัดสินมากกว่าแค่คำว่า แรงหรือไม่ นุ่มนวลหรือเปล่า เกาะถนนหรือเปล่า ในลักษณะเดียวกับที่จะมีแต่ผู้ชายบ้าๆแต่งงานกับผู้หญิงแค่เพราะหน้าตา สัดส่วน หรือหน้าอก โดยไม่ได้ค้นหาเสน่ห์นับร้อยที่ซ่อนไว้ ดังนั้นถ้าอยากรู้ มันก็ต้องลองกันให้สุด

และเพื่อเป็นการสมนาคุณผู้อ่าน ไหนๆจะทดสอบ SLC กันทั้งที อย่ากระนั้นเลย พี่หมูกับพี่ J!MMY คุยกับทาง Mercedes-Benz Thailand แล้วขอ SLC300 AMG Dynamic มาทดสอบด้วยอีกคัน จะได้รู้กันไปเลยว่ามันคุ้มหรือไม่ที่จะจ่ายเงินอีก 1 ล้านบาทแลกกับสายพันธุ์ AMG แท้ 6 สูบเทอร์โบขับหลัง!

หากโดยปกติ รีวิวของ Headlightmag จะต้องมีประวัติการพัฒนารถประกอบบทความยาวประมาณน้องๆ แม่น้ำฮวงโห แต่เนื่องจาก SLC รุ่นใหม่นั้น ก็คือ SLK R172 ที่ผ่านการไมเนอร์เชนจ์มานั่นเอง ดังนั้นถ้าคุณต้องการอ่านประวัติการพัฒนาของรถ SLK บอดี้ R172 ล่ะก็ J!MMY เคยเขียนไว้อย่างละเอียดในบทความทดลองขับ SLK200 ตั้งแต่ปี 2013 แล้วล่ะครับ สามารถคลิกที่ลิงค์นี้ เพื่อเปิดอ่านดูได้เลย

ส่วน SLC นั้น Mercedes-Benz เผยข้อมูลเป็นครั้งแรกในวันที่ 15 ธันวาคม 2015 ว่าตระกูล SLK จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น SLC พร้อมทั้งมีการปรับโฉมภายนอก ภายใน รวมถึงเปลี่ยนเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง โดยได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 2016 ซึ่งเป็นวาระฉลองครบรอบ 20 ปีที่ SLK รุ่นแรก (R170) เปิดตัวสู่ตลาดโลก

ทำไมต้องเปลี่ยนชื่อ? เหตุผลสั้นๆครับ..เพราะเบนซ์ต้องการให้ชื่อสื่อถึงตัวรถอย่างที่มันเป็น และมีความสอดคล้องกันกับวิธีการเรียกรถในอนุกรมอื่นๆ (เหรอ?) อย่างเช่น ML เขาก็เปลี่ยนเป็น GLE เพื่อที่จะได้สอดคล้องกับตัว E ซึ่งทำให้คนนึกถึง E-Class ซึ่งเป็นรถขนาดกลางๆของค่าย ส่วน GL ก็คือ Gelanden บ่งบอกว่าเป็นรถประเภทใต้ท้องสูงกว่ารถเก๋งปกติ ดังนั้น GLC ก็คือรถใต้ท้องสูงที่มีระดับเท่ากับ C-Class และ GLA ก็คือ A-Class ยกสูง

ดังนั้น SLK (Sport-Licht-Kompakt) จึงกลายเป็น SLC โดยความหมายของ C ตัวหลังก็คือทั้งขนาดตัว Compact และแสดงถึงระดับของรถว่าใกล้เคียงกับ C-Class ในหลายด้าน แต่ตัวอักษรดังกล่าวกลับทำให้หลายคนนึกถึง Mercedes-Benz ตัวถัง SLC C107 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นคูเป้ ฐานล้อยาว หลังคาแข็งของ SL ตัวถัง R107 ทั้งๆที่รูปแบบและขนาดของรถไม่ได้เหมือนกันเลย

ส่วนความเปลี่ยนแปลงอื่นๆนอกเหนือจากชื่อรถ ก็คือฝากระโปรงหน้าแบบ Arrow-shape ใหม่ มาพร้อมกระจังหน้าแบบ Diamond radiator grill และไฟหน้ากับกันชนทรงใหม่ ส่วนด้านหลังนั้น มีไฟท้ายใหม่ซึ่งเป็นแบบ LED ย้ายชุดไฟเลี้ยวกับไฟถอยหลังจากด้านบนไปอยู่ด้านล่าง กับกันชนท้ายทรงใหม่

