แม้ว่า 2012 จะเป็นปีที่ ยอดขายของ Hyundai เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการรถตู้ H-1
ที่ยังมีลูกค้าทะยอยเข้ามาอุดหนุนกันเรื่อยๆ ยิ่งหลังจากช่วงเปิดตัว รุ่น Grand Starex ก็ยิ่งกระตุ้น
ให้ลูกค้าเดินเข้ามาที่โชว์รูม Hyundai มากขึ้น แต่ในด้านรถยนต์นั่ง นั้น ดูเหมือนจะมีเพียงแค่
Compact SUV รุ่น Tucson เครื่องยนต์ Diesel Turbo Commonrail CRDi เท่านั้น ที่ยังขายได้
เรื่อยๆ สบายๆ เพราะ ทั้ง Sonata Sport และ Elantra ใหม่ ที่เปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคม 2012 นั้น
มียอดขายฝืดเคืองอย่างมาก จนถึงขั้นต้องออกแคมเปญลดราคากระตุ้นตลาด ช่วยระบายสต็อก
จนเริ่มมี Elantra แล่นบนถนนในเมืองไทยเอยะขึ้นชัดเจน
ปี 2013 Hyundai ตั้งใจจะนำเข้า Veloster รถสปอร์ตขนาดเล็กสายพันธุ์แปลก 2 + 1 ประตู
เข้ามาเปิดตัวในบ้านเรา หลังจากที่นำรถคันจริงเข้ามาหยั่งเสียง รอกระแสกันมาตั้งแต่งาน
Bangkok International Motor show มีนาคม 2012 เพียงแต่ช่วงที่ผ่านมา ยังต้องรอให้มีรุ่น
เครื่องยนต์ใหม่ ที่คาดว่าจะโดนใจลูกค้าวัยรุ่นเมืองไทยมากกว่านี้ รวมทั้งยังเตรียมแผนการ
นำเข้า Sonata Sport รุ่นปี 2013 ที่มีการปรับโฉมให้สวยโฉบเฉี่ยวกว่าเดิมเล็กน้อย
และสำหรับรถตู้รุ่น H-1 ปีนี้จะถึงเวลาปรับโฉม Minorchange หรือ Facelift กันเสียที คาดว่า
จะมีการปรับเปลี่ยนลวดลายกระจังหน้า และเปลือกกันชนหน้าใหม่ ให้ต่างไปจากรุ่นเดิม
นิดหน่อย ส่วนรายละเอียดวิศวกรรม จะยังคงไม่แตกต่างไปจากรุ่นที่ทำตลาดอยู่ในปัจจุบัน
ส่วน SUV ขนาดกลาง รุ่น Santa Fe นั้น แม้ Hyundai กำลังมองดูลู่ทางจะนำเข้ามาขายอยู่
แต่หนทาง ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะต่อให้มีการประกอบที่มาเลเซีย ถ้าชิ้นส่วน
ที่ผลิตในภูมิภาคอาเซียน ไม่ถึง 40% ก็ไม่อาจจะได้รับสิทธิพิเศษด้านการลดหย่อนภาษี
และราคาค่าตัว ก็จะแทบไม่ต่างไปจาก Santa Fe เวอร์ชันที่นำเข้าจากเกาหลีใต้เลย ดังนั้น
ยังคงต้องศึกษาความเป็นไปได้กันต่อไป
—————————————–

ISUZU
2013 : D-Max Minorchange
2014 : MU-7 Full Model Change / D-Max BIG Minorchange
ต้องยอมรับว่า 2012 เป็นปีที่ Isuzu ต้องเจองานหนัก ทั้งการระบายยอดจอง เพื่อลดระยะเวลาในการ
รอรับรถกระบะ D-Max ใหม่ ของลูกค้า ให้สั้นลงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมทั้งจะต้องพยายามหา
ลูกเล่นใหม่ๆ เพื่อปรับภาพลักษณ์ ในสายตาของคนเมือง ให้ Isuzu กลับมาเป็นตัวเลือกเมื่อคิดจะซื้อ
รถกระบะ เช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ ด้วยสายพัดวิธี เช่นดึงเอา บอย ปกรณ์ ดารานักแสดง
จากช่อง 3 มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ในรุ่น V Cross รวมทั้งการเปิดตัวรุ่นตกแต่งแนวสปอร์ตให้กับรุ่น
ความสูงมาตรฐาน D-Max X-Series เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา กระนั้น ยอดขายที่ทำได้
ในตอนนี้ถือว่า ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความนิยมของรถกระบะ Isuzu ที่ยังมีอยู่ในสังคมไทย ว่า
ยังอยู่ในเกณฑ์ดี
ปี 2013 นั้น แผนการเปิดตัวรถกระบะรุ่นใหม่ ก็ยังคงต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้ Isuzu อาจ
มีการปรับปรุงอุปกรณ์ของ D-Max ซึ่ง ก็น่าจะคาดการณ์ได้ว่า อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาปกติ เหมือน
เช่นทุกปีที่ผ่านมา นั่นคือ ไตรมาส 3 ของปี 2013 แต่นั่นก็ยังจะไม่ใช่การปรับโฉมครั้งใหญ่ เป็นแค่
การตกแต่งภายใน หรือเพิ่มอุปกรณ์ลูกเล่นใหม่ๆ เข้าไปนิดๆหน่อยๆ ส่วนรุ่นปรับโฉมครั้งใหญ่
Big-Minorchange คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในช่วง ไตรมาส 3 ของปี 2014 และคราวนี้ อาจได้เจอกัน
กับเครื่องยนต์ใหม่ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.5 ลิตร TWIN TURBO (ครับ ใช่ อ่านไม่ผิดหรอก)
ซึ่งส่งออกไปขายต่างประเทศกันอยู่แล้วในทุกวันนี้ มาประจำการใน D-Max Minorchange ด้วย
อย่างไรก็ตาม ปี 2013 เราอาจจะได้เห็น รูปโฉมใหม่หมดทั้งคัน ของ SUV บนพื้นฐาน D-Max
นั่นคือ Isuzu MU-7 Full Modelchange ซึ่งแม้ว่า คุณหมู ปนัดดา เจณนวาสิน ผู้บริหารหญิงเหล็ก
ของ Isuzu ประกาศบนเวทีงานวันเปิดตัวชัดเจนแล้วว่า จะไม่มีการเปิดตัว MU-7 เจเนอเรชันต่อไป
ในช่วง 2 ปีนี้ อย่างแน่นอน แถมยังเคยมีข่าวลือว่า ผู้บริหารญี่ปุ่น ถอดใจกับตลาด SUV / PPV ใน
บ้านเราไปแล้ว
แต่ความเคลื่อนไหวล่าสุดก็คือ MU-7 รุ่นต่อไป ยังคงอยู่ในระหว่างการพัฒนา แน่นอนแล้วว่า จะยก
โครงสร้างตัวถังของ Chevrolet Trailblazer มาใช้ รวมทั้งประตู 4 บาน แต่จะมีการออกแบบ ด้านหน้า
และด้านหลังใหม่ในสไตล์ของตนเอง ส่วนเครื่องยนต์ แน่นอนว่า พบเห็นกันอยู่แล้วใน D-Max
รุ่นปัจจุบัน และ อาจจะมีเครื่องยนต์ใหม่ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.5 ลิตร TWIN TURBO มาให้
ลูกค้าได้เลือกกันอีกด้วย และคาดการณ์ได้ว่า จะมีระบบนำทาง GPS Navigation System ให้เลือก
ในตัวท็อป ก็ขนาด D-Max ยังมีมาให้ ถ้า MU-7 ไม่มี ลูกค้าก็คงจะเอามานินทาตาม Website แหงๆ
กระนั้น ตอนนี้ ยังไกลเกินกว่าจะสรุปว่า ทั้ง D-Max Big Minorchange และ MU-7 ใหม่ทั้งคัน
Full Modelchange จะเปิดตัวแยกกัน หรือเปิดตัวพร้อมกัน วันเดียวกัน งานเดียวกัน จะในปี
2013 หรือ 2014 ? ที่แน่ๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเปิดตัว ในปี 2014 จะชนกับช่วงเวลาที่ Toyota
จะต้องเผยโฉม Hilux Vigo ใหม่ Full Model Change รหัสโครงการ IMV2 พอดี
อ้อ! ถ้าใครยังสงสัยว่า คราวนี้ เรายังจะได้เห็นชื่อรุ่นพิสดารต่อท้ายคำว่า D-Max หรือ MU-7
กันอีกหรือไม่ คงตอบไม่ได้ในตอนนี้ เพราะยังเป็นเรื่องยากเกินจะคาดการณ์
—————————————–

