เห็นตัวเลขแล้ว เป็นไงครับ ใครจะไปนึกละ ว่า รถยนต์ ท้ายตัด หน้าตาเป็น Minivan 5 ที่นั่ง ทรง Tall Boy
จะทำตัวเลขอัตราเร่ง และ ความเร็วสูงสุด ได้น่าตื่นตาตื่นใจเอาเรื่องขนาดนี้
ตอนแรก ผมคาดว่า คงทำตัวเลข 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้แถวๆ 11 วินาทีนิดๆ อัตราเร่งแซง 80 -120
กิโลเมตร/ชั่วโมง น่าจะป้วนเปี้ยนแถวๆ 9 วินาที กลางๆ ที่ไหนได้ ตัวเลข 9 หนะ ดันกลายเป็นอัตราเร่ง
จากจุดหยุดนิ่ง ส่วนอัตราเร่งแซง ดันทำตัวเลขได้ 7 วินาที กลางๆ แถมท็อปสปีด พี่ท่านก็พาคุณลากยาว
ขึ้นไปได้สูงถึง 225 กิโลเมตร/ชั่วโมง(แม้จะต้องใช้เวลา กับระยะทางยาวนานพอสมควรเหมือนกันก็ตาม
เพราะเมื่อช่วงที่เกียร์ 5 ถูกลากจนถึง 6,300 รอบ/นาที และต้องเปลี่ยนเกียร์ที่ความเร็วระดับ 208 กิโลเมตร/
ชั่วโมงแล้ว พอเข้าสู่เกียร์ 6 คุณแทบไม่ต้องไปหวังพึ่งปาฏิหารย์ใดๆเลย จาก 208 – 225 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ใช้เวลายาวนานพอให้ผมต้องเริ่มลุ้น ว่าการทดลองจะเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ พอแตัวเลข 225 ปรากฎขึ้น นาน
ถึง 5 วินาที และยังไม่มีการขยับขึ้นใดๆอีก ผมก็ถอนเท้าออกจากคันเร่งทันที และเริ่มหน่วงความเร็วลง

ครับ มันเป็นรถที่เหมือนเป็น Minivan 5 ที่นั่ง รูปทรง โฉบเฉี่ยวกว่า รถขนผ้าอ้อมนิดหน่อย แต่มันกลับสร้าง
ความสนุกในการขับขี่ให้เกิดขึ้นได้ในช่วง 3,000 – 5,000 รอบ/นาที ซึ่งตาแพน Commander CHENG!
เรียกว่าเป็นรถ Mid-Range คือแรงบิดจะไหลมาเทมาต่อเนื่อง ในช่วงรอบเครื่องยนต์ปานกลาง โดยไม่ต้องไป
คาดหวังแรงบิด จากช่วงรอบต้นๆ และรอบปลายๆ
ดังนั้น ในช่วงออกตัวจนถึง 2,000 รอบ/นาที แทบไม่ต้องไปตั้งความหวังอะไรทั้งสิ้น เพราะเป็นช่วงที่เหมาะ
แก่การออกรถช้าๆ แล้วคลานไปตามสภาพการจราจรมากว่า ไปแบบเรื่อยๆ แอบพุ่งเล็กๆ แต่ยังไม่มากนัก
อาจต้องกะระยะเหยียบของคันเร่งให้ดี ถ้าขับในเมือง แตะคันเร่ง พอให้ ECU มันรู้ว่า คุณกำลังขับคลานๆ
ระบบจะเข้าสู่โหมด ECO ให้ ขับไปเรื่อยๆ รถคันข้างฟน้าหยุด ก็จอดตาม เหยียบเบรกให้มิด คราวนี้ระบบ
Auto Start Stop จะทำงาน ดับเครื่องยนต์ รอให้ไฟเขียวอีกครั้ง ถอนเท้าจากแป้นเบรก เครื่องติดปั๊บ
ออกรถได้เลยทันที ในจังหวะออกตัว อาจต้องรอการจับตัวกันของชุดคลัชต์ นิดนึง เกือบๆ 1 วินาที รถจะ
ออกตัวอย่าง Smooth นุ่มนวล สบายๆ
แต่ถ้าคุณยังเหยียบคันเร่งไว้ที่เดิม แล้วรอให้รอบเครื่องยนต์ มันกวาดขึ้นไปถึงระดับ 2,500 รอบ/นาที คุณจะ
พบว่า Turbo เริ่มบูสต์มาอย่างต่อเนื่องมากขึ้น จนกระทั่ง 3,000 รอบ/นาที แรงบิดทั้งหมด จะพุ่งพรวดออกมา
หมุนล้อคู่หน้า จนในบางครั้ง อาจถึงขั้นทำให้ล้อคู่หน้าหมุนฟรีได้นิดๆ พร้อมกับสร้างแรงดึงให้รถพุ่งออกไป
อย่าง “สนุก และน่าตื่นตาตื่นใจกว่าที่คิด” มันจะเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปจนถึงช่วง 5,000 รอบ/นาที แรงบิดจะเริ่ม
ตื้อ รอบในช่วงปลาย จะเริ่มเหี่ยวลง หลังจากนี้ ต่อให้คุณเหยียบมิดตีน แช่คันเร่งลากรอบเครื่องยนต์อีกนาน
แค่ไหน ก็แทบจะไม่เหลือแรงดึงอะไรให้เห็นอีก จนกว่าจะถึง 6,300 รอบ/นาที อันเป็นช่วงก่อนเข้า Red Line
แปลว่า เกียร์จะต้องตัดเปลี่ยนไปยังเกียร์ที่สูงขึ้นอีก แล้วแรงดึงมหาศาลในช่วงรอบกลางๆ ก็จะกลับมาเยือน
ประสาทสัมผัสของคุณอีกครั้ง

แน่นอน ถ้าคุณใช้ความเร็วแถวๆ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง รอบเครื่องยนต์แถวๆ 1,900 รอบ/นาที คุณอาจจะ
ได้ความประหยัดน้ำมัน แต่ถ้าคุณอยากสนุกกับการขับขี่ ใน B200 คันนี้ คุณอาจต้องไต่ขึ้นไปขับที่ระดับ
120 – 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง และไม่ต้องห่วงว่ามันจะปลิว เพราะรถหนักพอ และมีการออกแบบด้านอากาศ
