• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N3108054_ดบ งฐานะเพ อพ จน กแท นหลาน_part2

admin79 by admin79
August 27, 2025
in Uncategorized
0
N3108054_ดบ งฐานะเพ อพ จน กแท นหลาน_part2

ในอดีต เมื่อพูดถึงรถยนต์ Mercedes-Benz คนไทยส่วนใหญ่ จะนึกถึงกันแต่ บรรดารถยนต์ Sedan ระดับราคาแพงๆ จำพวก S-Class , หรือ ย่อมเยาลงมาหน่อยก็เป็นพวก E-Class ไปจนถึง C-Class ซึ่งรับบทบาทในฐานะ รถยนต์รุ่นขายดีที่สุดให้กับแบรนด์ตราดาว มาตั้งแต่ทศวรรษ 1990

หลังจาก ปี 1996 ซึ่ง Mercedes-Benz ตัดสินใจขยายทางเลือกรูปแบบรุ่นรถยนต์ ให้แตกหน่อต่อยอดออกไป อย่างไม่หยุดหย่อน โลกก็เริ่มรู้จักกับ Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆ ในรูปแบบตัวถัง และขนาดที่แตกต่างไปอย่างหลากหลายขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก ยิ่งทุกวันนี้ รถยนต์ในตระกูล SUV กลายมาเป็นรถยนต์ที่ทำรายได้ให้กับ Mercedes-Benz ได้เป็นกอบเป็นกำมากขึ้น

แน่นอนว่า มันเป็นผลมาจากความพยายามในการขยายทางเลือก เพื่อขยายตลาด ขยายฐานลูกค้า และโอกาสในการทำรายได้และผลกำไรเข้าบริษัท อันเป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจ ผลก็คือ ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็เห็นแต่ Mercedes-Benz รุ่นใหม่ ป้ายแดง เต็มถนนบ้านเราไปหมด

เพียงแต่ว่า การขยายทางเลือก ในกลุ่มระดับราคาต่ำกว่า C-Class นั้น Mercedes-Benz มองว่า เกิดขึ้น เพื่อเอาใจกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ ที่เกิดและเติบโตขึ้นมาหลังจากยุค 1990 เพื่อหวังให้เป็น Mercedes-Benz คันแรก สำหรับหนุ่มสาวเหล่านั้น เป็นหลัก พวกเขา มองแค่ว่า เลือกทำรถยนต์ บนพื้นตัวถัง MFA Platform ทั้ง A-Class , CLA-Class รวมทั้ง GLA-Class และ GLB-Class ในขนาดตัวถังพอกันกับกลุ่ม C-Segment ในยุโรป ทั้ง เจ้าตลาด อย่าง Volkswagen ตระกูล Golf , Peugeot 308 , Renault Megane , Opel / Vauxhall Astra ฯลฯ แต่ ตั้งราคา Mark-up Price ขึ้นไปอีกนิดหน่อย เพียงเท่านี้ ก็ช่วยให้ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อย ขยับงบ เพิ่มขึ้นมาอุดหนุนรถยนต์ตราดาว ได้แล้ว

สถานการณ์ดังกล่าว ดูเหมือนว่าจะแตกต่างจากตลาดรถยนต์ในเมืองไทย อยู่นิดหน่อย

ต้องยอมรับว่า สำหรับลูกค้าในเมืองไทยแล้ว การมาถึงของรถยนต์ Premium ระดับราคาถูกลง แบบนี้ กลับเชื้อเชิญ เรียกแขก ให้ลูกค้าที่กำลังจะจ่ายเงินระดับ 1.8 ล้านบาท จนถึง 2 ล้านบาท กับรถยนต์ D-Segment จากญี่ปุ่น ให้เปลี่ยนใจ เพิ่มงบอีกนิด แล้วหันมาเล่นรถยนต์ Premium จาก ยุโรป เป็นคันแรกในชีวิต มากขึ้นอย่างผิดหูผิดตา

แนวโน้มดังกล่าว เกิดขึ้นมาจากแนวคิดของค่ายรถยนต์ระดับ Premium ที่เริ่มมองเห็นศักยภาพในการขยายตลาด ว่า ในเมื่อ ระดับราคาของ รถยนต์ Premium รุ่นเริ่มต้นเหล่านี้ ใกล้เคียงกับ ราคาของรถยนต์ D-Segment อย่าง Toyota Camry และ Honda Accord ดังนั้น ลูกค้าจำนวนไม่น้อย จึงเกิดความลังเลใจว่า จะอุดหนุน รถญี่ปุ่นคันใหญ่กว่า หรือรถยุโรป ระดับ Premium รุ่นเริ่มต้นจึงจะคุ้มค่ากว่ากัน ยิ่งลูกค้าชาวไทย ส่วนใหญ๋ ตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ โดยเอางบประมาณที่มี เป็นตัวตั้งต้น ก่อนจะมองไปที่ประเภทของรถยนต์ที่อยูในงบของตน (แทนที่จะเอาลักษณะการใช้งาน มาเป็นตัวกำหนด) ด้วยเหตุนี้ ลูกค้าจำนวนมาก ซึ่งอยากจะ เสริมสร้างภาพลักษณ์ให้ตนเองดูดีในหมู่เพื่อนฝูง ก็เบนเข็มหันมาตัดสินใจเลือกรถยุโรป ได้ไม่ยาก โดยเฉพาะ เทรนด์ความนิยมรถยนต์ SUV ที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยากที่จะชะลอตัวลง ความต้องการรถยนต์ประเภทนี้จึงยังเพิ่มสูงขึ้นอยู่ได้อีกเรื่อยๆ