JAGUAR
2013 : – Change Distributor to “City Automotive”
– New F-Type
ความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองที่สุดของ Jaguar ในปีที่ผ่านมา อยู่ที่การเปลี่ยนมือผู้นำเข้าและ
จำหน่ายอย่างเป็นทางการ จาก AAS Auto Service ซึ่งทำตลาดรถยนต์ยี่ห้อนี้ในบ้านเรามานาน
หลายสิบปี เป็น ผู้นำเข้ารายใหม่ City Automotive ผู้จำหน่าย Land Rover ในไทย รายล่าสุด
เหตุผล ง่ายดาย และไม่มีอะไรซับซ้อน ในเมื่อผู้บริหารทางฝั่งอังกฤษ มองว่า ในเมื่อทั้ง Jaguar
และ land Rover ใช้เทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนร่วมกัน ดังนั้น ผู้จำหน่ายเพียงรายเดียว แต่ขาย
รถยนต์ทั้ 2 แบรนด์นี้ควบกัน ย่อมจะเกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและการทำงานได้
ดีกว่า
แต่ AAS เอง ก็มิได้เกิดอาการสะทกส้ทานแต่อย่างใด เพราะตัวเองก็มี Bentley และ Porsche
อยู่ในมืออยู่แล้ว ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ อาจกระทบกับ AAS ไม่มากนัก
สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ที่ เศรษฐีเมืองไทยควรจับตาดูไว้ ก็คือ การมาถึงของรถสปอร์ต F-Type
รุ่นล่าสุด ที่เพิ่งเปิดตัวไปในงาน Paris Auto Salon เดือนกันยายนที่ผ่านมา Jaguar จะเริ่มเดิน
สายการผลิต F-Type ที่โรงงาน Castle Bromwich ในเมือง Birmingham อย่างจริงจัง โดยใน
ช่วงแรก จะมีตัวถังเให้เลือกแค่เพียงแบบเดียว นั่นคือรุ่นเปิดประทุน แต่มีขุมพลังให้เลือก
3 ระดับความแรง ตั้งแต่ เครื่องยนต์ เบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร Supercharge
335 แรงม้า (HP) รุ่นกลาง F-Type S ใช้เครื่องบล็อคเดียวกันแต่อัพเกรดให้แรงขึ้นเป็น
375 แรงม้า (HP) ตบท้ายด้วยรุ่น F-Type V8S เครื่องยนต์ V8 สูบ DOHC 32 วาล์ว ขนาด
5.0 ลิตร Supercharge 488 แรงม้า (HP) ระบบส่งกำลังเพียงแบบเดียวคือเกียร์อัตโนมัติ
8 จังหวะ
หลังจากนั้น รุ่นหลังคาแข็งจะตามออกภายในปลายปี 2013 หรือต้นปี 2014 และในรุ่น
สูงสุด จะมีชื่อว่า F-Type RS ซึ่งมีพละกำลังสูงกว่า 540 แรงม้า ทีมวิศวกรเผยว่า ถ้าอยาก
จะเค้นจริงๆ สามารถอัดบูสท์จนมีพลัง 600 แรงม้าได้ แต่ต้องพิจารณาความเหมาะสม
ในด้านมลภาวะและอายุการใช้งานก่อน
——————————————

KIA MOTORS
2013 : Sorento 2.2 CRDi / Soul facelift / Picanto SE Full option
ตั้งแต่บริษัทแม่ ส่งชาวเกาหลีใต้มาดูแลการทำตลาดร่วมกับ ทางยนตรกิจ ทำให้ พัฒนาการ
ของ Kia ในตลาดรถยนต์บ้านเรา เริ่มกระเตื้องขึ้น หลังจากเร่งเปิดตัวทั้ง น้องเล็กสุดท้อง
K1 Picanto และ Sub-Compact รุ่น Rio ออกมาช่วงปลายปี 2011 ทั้คู่ก็ทำยอดขายได้ดีขึ่น
ปัจจุบัน จนถึงวันสิ้นโลกปี 2012 ยอดขายของ K1 Picanto รวมแล้วอยู่ที่ 300 กว่าคัน ส่วน
Rio มียอดขายสะสม 200 กว่าคัน นับว่าเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของ Kia ในเมืองไทยได้ดี
ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า การใช้วิธี นำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์รุ่นนี้มาประกอบเอง ณ โรงงาน
บางชัน เยเนอรัล แอสแซมบรี ของตน ที่มีนบุรี มีส่วนช่วยกดราคารถลงมา จนน่าสนใจ
ในสายตาผู้บริโภคมากขึ้น แถม Rio สเป็กไทย ยังวางเครื่องยนต์ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
1.4 ลิตร 107 แรงม้า (PS) จึงสามารถใช้สิทธิ์รถคันแรกได้เต็มที่ เพราะพิกัดเครื่องยนต์
ไม่เกิน 1.5 ลิตร ตามข้อกำหนด เป๊ะ!
อย่างไรก็ตาม Grand Carnival ก็ยังคงเป็น Minivan ที่ทำยอดขายให้กับ Kia ได้อย่าง
ต่เนื่องเหมือนเช่นเคย ขณะที่ Kia Soul เอง แม้จะสั่งนำเข้ารุ่นปรับโฉม Minorchange
มากระตุ้นตลาดแล้ว ตัวเลขก็ยังเดินได้ไม่ดีเท่าที่ควร
พอถึงปี 2013 Kia จะขอบุกตลาดโดย สั่งนำเข้า Sorento 7 ที่นั่ง ขุมพลัง Diesel 2.2 ลิตร
CRDi มาหยั่งเชิงล่วงหน้าแล้วในงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2012 ติดป้าย
ราคาขายไว้ที่ 1.8 ล้านบาท ซี่งก็มีลูกค้าจองในงานไปบ้างแล้ว อย่างน้อยๆ ก็คุณผู้อ่าน
ในเว็บ Headlightmag.com ของเรานี่แหละหนึ่งราย!
อีกรุ่นหนุึ่งก็คือ K1 Picanto SE รุ่นย่อยใหม่ จัดออพชันเต็มอัตราศึก ยกระดับความหรู
เพิ่มขึ้นอีกขั้น ด้วยเบาะหนัง พวงมาลัยหุ้มหนัง ฯลฯ ซึ่งก็คงได้แต่รอดูว่าจะมีถุงลม
นิรภัยคู่หน้า พร้อมระบบเบรก ABS และ EBD ติดตั้งร่วมกันมาให้ได้หรือยัง เพราะ
นี่คือจุดด้อยจุดเดียวในสายตาของลูกค้า ของรถรุ่นนี้ มิเช่นนั้น คงจะขายดีกว่านี้
ไปอีกนานแล้ว
ส่วนรุ่นอื่นๆ คาดว่า อาจมีความเคลื่อนไหวในช่วงหลังจากนี้ อีก ต้องคอยติดตามกันต่อไป
——————————————

