• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N2808015_ทำให กอย าง บอกไม ดอะไร_part2

admin79 by admin79
August 25, 2025
in Uncategorized
0
N2808015_ทำให กอย าง บอกไม ดอะไร_part2

Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม 2012

ผมยืนอยู่ในบูธของ Mercedes-Benz Thailand หลังการแสดงประชันดนตรี ระหว่าง Dr.Alex Paufler CEO
ของ MBTh กับพี่ Koh Mr.Saxman อย่างเมามันส์ และน่าตื่นตาตื่นใจ จบสิ้นลงไปได้ราวๆ 1 ชั่วโมงเศษ

เก๋า Zipboy นักเขียนรีวิวโทรศัพท์มือถือ และ แฟนหนุ่มของเขา ผุดลุกผุดนั่งอยู่ใน B-Class คันสีแดงแปร๊ด
ที่จอดสงบนิ่งอยู่ ด้วยความรู้สึกชื่นชมยินดี ตามประสาคนที่มีความฝันว่าสักวัน จะต้องเป็นเจ้าของรถยนต์ตราดาว
ให้ได้สักคัน

ผมก็ตามเข้าไปลองนั่งดู แบบผิวเผิน แล้วก็พบว่า มันไม่น่าสนใจเท่าไหร่ ได้แต่นึกในใจว่า คงไม่ต้องทำ
บทความ Full Review หรอก…ใครมันจะไปสนใจซื้อ….Benz แปลกๆ แบบนี้

4 เดือนให้หลัง ผมพบว่า ผมคิดผิด…หวะ (ครับ) !

ประมาณปลายเดือนมิถุนายน ผมคุยโทรศัพท์กับ พี่ป้อม เยาวเรศ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ MBTh ว่าจะติดต่อ
ขอยืม SLK มาทำบทความรีวิวสักหน่อย…ปัญหามีอยู่ว่า ตัวรถ เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆมากมาย สภาพก็ใกล้จะ
เข้าสู่เลขไมล์ 10,000 กิโลเมตร ซึ่งได้กำหนดจะต้องถอนกลับไปปรับสภาพ แล้วนำออกจำหน่ายในฐานะ
รถยนต์มือสอง ตามมาตรฐานของ Mercedes-Benz Thailand แล้ว

“อืม..เอางี้ เอา B-Class ไปขับไหม?”

โห! พี่ป้อม…จากรถสปอร์ต 2 ที่นั่งเปิดประทุน แปลงร่างเป็นรถขนผ้าอ้อม 5 ที่นั่ง ทรง Tall Boy แถมยัง
เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้าของ Mercedes-Benz เนี่ยนะ?? พลิกอารมณ์แทบไม่ทันกันเลยทีเดียว ! (ฮา)

แต่..สมองอีกฝั่ง มันตะโกนก้องในหูว่า “เฮ้ย ไอ้จิม เอ็งลองดูก่อนสิ! มันไม่เสียหายหรอก คิดดูสิ โอกาส
จะลองขับ Mercedes-Benz ขับเคลื่อนล้อหน้าเนี่ย มันไม่ได้มีบ่อยๆนะเว้ยเฮ้ย!”

ผมก็เลยตอบตกลงกับพี่ป้อมไป และลืมไปเลยว่า เรามีเวลา 3 วัน 2 คืน เท่านั้นที่จะอยู่กับรถคันนี้…เพื่อที่
ท้ายสุดแล้ว ผมเริ่มพบว่า อยากจะขอยืดเวลาอยู่ด้วยกันออกไปอีกสักวันเดียว ก็ยังดี

B-Class รถนอกสายตา ม้านอกฝูง คันนี้ มีหน้าตาที่ดูรู้ว่าพยายามตั้งใจให้มีเส้นสายโฉบเฉี่ยว บนเรือนร่าง
มาตรฐานของ รถขนผ้าอ้อม 5 ประตู 5 ที่นั่ง ที่ชาวเยอรมัน นิยมตั้งฉายา เรียกรถประเภท Minivan แบบนี้

แต่ภายใต้รูปลักษณ์ ที่คุณเห็น ผมกลับพบความ “น่าแปลกใจ” ในหลายๆประเด็น แทบจะทั้งคันเลยก็ว่าได้

Benz บ้าอะไรวะ ตัวก็เหมือนจะใหญ่ แต่ก็เล็ก ดูเหมือนจะเล็ก แต่ข้างในกลับใหญ่โต แรงก็ใช้ได้ แถมยัง
ประหยัดบ้าระห่ำ ค่าตัวก็ดันมาแปลก คือตั้งราคาพอกันกับ C-Class ประกอบในประเทศไทย 1 คัน ที่ระดับ
2,490,000 บาท! นี่ยังไม่นับกับความแปลกประหลาดในอีกหลายรายการ จน รถคันนี้กลายเป็นรถที่รวมเรื่อง
แปลกๆ เอาไว้ในตัวเอง เยอะใช้ได้เลย

ไปดูกันดีกว่า ว่ามันแปลกตรงไหนอย่างไร และควรเปิดใจยอมรับ จนถึงขั้นซื้อหามาขับขี่กันดีหรือเปล่า?

แต่ก่อนอื่น สำหรับใครที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่า มี Mercedes-Benz ขับเคลื่อนล้อหน้า รุ่นนี้อยู่ในโลกด้วยแล้ว
มันจำเป็น ที่คุณควรจะเริ่มอ่าน ย่อหน้าข้างล่างนี้ ให้จบก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาของตัวรถล้วนๆในลำดับถัดไป

ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 ตั้งแต่ก่อนช่วงที่จะเข้าร่วมกิจการกับ Chrysler เป็น DaimlerChrysler ในปี 1998
Mercedes-Benz มีแนวคิดที่จะขยายทางเลือกของรุ่นรถยนต์ และรูปแบบของตัวถัง ให้ขยายออกไป มากกว่า
ที่เคยมีมา นอกเหนือจากรถสปอร์ตเปิดประทุนขนาดเล็ก รถยนต์ Coupe 2 ประตู ขนาดเล็ก หรือแม้แต่รถยนต์
ตรวจการอเนกประสงค์ SUV แล้ว หนึ่งในรูปแบบรถยนต์ ที่พวกเขาคิดอยากจะสร้างกันก็คือ รถยนต์ Minivan
ในรูปแบบที่แตกต่างไปจาก คู่แข่งทั่วไปในตลาด มันต้องมีบุคลิกของรถเก๋ง Sedan และรถยนต์ตรวจการแบบ
5 ประตู Station Wagon ผสมผสานเข้าไปด้วย

อย่างไรก็ตาม เมื่อ Mercedes-Benz A-Class รุ่นแรก ที่สร้างขึ้นบนโครงสร้างวิศวกรรมขับเคลื่อนล้อหน้า แบบ
Sandwich Platform เปิดตัวสู่ตลาดในปี 1997 สื่อมวลชนในยุโรป เริ่มเดาทางได้ว่า น่าจะมีรถยนต์จากโครงสร้าง
เดียวกันนี้ ออกสู่ตลาดตามมา

จริงอยู่ พวกเขาคิดถูก แต่กว่าที่ ค่ายรถยนต์ตราดาว จะมั่นใจมากพอ ในการเติบโตของตลาดกลุ่มนี้ จนพร้อม
ผลิตออกมาขาย เราก็ต้องรอกันจนถึง วันที่ 1 มีนาคม 2005 อันเป็นวันที่ Mercedes-Benz เผยภาพถ่ายแรก
ของ B-Class รหัสรุ่น W245 รถยนต์นั่งแบบท้ายตัด 5 ประตู รุ่นใหม่ที่ พวกเขานิยามว่า  เป็นรถยนต์ประเภท
Compact Sport Tourer ไม่ควรเรียกมันว่า Minivan ทั้งที่รูปแบบตัวรถ มันก็คือ Minivan นั่นแหละ พวกเขายิ่ง
ตอกย้ำความแตกต่างเข้าไป ด้วยสโลแกนที่ว่า “The Mercedes-Benz, unlike any other”