สำหรับ Mercedes-Benz แล้ว รถยนต์ ที่ทำให้ลูกค้าจำนวนไม่น้อย ตัดสินใจ Upgrade จากรถญี่ปุ่น ขึ้นมาอุดหนุน Mercedes-Benz ในลักษณะ First time buyers ได้มากสุด กลับไม่ใช่ A-Class หากแต่เป็น GLA-Class รุ่น X156 เดิม ซึ่งต้องยอมรับเลยว่า ช่วงปี 2016 – 2017 เราพบเห็น GLA ใหม่ แล่นกันเต็มถนนในเขตกรุงเทพมหานคร และตามเมืองใหญ่ๆ กันเลยทีเดียว

มาถึงวันนี้ GLA ใหม่ออกสู่ตลาดได้พักใหญ่ แต่กลับ ไม่ค่อยพบเห็นบนท้องถนนมากเท่ากับคู่แข่งโดยอ้อม อย่าง BMW X1 ซึ่งหลายคนมองเรื่อง Option กับราคา เป็นหลัก แต่ถ้าเราไม่ได้มองแค่ประเด็นนี้เพียงอย่างเดียว หลายคนคงอยากรู้ว่า GLA มีอะไรที่ทำให้น่าจะนำมาอยู่ในตัวเลือกระหว่างการตัดสินใจได้บ้าง?

ผมกับพี่จิม นำ GLA ใหม่ ทั้ง 2 รุ่น คือ GLA 200 และ Mercedes AMG GLA 35 มาทดลองขับกันในช่วงเวลาต่างกัน และทำให้เราพบว่า จริงๆแล้ว GLA ใหม่ ดีขึ้นกว่ารถรุ่นเดิม ในแทบทุกด้าน เพียงแต่ว่า มันจะดีพอในสายตาของลูกค้าที่คิดจะมองหา Premium SUV ขนาดเล็กคันแรกในชีวิตมากน้อยแค่ไหน ผมจะพาคุณผู้อ่านไปหาคำตอบกัน

แต่ก่อนอื่น ตามธรรมเนียมของ Headlightmag เราคงต้องย้อนกลับไปดูจุดเริ่มต้น ของ GLA กันสักเล็กน้อย

Mercedes-Benz เริ่มมีแนวคิดที่จะสร้าง Crossover SUV ขึ้นบนแพลตฟอร์ม MFA (Modular Front-wheel Architecture Platform) เจเนอเรชันแรก อันเป็นพื้นฐานของรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้าขนาดเล็ก เพื่อเติมเต็มรถยนต์ตระกูล GL (Geländewagen) ให้ครบทุกขนาด และเพื่อตอบความต้องการของเหล่าบรรดาลูกค้าที่นิยมชมชอบรถใต้ท้องสูง หนีน้ำท่วม อันเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1995 และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ปล่อยให้คู่รักคู่แค้นแดนเทพนิยายอย่าง BMW สำราญเริงใจไปกับการกอบโกยผลกำไรจาก X1 โฉมแรก (E84) ที่รุดหน้าทำตลาดไปก่อน ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2009

แนวคิดดังกล่าว เริ่มเผยให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น เมื่อ Daimler AG ตัดสินใจยิงภาพ Teaser ชุดแรกของรถยนต์ต้นแบบ Mercedes-Benz Concept GLA ขึ้นบนสื่อ On-line เพื่อเป็นการหยั่งกระแสตอบรับ ก่อนจะนำไปโชว์ตัวครั้งแรกในโลก ตัดหน้าการมาถึงของ BMW X1 รุ่นปรับโฉม LCI ที่ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ภายในงาน Shanghai Auto Show 2013 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 – 29 เมษายน 2013

จากนั้น เวอร์ชันจำหน่ายจริงของ Mercedes-Benz GLA รุ่นแรก ที่มาพร้อมรหัสตัวถัง X156 ก็ถูกเปิดตัวสู่สายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรกในโลก ตามมาติดๆ เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2013 ที่งาน Frankfurt Motor Show 2013 ประเทศฝรั่งเศส ก่อนจะเริ่มเปิดให้สั่งจองในช่วงเดือนพฤศจิกายนของปีเดียวกัน แต่กว่าจะเริ่มส่งมอบรถคันแรกให้ลูกค้าได้ ก็ต้องรอจนถึงช่วงต้นปี 2014 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับที่ GLA เวอร์ชันอเมริกา และญี่ปุ่นเปิดตัวตามๆกันมา

GLA-Class รุ่นแรก (X156) มาพร้อมตัวถังภายนอกที่มีความยาว 4,443 มิลลิเมตร กว้าง 1,804 มิลลิเมตร สูง 1,483 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,700 มิลลิเมตร

ฝั่งบ้านเรา Mercedes-Benz (Thailand) เริ่มนำเข้า GLA เข้ามาจำหน่าย พร้อมจัดงานเปิดตัว ในงาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม 2014 ประเดิมตลาดด้วยรุ่นนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคัน GLA 200 Urban วางเครื่องยนต์รหัส M270 เบนซิน 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว ขนาด 1.6 ลิตร 1,595 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 73.7 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.3 :1 กำลังสูงสุด 156 แรงม้า ที่ 5,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร (25.47 กก.-ม.) ที่ 1,250 – 4,000 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหน้า จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7G-DCT ติดป้าย ราคา ไว้ที่ 2,440,000 บาท

จากนั้น GLA รุ่นประกอบในประเทศ (SKD : Semi-knocked down) ถูกเปิดตัวตามออกมา ยั่วน้ำลายลูกค้าที่กำลังมองหารถญี่ปุ่นระดับราคา 1 ล้านกลาง ถึง 2 ล้านต้น เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2015 หั่นราคา GLA 200 Urban ลงมาเหลือ 2,090,000 บาท ทำตลาดควบคู่ไปกับรุ่นย่อยใหม่ อย่าง GLA 250 AMG Dynamic เครื่องยนต์ รหัส M270 เบนซิน 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว ขนาด 2.0 ลิตร 1,991 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 92.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.8 :1 กำลังสูงสุด 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,200 – 4,000 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหน้า จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7G-DCT ราคา 2,440,000 บาท เท่า GLA 200 Urban รุ่นนำเข้าเป๊ะ เล่นเอาลูกค้าที่ซื้อไปก่อนหน้านั้นเคืองไปตามๆ กัน (ปลายปี 2016 ปรับราคา GLA250 ลงเหลือ 2,390,000 บาท)