จากนั้นทาง Mercedes-Benz ก็ปรับภายในเพิ่มเติมด้วยพวงมาลัยสปอร์ต 3 ก้านแบบใหม่ มาตรฐานที่ดูเกือบจะเหมือนเดิมแต่เปลี่ยนจอ MID ตรงกลางเป็นจอสีแบบเบนซ์รุ่นใหม่ๆ จอกลางที่แดชบอร์ดมีขนาดโตขึ้น เปลี่ยนสวิตช์ควบคุมกับระบบมัลติมีเดียต่างๆและปรับวัสดุตกแต่งอีกเล็กน้อย

สำหรับบ้านเรา Mercedes-Benz Thailand นำร่องด้วย SLC300 ก่อน โดยเปิดตัวในเดือนกรกฎาคม 2016 แล้วตามมาด้วย SLC43 ในเดือนสิงหาคม 2016 โดยทำตลาดบอดี้ SLC ด้วยเครื่องยนต์เพียง 2 แบบนี้เท่านั้น

SLC300 (รหัสตัวถัง WDD172438) มีขนาดตัวถังยาว 4,143 มิลลิเมตร กว้าง 1,810 มิลลิเมตร สูง 1,301 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,430 มิลลิเมตร ความกว้างระยะแทร็คล้อหน้า/หลัง อยู่ที่ 1,551 และ 1,568 มิลลิเมตร ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ  Cd=0.33 ถังน้ำมันมีความจุ 60 ลิตร น้ำหนักตัวรถเปล่าตามที่แจ้งสรรพสามิต อยู่ที่ 1,505 กิโลกรัม

SLC300 AMG Dynamic แบบที่เห็นอยู่นี้มีราคา 3,990,000 บาท โดยการที่เป็นรุ่น AMG Dynamic ทำให้ได้อุปกรณ์เพิ่มเติมมา เช่นกันชนแบบ AMG Dynamic (ส่งผลให้รถยาวกว่าสเป็คมาตรฐาน 10 มิลลิเมตร) ล้ออัลลอย AMG Sport ปัดเงารหัสออพชั่น 91R  ขอบ 18 นิ้ว ซึ่งปกติจะเป็นล้อมาตรฐานของ SLC43 แต่พอมาอยู่กับ SLC300 ก็จะได้ยางที่ขนาดหน้าแคบกว่า นอกจากนี้ Mercedes-Benz Thailand ยังเลือกชุดสปริงและโช้คอัพแบบ Sports (เตี้ยลงประมาณ 10 มิลลิเมตร) มาให้

ส่วน SLC43 (รหัสตัวถัง WDD172466) มีขนาดตัวถังยาว 4,143 มิลลิเมตร กว้าง 1,810 มิลลิเมตร สูง 1,304 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,430 มิลลิเมตร ความกว้างระยะแทร็คล้อหน้า/หลัง อยู่ที่ 1,551 และ 1,568 มิลลิเมตร ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ Cd=0.36 ถังน้ำมันเพิ่มความจุจากรุ่น SLC300 อีก 10 ลิตร เป็น 70 ลิตร น้ำหนักตัวรถเปล่าตามที่แจ้งสรรพสามิตอยู่ที่ 1,595 กิโลกรัม

รถทดสอบของเรา มีราคาตั้งเอาไว้ที่ 4,990,000 บาท อุปกรณ์ต่างๆที่ติดตั้งจะเป็นแบบมาตรฐานของ Mercedes-AMG อยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นชุดกันชนหน้า/หลัง ช่วงล่างที่ใช้สปริงกับโช้คอัพ AMG Sports ลดความสูงจากแบบมาตรฐาน 10 มิลลิเมตร หรือท่อไอเสียแบบ Sports Exhaust แต่สิ่งที่เป็นอุปกรณ์สั่งพิเศษในเมืองนอกแล้วทางเมืองไทยจัดมาให้เลยก็คือล้ออัลลอย AMG 10 ก้านปัดหน้าเงา ขนาด 18 นิ้ว รหัสออพชั่น 607

สำหรับรายละเอียดอุปกรณ์อื่นๆของ SLC ทั้ง 2 รุ่น สามารถดูได้จากกระทู้ที่พี่หมูแกสรุปรวมเอาไว้ให้ คลิกที่นี่ได้ครับ