แน่ละ มันไม่เหมือนพี่น้องร่วมตระกูลรุ่นใดที่พวกเขาเคยสร้างมาในอดีตเลย มันมี 5 ที่นั่ง ปรับเบาะแถว 2
ได้อย่างอเนกประสงค์ เอาใจทั้งครอบครัวยุคใหม่ และผู้ใหญ่วัยเกษียณ ที่อยากหารถยนต์รูปแบบใหม่
มีห้องโดยสารกว้างขวาง นั่งได้สบายๆ มากกว่าที่รถเก๋ง 4 ประตูทั่วไป เคยรองรับได้ โดยใช้เครื่องยนต์
และงานวิศวกรรมต่างๆร่วมกับ Mercedes-Benz A-Class รุ่นแรก ตั้งแต่เครื่องยนต์ ระบบกันสะเทือน
ไปจนถึงแม้กระทั่งชิ้นส่วนเล็กๆน้อยๆ ที่มองไม่เห็น ซุกซ่อนอยู่

การเปิดตัวเกิดขึ้นในงาน Geneva Auto Salon เดือนมีนาคม 2005 ร่วมกับทั้ง R-Class พี่ใหญ่ และเริ่ม
ออกสู่ตลาด ในอีกเพียงไม่กี่เดือนให้หลัง อย่างไรก็ตาม ถ้าดูตัวเลขยอดขายจนสิ้นสุดอายุตลาด เมื่อเดือนกันยายน
2011 แล้ว แม้จะมียอดขายสะสม แตะถึงระดับ 700,000 คัน (ประกาศในยุโรปเมื่อ 8 กรกฎาคม 2011) เฉพาะ
แค่ในปี 2011 อันเป็นปีสุดท้ายในการทำตลาด มีลูกค้าสั่งซื้อ B-Class มากถึง 52,640 คัน ตั้งแต่เดือนมกราคม  
เพิ่มข้น 26.8 % ในช่วงเดียวกันของปี 2010 ก็ตาม ก็ยังต้องถือว่า หงอยเหงา และไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

แต่ถ้ามองในแง่การพูดถึง หรือในฐานะ การเป็นตัวเลือกแรกๆ ในใจลูกค้า B-Class ยังไม่โดดเด่นมากพอจะ
ทำให้ลูกค้าประทับใจได้ในแรกเห็น และต้องรอให้ลูกค้า มายืนพินิจ พิจารณา จนถึงทดลองขับ จึงจะพบว่า
นี่คือรถที่เหมาะกับพวกเขา ส่วนคนที่ไม่สนใจ ก็พากันเมินเฉย ไม่คิดแม้แจะเหลียวแลมันเลยด้วยซ้ำ!

ไม่ต้องอื่นไกล แค่ในเมืองไทยนี่แหละ เมื่อครั้งที่ Mercedes-Benz Thailand สั่ง B-Class รุ่น B180 
เข้ามาขาย ก็ยังไม่ค่อยมีใครนึกถึง หรือสนใจจะซื้อ พอบอกว่าเป็นรถขับล้อหน้า ก็พากันรองยี้ เบือนหน้าหนี 
แถมยังถามผมกลับมาอีกว่า ค่าตัวระดับนั้น หาซื้อรถอื่นที่ดีกว่านี้ ไม่ดีกว่าเหรอ?

แถมขนาดตัวถังก็ยังไม่ได้ต่างอะไรกับ A-Class เท่าไหร่ หน้าตาก็เหมือนกับการนำ A-Class มาขยายฐานล้อ
ให้ยาวขึ้น เพิ่มความยาวห้องโดยสารมากขึ้น แต่ยังหาความแตกต่างจาก A-Class เดิม ไม่เจอ แบบนี้ สู้ซื้อ
A-Class มาใช้เสียเลย ไม่ดีกว่าหรือ? ไม่งั้น ก็หันไปเล่นยี่ห้ออื่นดีกว่าไหม?

อืม.มันก็จริงของลูกค้าเขานะ

ดังนั้น ในเมื่อ บอร์ดผู้บริหาร มีมติ อนุมัติให้เดินหน้า ทำ B-Class รุ่นที่ 2 ในรหัสตัวถัง W246 ทีมออกแบบ
และทีมวิศวกร จึงต้องตัดสินใจ ลงมือผ่าตัดเปลี่ยนแปลง B-Class กันขนานใหญ่ เพื่อสร้างความแตกต่างจาก
A-Class ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ ด้วยวิธี พลิกแนวทางการออกแบบ A-Class ใหม่ ให้แยกออกจาก B-Class ใหม่
กันไปเลย ทั้งที่โครงสร้างวิศวกรรมพื้นฐาน เครื่องยนต์กลไก ระบบไฟฟ้าต่างๆ ร่วมกัน บนพื้นฐานของ
พื้นตัวถังใหม่สำหรับรถยนตขับเคลื่อนล้อหน้า MFA (Mercedes-Benz Front-wheel-drive Architecture)
ที่จะใช้ร่วมกันในรถยนต์รวมทั้งหมด 4 รุ่น อันได้แก่ A-Class Hatchback 3 และ 5 ประตู B-Class และ
อาจรวมถึงรถยนต์ขนาดเล็กรุ่นใหม่คันอื่นที่เตรียมจะเปิดตัวในอีกไม่นานนี้ด้วย

Dr. Thomas Weber สมาชิกของคณะกรรมการบริหาร รับผิดชอบในส่วนงานวิจัยและพัฒนาของ Daimler AG.
ถึงขั้นกล่าวว่า “ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ของ Mercedes-Benz ไม่เคยมีรถยนต์รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันรุ่นใด
ที่อัดแน่นไปด้วยพัฒนาการใหม่ๆ มากมายเท่านี้มาก่อน”

บางส่วนของเรือนร่าง B-Class ใหม่  เป็นผลงานของ ทีมนักออกแบบ ราวๆ 20 คน ภายใต้การดูแลของ หัวหน้าฝ่าย
ออกแบบ ( Chief Designer) อย่าง Professor h.c. Gorden Wagener แห่ง ศูนย์ Advanced Design 
Studio ตั้งอยู่ใกล้กับ ทะเลสาบ Como ใน Milan ประเทศอิตาลี ซึ่งเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1998 และเคยฝาก
ผลงานมาแล้วกับรถยนต์ต้นแบบ F 400 Carving research vehicle (Tokyo 2001) ตามด้วยรถยนต์ต้นแบบรุ่น
Vision GST ในงาน Detroit Show ปี 2002 ที่กลายมาเป็น Mercedes-Benz R-Class รวมทั้งรถยนต์ต้นแบบรุ่น
F 500 Mind research vehicle ใน Tokyo Motor Show 2005 รุ่น F 600 HYGENIUS (Tokyo 2005) และ
F 700 research vehicle ในปี 2007

หนึ่งในงานที่ทีมวิศวกรตั้งเป้าหมายเอาไว้คือ การลดแรงเสียดทานในชิ้นส่วนต่างๆ โดยเฉพาะ การเพิ่มความลู่ลม
ขณะแหวกอากาสของตัวรถ งานนี้ บรรดาทีมวิศวกรต้องทำงานกันอย่างหนักมากกว่า 1,100 ชั่วโมง ในการลด
ชิ้นส่วนต้านลมลง หรือออกแบบมันขึ้นมาใหม่ รวมทั้งการทดสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในอุโมงลม ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนา
Technical Center ในเมือง Sindelfingen จนได้ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศที่ต่ำมาก เพียง Cd 0.26
เท่านั้น ถือเป็นสถิติที่ดีที่สุด เท่าที่รถยนต์รูปแบบ Minivan 5 ประตู สำหรับผลิตจำหน่ายจริง เคยทำได้ และสามารถ
แปะโลโก้ Blue Efficiency อันเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึง กลุ่มเทคโนโลยี เพื่อลดแรงเสียดทาน ทำให้ตัวรถเบาขึ้น
ประหยัดเชื้อเพลิงขึ้น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ได้อย่างไม่เก้อเขิน