LAMBORGHINI
2013 : Gallardo Full Modelchange Named “Cabrera” / Aventador SV
2014 : Little Minorchange + Spacial Edition
2015 – 2016 : URUS SUV
ช่วงเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา Niche Car เพิ่งจะเปิดตัว Lamborghini Aventador LP700-4 Roadster
ในเมืองไทยเป็นประเทศที่ 3 ในภูมิภาค Asia วางเครื่องยนต์ เบนซิน V12 สูบ 6.5 ลิตร 700 แรงม้า
(HP) อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แค่ 3 วินาที ความเร็วสูงสุด สูงถึง 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิด
ราคาที่ระดับ 39.5 ล้านบาท!!
แต่ในต่างประเทศนั้น ชาวยุโรป เขาเฝ้าดูรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ของ Gallardo ที่จะใช้ชื่อว่า Cabrera
ซึ่งน่าจะเปิดตัวในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2013 ที่จะถึงนี้ เพราะรุ่นปัจจุบัน อยู่ใน
ตลาดมาจะครบ 10 ปีแล้ว แต่ยัง ล่าสุด ก็เพิ่งมีการปรับโฉม Minor Change ให้กับรุ่น LP560-4 ด้วย
กันชนหน้าทรงใหม่ แต่ถ้าเป็นรุ่น Performante กับ Superleggera จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
นอกจากนี้ ในปี 2013 จะมีการเปิดตัว รุ่นพิเศษ Sesto Elemento ซึ่งจะถูกผลิตออกมาแค่ 20 คัน
เท่านั้น ข่าวร้ายสำหรับเศรษฐีบ้านเราก็คือ พวกมันก็ถูกจองไปหมดแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ยังมี
การเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ ให้กับพี่ชายคนโต Aventador กระทิงใหญ่ของค่ายก็จะมีการเปิดตัวรุ่น
Aventador SV ซึ่งนำเครื่องยนต์เดิมมาปรับแต่งให้สะใจขึ้นเป็น 750 แรงม้า (HP) เพื่อหวัง
กำราบ Ferrari F12 Berlinetta ให้อยู่หมัด ตั้งเป้าเปิดตัวอย่างเร็วสุดคือปี 2013
ส่วน Urus ซึ่งถือเป็น SUV ยุคใหม่คันแรกของ Lamborcgini ที่เผยโฉมไปแล้วในฐานะของ
รถยนต์ต้นแบบนั้น กำลังอยู่ในระหว่างการวิจัยและพัฒนาเพิ่มเติม โดยคาดหวังว่าจะเปิดตัวได้ในปี
2016 และวางหมากเรื่องราคาเอาไว้ว่ามันจะเป็น Lamborghini ที่มีราคาถูกที่สุด เท่าที่เคยมีมา
โดยตั้งเป้าที่จะขายให้ได้ทั่วโลก ปีละ 3,000 คัน
และใช่ว่ารถสปอร์ตระดับ Exotic เยี่ยงนี้ จะรักโลกไม่เป็น ล่าสุด Lamborghini กำลัง
ทดลองระบบขับเคลื่อนแบบ Plug-in Hybrid กันอยู่ แต่กว่าจะมาให้ใช้งานกันได้คง
ต้องรอให้โครงการ Cabrera กับ Urus ออกมาทำตลาดได้ดีผลสำเร็จเสียก่อน
——————————————

LAND ROVER
2013 : New Distributor “City Automotive”
Range Rover Sport
2014 – 2015 : Next Defender
ในที่สุด ปี 2012 ก็กลายเป็นปีที่เกิดการเปลี่ยนมือผู้ถือสิทธิ์ในการทำตลาด Land Rover ในเมืองไทย จาก
บริษัท British Motor มาเป็นบริษัท City Automotive และเพิ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการต่อสาธารณชน
ไปในงาน Motor Expo ครั้งที่ผ่านมา แถมยังสั่งนำเข้า Range Rover รุ่นใหม่ล่าสุด อัดออพชันมาแน่น
แต่เปิดราคาขายปลีกอยู่ที่แถวๆ 10 กว่าล้านบาท ฟังแล้วแทบลมจับ ส่วนตลาดล่างลงมา ปล่อยให้เจ้า
Range Rover Evoque รุ่น 5 ประตู เข้ามาขายกันอย่างจริงจังเสียที
ดังนั้น คราวนี้จะเหลือรถยนต์รุ่นใหม่ที่จ่อคิวเปิดตัวอยู่ในต่างประเทศอีก 2 รุ่น นั่นคือ Range Rover
Sport ใหม่ ซึ่งจะมีเครื่องยนต์ให้เลือกตั้งแต่ Diesel V6 DOHC 24 วาล์ว Common Rail Turbocahrge
พ่วง Intercooler 255 แรงม้า (BHP) ไปจนถึงขุมพลัง เบนซิน V8 DOHC 32 วาล์ว Twin Turbo และ
ระบบ Common Rail 335 แรม้า (BHP) มีกำหนดคลอดในปี 2013 นี้ เพื่อประกบกับ Porsche Cayenne
อีกรุ่นหนึ่ง ก็คือ Defender Full ModelChange ถือเป็นการวัดดวงครั้งสำคัญ สำหรับการเปลี่ยนโฉม
ครั้งใหญ่ให้กับสุดยอดรถตรวจการขับเคลื่อน 4 ล้อ ของอังกฤษ ในรอบหลายสิบปี โดยออกแบบ
ให้ตัวรถ มีพื้นฐานงานวิศวกรรมร่วมกับ Freelander ใหม่กันไปเลย กำหนดเปิดตัวจะอยู่ในช่วง
ปี 2014 – 2015
ถ้าขนาด Range Rover รุ่นใหญ่ยักษ์ ยังสามารถสั่งนำเข้ามาเปิดตลาดได้แบบฉับไว ดังนั้น โอกาส
ที่ Range Rover Sport รุ่นต่อไปจะถูกสั่งนำเข้ามาโดยเร็ว ก็เป็นไปได้อยู่พอสมควร
——————————————

LOTUS (By Niche Cars)
Still in the middle of Crisis…..
CEO สุดหล่อฟันขาวสะอาด Dany Bahar ผู้ที่ถูกคาดหมายว่าจะพา Lotus ผงาดขึ้นเป็นเจ้าแห่งรถสปอร์ต
สมรรถนะสูง เทียบชั้นได้กับ Ferrari หรือ Porsche สุดท้าย ก็ต้องถูก DRB-HICOM เจ้าของใหม่ ที่ซื้อหุ้น
จาก Proton เขี่ยออกจากงานกันดื้อๆ ทุกความฝันที่เคยเป็นความหวัง มันกลับดับวูบหายไป จนอาจเรียก
ได้ว่า นี่คือช่วงเวลาที่แย่ที่สุดของ Group Lotus เท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์บริษัทเลยทีเดียว
นั่นหมายความว่า ทุกโครงการพัฒนารถสปอร์ต ทั้ง 3-4 แบบ ที่เคยเดินหน้าอยู่ในตอนนี้ ถูกพักไว้ชั่วคราว
โดยเฉพาะโครงการ Esprit อันเป็นรถสปอร์ตรุ่นสำคัญที่จะกำหนดว่า Lotus จะสามารถกลับมาเป็นหนึ่ง
ในจ่าฝูงตลาดรถสปอร์ตอีกครั้ง ก็ถูกจับเข้าช่องแช่แข็งไว้ ซ้ำร้าย สายการผลิตในโรงงาน ก็ต้องหยุดลง
เพราะมีปัญหาด้านการชำระหนี้กับซัพพลายเออร์ มูลค่าหนี้สะสมที่มีอยู่ อาจสูงถึง 300 ล้านปอนด์
ซึ่งเป็นตัวเลขประมาณการ เพราะตัวเลขที่แท้จริงยังไม่มีใครเปิดเผย เมื่อไม่มีรถใหม่ แถมสถานการณ์
ยังเป็นเช่นนี้ พวกเขาจึงเลือกงดเข้าร่วมงาน Paris Auto Salon เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา และรวมทั้ง
Geneva Motor Show เดือนมีนาคม ที่จะถึงนี้ด้วย หลังจากเปิดตัวรถสปอร์ตรุ่น Exige S ขุมพลัง V6
เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2012 ในฐานะรถใหม่ เพียงรุ่นเดียวของค่ายในปีที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ มีการส่งคนไปเจรจากับทาง Aston Martin เพื่อดูความเป็นไปได้ในเรื่องการควบรวมกิจการ
แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น ต่อให้ DRB-HICAOM จะประกาศแผนฟื้นฟูกิจการของ Lotus และจัดการ
กับระบบ Cashflow (เงินเดินสะพัด) ของ Lotus แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณบ่งบอกการฟื้นตัวว่าจะเกิดขึ้นใน
เร็ววันนี้ ดังนั้น สถานการณ์ในเมืองไทย ก็จึงทำได้แต่รอดูท่าทีของบริษัทแม่ ว่าจะเอาอย่างไรต่อไป
อนาคตของ Lotus ในยามนี้ก็สว่างพอๆกับบ่อน้ำบาดาลในคืนเดือนหงาย
——————————————