พลศาสตร์ ที่ดีพอ ส่งผลให้ อากาศ กดกับด้านหน้าของตัวรถ (Down Force) ได้ดีมากกว่าที่คิด ดังนั้นใน
ช่วงความเร็วดังกล่าว รถจะนิ่ง และขับสบาย จนคุณลืมไปเลยว่า ใช้ความเร็วเกินกฎหมายกำหนดอยู่
ระวังกล้องจับความเร็วสักหน่อยก็แล้วกัน
การเก็บเสียงในห้องโดยสาร ไม่ว่าจะใช้ความเร็วแค่ไหนอยู่ B-Class ใหม่ ก็ยังคงทำผลงานได้ดีอย่าง
น่าพอใจ ตามมาตรฐานของ ค่ายรถยนต์ตราดาว เช่นเคย กว่าที่คุณจะเริ่มได้ยินเสียงกระแสลมไหลผ่าน
ต้องรอจนกว่าจะผ่านพ้น 160 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป อย่างไรก็ตาม เสียงของยางติดรถนั้น ดังเข้ามา
ให้ได้ยินในแทบทุกช่วงย่านความเร็ว แสดงว่า การเก็บเสียงจากพื้นใต้ท้องรถ อาจต้องเพิ่มวัสดุซับเสียง
เข้าไปในบริเวณซุ้มล้อหลังอีกสักหน่อย

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงตามความเร็วของรถ แบบ Speed-
Sensitive ด้วยกลไกกึ่งไฟฟ้า Electromechanical ที่ออกแบบใหม่ ให้ต่างจากรุ่นเดิม มอเตอร์ไฟฟ้า ของ
ระบบ Servo Assist ถูกติดตั้งเชื่อมต่อตรงเข้ากับเฟืองพวงมาลัย ในรูปแบบ Dual Pinion EPS (Electric
Power Steering) ช่วยลดขนาด ทำให้ติดตั้งได้ง่าย ในรุ่น Sport จะเลือกติดตั้งระบบ Direct Steer บริเวณ
เดียวกับระบบ EPS เพิ่มได้อีกด้วย เพื่อช่วยให้อัตราทดเฟืองพวงมาลัยไวขึ้น และส่งผ่านความแม่นยำในการบังคับ
เลี้ยวเพิ่มขึ้นกว่าปกติได้ รัศมีวงเลี้ยว ตามมาตรฐานการวัดแบบยุโรป อยู่ที่ 11 เมตร อย่าเพิ่งตกใจไปครับ วงเลี้ยว
ไม่ได้กว้างอะไรขนาดนั้น
เอาเข้าจริง วงเลี้ยว แคบมาก! ผมสามารถเลี้ยวกลับรถในซอยลาซาล ย่านบางนาได้ โดยไม่ต้องหวาดเสียว
ว่าจะพาล้อหน้าไปเฉี่ยวกับทางเท้าเลย ระยะฟรีมีในระดับเหมาะสม แต่พวงมาลัยเซ็ตมาไวมาก ให้ความ
คล่องแคล่ว ขณะขับขี่ในเมือง บังคับง่ายดาย สบาย สุภาพสตรี จะชอบพวงมาลัยแบบนี้แน่นอน แต่ใน
ย่านความเร็วสูง On-Center Feeling ก็ยังคงมั่นใจได้ดีอยู่ ถือพวงมาลัยไปนิ่งๆได้เลย แต่ถ้าคิดจะเปลี่ยน
เลนถนนแล้วละก็ ระมัดระวังนิดนึงครับ เพิ่มองศาวงเลี้ยวนิดเดียว รถก็พร้อมจะเปลี่ยนเลนไปทั้งคันเลย
นี่คือเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่ง เพราะโดยปกติแล้ว พวงมาลัยของรถยนต์ประเภทนี้ มักจะเซ็ตมาไม่ไวมาก
เอาใจคนขี้ตกใจที่หักพวงมาลัยหลบสารพัดสิ่งกีดขวางได้ง่ายดาย แต่รถคันนี้ พวงมาลัยไวมาก แม้ผมจะ
ชื่นชอบ เพรามันไวพอกันกับ Mazda MX-5 NC หรือ Subaru Legacy B4 2006 คันที่เราปลื้ม
แต่สำหรับคนขี้ตกใจ ขวัญอ่อนแล้ว ระวังพวงมาลัยแบบนี้ไว้หน่อยก็ดีครับ เตือนสติตัวเองตลอดเวลา
อย่าหักเลี้ยวหลบอะไรก็ตาม กระทันหันเกินไป ตั้งสติ ก่อนเลี้ยวหลบทุกครั้ง จะปลอดภัยไร้กังวลครับ
อย่างไรก็ตาม พวงมาลัยของ B-Class ใหม่ ถือเป็นพวงมาลัยที่น่าเชิดชูกยกย่อง อีกคันหนึ่ง ของค่าย
รถยนต์ตราดาว ตามติดต่อเนื่องจากพวงมาลัยของ C-Class Coupe ใหม่ แถมตาแพน Commander
CHENG! ของเรา ยังชอบน้ำหนักพวงมาลัยในย่านความเร็วต่ำ ของ B-Class มากกว่า C-Class Coupe
นิดนึงด้วยซ้ำ! (แต่สำหรับผม พวงมาลัย C-Class Coupe ยังคงเป็นที่ 1 ในบรรดาพวงมาลัยของค่าย
รถยนต์ตราดาว ยุคนี้ อยู่ดี)
ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบสตรัต พร้อมปีกนก สปริง และช็อกอัพ Gas แบบ Double Tube ส่วน
ด้านหลังเป็นแบบ ปีกนก พร้อมแขนยึดแบบ Cntrol Arms สปริง และช็อกอัพ แบบ Single Tube แม้จะมี
ช็อกอัพ และสปริง ในแบบ Sport Suspension ให้เลือกในเมืองนอก แต่สำหรับเมืองไทย B200 BE จะถูก
เซ็ตช่วงล่างมาเป็นแบบ Comfort คือเน้นนุ่มขับสบายๆ มากกว่าจะเน้นความดิบโหดเถื่อน อันผิดไปจาก
แนวทางของตัวรถ
ดังนั้น ในการขับขี่บนพื้นถนนในเมือง หรือแม้แต่เดินทางบนทางด่วน คุณจะพบว่า การทำงานของทั้ง
ช้อกอัพคู่หน้าและหลัง สัมพันธ์กันลงตัว คือมาในแนว นุ่มแน่นหนึบ สบาย ไว้ใจได้ มั่นใจในขณะเกาะ