สำหรับ B-Class ใหม่ Mercedes-Benz ตั้งความหวังเอาไว้มากพอสมควร ว่ารถยนต์รุ่นนี้ ยังมีอนาคต
ให้พอจะหวังเห็นยอดขาย มากถึง 1.5 ล้านคันภายในปี 2015 หลังจากมียอดขายทะลุ 1.3 ล้านคันในปีนี้
ถึงขั้นลงทุนปรับปรุงโรงงานที่ฮังการีด้วยงบ 800 ล้านยูโรและโรงงานเยอรมนีด้วยเงินลงทุน 600 ล้านยูโร
เพื่อการผลิตรถยนต์รุ่นนี้เลยทีเดียว

ในที่สุด Mercedes-Benz ก็เริ่มเผยภาพถ่ายชุดแรกของ B-Class 2nd Generation รหัสรุ่น W246
เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2011 แต่ยังเป็นเพียงการ เผยให้เห็นถึงรายละเอียดทางเทคนิค และ
การพัมนาวิจัยด้านต่างๆ ยังเห็นตัวรถ เป็นเส้นสายเค้าโครงบางๆ

ต่อมา 29 กรกฎาคม 2011 ฝ่าย PR ก็เริ่มเผยภาพภายในห้องโดยสารออกมา พร้อมกับรายละเอียดด้าน
การออกแบบต่างๆ เพื่อให้เห็นถึงความประณีต และตั้งใจออกแบบให้ดูหรู และเอาใจคนรุ่นใหม่ไป
พร้อมๆกัน

25 สิงหาคม 2011 คือวันแรกที่ภาพถ่ายอย่างเป็นทางการของ B-Class ใหม่ เห็นหมดคัน ครบทุกมุม 
ถูกเผยแพร่ไปยังสำนักข่าว และเว็บไซต์ทั่วโลก พร้อมกับการส่งขึ้นไปอวดโฉมสู่สาธารณชน เป็นครั้งแรก
ในโลก ที่งาน Frankfurt Motor Show ในวันที่ 30 สิงหาคม 2011 นั้นเอง

หลังการเปิดตัว Mercedes-Benz Thailand ก็ประกาศเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2011 ว่า ลูกค้าในเยอรมันี 
และทั่วยุโรป จะได้รับมอบ B-Class คันแรก ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2011

สำหรับในเมืองไทย Mercedes-Benz Thailand ตัดสินใจสั่งนำเข้า B-Class มาขายในเมืองไทย
เมื่อช่วงไม่กี่ปีมานี้ เป็นรุ่น B180 เรื่องน่าแปลกคือ ลูกค้าที่ออกรถส่วนใหญ่ จะเป็นครอบครัว
หรือผู้สูงวัยหลังเกษียณบางคน ที่อยากได้รถคันไม่ใหญ่ ที่นั่งสูง ขับคล่องแคล่ว ใช้งานในเมือง
และมีพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวาง นั่งสบาย อัตราเร่งพอดีๆ ประหยัดน้ำมันใช้ได้ นั่นเลยทำให้
B-Class ยังคงพอจะขายได้อยู่บ้าง แม้ในปริมาณที่น้อยมากๆ ก็ตาม (แต่ในช่วงที่ผมนำ B-Class
คันนี้ มาขับ ผมเจอ B-Class เก่า ถึง 3 คัน ใน 3 วันติดกัน แสดงว่า ปริมาณรถที่ปล่อยออกไปนั้น
น่าจะมีพอสมควรเลยทีเดียว)

และพวกเขาก็ทำตัวเป็นเสือปืนไวใช้ได้ เพราะคล้อยหลังการออกจำหน่ายในยุโรป เพียงแค่ 4 เดือน
B-Class ใหม่ ก็ส่งตรงมาถึงเมืองไทย พร้อมเปิดตัวครั้งแรกอย่างเป็นทางการใน งานแสดงรถยนต์
งานให่ที่สุดของบ้านเรา Bangkok International Motor Show เมื่อเดือนมีนาคม 2012 ที่ผ่านมา

แต่ถ้าคิดว่า ทำไมช้าจัง ต้องรอตลาดโลกเปิดตัวก่อนหลายเดือน ความจริงที่คุณอาจยังไม่ทราบคือ

1. ถ้าลูกค้าชาวยุโรป เริ่มรับรถในเดือนพฤศจิกายน 2011 นั่นหมายความว่า รถรุ่นนี้ ถูกเปิดตัวและส่งขึ้น
โชว์รูมในบ้านเรา ทิ้งช่วงจาก การเริ่มออกขายในยุโรป เพียง 4 เดือน เท่านั้น อย่าลืมว่า ขั้นตอนการสั่ง
รถยนต์เข้ามาขายสักรุ่นนั้น หากเป็นรถยนต์นำเข้า แม้จะไม่ต้องมานั่งศึกษา และเตรียมการประกอบ
ซึ่งกินเวลายาวนาน 12 – 18 เดือน ก็ตาม แต่ยังต้องมีขั้นตอนในการขออนุญาตสั่งนำเข้ามาขาย ต้อง
นำรถยนต์ตัวอย่าง เข้ามาทดสอบด้านมลพิษ ที่ห้องแล็บของสถาบันยานยนต์ ต้องขออนุญาตกับทั้ง
ทางกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และหน่วยงานอื่นๆ อีก
มากมาย ยังไม่นับกับ การเตรียมฝึกอบรมช่างซ่อมบำรุงทั่วประเทศ ที่จะต้องทะยอยเริ่มทำ ทั้งก่อน และ
หลังจากรถเปิดตัวไปแล้ว รวมทั้งการสั่งอะไหล่เข้ามาสต็อกเอาไว้ให้สมดุลกับปริมาณรถที่ขายออกไป
ฯลฯ ดังนั้น มันอาจต้องใช้เวลากันพอสมควร และไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา และการวางแผนของ
แต่ละยี่ห้อ ในแต่ละช่วงเวลานั้นๆ เป็นสำคัญ

2. และถ้ามองลงไปยังรุ่นย่อย จะพบว่า B-Class ใหม่ รุ่น B200 Blue Efficiency เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ
ลูกใหม่ 7G-DCT ที่ Mercedes-Benz Thailand สั่งนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคันแบบ CBU (Complete Built
Unit) มาถึงบ้านเราเดือนมีนาคมก็จริง แต่รุ่นย่อยนี้ พร้อมเกียร์ลูกนี้ ซึ่งถือเป็นรุ่น Top of the Line เพิ่งจะเริ่ม
ออกสู่ตลาดโลก เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2012 นั่นหมายความว่า เพียงไม่ถึง 1 เดือน ที่รถรุ่นนี้ขึ้นโชว์รูมในเยอรมันี
คนไทยก็มีโอกาสได้จับจองเป็นเจ้าของ ทันอกทันใจ ไวปานกามนิตหนถุ่มแผลงศรเลยทีเดียว!