MASERATI
2013 : New Quattroporte
2014 : Ghibli / SUV with a new named “LeVante“
ปีที่ผ่านมา Empire Motorsport ผู้จำหน่าย Maserati แบรนด์รถยนต์ระดับพรีเมียม ในกลุ่ม Fiat Auto SpA.
อย่างเป็นทางการในไทย ตัดสินใจลงทุนย้ายตำแหน่ง และเปลี่ยนโชว์รูมใน Siam Paragon ให้สอคล้อง
กับการสื่อสารของแบรนด์ในภาพรวมทั่วโลกมากขึ้น ตอนนี้เปิดดำเนินการแล้ว
แต่นับจากปี 2013 เป็นต้นไป เราจะเริ่มเห็นความเคลื่อนไหวของ Maserati ทั่วโลก มากกว่าที่เคยเป็นมา
เพราะจะได้เวลาที่ โครงการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ๆ สำคัญๆ ต่อการเติบโตของ Maserati พร้อมออกสู่ตลาด
ทั่วโลก มากถึง 3 รุ่น ตามที่ Fiat เจ้าของดั้งเดิม ตั้งใจผลักดันให้แบรนด์นี้โตในตลาดโลกมากกว่านี้อีก

เริ่มจาก Quattroporte รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Model Change ซึ่งถึงกาลแก่เวลาที่จะต้องเปลี่ยนรูปโฉม
ภายนอกกันเสียที เครื่องยนต์จะเป็นตระกูลใหม่ All New Next Generation Powertrain จากฝีมือ
ของ Ferrari เป็นบล็อก V8 DOHC 3.8 ลิตร 523 แรงม้า (BHP) แรงบิดสูงสุด 649 นิวตันเมตร ส่วน
รุ่นราคาถูกลงมา จะมาในแนวทาง Down Sizing หันไป คบกับเครื่องยนต์ V6 DOHC 3.0 ลิตร ที่
แรงจัดระดับ 404 แรงม้า (BHP) แรงบิดสูงสุด 406 นิวตันเมตร แทน ถึงจะเผยรูปถ่ายกันแล้ว แต่
การเปิดตัวสู่สาธารณชนครั้งแรก จะเกิดขึ้นในงาน Detriot Auto Show เดือนมกราคม 2013 นี่เอง
(เริ่มผลิตแล้วในเดือนพฤศจิกายน 2012) หลังจากนั้น จะมีกำหนดเปิดตัวในเมืองไทย ช่วงปีนี้
หรืออย่างช้า ไม่เกินปี 2014

จากนั้น Sedan / Saloon ขนาดเล็กกว่า ที่ตอนนี้ ยังต้องเรียกกันเล่นๆว่า Baby Quattroporte ก็จะตาม
ออกมา คราวนี้สวมชื่อรุ่น Ghibli อันเป็นชื่อในระดับตำนานของ Aston Martin เขาละ คาดว่าจะมี
เครื่องยนต์บล็อกเล็ก V6 เข้ามาด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้จำหน่ายในบ้านเรา สามารถตั้งราคาขายได้ใน
ระดับเดียวกับ Mercedes-Benz E-Class และ BMW 5-Series หรือ ราวๆ 4 – 5 ล้านบาท Saloon
ขนาดเล็ก เจ้าของสมญานาม Baby Quatroporte รุ่นนี้มีกำหนดจะเปิดตัวในปี 2013
ส่วน SUV ที่แต่เดิมเคยใช้ชื่อ Kubang นั้น สุดท้าย ก็เปลี่ยนชื่อมาเป็น LeVante อันเป็น SUV ที่
Maserati ฝันอยากจะทำขายมาตั้งแต่ก่อนปี 2000 ถึงขั้นเคยทำรถต้นแบบในชื่อเดียวกันนี้ ออก
มาอวดโฉมต่อชาวโลก ในปี 2003 แต่ความคืบหน้าดังกล่าว ก็หายไปนานถึง 9 ปี กว่าที่เวอร์ชัน
ต้นแบบ คันล่าสุด ซึ่งดูใกล้เคียงกับเวอร์ชันผลิตขายจริงมากๆ จะเปิดผ้าคลุมในงาน Frankfurt
Motor Show เดือนกันยายน 2011 เพื่อหวังจะเป็นทางเลือกในกลุ่ม Premium MidSize SUV
ประกบกับ Mercedes-Benz ML-Class , BMW X5/X6 และ Range Rover Sport
งานออกแบบเครื่องยนต์ รับผิดชอบโดย Paolo Martinelli หัวหน้าฝ่าย Powertrain Department ของ
Maserati ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปีของเขา ในทีมรถแข่ง Formula 1 และใน Ferrari คาดว่าน่าจะ
เป็นเครื่องยนต์ V8 ขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ แต่รายละเอียดเครื่องยนต์
จะยังไม่เปิดเผยออกมาจนกว่า จะถึงเวลาที่ LeVante ถูกนำไปขึ้นสายการผลิตที่โรงงาน ของ Chrysler
ในมลรัฐ Michigan ภายใต้ไลน์ผลิตเดียวกับ Jeep Grand Cherokee (ฟังดูแปลกๆพิลึกๆอยู่ไม่น้อย)
แต่กว่าที่ LeVante จะเข้ามาเมืองไทย เร็วที่สุด ก็คงจะเป็นช่วงปี 2014 เพราะต้องรอดูการประกอบ
เวอร์ชันพวงมาลัยขวาด้วยว่าจะเกิดขึ้นได้เมื่อใด
ผู้บริหารของทาง Empire Motorsport เคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อไม่นานมานี้ว่า มีแผนที่จะสั่งนำเข้า
รถยนต์รุ่นใหม่ ทั้ง 3 รุ่นนี้ มาเอาใจลูกค้าชาวไทยกว่า 80% และชาวต่างชาติอีกว่า 20% ที่เดินเข้า
โชว์รูมของพวกเขา ต่อเนื่องกันนับจากนี้ไป ดังนั้น อนาคตของ Maserati ในไทย จึงยังมีแสง
สีทองผ่องอำไพกันอยู่ต่อไปแน่ๆ อย่างน้อย ก็ในช่วง 2-3 ปีนี้ละ
——————————————