เข้าโค้ง บนทางด่วน ช่วงจาก ดินแดง วกขวากลับไปที่หน้าโรงแรม Mariot ผมใส่เข้าโค้งเข้าไปจนสุดถึง
Limit ของรถ ได้ที่ความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงพอดี ถ้าเกินกว่านี้ มีโอกาสสูงที่บั้นท้ายอาจจะปัดออก
ทางด้านข้าง มากกว่า เพราะหน้ารถจิกอยู่ในโค้งได้อย่างดีเยี่ยม เรื่องแปลก ก็คือ B-Class เป็นรถยนต์
Minivan 5 ที่นั่ง แต่กลับให้ความมั่นใจในขณะเข้าโค้งสูงมาก อยากจะบอกว่า แทบไม่แพ้ VW Golf GTi
เลยด้วยซ้ำ (แน่นอนละว่า GTi ดีกว่า ตัวรถเอียงน้อยกว่า แต่ B-Class เกาะแน่นหนึบอยู่ในโค้ง ได้อย่าง
แทบไม่น่าเชื่อ)
อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณจะพบความตึงตังส่งขึ้นมาจากพ้นถนนบ้าง โทษได้เลยครับว่าเป็นที่ ยาง Bridgestone
ขนาด พร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ลาย 5 ก้าน ซึ่งส่งสารพัดแรงสะเทือนขึ้นมาที่ตัวรถทั้งคัน จนทำให้
ผมรู้เลยว่า หลุมบ่อที่ขับผ่านอยู่ มีขนาดปากหลุมกี่เซ็นติเมตร ลึกกี่เมตร ก็ว่ากันไป
ระบบห้ามล้อเป็นแบบ ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ คู่หน้า มีรูระบายความร้อนมาให้ตามธรรมเนียม พร้อมสัญลักษณ์
Mercedes-Benz บน คาลิปเปอร์คู่หน้ามาให้ (แอบเก๋นะเนี่ย) แต่เสริมด้วยระบบตัวช่วยด้านความปลอดภัย
ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ ESP (Electronic Stability Program )
ที่รวมระบบ ป้องกันล้อล็อกขณะเบรกกระทันหัน ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบช่วยเบรก BAS
(Brake Sssist) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR (Accerelation Skid Control) เข้าไว้ด้วยกัน พร้อมระบบเตือน
ผ้าเบรกใกล้หมด ขึ้นบนจอ MID ของมาตรวัด ระบบเตือนความดันลมยาง Tyre Pressures Loss Warning
System) ระบบช่วยออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน Hill Start Assist ค้างเบรกไว้ให้ 2 วินาที เพื่อให้ออกตัว
บนทางลาดชันได้สะดวกขึ้น และถ้าเหยียบเบรกกระทันหัน ไฟเบรกฉุกเฉิน Adaptive Brake Light จะติด
สว่างกระพริบขึ้นมา เพื่อเตือนให้่รถคันข้างหลัง ระมัดระวัง และหาทางหนีทีไล่ให้ดี
นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งระบบ PRE-SAFE มาให้เช่นเดียวกับ Mercedes-Benz รุ่นใหม่ คันอื่นๆ ซึ่งหลักการ
ทำงานก็คือ เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์คับขัน ทันทีที่เซ็นเซอร์ของระบบช่วยเบรก BAS (Brake Assist) รับรู้ว่า มี
การเหยียบเบรกกระทันหัน หรือเมื่อระบบควบคุมเสถียรภาพ ลดการลื่นไถลทั้งในโค้ง ขณะออกตัว หรือเมื่อ
อยู่บนพื้นลื่น ESP ตรวจจับได้ว่ารถเริ่มสูญเสียการทรงตัว การทำงานของระบบปกป้องก่อนเกิดเหตุต่างๆ
จะเริ่มขึ้นในเวลาเพียงเสี้ยววินาที
ขั้นแรกเข็มขัดนิรภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า แบบ Pretensioner & Load Limiter ผ่อนแรง และรั้งกลับ
อัตโนมัติ จะปรับตัวกระชับเข้ากับร่างกาย ผู้ขับขี่ ขณะเดียวกัน พนักพิงเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้า จะถูกปรับให้
ตั้งตรงขึ้น ซันรูฟและกระจกหน้าต่างทุกบานจะเลื่อนปิดเองทันทีโดยอัตโนมัติอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกัน การหลุด
กระเด็นของผู้ขับขี่และผู้โดยสารออกไปนอกตัวรถ และพนักศีรษะของเบาะคู่หน้า Head Resistant จะเตรียมพร้อม
รองรับศีรษะของผู้ขับขี่กับผู้โดยสารตอนหน้า ทั้งหมดนี้ จะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันภายในเสี้ยววินาที
หากรถหยุดนิ่งสนิท ไฟฉุกเฉิน Hazzard Light ในชุดไฟเลี้ยวทั้ง 2 ฝั่ง จะติดขั้นเองโดยอัตโนมัติ เพื่อเตือนให้
รถคันข้างหลังที่ขับตามมา รู้ว่า คุณเพิ่งจะหยุดกระทันหัน ให้หักหลบ ไปก่อน อย่ามาชนตูดฉันต่อเลยนะ!