ตัวรถมีความยาว 4,359 มิลลิเมตร กว้าง 1,785 มิลลิเมตร (ถ้ารวมกระจกมองข้าง จะกว้าง 2,010 มิลลิเมตร)
สูง 1,557 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,699 มิลลิเมตร (ถือว่า เท่ากับ Honda Civic FD ที่ 2,700 มิลลิเมตร)
ความกว้างช่วงล้อหน้า 1,552 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหลังแคบกว่าเล็กน้อย เหลือ 1,549 มิลลิเมตร

หากเปรียบเทียบกับ B-Class รุ่นแรก (ยาว 4,270 มิลลิเมตร กว้าง 1,778 มิลลิเมตร สูง 1,603 – 1,613 มิลลิเมตร
และระยะฐานล้อ 2,779 มิลลิเมตร) จะพบว่า ด้วยการออกแบบให้ด้านหน้ายาวขึ้น ส่งผลให้ B-Class ใหม่ ยาว
เพิ่มขึ้น กว่าเดิม 89 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 8 มิลลิเมตร เตี้ยลง 46 มิลลิเมตร แต่ที่สำคัญคือ มีการหดระยะฐานล้อ
ให้สั้นลงกว่าเดิม 79 มิลลิเมตร กันเลยทีเดียว)

เส้นสายตัวถังภายนอก แม้จะดูคล้ายกับรุ่นเดิมอยู่ แต่นั่นเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะเหตุมาจากด้านหน้ารถ
ยาวขึ้น แนวเส้นจากฝากระโปรงหน้า ไหลลื่นไปยังเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ต่อเนื่องถึงหลังคา จรดปลาย
สปอยเลอร์ เหนือกระจกบังลมหลัง และเส้นด้านข้างตัวถัง ออกแบบให้มี แนวเส้นคล้ายกับ A-Class ใหม่
เป็นเส้นรอยยิ้ม ทะแยงมุม เพิ่มความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวที่ไม่หยุดนิ่งของรถ (Dynamic) และจะยิ่งดู
แปลกตา เมื่อกระทบกับแสงสว่าง ทั้งแสงแดด หรือแสงไฟในยามค่ำคืน

กระจังหน้าสีเงิน 2 ชั้น มีแถบโครเมียมคาดไว้ ชุดไฟหน้าเป็นแบบ Bi-Xenon  มีไฟเลี้ยว LED มาให้ในตัว
พร้อมระบบฉีดน้ำล้างทำความสะอาด และมีไฟส่องสว่างช่วงกลางวัน Daytime Running Light แบบ LED
ติดตั้งมาให้จากโรงงาน หารือถ้าหมุนสวิชต์ ไปที่ตัว P ไฟหน้าจะติดสว่างขึ้นมาเพียงข้างเดียว เพื่อช่วยใน
ตอนจอดรถ

ชุดไฟท้าย เป็นแถบส่องสว่าง เหมือนในรถยุโรปรุ่นใหม่ๆ มีไฟเลี้ยวเป็นหลอด LED มาให้ ตัวรถมีการ
ตกแต่งด้วยแถบโครเมียม เพียงเท่าที่จำเป็น และแม้แต่ฝาถังน้ำมัน ก็ยังใส่ใจในรายละะเอียดเล็กน้อย
ทั้งบนพื้นผิว ที่มีแนวเส้นต่อเนื่องจากประตูด้านข้าง มาถึงฝาถัง รวมทั้งการใช้งาน ถ้าคุณปิดประตูไม่ครบ
ทุกบานจนสนิท ระบบล็อกฝาถังน้ำมันด้วยไฟฟ้า จะไม่ยอมให้คุณปิดฝาถังจนสนิทได้! เป็นเรื่องแปลก
เรื่องแรกที่ผมเจอในรถคันนี้

การเข้าออกจากตัวรถ ใช้กุญแจรีโมทคอนโทรล KEYLESS GO พร้อมระบบกันขโมย Immobilizer
พกกุญแจไว้กับตัว แล้วเดินไปดึงมือจับเพื่อเปิดประตูได้ทันที หรือถ้าปิดประตู ก็ใช้นิ้วแตะบนมือจับ
ประตูจะล็อกให้เองโดยอัตโนมัติ ส่วนการติดเครื่องยนต์ ใช้กุญแจรีโมท เสียบเข้าไปในรู แล้วบิดเพื่อ
ติดเครื่องยนต์ตามปกติ น่าสังเกตว่า รีโมทกุญแจ ของ B-Class ไม่มีปุ่มกดเปิดฝาประตูห้องเก็บของ
มาให้ อย่างที่รถรุ่นอื่นๆเขามีกัน

การเข้า-ออกจากพื้นที่โดยสารด้านหน้า ทำได้อย่างสะดวกสบาย ไม่มีปัญหาใดๆ ตำแหน่งเบาะนั่ง
ที่จงใจติดตั้งมาให้สูง แม้จะปรับตำแหน่งจนเตี้ยสุดแล้ว ช่วยให้การเข้า-ออก ไม่ติดขัด ไม่ต้องย่อตัว
หรือก้มหัวมากจนเกินไป เป็นตำแหน่งการเข้า-ออก ที่คล้ายคลึงกับ SUV หรือ Minivan จากญี่ปุ่น
รุ่นใหม่ๆ ช่วง 5 ปีมานี้ เลยทีเดียว

แผงประตูด้านข้าง มีช่องใส่ขวดน้ำขนาด 7 บาท ได้ 1 ขวด และวางเอกสารกับข้าวของจุกจิกได้เยอะ
พอประมาณ แถมยังมีตำแหน่งวางแขน ที่ออกแบบมาให้รองรับได้ตำแหน่งข้อศอกพอดีเป๊ะ วางแขน
ได้สบาย ไม่ต้องตำหนิ ยกเว้น แนวตะเข็บด้านข้าง ที่อาจจะสากไปสักหน่อย แค่นั้น บริเวณธรณีประตู
ทั้ง 4 บาน จะมีกาบบันไดข้าง สีเงิน สลักชื่อยี่ห้อของรถ ติดตั้งมาให้ด้วย

เบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง ARTIGO อันเป็นหนังแบบมาตรฐานที่พบได้ใน Mercedes-Benz แทบจะทุกรุ่นที่มี
ระดับราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทลงมา

เบาะนั่งคู่หน้า ปรับระดับได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ติดตั้งที่แผงประตู ด้านข้าง พร้อมหน่วยบันทึกความจำ Memory
สำหรับทั้งเบาะนั่ง กระจกมองข้าง และพวงมาลัย ไปในตัว กว่าจะปรับเบาะให้ลงตัวได้ ต้องใช้เวลานาน
แต่เมื่อปรับจนลงตัวแล้ว คุณจะได้ตำแหน่งขับที่ ถูกต้องเหมาะสม สบายระดับหนึ่ง ไม่ปวดหลัง เพราะมี
สวิชต์ปรับดันหลังมาให้ ทั้ง เบาะซ้าย และเบาะขวา ติดตั้งแยกชิ้นอยู่ที่ฐานเบาะ อย่างในภาพนี้

เบาะรองนั่ง มีการตัดมุมเบาะให้โค้งเว้า แต่นั่งได้เต็มก้น รองรับได้ถึงช่วงขาพับ นั่งสบายพอใช้ได้ แต่
ยังไม่ถึงกับเป็นเบาที่ดีถึงขั้น “เทพสั่งทำ” อย่างค่ายอื่นเขา ถือว่า ทั้งพนักพิงหลัง และเบาะรองนั่ง อาจ
ไม่สบายที่สุด แต่คุณก็จะไม่ค่อยบ่นอะไรกับมันมากนักแน่ๆ ถ้าปรับจนได้ระดับที่คุณต้องการ ซึ่งต้อง
ใช้เวลาสักหน่อย

พนักศีรษะ เป็นแบบ ปรับสูง – ต่ำ ได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า (ชุดเดียวกับสวิชต์ปรับเบาะนั่นละครับ แยกชิ้นกัน)
และสามารถปรับให้ดันศีรษะได้ราวๆ 5 ระดับ จากไม่ดันเลย จนถึงดันทุรังจนสุด ขอแนะนำให้ปรับแบบ
มาตรฐาน คือไม่ดันหัวเลย ดีที่สุด ถึงจะไม่สบายหัว เท่ากับ พนักพิงของ Volvo และ Lexus แต่ก็นุ่มนิดๆ
พอใช้ได้

พื้นที่เหนือศีรษะ หายห่วง โปร่งขนาด 1 ฝ่ามือครึ่งในแนวนอน ยังมีพื้นที่เหลือพอให้คุณภรรยา ไว้
เขกกบาลคุณสามี ถ้าขับรถเร็วเกินไป

เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าเป็นแบบ ELR 3 จุด ผ่อนแรงและดึงกลับอัตโนมัติ Pre-Tensioner & Load Limiter
คราวนี้ ปรับระดับสูง – ต่ำได้จาก เสากลาง B-Pillar เลยทีเดียว แถมระดับต่ำสุด ก็ปรับได้ต่ำสะใจ ไว้
ให้บุตรหลานอายุ 12 ปีขึ้นไป มานั่งเบาะหน้าได้โดยไม่ต้องกังวลอีกแล้ว

B-Class เป็นหนึ่งใน Mercedes-Benz ไม่กี่รุ่น ที่มีบานประตูคู่หลังกว้างใหญ่จนทำให้ การเข้า – ออก จาก
เบาะหลังทำได้อย่างสบาย ไร้ที่ติ หัวของผม ไม่โขกกับขอบหลังคา แผงประตูด้านข้าง ออกแบบแนวทาง
เดียวกันกับแผงประตูคู่หน้า มีช่องใส่ของเล็กๆน้อยๆ นิดหน่อย ส่วนตำแหน่งการวางแขนบนแผงประตู
ทำได้ดีเท่าเทียบกับ แผงประตูคู่หน้า สวิชต์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า ก็อยู่ที่มือจับประตู แต่บานกระจกจะ
เลื่อนลงมาได้ไม่สุดขอบด้านล่างของแผงประตู

เบาะหลัง ดูเหมือนจะถูกออกแบบมาเอาใจคุณหนูๆ มากกว่า ผู้ใหญ่ มีพนักพิงที่แน่น เหมือนจะแข็ง แต่
จริงๆแล้ว เหมือนนั่งอยู่บนนวมนักมวยที่แข็งสักหน่อย ส่วนพนักศีรษะ ก็ยังมีขอบด้านล่าง ทิ่มตำต้นคอ
ของผมอยู่เล็กน้อย ต้องยกขึ้นใช้งานจึงจะไม่มีปัญหาดังกล่าว

เบาะรองนั่ง สั้นมากๆ สั้นจนอาจถูกใจบุตรหลานตัวน้อยของคุณ แต่ อาจระคายท่าน ส.ว. (สูงวัย) ในบ้าน
ก็เป็นไปได้สูง เพราะมันสั้นมากเสียยิ่งกว่ารถญี่ปุ่นทั่วไปที่ผมพบเจอในช่วง 2 ปีมานี้ ครั้งสุดท้ายที่พบว่า
เบาะรองนั่งสั้นได้ขนาดนี้ เห็นจะเป็น Honda Accord G7 รุ่นปี 2002 – 2007 นั่นเลย ดังนั้น ควรจะให้
สมาชิกในครอบครัว ที่ตั้งใจจะให้นั่งหลังรถ ลองมานั่งเบาะของรถคันนี้ก่อนว่า รับได้หรือไม่

พื้นที่เหนือศีรษะ ไม่ใช่ปัญหาเลย ต่อให้จะเป็นกะเหรี่ยงคอยาว หรือยีราฟกลับชาติมาเกิด ก็นั่งอยู่ใน
ห้องโดยสาร ของ B-Class ได้สบายๆ เช่นเดียวกันกับพื้นที่วางขา ซึ่งมีเหลือในระดับกำลังดี สำหรับ
ผู้ใหญ่ไซส์หมีควาย ประจำทีมเว็บ Headlightmag.com ของเรา ทั้ง 2 คน (คือผม กับ ตาแพน หรือ
ผู้การจอมเกิน commander CHENG! นั่นเอง)

เข็มขัดนิรภัย เป็นแบบ 3 จุดทุกที่นั่ง แต่ ฝั่งซ้าย และ ขวา จะเป็นแบบ ลดแรงปะทะ และดึงกลับอัตโนมัติ
Pre-Tensioner & Load imiter เหมือน เข็มขัดนิรภัยของเบาะคู่หน้า ส่วนตรงกลาง จะเป็นแบบ ELR
3 จุด มาตรฐาน

ด้านหลังกล่องคอนโซลกลาง ยังมี ช่องเสียบปลั๊กไฟ 12V สำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้า ขนาดพกพา
และช่องเขี่ยบุหรี่ขนาดเล็ก แถมมาให้ พร้อมฝาปิดในตัว

นอกจากนี้ เบาะนั่งแถวหลัง ยังสามารถแบ่งพับได้ในอัตราส่วน 60 : 40 หรือ ทั้ง 1 ใน 3 และ 2 ใน 3
เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของมากยิ่งขึ้น ด้วยการดใช้ 2 นิ้ว บีบกด สวิชต์ตัวล็อกกลไก บนบ่าของเบาะทั้ง 2 ฝั่ง
เพียงเท่านี้ พนักพิงเบาะก็พร้อมให้ถูกพับลงมาอย่างง่ายดาย

ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง ใช้ระบบกลอนไฟฟ้า แต่ในรถคันที่เราลองขับ ไม่มีสวิชต์เปิดฝาประตู
ห้องเก็บของด้านหลัง บนรีโมทกุญแจ แต่อย่างใด ที่บริเวณเปลือกกันชนหลัง จะมีแถบโครเมียมไว้
เพื่อป้องกันรอยขีดข่วนจากการบรรทุกสัมภาระ ตามสไตล์ของ ค่ายรถยนต์ตราดาว แต่ผมเกรงว่า
แถบโครเมียมนั่นแหละ จะเป็นรอยขูดขีด จนดูหมดราศี ไปเสียเอง

เพื่อความปลอดภัย ยังมีมือจับสำหรับดึงฝาประตูปิดลงมา และสัญญาณไฟสีแดงดวงน้อยๆ ส่องให้ผู้ร่วม
สัญจรช่วงกลางคืน มองเห็นว่า คุณกำลังเปิดฝาประตูท้ายอยู่ อย่าเข้าใกล้

พื้นที่ห้องเก็บของด้านหลังมีขนาด 486 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA ของเยอรมัน หากพับเบาะแถวหลังออกไป
จะเพิ่มความจุได้ถึง 1,545 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA ถ้ายกพื้นห้องเก็บของขึ้นมา จะพบว่า ด้านใต้ ทำเป็น
แผ่นสะท้อนแสง เพื่อความปลอดภัยในยามค่ำคืน อีกเช่นกัน คราวนี้ B-Class ใหม่ ไม่มียางอะไหล่มาให้
แต่มีชุดปะยาง แถมมาให้ทดแทน ผนังด้านยขวามือ เป็นช่องใส่ชุดปมพยาบาล ตามมาตรฐานของค่าย
Mercedes-Benz ส่วนฝั่งซ้าย เปิดออกดู สำหรับถอดแก้เปลี่ยนสายไฟ และไฟเบรกหลัง

แผงหน้าปัดออกแบบให้เน้นการใช้งานที่ง่ายขึ้น ดูสปอร์ต เอาใจคนหนุ่มสาวมากขึ้น แต่ยังรักษาขนบ
เดิมๆของ Mercedes-Benz เอาไว้ ทั้งการติดตั้ง ชุดมาตรวัด กับชุดหน้าจอ Monitor ขนาดเล็ก
(แบบพับเก็บไม่ได้ ยึดตำแหน่งไว้ตายตัว) ในระดับเดียวกัน เพื่อลดการละสายตาของผู้ขับขี่จากพื้นถนน

ช่องแอร์เป็นแบบวงกลม โครเมียม รูปกากบาท ทั้ง 5 ชิ้น หน้าตาคล้ายช่องแอร์ ในรถเมล์ปรับอากาศ ปอ.4
หมุนไปมา ได้แค่นิดหน่อย แต่ประหยัดต้นทุนในการผลิตและออกแบบไปได้มาก แถมยังดูเข้ากันดีกับ
ลวดลาย Trim แบบรังผึ้ง (Honeycomb) บนแผงหน้าปัด