อีก 3 ปีต่อมา GLA รุ่นปรับโฉม Facelift ของ Global Version ก็ถูกส่งไปเปิดตัวที่งาน Detroit Motor Show ในเดือนมกราคม ปี 2017 มีการปรับดีไซน์เปลือกกันชนหน้า – หลัง ปรับรายละเอียดไฟหน้า – ไฟท้าย เพิ่มสีตัวถังภายนอก Canyon Beige และเพิ่มอุปกรณ์ความปลอดภัยเข้าไป อาทิ กล้องมองภาพรอบคัน ระบบเตือนการชนด้านหน้า Attention Assist และระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ Active Brake Assist เป็นต้น ส่วนเวอร์ชันไทยก็รีบปรับตามอย่างทันควัน เมื่อ 21 กรกฎาคม 2017 แต่ยังคงราคาจำหน่ายของ GLA ทั้ง 2 รุ่น เอาไว้เท่าเดิม เพื่อต่อกรกับ BMW X1 (F48) รุ่นใหม่ ในขณะนั้น โดยใช้เครื่องยนต์เดิม ทั้ง 2 แบบ

การมาถึงของ GLA เจเนอเรชันแรก ในคราวนั้น ถ้าเป็นภาษาวัยรุ่นแสลง เรียกว่า “ปัง” ทีเดียว การถอยห่างจากงานดีไซน์ภายนอกทรงกล่อง 4 เหลี่ยม ตลอดจนเส้นสายอันแข็งกร้าว แบบที่พบได้ใน SUV รุ่นพี่ ทั้ง GLK-Class, M-Class หรือแม้แต่ GL-Class หันมาเอาดีทางด้านความเฉี่ยว ความชิค เน้นสไตล์ รวมถึงการวางตำแหน่งให้เป็น Entry Level Model สำหรับคนที่มองหารถระดับ Premium คันแรกของชีวิต ล้วนแต่มีส่วนช่วยให้ GLA รุ่นแรก มียอดขายสะสมทั่วโลกแซงหน้า BMW X1 ไปอย่างขาวสะอาด

ถึงแม้ว่า GLA เจเนอเรชันแรก จะทำหน้าที่เรียกแขก (ที่แปลว่า ลูกค้า) ได้อย่างดี จนทำให้มียอดขายในภาพรวมทั่วทั้งโลก อยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ทำให้ไปไม่สุด เสียงจากลูกค้าอีกหลายราย ทั้งผู้ที่ซื้อไปแล้ว รวมถึงคนที่กำลังตัดสินใจอยู่ ต่างมองว่าดีไซน์ของ GLA รุ่นแรก ยังขาดมาด SUV อยู่ มองแล้วยังเป็นได้แค่ A-Class ที่ยกสูงขึ้นมานิดเดียว ดูไม่ฉีกจาก A-Class ปกติ เท่าที่ควร หนำซ้ำยังมีภายในห้องโดยสารที่ห่างไกลจากคำว่าสบายอยู่หลายหมื่นหลี้

Mr.Axel Heiz หัวหน้าทีมพัฒนารถยนต์ Compact Car ตลอดจนทีมวิศวกรผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการสร้าง GLA รุ่นใหม่ ถึงกับต้องหยิบยกประเด็นเรื่องการออกแบบขึ้นมาพูดคุยกันอย่างจริงจัง จนเป็นเหตุผลที่ทำให้ GLA รุ่นปัจจุบัน เจเนอเรชันที่ 2 มีกลิ่นอายความเป็น SUV ทั่วไป ติดอยู่บนงานดีไซน์ภายนอกมากขึ้น

Mercedes-Benz GLA เจเนอเรชันที่ 2 รหัสตัวถัง W177 เป็นรถยนต์รุ่นที่ 8 และคาดว่าจะเป็นรุ่นสุดท้าย ที่ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม MFA2 (Modular Front-wheel Architecture Platform 2nd Generation) ตามแผนกลยุทธ์เพิ่มจำนวนสมาชิกในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็ก (Compact Car) เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าได้ที่หลากหลายมากขึ้นให้ได้ครบที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ และเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุดโดยเร็วต่อการลงทุนพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ในแต่ละเจเนอเรชัน

รูปลักษณ์ภายนอก รังสรรค์ขึ้นจากปลายปากกานักออกแบบที่นำทีมโดย Mr.Gorden Wagener เป็นการนำปรัชญา Sensual Purity มาผสมกับกลิ่นอายของรถแนว Off-road ทำให้ภาพรวมดูฉีกไปจากรุ่นเดิมพอสมควร เห็นได้จากความสูงของแนวหลังคาที่เพิ่มขึ้นราวๆ 104 มิลลิเมตร รวมถึงกระจกหน้าต่างด้านข้างที่เปลี่ยนมาเป็นแบบ 6 Windows ตามแบบฉบับรถ SUV ทั่วๆ ไป

นอกจากนี้ การขยายมิติตัวรถ ทั้งความกว้าง ความสูง ตลอดจนยืดระยะฐานล้อออกไปอีก ยังช่วยให้ GLA ใหม่ มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้าง ปรอดโปร่ง มากขึ้นกว่ารุ่นเดิม แถมยังมีพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายใหญ่โตขึ้นอีกเป็นกอง