แต่ถ้าระบบเบรก ช่วยเหลือคุณไม่ทันละ? ไม่ต้องห่วง ยังมีโครงสร้างตัวถังนิรภัย ที่แข็งแรงปลอดภัย
ตามมาตรฐานของค่ายรถยนต์ตราดาวกันอยู่แล้วเช่นเคย B-Class ใหม่ ใช้เหล็กทั้งเกรด High-Tensile
และ Ultra High Tensile รวมกันแล้ว ประมาณ 67% ของโครงสร้างโลหะทั้งคันรถ นอกจากนี้ ยังมี
การออกแบบให้ คานโครงสร้างด้านหน้า มีระยะยุบตัว ยาว 435 มิลลิเมตร และถูกคำนวนมาอย่างดี
เพื่อให้การกระจายแรงปะทะ ไปยังโครงสร้างเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar และโครงสร้างด้านข้างตัวรถ
ก่อนกระจายไปยังพื้นที่ส่วนอื่นๆของตัวรถนั้น เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การ
นำอลูมีเนียม น้ำหนักเบา มาใช้ออกแบบชิ้นส่วนต่างๆ เช่นจุดยึดหม้อน้ำ ซึ่งต้องยุบตัวไปตามที่ได้
ออกแบบไว้ และต้องมีการลดแรงปะทะจากพื้นที่ส่วนหน้าของรถมาแล้วในระดับหนึ่ง เมื่อเกิดการชน

ด้วยการออกแบบโครงสร้างตัวถังดังกล่าว ทำให้ B-Class ใหม่ ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชนตามมาตรฐาน
ของโปรแกรม Euro NCAP โดยหน่วยงานด้านความปลอดภัยของรถยนต์ในสหภาพยุโรป ที่ระดับสูงสุด คือ
5 ดาว ประกอบด้วยการปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสารผู้ใหญ่ ได้คะแนนสูงถึง 97% การปกป้องผู้โดยสารกลุ่ม
เด็ก บนเบาะนิรภัย ทำได้ 81% ปกป้องคนเดินถนนได้ 56% และ คะแนนการทำงานของระบบตัวช่วยด้าน
ความปลอดภัยจากในรถ 86% ประกาศผลเมื่อวันที่ 24 พฤษจิกายน 2011 ที่ผ่านมา รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก
เข้าไปอ่านได้ที่นี่ www.euroncap.com/results/mercedes_benz/b_class.aspx

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********
ถึงแม้จะเป็นรถยนต์รุ่นแปลก ที่ไม่ค่อยมีใครถามไถ่ แต่ส่วนตัวผมใคร่อยากรู้ว่า Mercedes-Benz ขับล้อหน้า
รุ่นใหม่ๆ จะทำตัวเลขความประหยัดน้ำมันได้ดีขนาดไหน ดังนั้น เราก็เลยต้องยอมนอนดึกกันอีก 1 คืน เพื่อ
มาทำการทดลองให้คุณๆได้รับทราบกัน
เราเติมน้ำมันเบนซิน Techron 95 กันที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex ถนนพหลโยธิน ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS
อารีย์ กันที่ปั้มเดิม หัวจ่ายเดิม และเด็กปั้ม ก็เป็นคนเดิม เติมให้เต็มถังน้ำมันความจุ 50 ลิตร แต่ในเมื่อรถรุ่นนี้
มีราคาเกิน 2 ล้านบาท และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ไม่ใช่คำถามหลักสำหรับใครที่คิดจะซื้อรถรุ่นนี้ ดังนั้นเรา
จึงตัดสินใจ ทำการทดลอง แบบ ปกติ คือเติมน้ำมัน เอาแค่หัวจ่ายตัดก็พอ “ไม่เขย่ารถ”

เติมน้ำมันเสร็จปั๊บ คาดเข็มขัดนิรภัย เซ็ต 0 บน Trip Meter เพื่อวัดระยะทาง จากมาตรวัด ติดเครื่องยนต์ แล้ว
เปิดแอร์ ตั้งอุณหภูมิไว้ที่ 25 องศาเซลเซียส พัดลมเบอร์ต่ำสุด แล้วออกรถ ไปเลี้ยวกลับบนถนนพหลโยธิน
หน้าปากซอยอารีสัมพันธ์ ไปเลี้่ยวซ้ายเข้าซอยอารีย์ แล้วลัดเลาะไปออกปากซอยโรงเรียนเรวดี เลี้ยวซ้ายไป
ตามถนนพระราม 6 ก่อนจะเลี้ยวขวาขึ้นทางด่วน มุ่งหน้าไปยังปลายทาง ด่านบางปะอิน ก่อนจะเลี้ยวกลับ
ขับย้อนมาขึ้นทางด่วนเส้นเดิม ฝั่งตรงข้าม กลับเข้ากรุงเทพฯ ด้วยมาตรฐานเดียวกันกับรถยนต์ทุกคันที่เรา
ทำรีวิว นั่นคือ “วิ่ง 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน”

ถึงทางลงอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพหลโยธิน มาเลี้ยวกลับรถที่หน้าโชว์รูมเบนซ์ ราชครู
เลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex เพื่อเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron อีกครั้ง ด้วยวิธีเดียวกันคือ
เติมแค่ หัวจ่ายตัดก็พอ

ได้เวลามาดูตัวเลขกันแล้วละครับ
ระยะทางที่แล่นมาทั้งหมด บนมาตรวัด Trip Meter 93.0 กิโลเมตร

ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 5.70 ลิตร

หารแล้ว ได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 16.31 กิโลเมตร/ลิตร
เฮ้ยยย! มันประหยัดได้ขนาดนี้เลยเหรอ! นี่มันประหยัดเท่ากับรถยนต์ B-Segment Sub-Compact จำพวก
Ford Fiesta 1.6 ลิตร กันเลยนะ! ตัวเลขที่ออกมา นี่ สวยหรู น้องๆ บรรดา ECO Car 1.2 ลิตร เลยเถอะ!