มองไปทางด้านบนเพดาน ใช้วัสดุผ้า สีดำหุ้มมาอย่างดี แผงบังแดด มีกระจกแต่งหน้า พร้อมไฟส่องสว่าง
ติดตั้งบนเพดาน ซ่อนไว้ มาให้ด้วย ครบทั้ง 2 ฝั่ง แต่ไฟส่องสว่างนั้น สวิชต์อยู่ในตำแหน่งเดิม คือ บนแผง
พลาสติก ตรงกลาง แต่หลอดไฟนั้น ถูกติดตั้งซ่อนไว้่ ใต้กระจกมองข้างแบบลดแสงสะท้อนได้เองในยาม
ค่ำคืน ส่วนไฟอ่านแผนที่ มีมาให้บนแผงพลาสติกเหนือศีรษะนั่นละครับ และถ้ามองไปทางด้านหลังรถ
ยังมีไฟอ่านหนังสือ ที่เหนือศีรษะผู้โดยสารตรงกลาง และ เหนือบานประตูคู่หลัง อีก รวม 3 ตำแหน่ง
แปลกว่า น่าจะมีไฟส่องสว่างตรงกลางให้สักจุดนุึง เพื่อเพิ่มความสว่างภายในรถมากกว่านี้ก็จะดีมาก
หาของหายในรถยามค่ำคืนจะสะดวกกว่านี้

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน หุ้มหนัง พร้อมสวิชต์ควบคุมชุดเครื่องเสียง และหน้าจอบนมาตรวัด ปรับระดับ
สูง – ต่ำได้ ด้วยก้านโยกใต้คอพวงมาลัยในระบบอัตโนมือของคุณเอง และมีแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift
ซึ่งต้องใช้ร่วมกับโหมดเปลี่ยนเกียร์แบบ S กับ M (อธิบายไว้ข้างล่าง ในส่วน งานวิศวกรรม)

มองไปทางขวา สิ่งที่แปลก และต้องเตือนกันตรงนี้เลย ก็คือ คันเกียร์ ในรูปของก้านสวิชต์ไฟฟ้า แม้ว่าเรา
จะเคยพบมาแล้วใน S-Class กับ CL-Class รวมทั้ง E-Class W212 รุ่น E300 กับ E500 ที่ผมเคยขับ
มาก่อนแต่ คราวนี้ ก้านสวิชต์คันเกียร์ ถูกขยายความยาวจนเท่ากับก้านสวิชต์ไฟเลี้ยวของรถยนต์ทั่วไป ดังนั้น
หากคุณเพิ่งลงจากรถญี่ปุ่น แล้วขึ้นมาขับรถคันนี้ ขอให้ใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด! เพราผมเอง ก็เผลอ
มาแล้ว ขับรถอยู่ที่เกียร์ D เผลอตบไฟเลี้ยวซ้ายแบรถญี่ปุ่นตามความเคยชิน เท่ากับว่า ไปยกคันเกียร์จาก
ตำแหน่ง D ไปอยู่เกียร์ว่าง หรือ N เฉยเลย !

สวิชต์ เปิดไฟหน้า แบบมือบิด อยู่ทางขวา ถัดลงไปข้างล่าง เป็นสวิชต์เบรกมือไฟฟ้า ที่มีหน้าตาคล้ายมือจับ
ปลดล็อกแป้นเบรกจอด แต่ใน B-Class นั่น สวิชต์นี้ ดึงเพื่อปลด กดเพื่อล็อกเบรกจอด

กระจกมองข้างเป็นแบบลดแสงสะท้อนยามค่ำคืน ปรับและพับได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า หากเข้าเกียร์ R เพื่อ
ถอยหลังเข้าจอด แล้วกดสวิชต์กระจกมองข้างฝั่งซ้าย ตัวกระจกฝั่งซ้ายจะปรับมุมองศาลดลง จนคุณเห็น
พื้นถนนด้านข้างฝั่งซ้าย ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยขณะถอยเข้าช่องจอดได้ดีขึ้น ส่วนกระจกหน้าต่างของบาน
ประตูทั้ง 4 บาน เปิดปิดด้วยสวิชต์ไฟฟ้า และเป็นแบบ One Touch เลื่อนขึ้น-ลงได้จนสุด เพียงกดปุ่ม
หรือยกปุ่มขึ้นจนสุด ครั้งเดียว

มองมาทางซ้ายกันบ้าง คอพวงมาลัยฝั่งซ้าย ติดตั้ง ก้านสวิชต์ ซึ่งรวมระบบไฟเลี้ยวและไฟสูง (ยกขึ้น – ลง
แต๊บไฟสูง และผลักเพื่อเปิดไฟสูงแช่ยาวๆ เหมือนก้านสวิชต์ในรถปกติ) ระบบใบปัดน้ำฝนคู่หน้า ทำงาน
ร่วมกับ Rain-Sensor (หมุนที่หัวก้านสวิชต์ ตามระดับที่ต้องการ กดปุ่มโครเมียม ถ้าต้องการฉีดน้ำล้างกระจก)
และชุดใบปัดน้ำฝนด้านหลัง (มีสวิชต์ฝังอยู่ที่ตัวก้าน ยกขึ้น เพื่อปัด 1 จังหวะ หมุนเพิ่มแล้วปล่อย เพื่อฉีด
น้ำล้างกระจกบังลมหลัง)

ถัดลงมาเป็น ก้านสวิชต์ของ ระบบรักษาระดับความเร็ว (Cruise control) และจำกัดความเร็ว (SPEEDTRONIC)
ถ้ายกก้านสวิชต์ข้น เท่ากับตั้งความเร็วที่เดินทางอยู่ตอนนั้น ให้รถ ช่วยล็อกความเร็วนั้น แล้วขับต่อไปโดย
ไม่ต้องเหยียบคันเร่ง ถ้าจะยกเลิกระบบ ก็แตะเบรก ส่วนระบบ SPEEDTRONIC นั้น แค่กดก้านสวิชต์เข้าไป
จนไฟสีเหลืองเปิดขึ้นมา ถ้ายกก้านขึ้น เท่ากับล็อกความเร็วนั้นไว้ ไม่ให้ขับเกินกว่านั้น เมื่อระบบทำงานแล้ว
ต่อให้เหยียบคันเร่งจมมิดเข้าไปเท่าไหร่ หากคุณตั้งเอาไว้ไม่ให้ขับเกิน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง รถก็จะไม่ยอม
เร่งขึ้นไปให้เร็วกว่านั้น

ข้อที่ควรปรับปรุง ก็ไม่ต่างจากเดิมที่ผมเคยให้ความเห็นไปว่า โอกาสที่จะเปิดไฟเลี้ยวผิด กลายเป็นว่า ยกให้
ระบบ Cruise Control ทำงานนั้น มีสูงก็ยังคงติดตั้งอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไปอีกสักพักใหญ่ๆ

ที่พื้นรถ แป้นคันเร่ง และแป้นเบรก เป็นแบบอลูมีเนียม มีปุ่มสีดำกันลื่น สไตล์สปอร์ต ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์
มาตรฐานของ B200 คันนี้

มาตรวัดความเร็ว ยังคงออกแบบตามมาตรฐานของ Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆ แต่ วางรูปแบบ 2 วงกลม
ให้ดูง่าย อ่านข้อมูลง่าย ลดการละสายตาจากถนนได้ดี จอแสดงข้อมูล Multi Informtaion Display มีทั้ง
นาฬิกา Digital ด้านบนซ้าย มาตรวัดอุณหภูมิภายนอกรถ ฝั่งขวา ตรงกลางเว้นว่างให้สัญญาณเตือนใน
ระบบที่ต้องแจ้งข้อมูลควบคู่กันกับระบบอื่นๆ เช่น เบรกจอด พร้อมระบบ HOLD เป็นต้น