ถ้าคุณมองจากรูปรถที่ 2 รุ่น จะเห็นได้ว่ามันเหมือนกันราวกับแฝด โดยหากมองจากภายนอก วิธีที่คุณจะสามารถบอกความแตกต่างระหว่าง “Real AMG car” อย่าง SLC43 กับ “AMG Dress-up” อย่าง SLC300 ก็มีเพียงแค่จุดที่ Real AMG แตกต่างจาก AMG Dress-up (SLC300) ก็คือล้ออัลลอย, สปอยเลอร์ท้ายขนาดเล็กจิ๊ดริด (จะเรียกตูดเป็ดยังขืนปากเลย), สัญลักษณ์ “BITURBO” ที่แก้มหน้ารถ, เบรกหลัง (ของ SLC43 มีการเจาะรู) และท่อไอเสีย ซึ่ง SLC300 ออกข้างละ 1 ท่อ แต่ SLC43 ออกข้างละ 2 ท่อ และแค่นั้น กันชนหน้ามีความคล้ายกันมากจนอาจแยกไม่ออกถ้ามองรถวิ่งเข้าหาเราจากด้านหน้า

ส่วนความแตกต่างภายใน รายละเอียดอื่นๆ รวมถึงการขับขี่ และบุคลิกของรถ อ่านต่อได้นับจากวรรคนี้เป็นต้นไป

ระบบล็อคประตู ยังคงเป็น กุญแจแบบ KEYLESS-GO พร้อมระบบกันขโมย Immobilizer หน้าตาเหมือนกับกุญแจของ Mercedes-Benz รุ่นเก่าตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่กุญแจทรงมนทันสมัยแบบของ E-Class W213 ยังดีหน่อยที่คราวนี้ มีปุ่ม Push Start สีเงินสวยงามมาให้เสร็จสรรพ ไม่ต้องเสียบกุญแจแล้วบิดสตาร์ทรถกันอีกต่อไป

ถ้าคุณพกกุญแจมากับตัว ทันทีที่เดินเข้าใกล้รถ ดึงมือจับประตูเข้าหาตัวได้ทันที ไฟเลี้ยวทั้ง 2 ฝั่ง จะกระพริบ เปิดบานประตูกางออกได้เลย และเช่นเดียวกัน เมื่อปิดประตูแล้ว เอานิ้วแตะที่ร่องสี่เหลี่ยม บนมือจับประตูระบบจะสั่งล็อกประตูทั้ง 2 บาน กับฝาห้องเก็บของด้านหลัง

ทั้ง 2 รุ่น ยังคงมีไฟส่องสว่างพื้นที่รอบข้างบานประตู ติดตั้งที่ใต้กระจกมองข้างทั้ง 2 ฝั่ง เพื่อ ช่วยให้คุณเห็น พื้นที่รอบๆตัวรถ เศษหมากฝรั่ง และกองขี้หมาในยามค่ำคืนได้ ก่อนก้าวขึ้นรถ แต่รุ่น SLC 43 จะพิเศษกว่าใครเพื่อน เพราะเมื่อปลดล็อครถ จะพบไฟส่องสว่างเป็นสัญลักษณ์ Mercedes Benz พร้อมโลโก้ ดาวสามแฉก บนพื้นถนน ดูเก๋ไก๋ไม่น้อยในสายตาของบางคน ซึ่งไม่ใช่ผมแน่นอน..ทำเป็นโลโก้ AMG ขนานไปกับตัวรถสิน่าจะดูดีกว่ากันเยอะ

การลุกเข้า – ออกจากตัวรถนั้น ยังคงเหมือนกับ SLK 200 คันเดิม แม้ว่า SLC จะเป็นรถที่มีตำแหน่งเบาะนั่งเตี้ย แต่ผมกลับพบว่า การหย่อน บั้นท้ายลงไปนั่งบนเบาะคนขับนั้น แค่เล็งตำแหน่งขาให้ดีๆ ก็สามารถเข้าไปนั่ง และลุกออกจากรถได้สะดวกกว่า Toyota 86 / Subaru BRZ ชัดเจน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ความสูงจากพื้นถนนจนถึงพื้นเบาะรองนั่ง (Hip Point) ของ SLC สูงกว่า 86 / BRZเล็กน้อย ส่วนการลุกออกจากรถ (โดยเฉพาะสำหรับคนอ้วนมากๆ) ก็ไม่ยาก เอามือขวายันตรงกลอนยึดประตูแล้วดันตัวขึ้นก็ได้แล้ว