บ้าไปแล้ว! Mercedes-Benz เครื่องเบนซิน แล้วทำได้ 16.31 กิโลเมตร/ลิตร! โว้วว!
แหงะละ ตัวช่วยทั้งหลาย ได้แก่ การออกแบบให้ตัวรถมีแรงเสียดทานอากาศต่ำมากๆ เครื่องยนต์ ก็มีการ
ปรับปรุงให้มีแรงเสียดทานในระบบต่ำลง เกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch กลับนำพาให้รถที่มีน้ำหนักตัวเปล่า
มากถึง 1,425 กิโลกรัม ทำตัวเลขออกมาได้ “สวยงามอร่ามหรูชมพู่ อารียา” ขนาดนี้ แถมในการขับขี่จริง
รวมทั้งการทำตัวเลขอัตราเร่งต่างๆ และการขับใช้งานในช่วง 3 วัน 2 คืน 370.6 กิโลเมตร ถังน้ำมัน 50 ลิตร
ก็ยังเหลือเชื้อเพลิงในถังอยู่อีกถึง 1 ใน 3 หมายความว่า ยังสามารถแล่นต่อไปได้อีกราวๆ 120 กิโลเมตร
แบบเนียนๆ โดยประมาณ เท่ากับว่า น้ำมันหนึ่งถัง น่าจะทำระยะทางได้ 500 กิโลเมตร สบายๆ อาจเกิน
มาได้อีกนิดนึง ไม่น่าจะมากเกิน 520 กิโลเมตร

********** สรุป **********
แปลกประหลาดเกือบทั้งคัน แต่ขับดีขนาดนี้ แล้วจะซื้อ C-Class กันไปทำไม?
“จิมมี่รู้ป่าว พี่ยังไม่ได้ขับเลย จิมมี่ได้ขับแล้วนะเนี่ย”
พี่ต้อม คมกฤช นงสวัสดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด และสื่อสารองค์กรของ Mercedes-Benz Thailand
ที่เจอกันโดยบังเอิญ บอกกับผมมาแบบนี้ ระหว่างคืนรถ กับพี่ฝน PR คุณแม่ยังสาว บนพื้นที่จอดรถ
ของอาคารรัจนากร นิวาสถาน บ้านทรายทอง ของสำนักงานใหญ่ Mercedes-Benz Thailand ตั้งอยู่
แล้วพี่ต้อมอยากรู้ไหมละครับว่า Feedback ของผม กับรถคันนี้เป็นอย่างไรบ้าง?
ก่อนอื่น ผมละอยากจะขอบคุณพี่ป้อม จริงๆ ที่ส่ง รถคันสีแดงแปร๊ด คันนี้มาให้ลองขับกัน
เพราะนี่คือรถอีกคันที่ เปลี่ยนความคิดผมที่มีต่อ ตัวของมันเองไปเลย อย่างคาดไม่ถึงมาก่อน
ความใส่ใจในการพัฒนาให้ตัวรถ มีแรงเสียดทานน้อยลง มีเครื่องยนต์ ขนาดเล็ก ที่ทรงพลังขึ้นตาม
แนวทาง Down – Sizing ที่หลายค่ายรถยนต์ เริ่มทำกันมาตั้งแต่ 4 ปีก่อนหน้านี้ เริ่มเห็นผลแล้ว เพราะ
B200 Blue EFFICIENCY ให้สมรรถนะที่ดีเกินกว่าคาดคิดไว้เลยทีเดียว
การเซ็ตช่วงล่างที่นุ่มสบายกำลังดี สำหรับกลุ่มเป้าหมายทั่วไป (แม้จะมีอาการสะเทือนจากยางมากไป
จนหลอกความรู้สึกของหลายคนว่า ช่วงล่างแข็ง ทั้งที่จริงๆแล้ว ช่วงล่าง นุ่มกำลังดีแล้ว) พวงมาลัยที่มี
ระยะฟรีกำลังดี เอาใจคนชอบขับรถอย่างผมมากๆ (แต่ตอบสนองไวไปหน่อยสำหรับรถประเภทนี้)
รวมทั้งการทำงานของระบบเบรก ที่นุ่มนวล มั่นคง (หากไม่กระทืบหนักๆจากความเร็วสูงเกินเหตุ)
ไว้ใจได้ รวมทั้งเครื่องยนต์ ที่ให้อัตราเร่ง ดีในช่วงรอบกลางๆ 3,000 – 5,000 รอบ/นาที (แต่ด้อยไป
ในช่วงออกตัว และช่วงปลาย เป็นธรรมดา) กับความประหยัดที่เหนือความคาดหมาย
ทั้งหมดนี้ ทำให้ B-Class ใหม่ B200 BE กลายเป็น รถขนผ้าอ้อม แปะยี่ห้อตราดาว ออกแบบประหลาด
ต่างไปจาก รถตราดาวคันอื่นๆ ในหลายๆ ประเด็น ที่สามารถพาผมเข้าโค้งบนทางด่วน ในบางโค้ง ได้
ด้วยความเร็ว “ในโค้ง” ที่ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ! พาผมเดินทางไกล ด้วยอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงระดับ
16.31 กิโลเมตร/ลิตร อัตราเร่งของตัวเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร Turbo ลูกเล็กๆ ที่ออกแบบเพื่อสร้างแรงดึงใน
ช่วง Mid-Range ให้ขับทางไกลได้สนุกขึ้น กลับทำตัวเลขออกมาได้ดีเท่ากับ เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร NA
พร้อมเกียร์อัตโนมัติ ปกติเสียด้วยซ้ำ! แถมยังทำท็อปสปีดได้ 225 กิโลเมตร/ชั่วโมง นิ่งๆ ไม่หวาดเสียว
มากอย่างที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ (แต่กว่าจะถึงตัวเลขระดับนั้นได้ ลุ้นกันหืดจับ หลัง 208 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ที่เกียร์ 5 ไป ก็หมดเรี่ยวเหี่ยวแรงเสียแล้ว)
และที่สำคัญ รถ Benz นำเข้ารุ่นใหม่ อะไรกันวะเนี่ย ราคา 2,499,000 บาท? นี่คือราคาที่จ่ายภาษี