ถัดลงมา ที่จอกลาง แสดงข้อมูลแบบเดียวกันกับ รถรุ่นอื่นๆ ในตระกูลตราดาว คือมีทั้งมาตรวัดอัตรา
สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ความเร็วเฉลี่ย ระยะทางที่น้ำมันในถังยังเหลือพอให้แล่นต่อไปได้ ตั้งแต่
ออกรถ หรือตั้งแต่ กดปุ่ม Reset เพื่อตั้งค่า เซ็ต 0 บน Trip Meter ที่มีมาให้แค่ Trip A อย่างเดียว ไม่มี
แถม Trip B ทั้งสิ้น แสดงข้อมูล แจ้งเตือนของระบบต่างๆ ทั้งระบบ ช่วยเตือนความดันลมยาง ระบบ
เตือนเพื่อนำรถเข้าศูนย์บริการ ASSYST PLUS ระบบเตือนอาการเหนื่อยล้าจากการขับขี่ (รูปถ้วย
กาแฟ Starbuck) มาตรวัดความเร็วแบบตัวเลข Digital แถมยังเป็นหน้าจอ แสดงการทำงานของชุด
เครื่องเสียง ได้ทั้งภาษาอังกฤษ เยอรมัน กับภาษาอะไรก็ตามที่ต้องใช้ตัวอักษร A-Z และญี่ปุ่น (ได้
แค่ตัวทับศัพท์อังกฤษ คาตาคานะ) ส่วนตัวคันจิ ภาษาไทย จีน เกาหลี อ่านไม่ได้ ครับ

แถวล่างสุด บอกตำแหน่งเกียร์อัตโนมัติ และบอกความเร็วที่ระบบ Cruise Control กับ Speedcontrol ล็อกไว้อยู่

การใช้งาน หน้าจอ ทุกรุปแบบ ต้องใช้ปุ่ม Multi Function บนพวงมาลัยทั้ง 2 ฝั่ง แบบเดียวกับรถยนต์ตราดาวรุ่นใหม่คันอื่นๆ

ชุดเครื่องเสียง เป็นแบบ MB Audio20 มีวิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD/ MP3/ WMA 1 แผ่น พร้อม
ช่องต่อสายสัญญาณ AUX และ USB บริเวณพนักวางแขน กลางเบาะหน้า และสามารถเชื่อมต่อกับระบบ
Bluetooth ของโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือเครื่องมือสื่อสารอื่นๆได้ ควบคุมได้ทั้งจากสวิชต์เครื่องเสียง และ
จากระบบ COMMAND ที่มีสวิชต์มือหมุน โยกขึ้น – ลง ซ้าย – ขวาได้ มาให้ ยังอาจใช้งานยากไปหน่อย
และต้องลดสายตาจากการขับขี่ มาปรับเปลี่ยนคลื่นวิทยุ หรือเปลี่ยน Folder ของไฟล์เพลงกันเข้าไป

คุณภาพเสียงที่ออกมา ก็ถือว่า ไม่ได้แตกต่างไปจาก Mercedes-Benz รุ่นใหม่คันอื่นๆที่เราเคยทำรีวิว
กันไปมากนัก เสียงดี ไว้ใจได้ ฟังรื่นหูกว่า ชุดเครื่องเสียง JBL ใน camry HYBRID ใหม่แน่นอน
แต่บางช่วง หรือเพลงบางแนว อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับเครื่องเสียงชุดนี้นัก เพราะไม่ได้ติดตั้งระบบ
Logic 7 มาให้ด้วยแต่อย่างใด

ถัดลงมา เป็นแผงสวิชต์ ตรงกลางเป็นสวิชต์ไฟฉุกเฉิน Hazzard Light แม้จะตั้งอยู่ในตแหน่งตรงกลาง
แต่การจะคลำใช้งานอย่างรวดเร็ว อาจต้องเหลือบสายตาลงไปหานิดนึง ฝั่งซ้าย เป็นสวิชต์ S M E มิได้
เกี่ยวข้องอะไรกับธุรกิจผู้ผลิตขนาดเล็กทั้งสิ้น แต่จะเกี่ยวข้องกับระบบเกียร์ ซึ่งรายละเอียดจะอยู่ใน
ย่อหน้าข้างล่าง อ่านไปเรื่อยๆ เดี๋ยวจะเจอครับ ว่ามันคือสวิชต์อะไร

ฝั่งขวามือของสวิชต์ไฟฉุกเฉิน เป็นไฟ ECO กดไว้ เพื่อให้ระบบ Auto Start/Stop ช่วยดับ และติด
เครื่องยนต์ได้เอง ขณะคลานไปตามสภาพการจราจรติดขัด เหมือนทั้งใน Nissan March / Almera
กับ Toyota HYBFRID ทุกรุ่น หากคุณขับรถอยู่ คลานในเมือง ความเรวไม่สูง เครื่องยนต์ไม่ร้อนนัก
ถ้าต้องเหยียบเบรกหยุดรถ เครืองยนต์จะดับทันที และจะติดขึ้นเองอย่างรวดเร็ว เมื่อคุณถอนเท้าจาก
แป้นเบรก ถือเป็น Mercedes-Benz ขนาดเล็กรุ่นแรกในไทย ที่ติดตั้งระบบนี้มาให้

ระบบนี้ จะทำงานทั้งที่คุณเปิดเครื่องปรับอากาศไว้ที่ตำแหน่ง A/C On (แต่เมื่อเวลาผ่านไป จะพบว่า
ลมที่เป่าออกมา ก็เป็น พัดลม ไม่มีไอเย็นออกมาด้วย) และมันทำงานได้ถี่ชนิดที่คุณจะแปลกใจ จน
อาจรำคาญ มันถี่แบบเดียวกับที่คุณจะพบได้ในระบบเดียวันนี้ของ Nissan ALMERA เลยทีเดียว!

แต่ระบบนี้ก็ฉลาดพอ ถ้าคุณขับรถทางไกลอยู่ แล้วเจอสี่แยกไฟแดง ข้างหน้า หากอุณหภูมิเครื่องยนต์
ยังไม่เย็นลง ระบบนี้ ก็จะไม่ทำงาน เพราะจะช่วยไม่ให้ Turbo เสียหายเร็ว จากการดับเครื่องทันที
ที่ Turbo ยังร้อนอยู่!

ขวาสุด เป็นสวิชต์ระบบเซ็นเซอร์ช่วยกะระยะเข้าจอด PARKRONIC ที่มีเสียงดังพร้อมกับไฟเตือน
ที่ด้านบนตรงกลางของแผงหน้าปัด ให้เห็นถึงระยะใกล้กับวัตถุ ขณะจอด แถมยังแสดงผลบนจอ
มาตรวัดความเร็วอีกด้วย

และที่พิเศษไปกว่า รุ่นอื่นๆ ก็คือ B200 Blue EFICIENCY คันนี้ มีระบบ ช่วยนำรถเข้าจอดเองเหมือน
ทั้ง Skoda Superb และ Ford Focus ใหม่ ในชื่อ ว่า Active Parking Assist โดยจะช่วยหาที่ว่าง
สำหรับการจอดรถ ถ้าเซนเซอร์ ที่ฝังอยู่ตามแนวตัวรถด้านซ้ายและขวา สแกนเจอพื้นที่ว่าง ยาวพอให้จอดรถ
ก็จะส่งสัญญาณเตือนให้คนขับ หยุดรถในตำแหน่งที่เลยถัดพื้นที่ว่างไปอีกนิดนึง ผู้ขับขี่แค่ทำตามคำแนะนำ
ทั้งการเข้าเกียร์ เลี้ยงแป้นเบรกไว้ ฯลฯ บนหน้าจอของแผงมาตรวัด โดยไม่ต้องควบคุมพวงมาลัยรถเลย
ปล่อยให้ระบบ นหมุนพวงมาลัย กะระยะและองศา เพื่อถอยเข้าจอดให้คุณเอง แต่คุณต้องคุมแป้นเบรกเอง
และเปลี่ยนเกียร์เองด้วย เสมอ