Mazda
2013 : CX-5
2014 : Mazda 3 Full Modelchange / BT-50 PRO Minorchange
2015 : All New MX-5 / Mazda 2 Full Modelchange
2012 ถือเป็นปีที่ Mazda บุกตลาดรถยนต์ในเมืองไทย อย่างหนักหน่วง และต่อเนื่องจากช่วง
ปี 2011 ทั้งการเปิดตัว รถกระบะ BT-50 PRO ใหม่หมดจดทั้งคัน ดึงเอา ผู้พันเบิร์ด ทหารหนุ่ม
นักแสดงคนดัง มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ตามด้วย การส่งรุ่นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร มาเสริมทัพให้กับ
คระกูล Mazda 3 ทั้ง 2 ตัวถัง ไปพร้อมๆกับการกระตุ้นตลาด Mazda 2 ทั้งการออกรุ่นปรับปรุง
อุปกรณ์ เปลี่ยนสีโปรโมท เป็นสีฟ้า ในรุ่น Hatchnack และสีขาว ในรุ่น Sedan และใช้บริการ
2 พรีเซ็นเตอร์ ทั้ง เป้ อารักษ์ และ ณเดชน์ เหมือนเช่นปีก่อนๆ อีกทั้งยังอัดสารพัดแคมเปญ
ทั้งโฆษณา และรายการส่งเสริมการขายกันต่อเนื่อง แทบไม่เว้นว่างกันเลยตลอดทั้งปี และ
ผลลัพธ์ก็คุ้มค่า เพราะยอดขายของ Mazda ดีวันดีคืน และเริ่มจะทาบรัศมีเจ้าตลาดได้แล้ว
ทั้งในด้านยอดขาย และภาพลักษณ์ของแบรนด์
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เล็กๆ แต่สำคัญและน่่าบันทึกเอาไว้คือ เมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน
ที่ผ่านมาร Mazda จัดให้มี Design Forum ของตน ขึ้นเป็นครั้งแรกสำหรับ Mazda ในเมืองไทย
หลังจากบินไปจัดในประเทศอื่นๆ ก่อนหน้านี้มาแล้ว 2 แห่ง การจัดงานนี้ เป็นเหมือนสัญญาณ
บ่งบอกให้สื่อมวลชน และผู้ที่มีโอกาสเข้าร่วมงานนี้ (ซึ่งมีจำนวนไม่มากนัก) ได้รับรู้ว่า จากนี้
Mazda จะ นำรถยนต์รุ่นใหม่ที่ใช้แนวทางการออกแบบ KODO : Souls Of Motion มาทำตลาด
ในบ้านเราอย่างจริงจังกันเสียที หลังจากปล่อยให้รอมาสักพักใหญ่
แน่นอนว่า รถยนต์รุ่นแรกที่ออกแบบภายใต้แนวทาง KODO ที่จะเปิดตัวในเมืองไทย ก็คือ
Compact SUV 5 ที่นั่ง รุ่น CX-5 ซึ่ง Mazda ยืนยันแล้วว่า จะนำเข้าจากมาเลเซีย เพื่อให้
ทันส่งขึ้นโชว์รูมบ้านเรา ภายในเดือนมีนาคมนี้ และจะมาครบ จัดเต็ม ด้วยเครื่องยนต์ใหม่
ตระกูล SKYACTIV ทั้งแบบเบนซิน SKYACTIV G 4 สูบ 2.0 ลิตร 155 แรงม้า (PS) แรงบิด
200 นิวตันเมตร และ Diesel SKYACTIV D Common-Rail Turbo 2.2 ลิตร สเป็กต่างๆ อ้างอิง
จากตลาดเมืองนอกกันได้เลย เนื่องจากงานนี้ Mazda เลือกใช้วิธีสั่งนำเข้ารถยนต์จากมาเลเซีย
สาเหตุที่ไม่ประกอบในเมืองไทย เพราะ กำลังการผลิตของโรงงาน AAT ที่ระยอง แน่นเปรี๊ยะ
ชนิดกระดิกตัวไปไหนไม่ได้แล้ว เจอกันช่วงก่อนงาน Bangkok International Motor Show
อย่างแน่นอน แต่กว่าจะพร้อมส่งมอบและเริ่มทำตลาดได้จริง อาจต้องรออีก 2-3 เดือนหลังเปิดตัว
นอกจากนี้ ตลอดปี 2013 เราอาจจะได้เห็นรุ่นปรับโฉม หรือรุ่นย่อยพิเศษกระตุ้นตลาดของ
Mazda 2 และ BT-50 PRO เพื่อพยุงยอดขายกันไปเรื่อยๆ

(Illustration โดย Ku @ Thaicardesign.com)
ในขณะเดียวกัน Mazda 3 ใหม่ Full Model change ที่เพิ่งจะมีภาพหลุดออกมารวม 3 รูป แม้ว่า
ทาง Mazda Australia ออกมายืนยันหนักแน่นว่า ทั้ง 3 รูปนั้นจะไม่ใช่ Mazda 3 ใหม่ก็จริง แต่
ยืนยันได้ว่า เส้นสายภายนอก จะถูกปรับเปลี่ยนเป็นแนวทาง KODO แน่ๆ และจะมีเครื่องยนต์ใหม่
SYYACYIV ในตลาดโลก ทั้งแบบเบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร กับ 2.5 ลิตร และ
Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.2 ลิตร Common-Rail Turbo ที่ยกมาจาก SUV รุ่น CX-5
ส่วนเวอร์ชันไทยนั้น ยังไม่มีข้อสรุปว่า เราจะได้เห็นรุ่นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร บล็อกใหม่ หรือจะยังคง
ยืนหยัดลากใช้เครื่องยนต์เก่าเก็บลูกเดิม ที่ใช้กันมาแล้ว 2 เจเนอเรชัน ชนิดรอเปลี่ยนเมื่อลูกบวช
Mazda 3 ใหม่ กำหนดจะเผยโฉมออกมาให้เราได้เห็นคันจริง ภายในช่วงปลายปี 2013 แต่คนไทย
อาจต้องรอไปอีกนานจนถึงปี 2014 กันเลยทีเดียว เพราะ Mazda 3 รุ่นปัจจุบันในบ้านเรา เพิ่งเปิดตัว
ไปเมื่อเดือนมีนาคม 2011 (ช่วงแผ่นดินไหวและสึนามิเข้าญี่ปุ่น) นั่นเอง และถึงตอนนี้ ก็ยัง
ไม่ครบอายุตลาดเลยด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ ปี 2014 จะถึงเวลาที่ Mazda ต้องเตรียมปรับโฉมแบบ Minorchange ให้กับรถกระบะ
BT-50 PRO แม้ว่าจะไม่น่ามีการเปลี่ยนแปลงในด้านรายละเอียดวิศวกรรมใดๆ แต่งานออกแบบ
ทั้งด้านหน้ารถ และ ชุดไฟท้าย จะถูกปรับปรุงใหม่ ให้มีแนวเส้นสายร่วมกันกับแนวทาง KODO
มากยิ่งขึ้น ได้แต่หวังว่า ชุดไฟท้ายจะออกมาดูแล้ว สวยจบ สบายตา สบายใจทุกคน เพราะมีแค่
งานออกแบบด้านหน้าและบั้นท้ายนี่ละ ที่ทำให้หลายคนยังทำใจไม่ได้ที่จุอุดหนุนรถกระบะ
ซึ่งเซ็ตช่วงล่างมาลงตัวที่สุดในตลาด รุ่นนี้ได้ลง