บานประตูยังคงเป็นแบบไร้เสากรอบ (Frameless Door) ตามธรรมเนียมของรถยนต์ Coupe และ Roadster ขนาดเล็กในยุคสมัยเดียวกันนี้ แผงประตูด้านข้าง มีพนักวางแขนพร้อมมือจับประตูในตัว แบบยาว ที่สามารถวางท่อนแขนได้สบายพอดี (ถ้าคุณปรับเบาะนั่งลงเตี้ยสุด) ด้านบนทั้ง 2 ฝั่ง เป็นตำแหน่งติดตั้งแผงสวิตช์ปรับเบาะนั่งด้วยไฟฟ้า มือจับเปิดประตูตามปกติ บริเวณนี้ จะตกแต่งด้วยแผงอะลูมิเนียม ตัดกับพลาสติกชุบโครเมียมในบางจุด และใน SLC43 จะมีลำโพงขนาดเล็ก ปะโลโก้ Harman Kardon มาให้ด้วย

น่าเสียดายว่า ด้านล่างของแผงประตู มีช่องใส่ข้วของจุกจิกมาให้ก็จริง แต่มันเป็นเพียงหนังสังเคราะห์ ที่ทำออกมาให้ดูละม้ายคล้ายกับรถสปอร์ตปิดประทุนของ Mercedes-Benz ในอดีตหลายๆรุ่น หากแต่ใช้งานจริงไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะถ้าต้องการวางขวดน้ำดื่มขนาด 7 บาท ไว้ที่ช่องใส่ของดังกล่าวละก็ เลิกคิดไปได้เลย ขวดน้ำจะต้องวางนอนลงไปตลอดเวลา ไม่สามารถจับตั้งขึ้นมาได้

เบาะนั่ง คู่หน้า ปรับตำแหน่งได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า พร้อมหน่วยความจำตำแหน่งเบาะ 3 ตำแหน่ง ครบทั้ง 2 ฝั่ง ทำงานเชื่อมกับพวงมาลัยปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง มีระบบ Easy Entry ถอยเบาะและยก/ถอยพวงมาลัยหลบเพื่อให้เข้าออกรถได้ง่ายๆทั้งในรุ่น SLC300 และ SLC 43 ตัวเบาะนั้นแม้ไม่อาจปรับเอนนอนได้มากนัก เพราะขนาดห้องโดยสารไม่เอื้ออำนวย แต่ก็พอจะปรับพนักพิงเอนลงได้นิดหน่อย เลื่อนเบาะขึ้นหน้า – ถอยหลังได้ และปรับพนักศีรษะได้นิดนึง

โครงสร้างตัวเบาะ และรูปร่างหน้าตา ยังคงเกือบเหมือน SLK รุ่นเดิม คือ ถูกออกแบบให้พนักศีรษะ รวมเข้ากับพนักพิงเป็นชุดเดียวกัน อาจจะแตกต่างเล็กน้อย ตรงบริเวณ ลวดลายและตำแหน่งของการเย็บตะเข็บเข้ารูป ของเบาะรองนั่ง เท่านั้น ในช่วงแรกของการนั่งโดยสาร จึงยังไม่มีปัญหาอะไรมากนัก พนักพิงหลังซัพพอร์ทดีประมาณหนึ่ง พนักศีรษะ ไม่ดันกบาล เบาะรองนั่งมีความยาวกำลังดี ปีกพนักพิงหลังทั้ง 2 ฝั่ง ซัพพอร์ต สรีระผู้ขับขี่และผู้โดยสารขณะเข้าโค้งไว้ได้ กำลังดี สำหรับรถยนต์ประเภทนี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป สัก 1 ชั่วโมง หากคุณยังไม่ยอมจอดรถแวะพักข้างทาง อาการปวดบั้นเอวฝั่งซ้าย ใกล้กับกระดูกสันหลัง จะเริ่มเกิดขึ้น ทางเดียวที่พอจะบรรเทาได้ คือ ปรับยกเบาะรองนั่งให้สูงขึ้นอีกนิดๆ เพื่อลดการลาดชันของเบาะรองนั่ง