เครื่องปรับอากาศ เป็นระบบ THERMATIC มาตรฐาน เป็นแบบสวิชต์มือหมุน หน้าตาคล้ายกับฝาจีบของ
ขวดน้ำยาปรับผ้านุ่มขนาดใหญ่ พอดีมือ ไม่มีระบบแยกฝั่งซ้าย – ขวา มาให้ ความเย็นนั้น อาจต้องทำใจ
เพราะถ้าปรับอุณหภูมิไว้ที่ระดับ 23 องศา มันก็ไม่ได้เย็นฉ่ำเท่าไหร่ จนกว่าคุณจะปรับให้ต่ำลงไปเหลือ
20 องศาเซลเซียส จึงจะเริ่มมีไอเย็นประปรายตามราวผิวขึ้นมาบ้าง

ถัดลงมา เป็นช่องวางข้วของจุกจิก 2 ตำแหน่งใหญ่ เป็นถังขยะในตัวก็ได้ ช่องใหญ่สุด ตรงกลาง
ถอดยกขึ้นเทฝุ่นผงลงถังชยะใหญ่ได้เลย

ลิ้นชกเก็บของฝั่งผู้โดยสารตอนหน้า ด้านซ้าย มีขนาดใหญ่ และแบ่งเป็น 2 ชั้น สำหรับใส่คู่มือและ
เอกสารประจำรถต่างๆ อีกทั้งยังมีพ้นที่เหลือพอให้ใส่ข้าวของจุกจิกได้มากมายอีกด้วย จะใส่ปืน
สักกระบอก ก็ทำได้ ขนาดกำลังพอดี สำหรับปืนสั้น

ข้างลำตัวคนขับ เป็นกล่องคอนโซลกลาง มีช่องเสียบ AUX และ USB ซ่อนอยู่ข้างใน มีขนาดให่พอจะ
ใส่กล่อง CD ได้มากอยู่ มีช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง พร้อมตัวล็อกแก้ว ฝาปิดกล่องคอนโซลกลาง สามารถ
เลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง เพื่อการวางแขนซ้ายของผู้ขับขี่ ที่สบายขึ้นได้

ทัศนวิสัยด้านหน้า เหมือนจะโปร่ง และมองเห็นฝากระโปรงหน้าได้ หากปรับตำแหน่งเบาะนั่งให้สูงไว้
การกะระยะ ถือว่าทำได้ดี และไม่มีปัญหาอะไรน่าหนักใจนัก การเหลือบมอง จอแสดงข้อมูลต่างๆ อาจ
ใช้เวลานิดนึง แต่ รับรู้ขจ้อมูลได้เร็วดี

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา มีขนาดค่อนข้างใหญ่ และหนา แอบมีการบดบังรถที่แล่นสวนมา ขณะ
ที่คุณกำลังขับรถอยู่บนทางโค้ง เลี้ยวขวา บนถนนสวนกันสองเลน ควรเพิ่มความระมัดระวัง ส่วนกระจก
มองข้างฝั่งซ้าย หน้าตาละม้ายคล้ายจะยกชุดมาจาก C-Class แต่การมองเห็น ก็ถือว่าทำได้ดียังไม่เจอปัญหา
เว้นเสียแต่ว่า พื้นที่ขอบล่างของกระจกนั้น ถูกพลาสติกตัวกรอบด้านใน บดบังไปพอสมควร

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย อาจบดบังทัศนวิสัยขณะเลี้ยวกลับรถได้ ณ ทางกลับรถบางรูปแบบ
หรือมีเกาะกลางที่ไม่กว้างนัก ควรใช้ความระมัดระวัง แต่ถ้ากลับรถ บนถนนพหลโยธิน บอกได้เลยว่า
ยังไม่พบปัญหา เว้นเสียแต่ ขนาดของกระจกมองข้าง เหมือนจะเล็กไปสักหน่อย สำหรับรถยนต์
ประเภทนี้

มองย้อนไปทาง้านหลังจากเบาะคนขับ ทัศนวิสัยด้านหลัง ดูเหมือนจจะโปร่งตา แต่ความจริงแล้ว เสาหลังคา
คู่หลังสุด D-Pillar ก็หนามิใช่เล่น บังจักรยานยนต์ได้มิด ดังนั้น ขอแนะนำให้ใช้ความระมัดระวัง ขณะเปลี่ยน
ไปยังเลนซ้าย หรือขับเข้าช่องทางคู่ขนานให้ดี ควรหันศีรษะเหลือบมองรถคันที่แล่นตามมาจากทางด้านหลัง
ฝั่งซ้ายด้วย เพื่อความปลอดภัย

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ในตลาดทั่วโลก B-Class ใหม่ W246 จะมีเครื่องยนต์ให้เลือกทั้งหมด 2 แบบ 4 รุ่นย่อย แบ่งเป็น
เบนซิน 2 ขนาด และแบบ Diesel Turbo 2 ขนาด บนพื้นฐานระบบขับเคลื่อนล้อหน้าทั้งหมด
ทุกขุมพลัง มีให้เลือกได้ทั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และ เกียร์อัตโนมัติ บนพื้นฐานจากเกียร์
ธรรมดา แบบคลัชต์คู่ 7G – DCT ดังนี้

– B180 BlueEFFICIENCY เครื่องยนต์ M270 บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,595 ซีซี หัวฉีด
อีเล็กโทรนิกส์ พ่วง Turbo 90 กิโลวัตต์ /122 แรงม้า (HP) ที่ 5,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 200
นิวตันเมตร / 20.38 กก.-ม. ที่ 1,250 – 4,000 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่
10.2 – 10.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 5.9 – 6.2 ลิตร /
100 กิโลเมตร ปล่อยก๊าซ CO2 150 – 162 กรัม / กิโลเมตร

– B200 BlueEFFICIENCY เครื่องยนต์ M270 บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,595 ซีซี หัวฉีด
อีเล็กโทรนิกส์ พ่วง Turbo 115 กิโลวัตต์ /156 แรงม้า (HP) ที่ 5,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250
นิวตันเมตร / 25.47 กก.-ม. ที่ 1,250 – 4,000 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่
8.4 – 8.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 220 กิโลเมตร/ชั่วโมง สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 5.9 – 6.2 ลิตร /
100 กิโลเมตร ปล่อยก๊าซ CO2 138 – 145 กรัม / กิโลเมตร

– B180 CDI BlueEFFICIENCY เครื่องยนต์ Diesel OM651 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,796 ซีซี
Common-Rail Turbo 80 กิโลวัตต์ / 109 แรงม้า (HP) ที่ 3,200 – 4,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
250 นิวตันเมตร / 25.47 กก.-ม. ที่ 3,500 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 10.7 –
10.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยราวๆ 4.4 – 4.7 ลิตร / 100
กิโลเมตร ปล่อยก๊าซ CO2 114 – 122 กรัม / กิโลเมตร

– B200 CDI BlueEFFICIENCY เครื่องยนต์ Diesel OM651 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,796 ซีซี
Common-Rail Turbo 100 กิโลวัตต์ / 136 แรงม้า (HP) ที่ 3,600 – 4,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
300 นิวตันเมตร / 30.57 กก.-ม. ที่ 1,600 – 3,000 รอบ/นาที  อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่
9.3 – 9.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยราวๆ 4.4 – 4.7 ลิตร /
100 กิโลเมตร ปล่อยก๊าซ CO2 115 – 122 กรัม / กิโลเมตร

Previous Post

N2808011_เหต ผลท เพ อนร กต องแตกสลาย ตอนแรก (1)_part2

Next Post

N2808013_าสงสาร หาแฟนเองไม ได องแย งคนอ_part2

Next Post
N2808013_าสงสาร หาแฟนเองไม ได องแย งคนอ_part2

N2808013_าสงสาร หาแฟนเองไม ได องแย งคนอ_part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N2412071 มตรแท แอร พรสวรรค part2
  • N2412073 ฝนท พย หลอกหล part2
  • N2412059 ไม เช อส งท คนอ นพ ดส ดท ายเห นก บตาเส ยใจมาก part2
  • N2412065 โจ ปากแจ วถามก ญแจรถอย ไหน part2
  • N2412067 เม ยเบอร หน งไม เป นรองใคร part2

Recent Comments

No comments to show.

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.