ให้ประเทศชาติ เต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว เพราะทุกขั้นตอน มีการแจ้งราคาสำแดงจริง ไม่บิดเบือน
ไม่บิดพริ้ว (ลองบิดดูสิ ฝ่ายบัญชี และ Auditor จากเมืองนอก เฉ่งยับไล่บี้จนไล่ออกยกแผงกันพอดี
วัฒนธรรม เรื่องความซื่อสัตย์ และมีจริยธรรมกับความถูกต้อง โปร่งใส คิอเรื่องที่บริษัทนี้รณรงค์ใน
องค์กร พร้อมกันทั่วโลกอยู่ตอนนี้ อย่างเข้มข้นจริงๆ เห็นโปสเตอร์ แปะข้างฝาหน้าประตูลิฟต์แล้ว
สยองแทนคนที่คิดไม่ซื่อเลยจริงๆ! เพราะถ้า”สมมติ” CEO เกิดทำผิด เบิกค่าทางด่วนเกินมาจากที่
ได้แจ้งเรื่องไว้ นิดเดียว ก็จะโดนเด้งกลับ แถมโดน Auditor เมืองนอก เช็คสอบทานพร้อมสวดยับ
พอกับพนักงานธรรมดา ทั่วไปเลยนั่นแหละ!)
จริงอยู่ B-Class ยังไม่ถึงขั้นทำให้ผม ตกหลุมรักจนไม่อยากคืนกุญแจ แต่อย่างใด กระนั้น มันให้
ความบันเทิงใจในการขับขี่ได้ดีกว่าที่คุณจะจินตนาการได้ จากรูปร่างของมัน ไม่น้อยเลยทีเดียว!

นั่นคือข้อดีทั้งหมดของตัวรถ แล้วสิ่งที่อยากเห็นการปรับปรุงเพิ่มเติมละ?
ข้อแรก ฝากบอกวิศวกรชาวเยอรมันด้วยนะครับว่า ช่วยเอาคันเกียร์อัตโนมัติแบบปกติ ย้ายกลับมาอยู่ใน
ตำแหน่งเดิมด้วยเถอะ ตราบใดที่คุณไม่คิดจะทำ B-Class S-Class หรือ CL-Class ให้มีพื้นที่ตรงกลาง
ระหว่าง เบาะคู่หน้า ให้สามารถเดินทะลุถึงกันได้แบบ Walk Through เหมือนรถ Minivan ในญี่ปุ่นแล้ว
คุณก็ไม่จำเป็นต้องโชว์ศักยภาพในการออกแบบ ด้วยการลดขนาดของคันเกียร์ให้เล็กลงเหลือเพียงแค่
ก้านสวิชต์ เปลี่ยนเกียร์ แล้วย้ายมันไปอยู่ในตำแหน่งเดียวกับ ก้านไฟเลี้ยว สำหรับรถพวงมาลัยขวา
หรอกครับ มันใช้งานยาก ก่อความสับสน และอาจก่ออุบัติเหตุได้ สำหรับคนที่ไม่คุ้นชิน (ผมโดน
มาแล้ว)
ข้อต่อมา ขนาดของเบาะรองนั่งด้านหลัง ช่วยเพิ่มให้มันยาวกว่านี้อีกสักนิดเถิด มันสั้นไป ผู้ใหญ่
นั่งทางไกลไม่สบายช่วงขาเท่าที่ควร ต่อให้บอกว่า เน้นให้เด็กนั่ง แต่ การออกแบบรถยนต์ที่ดีนั้น
ควรจะรองรับความต้องการของผู้คนได้หลากหลายสรีระร่าง มิใช่หรือ? อย่าลืมเรื่อง Universal
Design กันสิครับ
การเก็บเสียงยางจากพื้นถนน บริเวณด้านหลัง อาจต้องเพิ่มวัสดุซับเสียงมากขึ้นอีก 1 ชั้น เพื่อช่วย
ลดเสียงเล็ดรอดเข้ามายังห้องโดยสาร แต่พอเข้าใจได้ว่า ถ้าจะเน้นความนุ่มเงียบ คงต้องเสียเรื่อง
การยึดเกาะถนนอันดีไปบ้าง ซึ่งก็ไม่ควรเป็นเช่นนั้นเท่าใดนัก ไม่เช่นนั้น อาจต้องหันไปหายาง
Continental ตระกูล Premium Contact หรือ Sport Contact กันไปเลย
เพราะ Bridgestone ทารันตุรา เอ้ย! Turanza T001 นี้ ไม่ได้เงียบเลย ดังกระหึ่ม สะเทือน
เลื่อนลั่น สนั่นโลกมากๆ แถมยังทำให้การเก็บแรงสะเทือนจากพื้นถนนช่วงความเร็วต่ำ ยังทำได้
ไม่ดีเท่าที่ควรอีกด้วย
อัตราเร่งในช่วงรอบปลายนั้น ยังไม่สำคัญเท่าไหร่ มันจะเหี่ยวแบบนี้ต่อไป ผมไม่ว่า แต่ในช่วง
ออกตัวนั้น อยากให้ Turbo ช่วยเพิ่มความเร็วในการบูสต์ อีกสักหน่อย ให้เริ่มมาถึงแถวๆระดับ
1,500 รอบ/นาที แล้วค่อยพบแรงดึงมากขึ้นในช่วง 2,000 ต่อเนืองไปจนถึง 4,500 รอบ/นาที
ได้จะดีกว่า เพราะนั่นจะยิ่งทำให้ B-Class เร้าใจในการพุ่งทะยานออกไปยิ่งกว่านี้ได้อีก
พวงมาลัย แม้จะเซ็ตมาในแบบที่ผมชอบ แต่คนส่วนใหญ่ อาจคิดว่า มันตอบสนองไวเกินไป
ถ้าหักเลี้ยวกระทันหัน มีหวังต้องพึ่งพาระบบ PRE-SAFE ช่วยกันโดยไม่จำเป็น ถ้าลดความไว
ลงมาอีกเพียงนิดเดียว พวงมาลัยจะลงตัวกำลังดีมากๆ ยิ่งกว่านี้ได้อีก
ท้ายสุด คือเรื่องของงออพชัน สำหรับประเทศไทย เครื่องปรับอากาศแบบแยกฝั่งซ้าย – ขวา ควรจะ
มีมาให้ได้แล้วในรถระดับราคานี้ แถมด้วยระบบนำทาง Navigation System พร้อมระบบควบคุม
COMMAND ONLINE เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ควรมีติดตั้งมาให้่ หรือเป็นออพชันสำหรับลูกค้า
จะเลือกได้แล้ว

แล้ว ใครกันละที่เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และคู่แข่งของ B-Class ในเมืองไทย?