อย่างไรก็ตาม แม้มิติตัวรถโดยรวมจะใหญ่โตโออ่าขึ้น แต่ความยาวจากปลายกันชนหน้าถึงกันชนหลังกลับสั้นลงกว่ารุ่นที่แล้ว เนื่องจากระยะ Overhang ทั้งด้านหน้าและด้านหลังถูกบีบให้สั้นลง เพื่อเพิ่มมุมไต่ (Approach Angle) และมุมจาก (Departure Angle) ในกรณีที่ต้องลุยทางวิบาก และคงไว้ซึ่งความกะทัดรัด ใช้งานได้อย่างคล่องตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่คนซื้อรถไซส์เล็กคาดหวังด้วยเช่นกัน

ส่วนใครก็ตามที่หวังว่าจะได้เห็นเวอร์ชันท้ายลาดตามออกมาในช่วงเวลาหลังจากนี้ ต้องขอแสดงความเสียใจด้วย ประเด็นนี้ Mr.Axel Heiz บอกกับนักข่าวสายยานยนต์ต่างประเทศ ว่าพวกเขาจะไม่ทำ GLA Coupe ออกมาอย่างแน่นอน เนื่องจากความต้องการรถประเภทนี้ไม่ได้เยอะนัก ที่สำคัญยอดขายของ BMW X2 (F39) ก็เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี อีกทั้งจะว่าไปแล้ว GLA รุ่นนี้ ก็เปรียบเสมือนเป็นตัวถัง Coupe ให้กับ Mercedes-Benz GLB-Class ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้โดยปริยาย อยู่แล้ว

Mercedes-Benz GLA เจเนอเรชันที่ 2 ถูกเปิดตัวครั้งแรกให้ชาวโลกได้ยลโฉมพร้อมกันสดๆ ในรูปแบบ Digital World Premier โดยมีบอสใหญ่คนใหม่แห่งอาณาจักร Daimler AG นามว่า Mr.Ola Kallenius และ Mr.Gorden Wagener หัวหน้าฝ่ายออกแบบ มากล่าวถึงแนวทางการพัฒนาและจุดเด่นของตัวรถสั้นๆ เพียง 15 นาที เท่านั้น เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2019 ก่อนเวอร์ชันขายจริง ซึ่งออกจากสายการผลิต ณ โรงงานใน Rastatt ประเทศเยอรมนี จะถูกส่งขึ้นโชว์รูมในประเทศแถบยุโรป ในช่วงต้นปี 2020 แล้วค่อยเริ่มทำตลาดในสหรัฐอเมริกา และขึ้นสายการผลิตใน จีน ตามลำดับ

ฝั่งบ้านเรา Mercedes-Benz (Thailand) ตัดสินใจนำ GLA ใหม่ มาขึ้นสายการประกอบ ณ โรงงานธนบุรีประกอบรถยนต์ (TAAP) ตั้งแต่ล็อตแรก ไม่ใช้วิธีการดั้งเดิมที่นำเข้ารุ่น CBU เข้ามาทำตลาดก่อนในช่วงแรก แบบรถยนต์รุ่นก่อนๆ พร้อมจัดอีเว้นท์เล็กๆ ให้นักข่าวสายยานยนต์ได้ยลโฉมรถคันจริงของ GLA ใหม่ แถมด้วย A-Class Sedan รุ่นประกอบในประเทศ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2020  ณ โรงแรม Four Season โดยเบื้องต้นจะมีเพียงรุ่นย่อยเดียวให้เลือกคือรหัส GLA 200 มาพร้อมกับการตกแต่งแบบ AMG Optical หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ AMG Dynamic สนนราคาจำหน่ายอยู่ที่ 2,399,000 บาท

หลังจากที่ GLA 200 AMG Dynamic ทำตลาดไปได้ระยะหนึ่ง ความพยายามอย่างยิ่งยวดของ Mercedes-Benz (ประเทศไทย) ในขยับขยายแบรนด์ ​AMG ให้โตอย่างต่อเนื่อง ก็ทำให้เวอร์ชันตัวแรงอย่าง Mercedes-AMG GLA 35 4MATIC ถูกส่งเข้ามาประกอบและทำตลาดในประเทศไทย เสริมทัพ Mercedes-AMG ในบ้านเราให้แข็งแกร่งขึ้น เอาใจลูกค้าผู้บูชาดวงดาวและรักความแรงแต่อยากเซฟเงินในกระเป๋า ครองตำแหน่งน้องนุชสุดท้องในตระกูล AMG ที่มีค่าเนื้อค่าตัวถูกที่สุดเป็นประวัติการณ์ ถูกกว่าอดีต Baby AMG อย่าง AMG CLA 35 รุ่น CBU อยู่ราวๆ 809,000 บาท เลยทีเดียว

ต่อมา วันที่ 13 กรกฎาคม 2021 Mercedes-Benz (ประเทศไทย) เพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับตระกูล GLA ด้วยการส่ง GLA 200 Progressive รุ่นย่อยถูกสุด ถอดลูกเล่นแพรวพราวบางอย่างทิ้งไป แต่ยังไม่ถึงกับโล้นน่าเกลียด แล้วกดราคาต่ำลงอีก 200,000 บาท เหลือ 2,199,000 บาท ออกสู่ตลาด ทว่าดาวที่ขาดความแพรวพราวดูเหมือนจะไม่ต้องตาต้องใจสาวกเท่าไหร่นัก ล่าสุด วันที่ 3 ธันวาคม 2021 จึงมีการปรับอุปกรณ์ให้กับ GLA (MY 2022) เริ่มจากการอัพเกรดหน้าจอกลางเป็นแบบ All Digital Instrument Display เป็น ขนาด 10.25 นิ้ว 2 ตลอดจนเพิ่มไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร Ambient Light 64 สี ให้กับรุ่น Pr0gressive รวมถึงเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัยให้กับทั้งรุ่น Progressive และ AMG Dynamic อันประกอบด้วย