ส่วนใครที่ยังรอ การเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันของ Mazda 2 นั้น อาจต้องรอไปจนถึง ปี 2014
หรืออาจจะข้ามไปยังปี 2015 กันเลยทีเดียว ความเคลื่อนไหวล่าสุดที่หลุดรอดออกมาก็คือว่า
รถรุ่นนี้ อาจมีความเกี่ยวพันกับ Toyota อยู่ เนื่องจาก เมื่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2012 ที่ผ่านมา
ทั้ง Mazda และ Toyota ลงนามในข้อตกลงร่วมกันว่า จะนำรถยนต์ขนาดเล็กรุ่นใหม่ ที่ใช้
พื้นฐานมาจาก Mazda 2 เจเนอเรชันใหม่ ไป ขึ้นสายการผลิตที่โรงงาน Mazda ใน Mexico
ซึ่งกำลังก่อสร้างกันอยู่ หมายความว่า เราอาจต้องทนเห็นหน้า Mazda 2 รุ่นปัจจุบันกันอีก
อย่างน้อย ก็จนถึงปลายปี 2014 เป็นอย่างเร็วที่สุด
ส่วนโครงการอื่นๆของ Mazda ในตลาดโลก ที่น่าสนใจ และมีความเป็นไปได้ที่ถูกส่งเข้ามา
ขายในเมืองไทย ก็เห็นจะมีแต่ Mazda MX-5 รุ่นใหม่ ซึ่งจะพัฒนาขึ้นร่วมกันกับ FIAT
Auto Spa. แห่งอิตาลี เพื่อทำตลาดเป็น New MX-5 และ New Alfa Romeo Spider
โดย จะวางเครื่องยนต์ใหม่ SKYACTIV ที่ลดความจุกระบอกสูบลงมาจาก 2.0 ลิตร เหลือแค่
1.3 ลิตร แต่จะต้องมีพละกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 200 แรงม้า (PS) ด้วยการติดตั้ง Turbocharger
เสริมเข้าไป ขณะเดียวกัน ต้องลดน้ำหนักลงอีก 100 กิโลกรัม เพื่อให้ตัวรถเบาไม่เกิน
1,000 กิโลกรัม พอดี!! ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสนุกเร้าใจในการขับขี่ และลดอัตราสิ้นเปลือง
เชื้อเพลิงลงให้ได้มากกว่านี้ แถมยังปล่อยมลพิษน้อยลงกว่าเดิม กำหนดเปิดตัวอยู่ในช่วง
ปี 2015
อีกรุ่นหนึ่ง ที่ เพิ่งมีการยืนยันเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา นั่นคือ Sub-Compact
Crossover SUV ขนาดเล็ก รุ่นใหม่ Mazda CX-3 ที่จะสร้างขึ้นบนพื้นฐานวิศวกรรม
ของ Mazda 2 เจเนอเรชันต่อไป เพื่อร่วมประลองชัย ในศึก B-Segment SUV ที่เริ่ม
ปะทุเดือดขึ้นเรื่อยๆ กว่าที่เราจะได้เห็นคันจริง ก็คงต้องเป็นช่วงปี 2014 หรือ 2015
——————————————
Mercedes-Benz
2013 : New E-Class W212 Facelift + HYBRID ! / CLA-Class / All New S-class CBU
2014 : All New S-Class CKD
ค่ายรถยนต์ตราดาว ยังคงบุกตลาดอย่างหนักหน่วง และต่อเนื่อง ตลอดปี 2012 ที่ผ่านมา เพื่อแก้
ปัญหาเรื่อง การทำตลาดของผู้ค้ารายย่อย Grey Market และด้วยมาตรการ เก็บภาษีนำเข้า ของ
ศุลกากร อย่างตรงไปตรงมามากขึ้น (ไม่ใช่การเพิ่มอัตราภาษีอย่างที่ Grey หลายแห่งหลอกลูกค้า)
ทำให้ การขายรถยนต์ของ Grey Market ซบเซาลงไปอย่างเห็นได้ชัด
แถมตลอดปี 2012 ที่ผ่านมา Mercedes-Benz ในบ้านเรา ก็ถล่มเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเป็น รถสปอร์ตรุ่นใหญ่ Mercedes-Benz SL ใหม่ น้องเล็กรุ่น B-Class สั่งนำเข้ามาขายกัน
พอเป็นพิธี เอาใจคนที่อยากได้ Benz ราคาประหยัด แต่คุ้มทุกการใช้งาน นอกจากนี้ยังสั่งนำเข้ารุ่น
CLS Shooting Break กับ CLS 250 CDI ในราคาใหม่ ลดราคาฮวบลงมาเหลือแค่ 4.99 ล้านบาท
จากเดิม CLS 250 CGI คันละ 8 ล้านกว่าบาท และส่งท้ายในเดือยพฤศจิกายน ด้วยการเปิดตัว A-Class
ใหม่ ทั้ง รุ่น A180 และ A250 จนเรียกกระแสลูกค้าไหลเข้าโชว์รูมผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ ขายดีมาก
จนค่ายคู่แข่ง และบรรดาชาว “สีเทา” ทำตากันปริบๆ
ส่วนไฮไลต์หลักของ Mercedes-Benz ในบ้านเรา สำหรับปี 2013 จะอยู่ที่ การเตรียมเปิดตัว
E-Class W212 Facelift หรือรุ่น Minorchange ที่เพิ่งเผยภาพกันไปแล้วเมื่อปลายเดือนธันวาคม
ที่ผ่านมาหมาดๆ โดยจะมีรุ่นขุมพลัง HYBRID ที่ผู้ผลิตเคลมว่า ทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้
ประหยัดถึง 4.2 ลิตร / 100 กิโลเมตร หรือราวๆ 23 กิโลเมตร/ลิตร กันเลยทีเดียว มาเปิดตัวและ
พร้อมทำตลาดจริงในเมืองไทย อย่างแน่นอน
อีกรุ่นหนึ่งที่น่าจะถูกนำเข้ามาจำหน่ายในบ้านเรา นั่นคือ CLA ซึ่งเพิ่งมีภาพ Spyshot แบบ
“ผู้ผลิตจงใจปล่อยเอง” อย่างที่เห็นข้างบนนี้ โดยชูเทคโนโลยีหลัก ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
4 MATIC เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ในตลาดโลก ช่วงแรกจะมีให้เลือกทั้ง CLA180 (122 แรงม้า)
, CLA200 (156 แรงม้า) , CLA250 (211 แรงม้า) และ CLA220cdi (170 แรงม้า) โดยในตลาด
ยุโรป จะมีรุ่น CLA 35 AMG แรงสุดๆ ถึง 335 แรงม้า ตามออกมาในเดือนกันยายน 2013
แต่สำหรับตลาดเมืองไทย รุ่นที่เป็นไปได้มากที่สุดหากจะนำเข้ามาทำตลาดคือรุ่น CLA180
และ CLA250
ขณะเดียวกัน ยังต้องจับตาดูการเปิดตัว Mercedes-Benz S-Class ใหม่ ในช่วงปี 2013 นี้ ที่ยุโรป
โดยรถรุ่นใหม่ จะมีขนาดตัวถังใหญ่โตขึ้น และถูกอัดแน่นด้วยสารพัดเทคโนโลยี ทั้งเพื่อความ
สะดวกสบายของผู้โดยสาร และเทคโนโลยีขับเคลื่อนเพื่อสิ่งแวดล้อม มากกว่าที่เคยมีมาในบรรดา
S-Class ทุกรุ่น คาดว่า น่าจะส่งมาขายเมืองไทย ในฐานะ รถนำเข้า ช่วงต้นปี 2014 เป็นประเดิม
ก่อนที่ เวอร์ชันประกอบในประเทศ จะตามมาในระยะหลังจากนั้น อีก 6 เดือน หรือช่วงครึ่งหลัง
ของปี 2014
——————————————