แน่นอน ลูกค้ากลุ่มนี้ ส่วนใหญ่แล้ว เกือบทั้งหมด จะไม่มองรถยี่ห้ออื่นเลย นอกจากค่ายตราดาวเท่านั้น!
และแน่นอน ไม่ใช่สาวโสด สมาชิกสมาคมคานทองและผองเพื่อน เป็นแน่แท้ รถยนต์ 5 ประตู หน้าตาแบบนี้
เขาทำออกมาขายลูกค้ากลุ่ม Young(ster) Family ครอบครัวรุ่นใหม่ มีพ่อบ้านหรือแม่บ้าน เจ้าของกิจการ
ขนาดเล็ก SME ชี้ช่องจนเริ่มรวย อยากซื้อ Mercedes-Benz สักคัน ให้ชีวิต ชนิดมุ่งหน้าเดินแน่วแน่เข้า
โชว์รูมผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ แต่แอบคิดไปว่า C-Class ดูเป็น รถเก๋งสไตล์ อนุรักษ์นิยมมากไปหน่อย
ไม่เข้าคู่กับรสนิยมสุด Modern ของตน ที่ต้อง Look Chic ไว้ก่อน แม้จะแต่งงาน ท้องป่อง ลูก 2 แล้วก็เถอะ!
B-Class เป็นตัวเลือกที่ดีของคนกลุ่มที่มีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่เหมือนใคร แต่บิดามารดา บุพการี
ฐานะดี นามสกุลใหญ่โต ยังอยากให้ซื้อรถ Benz มาใช้ มากกว่ารถยี่ห้ออื่นใดในสากลโลกนี้ มันจึงเป็น
รถที่เหมาะสำหรับการ “พบกันครึ่งทาง” ระหว่าง คุณลูกหัวสมัยใหม่ และผู้ใหญ่หัวสมัยเก่า ได้อย่าง
เกือบจะลงตัว (ขึ้นอยู่กับว่า ใครเป็นคนออกเงิน หรือใครจะเสียงดังกว่ากัน ระหว่างคุณลูก หรือคุณพ่อ)
ที่สำคัญ คือ ถึงจะเป็นพ่อบ้านแม่บ้าน มีครอบครัวของตัวเองแล้ว แต่ก็ยังชอบความสนุกในการขับขี่แบบ
พอประมาณ คือไม่ใช่กลุ่มคนบ้ารถมาก จนต้องมานั่งถกเถียงกันว่า รถยนต์ ควรจะขับเคลื่อนด้วยล้อไหน
ดีกว่ากัน ระหว่างล้อหน้าหรือล้อหลัง ชอบรถขับสนุก แต่ไม่ต้องถังกับออกตัวดังเอี๊ยดล้อฟรีทิ้งทุกสี่แยก
ไฟแดง (แม้ว่า B200 คันนี้ จะทำได้ก็เถอะ!)