  • ระบบเปิด-ปิดฝาท้าย ด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชั่น Hand-free
  • ระบบแจ้งเตือนมุมอับสายตา Blind Spot Assist
  • ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถแล่นเข้ามาด้านข้างขณะเปิดประตู Exit Warning
  • ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องจราจร Active Lane Keeping Assist
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist
  • แท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย Wireless Charger

แม้ว่าราคาค่าตัวของ GLA (MY 2022) จะเพิ่มขึ้น 131,000 บาท ในรุ่น Progressive และเพิ่มขึ้น 81,000 บาท สำหรับรุ่น AMG Dynamic แต่เมื่อเทียบกับสิ่งต่างๆ ที่ติดตั้งเพิ่มเข้ามาให้นั้นควรค่าแก่การจ่ายเงินเพิ่มพอสมควรโดยเฉพาะระบบความปลอดภัย และคาดว่าน่าจะช่วยเรียกลูกค้า เดินเข้าโชว์รูม Mercedes-Benz ทั้ง 35 แห่ง ทั่วประเทศได้เพิ่มอีกไม่น้อยเลยทีเดียว

***** มิติตัวถัง / Dimension *****

Mercedes-Benz GLA เวอร์ชันไทย (GLA 200 AMG Dynamic) มีมิติตัวถังภายนอก ยาว 4,410 มิลลิเมตร กว้าง 1,834 มิลลิเมตร สูง 1,611 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,729 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหน้า 1,605 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหลัง 1,606 มิลลิเมตร ระยะ Overhang ด้านหน้า 905 มิลลิเมตร และระยะ Overhang ด้านหลัง 776 มิลลิเมตร

เมื่อเปรียบเทียบกับ Mercedes-Benz GLA รุ่นเดิม (X156) ซึ่งมีมิติตัวถังภายนอก ยาว 4,443 มิลลิเมตร กว้าง 1,804 มิลลิเมตร สูง 1,483 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,700 มิลลิเมตร จะพบว่า GLA รุ่นใหม่ สั้นลง 33 มิลลิเมตร ก็จริง แต่กว้างขึ้น 30 มิลลิเมตร สูงขึ้นถึง 128 มิลลิเมตร แถมยังมีระยะฐานล้อยาวขึ้นอีก 29 มิลลิเมตร ด้วยเช่นกัน

หากลองนำไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งสำคัญอย่าง BMW X1 (F48) ซึ่งมีมิติตัวถังภายนอก ยาว 4,447 มิลลิเมตร กว้าง 1,821 มิลลิเมตร สูง 1,598 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,670 มิลลิเมตร จะพบว่า GLA สั้นกว่า 37 มิลลิเมตร แต่กว้างกว่า 13 มิลลิเมตร สูงกว่า 13 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาวกว่า X1 อยู่ 59 มิลลิเมตร

เมื่อลองนำไปเทียบกับ Volvo XC40 ซึ่งมีมิติตัวถังภายนอก ยาว 4,425 มิลลิเมตร กว้าง 1,863 มิลลิเมตร สูง 1,652 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,702 มิลลิเมตร ก็จะพบว่า GLA เล็กกว่าทุกมิติ ทั้งความยาวที่น้อยกว่า 15 มิลลิเมตร แคบกว่า 29 มิลลิเมตร แถมยังเตี้ยกว่า 41 มิลลิเมตร แต่กลับมีระยะฐานล้อยาวกว่า XC40 อยู่ 27 มิลลิเมตร

หรือจะลองนำไปเทียบคู่แข่งฝั่งญี่ปุ่นอย่าง Lexus UX ซึ่งมีมิติตัวถังภายนอก ยาว 4,495 มิลลิเมตร กว้าง 1,840 มิลลิเมตร สูง 1,540 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,640 มิลลิเมตร ก็จะพบว่า GLA สั้นกว่า UX ถึง 85 มิลลิเมตร แคบกว่า 6 มิลลิเมตร แต่สูงกว่า 71 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาวกว่า 89 มิลลิเมตร

เมื่อดูจากตัวเลขมิติตัวถังภายนอกเทียบกับคู่แข่งหลายรุ่นจะพบว่า GLA ใหม่ มีขนาดใล่เลี่ยกันกับ Premium Compact Crossover รุ่นอื่นๆ ยกเว้นระดับของแนวหลังคาที่สูงอันดับต้นๆ เป็นรองแค่ XC40 ซึ่งมีลักษณะของตัวถังภายนอก เจียนจะเป็น Premium Compact REAL SUV อยู่รอมร่อแล้ว

***** รูปลักษณ์ภายนอก / Exterior *****

ดีไซน์ภายนอกของ GLA 200 AMG Dynamic เป็นการตกแต่งแบบ AMG Bodystyling ด้านหน้าจะมาพร้อมกับกระจังหน้า Dimond Grille พร้อมสัญลักษณ์ดาวจม ซึ่งหลายคนคงจะคุ้นหูคุ้นตากันดีอยู่แล้วในรถยนต์ Mercedes-Benz ยุคใหม่ ด้านข้างขนาบด้วยชุดไฟหน้าแบบ LED High Performance พร้อมฟังก์ชั่นปรับไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist

ดีไซน์ด้านข้างเป็นสิ่งที่มีความเปลี่ยนแปลงจาก GLA รุ่นเดิม อย่างเห็นได้ชัด เริ่มจากการเปลี่ยนงานออกแบบกระจกหน้าต่างมาเป็นแบบ 6-Windows ตลอดจนยกเส้นแนวหลังคา หรือ Roofline ให้สูงขึ้นกว่ารุ่นเดิม ทำให้มีบุคลิกความเป็น Crossover SUV แบบทั่วไปมากขึ้น แทนที่จะเป็นแค่ A-Class Hatchback ยกสูงขึ้นเล็กน้อยแบบรถรุ่นเดิม