คุณอาจจะมองว่ามันเป็นปัญหาส่วนตัวของผู้ขับขนาดใหญ่แบบผม แต่ข่าวดีคือ J!MMY ก็เจออาการที่ว่า เมื่อต้องขับรถต่อเนื่องกันเป็นเวลานานๆ แต่สำหรับ J!MMY นั้น เจ้าตัวบอกว่า พอรับมือได้ แต่กับ เจ้าเติ้ง Kantapong Somchana น้องใน The Coup Team ของเรา ถึงขั้นต้องไปพบแพทย์ จากอาการปวดหลังอย่างเฉียบพลัน กันเลยทีเดียว ทั้งๆที่ตัวมันเองก็อายุเพิ่ง 20 ต้นๆ แถมยังผอมราวตั๊กแตนกิ่งไม้

นอกจากนี้เวลานั่งแล้วแผงประตูซึ่งจะบีบดันไหล่ขวา (เป็นเรื่องปกติของโรดสเตอร์ตัวเล็กแบบนี้ล่ะครับ) ทำให้เวลานั่ง ต้องเอียงตัวไปทางซ้ายมากกว่าปกติถึงจะขยับแขนหมุนพวงมาลัยได้ถนัด ผมกลับรู้สึกว่าแม้ 86/BRZ จะเข้าออกยากกว่านิดหน่อย แต่พอลงไปนั่งแล้วมีเนื้อที่ให้ขยับตัวมากกว่า แม้แต่ Porsche 718 Boxster ก็ยังมีพื้นที่ตรงไหล่ขวามากกว่าเบนซ์นิดๆ ส่วน MX-5 นั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะมีพื้นที่น้อยกว่า SLC ไปอีก จึงเป็นรถที่คู่ควรกับคนผอมเท่านั้น

เข็มขัดนิรภัยของทั้ง 2 รุ่น เป็นแบบ ELR 3 จุด พร้อมระบบ ลดแรงปะทะ และดึงกลับอัตโนมัติ Pre-tensioner & Load Limiter เฉพาะรุ่น SLC 43 สายเข็มขัดทั้ง 2 ฝั่ง จะเป็นสีแดง เช่นเดียวกับ Mercedes-AMG A45 และ CLA 45

ส่วนตัวเบาะนั่งนั้น ทาง Mercedes-Benz Thailand มีเบาะให้เลือก 4 สี คือ สีดำล้วน, ดำตัดขาว, น้ำตาล และสีดำตัดแดง ซึ่งรถที่นำเข้ามาก็จะจัดสีเบาะให้เข้ากับตัวรถ เช่นรถสีเข้มอาจได้เบาะดำ รถสีอ่อนอาจได้เบาะสีดำตัดแดง แต่ถ้าลูกค้าต้องการสั่ง Combination สีรถกับเบาะที่ไม่ตรงกับรถที่นำเข้า ก็อาจจะใช้เวลารอรถนานหน่อย (ส่วนตัวผมชอบเบาะสีน้ำตาล ไม่ก็ดำตัดแดง)

พื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง ยังคงมีขนาดเท่าเดิม คือ 225 หรือ 335 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA เยอรมัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่า คุณจะเปิด หรือ ปิดหลังคาพับเก็บลงมาในห้องเก็บสัมภาระด้านหลังด้วย หรือไม่ ถ้าต้องการพับหลังคาลงมา ต้องดึงถาดพลาสติกแบบคว่ำ ให้เลื่อนมา ลงล็อกอย่างที่เห็นในภาพแรกด้านบนนี้ มิเช่นนั้น หลังคาจะเปิดพับไม่ได้ เพราะไม่มีที่เก็บ (ในความเป็นจริง ถาดที่ว่า อาจจะเด้งกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิมของมันได้ ถ้ารถตกหลุม หรือตัวล็อกเริ่มเสื่อมสภาพ)

รุ่น SLC43 จะมียางอะไหล่ใส่ห่อ วางเอียงเอาไว้แบบนั้น ทำให้สงสัยว่าพื้นที่จุสัมภาระจะได้ตัวเลขตามมาตรฐาน VDA จริงหรือไม่ และยังทำให้พื้นห้องเก็บสัมภาระไม่เรียบ จากเดิมที่ไม่ได้โตอยู่แล้ว