(Illustration โดย คุณ อนาวิล สายดำ / Mr.Anawin Saidum)
MITSUBISHI MOTORS
2013 : ” New Global Small Sedan 1.2 Litre” Based on Mirage (Quarter 3 or 4)
2014 : All New Triton Full Model Change (Stop joint Develop with NISSAN !!)
2015 : Pajero Sport Full Model Change / Lancer Full Modelchange / Mirage Hybrid ??
นอกเหนือจากจะยังประคับประคองยอดขายของทั้ง Mitsubishi Triton และ Pajero Sport
ซึ่งยังคงถูกปรับปรุงอุปกรณ์ และเพิ่มเครื่องยนต์กันไปเรื่อยๆ ทั้ง Diesel 2.5 VG Turbo
เบนซิน V6 3.0 ลิตร และ เบนซิน 2.4 ลิตร (สำหรับกลุ่มที่อยากเอาไปติดก๊าซ LPG เอง)
มาได้อย่างตลอดรอดฝั่งแล้ว
ความสำเร็จครั้งสำคัญอันยิ่งใหญ่ของ Mitsubishi Motors ในเมืองไทย ช่วงปี 2012 คือการ
เปิดตัว Mitsubishi Mirage ECO Car รุ่นแรกของตนจากโครงการ New Global Small ได้
อย่างสวยสดงดงาม แม้จะนำชื่อเก่าซึ่งเคยใช้กับ รถยนต์ Compact Hatchback ฝาแฝด
ร่วมกับ Lancer รุ่นก่อนๆ ในญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 1978 แค่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งการสร้าง
ตัวรถให้เบาหวิวที่สุด เพียง 870 กิโลกรัม แถมยังพัฒนาเครื่องยนต์ 3 สูบ 12 วาล์ว 1.2 ลิตร
มาใช้ แม้ว่าแรงม้าน้อยสุดในกลุ่ม แต่กลับแรงสุด และประหยัดน้ำมันที่สุดในกลุ่ม แถมยัง
มีแผนการตลาดที่เตรียมรับมือกระแสความแรงของ Suzuki Swift อย่างดี ทั้งการดึง นิชคุณ
นักร้องนำคนไทยในวง 2PM จากเกาหลีใต้ มาเป็น Presenter รวมทั้งแคมเปญยั่วใจ ผลก็คือ
ลูกค้าพากันเทใจให้ล้นหลาม แม้จะมีการ Recall ลูกลอยในปั้มติ๊กของถังน้ำมัน ช่วงปลาย
ปี แต่ก็เรียกศรัทธาจากผู้บริโภคกลับมาอย่างรวดเร็ว เพราะเตรียมทางแก้ปัญหาทุกอย่างไว้
ครบถ้วนจนถึงตอนนี้ โรงงานแห่งใหม่มูลค่า 16,000 ล้านบาท ต้องเร่งทำงานกันต่อเนื่อง
เพื่อเคลียร์ยอดจองที่ยาวข้ามปี คาดว่ารับรถกันได้หมดครบสักที เดือนมีนาคม 2013
แต่ถ้าคิดว่า Mirage จะมีแค่ตัวถังเดียว คงต้องบอกว่า คิดผิดคิดใหม่ เพราะ ตอนนี้ กองทัพ
Mirage รุ่นอื่นๆ ยังคงอยู่ในระหว่างการพัฒนา และจะเริ่มจ่อคิวเปิดตัวกันตั้งแต่ปี 2013
เป็นต้นไป
เริ่มจาก Mirage Sedan ที่จะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 1.2 ลิตร แบบเดียวกันกับรุ่น 5 ประตู
สร้างขึ้นบนพื้นตัวถังเดียวกัน แต่อาจใช้เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar และเสากลาง B-Pillar ร่วมกัน
กับ Mirage Hatchback 5 ประตู โดยรุ่น Sedan มีกำหนดเปิดตัวในเมืองไทย เป็นแห่งแรก
ในโลก ช่วงไตรมาส 3 – 4 ในปีนี้
จากนั้น จะเว้นช่วงสักพัก แล้วตามด้วย เวอร์ชันที่ติดตั้งขุมพลังแบบ HYBRID ซึ่งคาดว่าจะ
ตามออกมา ในปี 2014 หรือ 2015 ทุกรุ่นข้างต้น มีแผนส่งออกกลับไปขายในประเทศญี่ปุ่น
เหมือนกับรุ่น 5 ประตู ในปัจจุบัน แต่เราก็ต้องมานั่งลุ้นกันต่อว่า ลูกค้าคนไทยจะมีโอกาส
ได้สัมผัส เป็นเจ้าของ Mirage HYBRID ด้วยหรือไม่ เพราะมีความเป็นไปได้สูงว่ายังลุ้น
กันได้อยู่ เพราะถ้าจะลุ้น รถ EV สงสัยจะหมดหวัง
ปี 2013 เราอาจได้เห็น การเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ และรุ่นย่อยพิเศษ จำพวก Spacial Edition ให้กับ
บรรดารถยนต์รุ่นที่ทำตลาดกันอยู่แล้ว ทั้ง Lancer EX ซึ่งก็ยังจำเป็นต้องพยุงตลาดกันต่อไป
ให้ตลอดรอดฝั่ง รวมทั้งรถกระบะ Triton และ Pajero Sport ซึ่งจำเป็นจะลากขายกันต่อไป
โดยเฉพาะ Pajero Sport นั้น จะมีการปรับโฉมอีกเล็กน้อย โดยจะไม่มีการไปแตะต้องอะไร
กับเครื่องยนต์ที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันอีกเป็นอันขาด ความเปลี่ยนแปลงมากที่สุด เห็นจะมีแค่
การปรับปรุงอุปกรณ์ภายในห้องโดยสาร เท่านั้น กำหนดเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2013
จนกว่าจะถึงปี 2014 ซึ่งจะเป็นปีที่ Triton มีกำหนดจะเปิดตัวรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน
อย่างไรก็ตาม จากการรายงานในปีที่แล้วว่า Mitsubishi Motors จะจับมือกับ Nissan
ร่วมกันวางแผนพัฒนาและผลิตรถกระบะ รุ่นต่อไป จนสร้างความฮือฮาให้กับผู้ที่ติดตาม
ข่าวสารแวดวงอุตสาหกรรมรถยนต์ มาถึงวันนี้ ทั้งคู่ ออกมาบอกว่า “ยกเลิกความร่วมมือ
ในโครงการดังกล่าวนี้เสียแล้ว”!
เหตุผลไม่มีอะไรมาก ในเมื่อ ทั้งคู่ เริ่มงานพัฒนารถกระบะของตนมาสักระยะหนึ่ง ก่อน
ที่จะมาจับเข่าคุยกันแล้ว อีกทั้ง แนวทางการพัฒนารถกระบะรุ่นใหม่ของทั้งคู่ ยังต่างกัน
อีกด้วย โดย Nissan ตั้งใจจะมุ่งเน้นความแข็งแกร่ง ทนทานเพื่อรองรับงานหนักๆ โหดๆ
มากขึ้น แต่ราคาต้องเท่าเดิม หรือถูกกว่าเดิมนิดนึง ให้ได้ ส่วน Mitsubishi Motors มองว่า
จะเน้น รถกระบะ Life Style ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้ในทุกรูปแบบ ทั้งหรูทั้งลุยได้สบาย
ในเมื่อ โจทย์ต่างกัน ขนาดนี้ คงจะร่วมงานในโครงการแบบนี้ต่อไปได้ยากแล้วละ!
สำหรับ Triton รุ่นต่อไปนั้น แนวทางการพัฒนา จะมีการผสมผสานรูปแบบความทรหดบึกบึน
เข้าไปในเส้นสายที่โฉบเฉี่ยว เอาใจลูกค้าชาวไทยมากขึ้น หลังจากที่มีบทเรียนจาก Triton ใน
รุ่นปัจจุบันมาแล้ว ว่า เส้นสายที่ล้ำอนาคตเกินไป คนไทย ไม่ Get! กำหนดเปิดตัวอยู่ในช่วง
ไตรมาส 3 ของปี 2014 ชนกับทั้ง Hilux Vigo IMV2 และ D-Max Big Minorchange
ย่างเข้าสู่ปี 2015 ก็จะเวลาของ Pajero Spot เปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน แบบ Full Model Change
โดยจะมีการพัฒนาบนโครงสร้างเฟรมแชสซี และงานวิศวกรรมของ Triton รุ่นต่อไป ตามคาด
กำหนดขึ้นสายการผลิต น่าจะอยู่ในช่วงปลายปี 2014 ถึงต้นปี 2015 โดยจะใช้ฐานการผลิตใน
โรงงานของตน ที่แหลมฉบัง ตามเคย ยังไม่แน่ชัดว่า จะเปิดตัวได้ทันในปี 2015 หรือไม่ คง
ต้องรอลุ้นกันต่อไป
หลังจากนั้น ก็จะได้เวลา เปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันให้กับ Mitsubishi Lancer ใหม่ โดยในตลาดโลก
ไม่ค่อยประสบความสำเร็จด้านยอดขาย ในแทบทุกประเทศที่เข้าไปจำหน่าย เท่าที่ควร เนื่องจาก
ตัวรถดูเป็นผู้ชายมาก จนกลุ่มลูกค้าสตรี พากันเกลียดขี้หน้า ดังนั้น ตามแผนการเปิดตัว เราจะได้
พบกับโฉมรถยนต์รุ่นนี้ ในปี 2014 แต่เมืองไทย เราอาจจะต้องรอกันต่อไปจนถึงช่วงปลายปี
2014 หรือเร็วที่สุดภายในช่วงปี 2015
———————————–

NISSAN
2013 : Next TIIDA B12D will be call “PULSAR” / March Minorchange NV350 Urvan /
Teana Full Modelchange / Juke…(?)
2014 : Navara Full Modelchange / All New X-Trail Made in Thailand
2015 : Navara SUV / PPV
ความเคลื่อนไหวที่สำคัญที่สุดของ Nissan ในปีนี้ มีอยู่ 2 เรื่อง นั้นคือ การเปิดตัว Nissan Sylphy
C-Segment Compact Sedan ขนาดตัวถังใหญ่โต วางเครื่องยนต์ 1.6 และ 1.8 ลิตร เมื่อวันที่
30 สิงหาคม 2012 และการประกาศลงทุนในไทยกว่า 11,000 ล้านบาท สร้างโรงงานประกอบรถยนต์
แห่งที่ 2 ในบ้านเรา เพื่อเริ่มผลิตรถกระบะรุ่นใหม่ ในเดือนสิงหาคม 2014 โดยโรงงานแห่งนี้จะ
มีกำลังการผลิตต่อปี ในช่วงเริ่มต้น 75,000 คัน และ 150,000 คันในอนาคต เพื่อดันให้ไทยเป็น
ศูนย์กลางการผลิตเพื่อส่งออกของ Nissan ในอาเซียน และเกิดการจ้างงานเพิ่มให้กับประเทศอีก
2,000 คน นั่นเท่ากับว่าการดำเนินงานตามแผน Nissan Power Up 2016 ยังคงเดินหน้าต่อไป
นอกเหนือจากแผนขยายเครือข่ายโชว์รูมและศูนย์บริการ อีก 50 แห่ง จากเดิม 160 แห่ง ให้เพิ่ม
เป็น 210 แห่ง ในปี 2013 เพื่อ เป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดอีกเท่าตัว หรือประมาณ 15%
ปี 2013 นี้ จะถือเป็นปีที่ Nissan จะเริ่มเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง นับจากนี้เรื่อยไป
จนถึงปี 2016 กันเลยทีเดียว
เริ่มกันที่ Next TIIDA 5 ประตู รหัสโครงการ B12D ได้ชื่อรุ่นเพื่อทำตลาดอย่างเป็นทางการแล้ว
นั่นคือ PULSAR ซึ่งเป็นการหยิบเอาชื่อเก่าที่เคยใช้กับรถยนต์นั่ง Compact Hatchback สำหรับ
ตลาดยุโรป กลับมาใช้อีกครั้ง และรูปโฉม ก็จะไม่แตกต่างจากรถคันสีขาว ซึ่งจอดแสดงอยุ่บน
แท่นหมุนในงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาอีกแล้ว แม้จะใช้หน้าตาเดียวกัน
กับ TIIDA 5 ประตู ใหม่ ในจีน แต่รายละเอียดวิศวกรรม เครื่องยนต์กลไก ทั้ง 1.6 ลิตร เกียร์
ธรรมดา 5 จังหวะ กับ อัตโนมัติ CVT และ 1.8 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ CVT รวมทั้งแผงหน้าปัด
จะยกชุดมาจาก Sylphy ทุกประการ เพียงแต่ภายในห้องโดยสารจะตกแต่งดัวยโทนสีดำ และ
มีพื้นที่โดยสารด้านหลัง ใหญ่โต นั่งสบาย เหมือน TIIDA 5 ประตู รุ่นเก่า กำหนดเปิดตัว อยู่
ในเดือน กุมภาพันธ์ – มีนาคม 2013
จากนั้น ในเดือนมีนาคม ก่อน Bangkok International Motor Show ไม่กี่วัน Nissan ก็เตรียม
ระเบิดลูกเล็ก ไว้ถล่ม ตลาด ECO Car กันอีกรอบ ด้วยการปรับโฉมครั้งใหญ่ ให้กับ Nissan
March แบบ Big Minorchange โดยจะปรับปรุงชิ้นส่วนด้านหน้า และด้านหลัง รวมทั้งแผง
หน้าปัด ให้ดูดุดันขึ้นกว่าปัจจุบัน แต่เครื่องยนต์กลไกและระบบส่งกำลังต่างๆ ยังเหมือนเดิม
ส่วนระบบ Auto Start Stop ถูกตัดออกไปตั้งแต่รุ่นปี 2012 แล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่า มันไม่จำเป็น
อีกต่อไป ต่อให้ไม่ติดตั้งระบบนี้ March ก็ผ่านมาตรฐานอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง UNECE
ที่ 20 กิโลเมตร/ลิตร อันเป็นข้อกำหนดพื้นฐาน สำหรับรถยนต์ ECO Car ทุกคันในบ้านเรา
อยู่ดี เอางบตรงนี้ มาทำอุปกรณ์เพิ่มความสะดวกในห้องโดยสาร ดีกว่า

ในเดือนเดียวกัน Nissan จะเปิดศึก รถตู้เพื่อการพาณิชย์ ขนานใหญ่อีกครั้ง ด้วยการเปิดตัว
Nissan URVAN รุ่นใหม่ (ซึ่งมันก็คือ Nissan NV350 Caravan ในตลาดญี่ปุ่น ที่ขายดีใน
ตอนนี้นั่นเอง) รหัสพัฒนา X81B ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง Semi – Monocoque ซึ่งไม่ได้
ใช้แชสซีส์ ของ Nissan Navara ทั้งรุ่นปัจจุบันและรุ่นต่อไปใหม่อีกต่อไป แต่หันไปใช้
พื้นฐานช่วงล่างร่วมกับรถตู้ Nissan Primastar รหัสพัฒนา X81A ที่เหมาะกับการพัฒนา
เป็นรถตู้บรรทุกมากกว่า คราวนี้ Urvan ใหม่ ยกทีมมากันครบ ทั้งรุ่นตัวถังกว้างมาตรฐาน
Narrow Body กับรุ่นกว้างมโหฬาร Wide Body จะมีเครื่องยนต์ให้เลือกกัน ทั้ง เบนซิน
และ Diesel Turbo Common Rail อีกทั้งพยายามลบจุดอ่อนด้อยของตัวเอง เพื่องัดข้อกับ
Toyota Hiace / Commuter แบบไม่ไว้หน้ากันอีกต่อไป โดยจะนำไปจัดแสดงในงาน
Bangkok International Motor Show เหมือนกับทั้ง Pulsar และ March Minorchange