บั้นท้ายมาพร้อมกับชุดไฟท้ายแบบ LED ทรง Freeform 2 ชิ้น ที่เริ่มนำมาใช้กับ GLC Facelift ชายล่างตกแต่งด้วยชุดแต่ง AMG พร้อมปลอกท่อไอเสียโครเมียม (ท่อหลอก) เหนือกระจกบังลมหลังเป็นสปอยเลอร์สีเดียวกับรถ พร้อมไฟเบรกด้วยที่ 3 แบบ LED

ล้ออัลลอยของรุ่น AMG Dynamic จะเป็นลาย 5 ก้านคู่ ขนาด 19 นิ้ว (48.3 เซนติเมตร) รัดด้วยยาง Continental ECO Contact ขนาด 235/50 R19 แบบธรรมดา ไม่ใช่ยาง Run-flat

ส่วนความแตกต่างภายนอกระหว่าง Mercedes-AMG GLA 35 4MATIC และ Mercedes-Benz GLA 200 AMG Dynamic ได้แก่

  • กระจังหน้า AMG-Specific Radiator Grille หรือ Panamericana Grille พร้อมสัญลักษณ์ AMG
  • สัญลักษณ์ TURBO 4MATIC บริเวณแก้มข้างด้านหน้า
  • สัญลักษณ์ AMG ที่ฝากระโปรงท้าย
  • สปอยเลอร์หลัง AMG Spoiler Lip
  • ท่อไอเสีย AMG Exhaust System พร้อมปลายท่อไอเสียโครเมียมทรงกลม
  • ล้ออัลลอย AMG ลาย 5 ก้านคู่ ขนาด 19 นิ้ว รัดด้วยยาง Michelin Pilot Sport 4S ขนาด 235/50 R19
  • กุญแจรีโมทตกแต่งด้วยสัญลักษณ์ AMG

ดูจากรายการอุปกรณ์ข้างต้นแล้ว บางคนจะเผลอคิดไปว่า การจ่ายเงินเพิ่มตั้งเกือบ 800,000 บาท เพื่อให้ได้มาซึ่งข้าวของกระหยุมกระหยิมแค่นี้ มันช่างดูไร้สาระสิ้นดี… คุณคิดผิดครับ

จุดต่างสำคัญของ AMG GLA 35 ไม่ได้อยู่รูปลักษณ์ภายนอก แต่อยู่รายละเอียดงานวิศวกรรมที่ทำบุคลิกการขับขี่ต่างออกไปเป็นรถคนละรุ่นกันเลย แถมยังมีลูกเล่นภายในห้องโดยสารอีกประมาณหนึ่งติดตั้งเพิ่มเข้ามาให้เป็นของสมนาคุณให้กับคนที่กล้าจ่าย

แต่ก่อนจะไปถึงรายละเอียดงานวิศวกรรม เราจะพาคุณมาดูภายในห้องโดยสารกันก่อน…

***** ภายในห้องโดยสาร  / Interior *****

เริ่มจาก ระบบกลอนประตู ทั้ง 2 รุ่น เป็นกุญแจรีโมท KEYLESS-GO พร้อมกุญแจลับ Wave Key ฝังตัวอยู่ด้านใน สำหรับใช้เป็นกุญแจสำรองในยามแบตเตอรี่หมด หรือใช้ล็อกกล่องเก็บของ (Glove Compartment) ตลอดจนปิดการทำงานของถุงลมนิรภัยฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า

กุญแจรีโมทของ GLA 200 มีหน้าตาคล้ายๆ กับ Mercedes-Benz ยุคปัจจุบันรุ่นอื่นๆ คือเป็นกรอบสีเงินตัดกับสีดำ ทว่ากุญแจรีโมทของ AMG GLA 35 จะพิเศษกว่าตรงที่ ด้านหลังของกุญแจจะเป็นกรอบสีดำเงา พร้อมสัญลักษณ์  AMG

เมื่อพกกุญแจไว้กับตัว แล้วเดินเข้าใกล้รถ คุณสามารถเอื้อมมือไปจับมือเปิดประตู เพื่อสั่งให้ระบบปลดล็อกประตูได้อัตโนมัติ ได้ทั้ง 4 บาน หากต้องการสั่งล็อก ก็แค่สัมผัสที่ช่อง 4 เหลี่ยมเล็กๆ ด้านข้างมือจับประตู หรือจะสั่งล็อก – ปลดล็อก โดยการกดปุ่มที่กุญแจรีโมทก็ได้เช่นกัน

ช่องทางเข้า – ออก กว้างกว่า GLA รุ่นที่แล้วพอสมควร ระยะห่างจากธรณีประตูจนถึงขอบประตูด้านบนสูงประมาณ 1 เมตร โอกาสที่หัวของคุณจะไปเฉี่ยวชนกับขอบประตูด้านบนขึ้นอยู่กับว่าความสูงของเบาะนั่งที่ปรับตั้งเอาไว้อยู่ที่ระดับใด หากปรับเบาะนั่งไว้ในตำแหน่งต่ำสุด การเข้าออกจากตัวรถนั้นจะง่ายดาย แถมสบาย Hair เอามากๆ ถึงกระนั้นก็ยังสะดวกไม่เท่า Volvo XC40 ที่มีเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ตั้งชันกว่าอยู่ดี

บานประตูส่วนบนเป็นวัสดุบุนุ่ม เดินตะเข็บด้ายสีแดง พนักวางแขนด้านข้างประตูมีการเสริมฟองน้ำมาให้เล็กน้อย แล้วหุ้มทับด้วยผ้า DYNAMICA Microfiber ตำแหน่งวางแขนอยู่ในระดับกำลังดี เมื่อคุณปรับเบาะนั่งลงไปในตำแหน่งต่ำสุด สามารถวางแขนได้สบายตั้งแต่ข้อศอกจรดปลายนิ้ว

รุ่น GLA 200 จะใช้ trim การตกแต่งเหนือมือจับเปิดประตูเป็นลายกราฟฟิกคาร์บอน Carbon-structure trim ทว่า AMG GLA 35 จะเป็นแบบ Light Longitudinal-grain Aluminum สีเงิน แบบเดียวกับ A200 Sedan AMG Dynamic แผงประตูส่วนล่าง เป็นพลาสติกขึ้นรูปกัดลาย มีช่องวางของมาให้ พร้อมกับลำโพง Sub-Bass 1 ตำแหน่ง

เบาะนั่งคู่หน้าของทั้ง 2 รุ่น มีรูปทรงเหมือนกัน หุ้มด้วยวัสดุหนังสีดำ แซมด้วย DYNAMICA Microfiber เดินตะเข็บด้ายสีแดง เหมือนกันทั้งคู่ ตัวเบาะสามารถปรับได้ด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง ทั้งเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง ปรับองศาการเอนพนักพิงหลัง ปรับระดับสูงต่ำเบาะรองนั่ง ทั้งแบบยกขึ้นทั้งตัว และยกขึ้นเฉพาะส่วนที่รองรับข้อพับหัวเข่า นอกจากนี้ยังมีหน่วยความจำตำแหน่งเบาะ Memory Seat มาให้ 3 ตำแหน่ง แต่เฉพาะเบาะนั่งฝั่งคนขับเท่านั้น ที่จะมีตัวปรับดันหลัง 4 ทิศทาง มาให้

พนักพิงหลัง ใช้ฟองน้ำแน่น เมื่อขึ้นไปนั่งแล้วให้ความรู้สึกว่าเบาะแข็ง แต่มีความนุ่มในระยะยุบช่วงแรกนิดเดียว ปีกเบาะด้านข้างสูงกำลังดี สามารถล็อกตัวผู้ขับขี่ไซส์กลางไม่ให้เหวี่ยงไปมาขณะเข้าโค้งได้ดีประมาณหนึ่ง และยังพอมีพื้นทึ่ซ้ายขวาพอให้ขยับตัวไปมาได้อีกเล็กน้อย ตัวปรับดันหลัง หรือ Lumbar Support สามารถปรับการดันเยอะเลยทีเดียว อีกทั้งยังเลือกปรับความสูงต่ำได้ จึงทำให้การรองรับแผ่นหลังทำได้เหมาะสมกับผู้ขับขี่ที่มีสรีระร่างกายแตกต่างกัน

พนักพิงศีรษะ ปรับระดับสูง ต่ำ ได้ และปรับองศาการดันหัวได้ ขึ้นรูปด้วยฟองน้ำที่แน่น แต่มีความนุ่มในช่วงยุบตัวช่วงแรกๆ ให้สัมผัสได้ จึงทำให้รู้สึกไม่ถึงกับแข็งมากเกินไป

เบาะรองนั่งสามารถปรับยกขึ้นทั้งตัว จากตำแหน่งเตี้ยสุด ราวๆ 2 นิ้ว หรือจะปรับให้เงยขึ้นเฉพาะส่วนที่รองรับข้อพับหัวเข่าก็ได้เช่นกัน ตัวเบาะรองนั่งมีความยาวพอประมาณ สามารถรองรับต้นขาได้เกือบถึงข้อพับ แต่ถ้ายืดส่วนขยายออกมาอีกราวๆ 1.5 นิ้ว ก็จะชนกับข้อพับพอดี ปีกด้านข้างถูกยกขึ้นมาให้สูงกว่าเบาะรองนั่งนิดหน่อย แต่ระยะห่างซ้ายขวาค่อนข้างแคบ จึงทำให้นั่งแล้วรู้สึกบีบช่วงสะโพกด้านล้างและด้านข้างต้นขาเล็กน้อย นอกจากนี้ ระยะสูงสุด – ต่ำสุด ที่ตัวเบาะสามารถปรับได้ มีมากถึง 2 นิ้ว ตามสไตล์รถ Crossover ดังนั้น จึงตอบโจทย์ได้ดีสำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกหลากหลายไซส์

ภาพรวมของเบาะนั่งคู่หน้า นั่งแล้วค่อนข้างแข็ง กระชับลำตัวพอประมาณ ด้วยความที่ตัวเบาะนั้นสามารถปรับได้หลากหลายทิศทาง การปรับอิริยาบถท่านั่งขับทางไกลจึงไม่ค่อยมีปัญหาสักเท่าไหร่ ถ้าเทียบกันกับคู่แข่งแล้ว เบาะนั่งคู่หน้าของ GLA ทั้ง 2 รุ่น ถือว่าทำออกมาดีกว่า BMW X1 แต่ยังนั่งไม่สบายเท่ากับคู่แข่งอย่าง Volvo XC40 และ Lexus UX 250h

ช่องทางเข้า – ออก บานประตูคู่หลังเล็กกว่าและแคบกว่า GLA รุ่นเดิมชัดเจน แต่น่าแปลกว่า รูปทรงกรอบช่องประตูกลับเอื้ออำนวยต่อการเข้าไปนั่ง – ลุกออกมา จากตัวรถได้ไม่ยากเย็นนัก แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยช่วงกว้างของช่องประตูครึ่งท่อนล่าง ช่วงระยะห่างจากมุมเบาะรองนั่งถึงเสาหลังคาคู่กลาง ตีบแคบไปนิดนึง อาจจะทำให้การยกเท้าก้าวเข้าไปในรถลำบากสักหน่อย โดยเฉพาะสุภาพบุรุษผู้มีไซส์รองเท้าเกิน 42 ขึ้นไป

แผงประตูคู่หลังตกแต่งคล้ายแผงประตูคู่หน้า ส่วนบนเป็นวัสดบุนุ่ม หุ้มหนังสีดำ เดินตะเข็บด้ายแดง ส่วนพนักวางจะหุ้มด้วยผ้า DYNAMICA microfiber แต่ไม่มี trim ตกแต่ง Carbon-structure trim หรือ แบบ Light Longitudinal-grain Aluminum มาให้เหมือนด้านหน้า การวางแขนทำได้ไม่ถึงกับสบายนัก แม้ว่าแผงด้านข้างประตูจะมีพื้นที่กว้างพอสำหรับวางท่อนแขนได้ แต่ก็ต้องเลื่อนข้อศอกเยื้องไปทางด้านหน้าเล็กน้อย เพื่อไม่ให้ข้อศอกไปชนกับแผงพลาสติกที่ออกแบบเชื่อมกันระหว่างแผงประตูกับพนักพิงเบาะหลัง จะว่าไปแล้วปัญหานี้มันก็คล้ายกับ Honda Civic FC ที่เพิ่งตกรุ่นไปไม่มีผิด

ด้านล่างของแผงประตูคู่หลัง มีช่องติดตั้งลำโพง และมีช่องวางขวดน้ำขนาด 7 บาท 1 ตำแหน่งส่วนกระจกหน้าต่างคู่หลัง แม้ว่าจะเป็นแบบ Auto One-touch เหมือนกันกับคู่หน้า แต่ด้วยการออกแบบโครงสร้างบานประตู ทำให้ไม่สามารถเลื่อนลงมาจนสุดขอบล่างได้

เบาะนั่งด้านหลังหุ้มด้วยวัสดุหนังสีดำ แซมด้วย DYNAMICA Microfiber เดินตะเข็บด้ายสีแดง เช่นเดียวกับเบาะคู่หน้า สามารถแยกพับได้ในอัตราส่วน 40 : 20 : 40 โดยกดปุ่มปลดล็อกที่บริเวณบ่าด้านบนของพนักพิงหลังทั้ง 2 ฝั่ง ส่วนพนักพิงศีรษะมีมาให้ครบทุกตำแหน่ง พร้อมเข็มขัดนิรภัยแบบ ELR 3 จุด แต่ที่นั่งตรงกลางไม่มีพนักวางแขนพร้อมที่วางแก้วน้ำมาให้ ครั้นจะพับพนักพิงตรงกลางลงมาใช้งานก็ดันอยู่ในตำแหน่งเตี้ยเกินกว่าที่จะวางแขนได้สบายๆ

พนักพิงหลังมีมุมเอนกำลังดี บริเวณที่รองรับแผ่นหลังมีการปาดเว้าเป็นแอ่งลงไปเล็กน้อย แม้จะไม่ได้รู้สึกเหมือนโดนโอบกระชับลำตัวมากสักเท่าไหร่ แต่กระนั้นก็ไม่รู้สึกเหมือนนั่งอยู่แผ่นไม่กระดานอันแบบราบเฉกเช่นที่เบาะหลังของ BMW X1 เป็น

พนักพิงศีรษะใช้ฟองน้ำค่อนข้างนุ่ม ขนาดไม่ใหญ่โตนัก ทำหน้าที่รองรับศีรษะและต้นคอได้ดี ทั้ง 3 ตำแหน่ง

เบาะรองนั่ง ใช้ฟองน้ำสไตล์เดียวกันกับเบาะนั่งคู่หน้า คือมีความแน่น นั่งแล้วไม่ยวบ แต่มีระยะยุบตัวช่วงแรกให้พอสัมผัสได้ถึงความนุ่ม เบาะรองนั่งมีความยาวปานกลางค่อนไปทางยาว องศามุมเงยกำลังเหมาะสม ตำแหน่งตืดตั้งอยู่สูงจากพื้นห้องโดยสาร ทำให้ไม่ต้องนั่งชันเข่า

พื้นที่เหนือศีรษะ สำหรับคนตัวสูงราวๆ 173 ซม. อย่างผม เหลือพื้นที่ 5 นิ้วในแนวนอน ซึ่งถือว่าเยอะใช้ได้เลยทีเดียว แต่สำหรับคนตัวสูงเกิน 180 ซม. หัวอาจเฉี่ยวชนเพดานอยู่หน่อยๆ หากนั่งแบบไถลก้นไปข้างหน้าเล็กน้อย ก็จะไม่มีปัญหาอะไร

พื้นที่วางขา หากปรับเบาะนั่งด้านหน้าไว้ที่ตำแหน่งผมขับเอง จะมีพื้นที่วางขาเหลือๆ กันเลยทีเดียว ระยะห่างจากหัวเข่าจนถึงด้านหลังสุดของพนักพิงหลังเบาะหน้า สามารถสอดมือถือ iPhone 11 Promax ซึ่งมีความยาวประมาณ 16 เซ็นติเมตร ได้สบายๆ เลย นอกจากนี้ ช่องว่างใต้เบาะนั่งคู่หน้า ยังมีขนาดกว้างสะใจ ผู้โดยสารด้านหลังวางเท้าได้ แถมยังขยับไปมาได้สบายๆ

Previous Post

N3108053_กร งเกล ยดแม มาจากบ านนอก #ก นและก นชาแนล #ด ให จบ #แม_part2

Next Post

N3108051_กความส มพ นธ เร มจากการจร งใจ อนท จะร_part2

Next Post
N3108051_กความส มพ นธ เร มจากการจร งใจ อนท จะร_part2

N3108051_กความส มพ นธ เร มจากการจร งใจ อนท จะร_part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N2612007 อแบ งสมบ 100ล าน แต เหม อนพ อจะลำเอ ยงให กชายคนเด ยว part2
  • N2612008 ดการห ามพน งานงานท อง part2
  • N2612005 ชายหลายใจ นต องเจอผ หญ งแบบน งสอน part2
  • N2612004 จะร บม อย งไง เม อพ อแม ไม ยอมร บร กร วมเพศของล part2
  • N2612010 เม ยใจด ดเม ยน อยให ว3คน วทำใจลำบาก part2

Recent Comments

No comments to show.

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.