แต่พอเป็น SLC300 ก็จะได้พื้นฝากระโปรงท้ายแบบเรียบกลับมาเหมือนสมัยเป็น SLK200 โดยเมื่อยกพื้นห้องเก็บของขึ้นมา จะพบยางอะไหล่ขนาดเล็ก หน้าตาเหมือนกับที่พบใน SLK รุ่นเดิม และมีเครื่องมือประจำรถแถมมาให้ ตามมาตรฐานของรถเยอรมัน และมีชุดปฐมพยาบาล (Made in Thailand) แถมมาให้ด้วยแม้ว่าเมื่อเอา VIN ของรถไปเช็คตามเว็บไซต์แล้วจะเจอคำว่า First Aid Kit Deletion ก็ตาม (E-Class CKD ก็เจอแบบเดียวกัน)

สำหรับคนที่คิดจะบรรทุกสัมภาระเดินทางไกลๆกับแฟน ผมแนะนำว่าอย่าหาเรื่องนอนเกิน 2 คืน ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะไม่รู้ว่าควรจะเอากระเป๋าใบใหญ่ของแฟนไว้ตรงไหน ส่วนใครก็ตามที่เป็นนักกอล์ฟ..คุณพ่อของผม ผู้ซึ่งถือคติว่ารถที่ใส่ถุงกอล์ฟด้านท้ายไม่ได้คือรถที่ไร้ประโยชน์ ก็ลงทุนเอาตลับเมตรมาวัดความกว้างห้องสัมภาระให้ แล้วก็พบว่ามันไม่สามารถยัดถุงกอล์ฟใบโปรดของท่านได้

ทางเดียวที่จะทำได้ ก็คือต้องใช้ถุงกอล์ฟแบบหัวนุ่ม สูงไม่เกิน 130 เซนติเมตร และอาจจะต้องเอาหัวไม้ 1 ที่ยาวมากๆออกไปด้วย ดังนั้น Golfer ทั้งหลายที่เตรียมจะจอง SLC..คุณอาจจะอยากลองเอาถุงกอล์ฟใบโปรดไปลองวัดดูก่อนนะครับ

แผงหน้าปัด ยกชุดมาจาก SLK รุ่นเดิม ช่องแอร์ ทุกตำแหน่ง ยังคงเป็นพลาสติกชุบโครเมียม แบบวงกลม สี่แฉก หมุนแฉกตรงกลางเพื่อปิด-เปิดช่องรับอากาศ หรือขยับเลื่อนขึ้น-ลง ซ้าย-ขวา  เพื่อปรับทิศทางแอร์ ตามใจชอบ มีการเปลี่ยนวัสดุแค่ในบางจุดเพื่อให้ดูทันสมัยขึ้น และมีนาฬิกาอนาล็อกเพิ่มขึ้นมาด้านบนตอนกลางของแดชบอร์ด

ในยามค่ำคืน จะมีแสงไฟ Ambient Light สีแดง หรือ “ไฟไดหมึก” บริเวณขอบทั้ง 2 ฝั่งของแผงประตู ใต้พื้นที่วางแขน และขอบทั้ง 2 ฝั่งของแผงควบคุมกลาง รวมทั้ง ไฟส่องพื้นที่วางขา จะสว่างขึ้นมา เพื่อสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร ให้ดู “วาบหวาม” ขึ้น
เหมือนอยู่ใน Lounge นิดนึง สามารถปรับเลือกได้ 3 สีคือแดง, ขาว และน้ำเงิน

แถบโค้ง ที่โผล่ขึ้นมาทางกลางแผงหน้าปัด และอยู่ตรงกลางระหว่าง เสาค่ำยันเหนือเบาะนั่งทั้ง 2 ฝั่ง เป็น สัญญาณไฟแจ้งเตือนของระบบเซ็นเซอร์ช่วยการจอด Parktronic ว่า เข้าใกล้วัตถุแค่ไหนแล้ว เหมือนเช่น Mercedes-Benz คันอื่นๆ

บรรยากาศในห้องโดยสารโดยรวม ถ้าไม่คิดว่ามันคือชุดภายในที่ยกมาจาก SLK มันก็มีดีไซน์ที่สวยงาม เหมาะสมกับรูปแบบของรถประเภท Roadster โดยจุดที่ทำให้สังเกตได้ถึงความเก่า ก็คงเป็นเรื่องขนาดของจอกลาง (เพราะแดชบอร์ดถูกออกแบบในยุคที่จอยังไม่ใช่ส่วนสำคัญของรถมากขนาดนั้น) และปุ่มควบคุมต่างๆ โดยเฉพาะปุ่มคุมจอกลางที่ยังไม่เป็น Touchpad แบบ Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆ ในความเห็นส่วนตัวผม..มันก็ยังดูดีอยู่โดยเฉพาะตอนกลางคืน แสงไฟและการตกแต่งทำให้ห้องโดยสารดูมีเสน่ห์แบบผับหรูๆอย่างที่เบนซ์ส่วนมากเป็นกัน

ด้านหลังพนักพิงศีรษะ จะเป็นคานกันกระแทก (Roll-over bar) ซึ่งทั้ง SLC300 และ SLC43 สเป็คไทยจะได้ Airguide Package (Code 283) ที่มี Roll-over bar สีเงิน กับแผ่นกันลมตีกลับเข้าห้องโดยสารแบบโปร่งใสสามารถหมุนมาปิดพื้นที่ระหว่างศีรษะคนนั่งและคนขับได้บางส่วน

ด้านขวาสุดของแดชบอร์ด (ซ่อนอยู่หลังพวงมาลัย) จะมีชุดสวิตช์ไฟหน้าแบบหมุน สำหรับปรับไว้ตำแหน่ง A (Auto) เพื่อให้ไฟทำงานเองโดยอัตโนมัติได้ ถัดมาทางซ้าย จะเป็นชุดสวิตช์ไฟตัดหมอกหลัง และเยื้องขึ้นไปหน่อย ก็จะมีปุ่มสตาร์ทสีเงินสวยงามอยู่แทนที่ช่องเสียบกุญแจของเดิมใน SLK ส่วนสวิตช์เบรกมือไฟฟ้าจะอยู่ข้างล่าง ต้องเอื้อมเล็กน้อย ไม่มีสวิตช์สำหรับ Auto Brake Hold เพราะระบบของเบนซ์ใช้วิธีเหยียบเบรกย้ำลึกๆตอนจอด ระบบจะทำงานเลย

พวงมาลัยแบบ 3 ก้านแบบใหม่ ท้ายตัดยิ่งกว่าพวงมาลัยของ SLK200 เดิม  มีส่วนกระชับมือ พร้อมลายจุดที่ทำให้สากมือกว่าปกตินิดๆ บริเวณตำแหน่ง 3 และ 9 นาฬิกา เป็นพวงมาลัยที่ออกแบบมาได้ดี จับถนัดมือไม่ว่าจะเป็นยามเดินทางไปเรื่อยๆ ภายใต้สปีดลิมิตของแฟนคุณ หรือโลดแล่นไปบนทางโค้ง โดยเฉพาะเวลาเลี้ยวครบวงแล้วต้องปล่อยมือมาจับไขว้ (Cross-hand) ในโค้ง U-Turn บอกได้เลยว่าถนัดมือนักซิ่งจนนึกว่ากำลังจับพวงมาลัย WRX STi อยู่ มี Paddle shift มาให้ทั้งรุ่น SLC300 และ SLC43

คอพวงมาลัยฝั่งซ้าย ยังคงเป็นตำแหน่งที่อยู่อาศัยของทั้ง ก้านสวิชต์ไฟเลี้ยว ไฟสูง และระบบบังคับใบปัดน้ำฝน (หมุนที่หัวก้านสวิตช์) ใบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ พร้อมยังมี Rain Sensor วัดปริมาณน้ำฝน เพื่อเพิ่มหรือลดการปัดให้เหมาะสมจากโรงงาน นอกจากนี้ ยังมีก้านของทั้งระบบควบคุมความเร็วคงที่ Cruise Control กระดกก้านเข้าหาตัวล็อคความเร็วได้ในทันที พอกระดกสวิตช์เบาๆซ้ำก็เป็นการเพิ่ม/ลดความเร็วครั้งละ 1 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถ้ากระดกแรงหน่อยจะเพิ่ม/ลดทีละ 10 กิโลเมตร/ชั่วโมง

นอกจากนี้ยังมี Speed Limit Assist ในตัว เช่นเดียวกันกับ  Mercedes-Benz รุ่นอื่นๆ การใช้งานก็คือ ถ้าต้องการขับด้วยความเร็ว บนทางด่วน ไม่ให้เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็กดก้านสวิชต์ลงไปให้ไฟสีเหลืองอำพันติดสว่างขึ้นมา แล้วยกก้านสวิชต์ กระดกขึ้นไปจนสุด 1 ครั้ง เพียงเท่านี้ ต่อให้เหยียบคันเร่งจมมิดความเร็วของรถ ก็จะอยู่ที่แค่ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง หรือที่เราตั้งค่าไว้เท่านั้น

ชุดมาตรวัดเป็นแบบ 2 Pod แยกซ้ายขวา มีจอ Multi-Information Display อยู่ตรงกลาง ซึ่งถ้าสังเกตเทียบกับ SLK200 ที่เราเคยขับหลายปีก่อน ก็จะเห็นได้ว่าจอกลางเปลี่ยนมาเป็นแบบสีตามยุคสมัย (ถ้ายังให้มาขาวดำแบบเดิมพ่อจะชกจอให้แตก)

รูปแบบของมาตรวัด เรียบง่ายและสวยงามพอประมาณ พื้นมาตรวัดบางส่วนทำเป็นลายตารางหมากรุก ส่วนกลางคืน ตัวเลขบนมาตรวัดจะเรืองแสงจากข้างหลังเป็นสีขาว ตัดกับเข็มสีแดง ซึ่งช่วยให้อ่านค่าได้ไม่ยาก ถึงไม่ตระการตาแบบพวกมาตรวัดจอ TFT ยุคใหม่แต่ก็ดูลงตัวกับรูปแบบของรถที่เป็นสายซิ่งกินลมดีแล้ว

หากมองเผินๆ คุณอาจจะนึกว่า SLC300 กับ SLC43 ใช้มาตรวัดชุดเดียวกัน แต่จริงๆแล้วมันต่างกันครับ อย่างแรกเลย มาตรวัดความเร็วของ SLC43 จะไปสุดที่ 280 กิโลเมตร/ชั่วโมง จากนั้นสังเกตแถบแดงบนมาตรวัดโดยเฉพาะที่วัดรอบ จะมีลวดลายต่างกัน

ส่วนจอ MID ขนาด 4 นิ้วตรงกลางนั่น สามารถแสดงค่าได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Trip Meter, อัตราการสิ้นเปลือง, ความเร็วเป็นตัวเลขดิจิตอล นอกจากนี้ การที่ SLC ยังใช้ Software Interface จอกลางที่ค่อนข้างเก่า ทำให้การปรับตั้งค่าต่างๆของตัวรถต้องมาทำบนจอหน้าปัดนี้แทนที่จะเป็นจอกลาง คุณสามารถเซ็ตค่าต่างๆ เช่น ให้กระจกพับเวลาล็อครถ, ให้มีเสียงแตรเวลาล็อครถ, ตั้งระบบล็อครถอัตโนมัติ, ปิด/เปิดไฟ Daytime Running Light, ปรับความสว่างและสีสันของ Ambient Light, ปรับการทำงานของระบบ Active Braking และระบบความปลอดภัยต่างๆ ทุกอย่างต้องกระทำผ่านจอนี้ โดยใช้สวิตช์เลือกและกด OK ที่ก้านซ้ายของพวงมาลัย

สิ่งที่ผมชอบมากและมีในเฉพาะ SLC43 ก็คือชุด AMG Meter ซึ่งแสดงค่าความเร็วไปพร้อมๆกับ อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง อุณหภูมิน้ำในหม้อน้ำ และอุณหภูมิน้ำมันเกียร์ นี่คือสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับการขับในสนามแข่ง และ SLC43 ก็มีมาให้ ถึงแม้เวลาอ่านค่าจริงๆจะยากสักหน่อยเพราะตัวเลขมันเล็ก และยังขาดวัดบูสท์อยู่ก็ตาม (พูดตามตรงว่าอยากลองออกแบบจอนี้ให้ใหม่ ผมคิดว่ามันน่าจะจัดเรียงให้อ่านค่าได้ง่ายและครบกว่าที่เป็นอยู่)

Previous Post

N2808081_ความโลภบ งตา_part2

Next Post

N2808084_ชายหร อแมงดา_part2

Next Post
N2808084_ชายหร อแมงดา_part2

N2808084_ชายหร อแมงดา_part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N2412071 มตรแท แอร พรสวรรค part2
  • N2412073 ฝนท พย หลอกหล part2
  • N2412059 ไม เช อส งท คนอ นพ ดส ดท ายเห นก บตาเส ยใจมาก part2
  • N2412065 โจ ปากแจ วถามก ญแจรถอย ไหน part2
  • N2412067 เม ยเบอร หน งไม เป นรองใคร part2

Recent Comments

No comments to show.

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.