เพราะในกลุ่มนี้ มองไปมองมา ผมหาคู่แข่งเป็นตัวเปรียบเทียบ สูสี ได้เพียงแค่ คันเดียว นั่นคือ BMW X1
ซึ่งในบ้านเรา ก็มาพร้อมเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เบนซิน ไม่มีระบบอัดอากาศใดๆ ราคา 2,149,000 บาท แม้จะ
ถูกกว่า แต่ห้องโดยสารก็เล็กกว่า เป็นรถยนต์คนละรูปแบบ (X1 เป็น Premium Compact SUV แต่ B-Class
เป็นรถยนตแบบ Premium 5-Seater Minivan) แถมลูกค้าที่ซื้อไปใช้ (หลังจากรอคิวนานตั้งแต่ชาติปางก่อน)
เริ่มบ่นว่า อัตราเร่ง อืดไปหน่อย ต้องเหยียบมากขึ้น จนกินน้ำมันเพิ่มขึ้น ขณะที่ B-Class ไม่ต้องเหยียบ
มาก ไม่ต้องเปลืองแรง แค่ครึ่งคันเร่ง ก็พุ่งแล้ว (ฟังดูคล้ายสโลแกน น้ำยาซักผ้า แค่ครึ่งฝา ผ้าก็สะอาดแล้ว)
ส่วน Volvo V60 ก็มาในแนวทาง Premium Sport Compact Station Wagon ไปเลย คนละแนวทางกัน
ขับสนุกใกล้เคียงกัน แต่สมรรถนะก็จะด้อยกว่ากันนิดเดียว ในแต่ละด้าน แถมห้องโดยสาร ไม่โปร่ง
สบายเท่า แต่ได้เบาะนั่งที่ดีกว่า และเชื่อได้เลยว่า ผุ้โดยสารเกือบทุกคน จะไม่บ่นกับเบาะนั่งของ Volvo
หรือจะมอง Skoda Superb Combi 2.2 ล้าน ได้รถยนต์ตรวจการ ที่ใหญ่พอกับ E-Class T-Model หรือ
5-Series Touring แน่นอน มันใหญ่กว่า B-Class นั่งสบายกว่า แต่การขับขี่ในเมือง ก็จะพอกันกับ
รถใหญ่ทั่วไป คือคล่องตัวในระดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับมากมายเท่ารถเล็กอย่าง B-Class
ขณะที่ VW Golf GTi และ Scirocco มีระดับราคาพอกันเลย ก็คงต้องขึ้นอยู่กับว่า คุณอยากได้รถครอบครัว
ขับพอสนุก หรือรถเก๋งบ้านๆ ภาพลักษณ์ออกแนวดิบกว่าชัดเจน และขับสนุกกว่า แต่อาจจะมีศูนย์บริการที่น่า
เป็นห่วงกว่า
ส่วนคู่แข่งรายอื่น ถ้ามองในแง่ระดับราคาแล้ว…จะแข่งกับใครไปไม่ได้ นอกจาก C-Class ประกอบใน
ประเทศไทย พี่ชายร่วมค่ายด้วยกันเองนี่แหละ
ถ้าเช่นนั้น คำถามสุดท้ายก็คือ…แล้วถ้าจะต้องเลือกระหว่าง B-Class กับ C-Class คุณควรเลือกคันไหน?
คำตอบ อยู่ที่ความต้องการ และรูปแบบการใช้งานเป็นหลัก ถ้าคุณอยากได้รถเก๋ง บอกให้ผู้คนรู้ว่า คุณ
เริ่มมีเงินบ้างแล้วนะ อยากหาเครื่องประดับสถานะเกียรติยศให้กับชีวิตกับเขาบ้างสักคัน หรือใจคุณ
ยังชอบรถยนต Sedan มากกว่า เดินไปหา C-Class เลยครับ B-Class ไม่ใช่รถสำหรับคุณแน่ๆ
แต่ถ้าคุณเป็นคนเปิดกว้าง และอยากได้ รถ Benz ที่แปลกใหม่ไปจากรุปแบบที่คุ้นเคยกัน หรือที่บ้านมี
Mercedes-Benz อยู่แล้ว 1 – 2 คัน แต่อยากหารถใหม่ สำหรับขับในเมือง ประหยัดๆ พื้นที่ห้องโดยสาร
ใหญ่ๆ นั่งสบายๆ หลังคาโปร่งๆ ไว้ขับไปทำงาน หรือรับ – ส่งลูกเข้าโรงเรียน วิ่งออกต่างจังหวัดไปเที่ยว
ริมทะเล B-class คือตัวเลือกที่คุณควรจะมองไว้
ออพชันเป็นเรื่องรองลงมา ถ้าคุณจะเลือก C-Class ก็ต้องทำใจว่า ออพชันที่คุณได้ในรุ่นถูก เมื่อเทียบกับ
ราคาพอกันแล้ว B-Class จะคุ้มราคากว่า เพราะถ้าต้องการออพชันเยอะกว่านี้ คุณคงต้องมองไปที่ C-Class
รุ่นสูงกว่า 2.8 ล้านบาท ขึ้นไป ที่สำคัญ พื้นที่ของห้องโดยสาร จะเล็ก นั่งแล้วไม่สบายเท่า B-class แน่ๆ
เนื่องจากตัวรถ ออกแบบมาตอบโจทย์ลูกค้าที่มีวัตถุประสงค์ในการซื้อรถ และวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน
แต่ถ้าเลือก B-Class คุณต้องทำใจว่า คุณอาจจะไม่ได้รถขับเคลื่อนล้อหลังแท้ๆ แบบ Mercedes-Benz
ที่คุณคุ้นเคย ซึ่งผมว่า นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย เพราะ B-Class ขับสนุก และพาคุณพุ่งโผนได้อย่าง
สนุกไม่เบา แถมเผลอๆ ยังจะมั่นใจกว่า C-Class นิดๆ ด้วยซ้ำเถอะ! แถมออพชันก็ถือว่า ไม่ถึงกับครบ
แต่ก็ไม่เลวร้ายเลย มันเพียงพอต่อการใช้งานในประเทศไทยแล้วด้วยซ้ำ ติแค่ว่า น่าจะติดตั้งระบบ
นำทาง Navigation System พร้อมระบบ COMMAND ONLINE มาให้ B-Class ได้แล้ว ก็ยังจะอุตส่าห์
แถมระบบ COMMAND รุ่นดั้งเดิม มาให้ทำไมก็ไม่รุ้?
แต่ทั้งหลายทั้งปวงแล้ว B-Class คืออีกตัวอย่างหนึ่ง ที่พิสูจน์ให้พวกเราได้เห็นกันแล้วว่า บางครั้ง
การตัดสินรถยนต์สักคัน จากเพียงแว่บแรก ที่เห็นหน้าตาของมัน อาจทำให้คุณ พลาดอะไรดีๆ
ที่อาจเข้ามาในชีวิตได้ ง่ายๆเลยทีเดียว
ดังนั้น…
อย่าตัดสินรถ จากแค่เพียงเห็นหน้าตาของมัน แต่จงเปิดประตูแล้วลองขับออกไปดูกันเลยดีกว่า!
เพราะ…รถขนผ้าอ้อม ขับสนุกใช้ได้เลย ขนาดนี้ หาไม่ได้ง่ายๆ ในตลาดนะครับ!
———————-///———————–

ขอขอบคุณ
บริษัท Mercedes-Benz Thailand จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ

