ย้อนกลับไปเมื่อปี 2013 ช่วงที่ Volvo Cars Thailand เพิ่งสั่งนำเข้า Volvo
V40 รุ่นใหม่ล่าสุด จากโรงงาน Ghent ในเบลเยียม มาเปิดตัวที่เมืองไทย
พี่ต่าย ณัฎฐา จิตราคม ประชาสัมพันธ์คนเก่งคู่บุญค่าย Volvo มาช้านาน
แอบมาเล่าให้ผมฟัง ด้วยเหตุที่เราสองคนสนิทกันว่า ตามปกติแล้ว Volvo
จะมีลูกค้ารายหนึ่ง เป็นนักแสดงชายหนุ่มผิวเข้ม มากความสามารถ ซึ่ง
เป็นแฟนประจำของ Volvo เลยทีเดียว
เหตุที่ผมมิขอเอ่ยชื่อ เนื่องจากต้องการสงวนความเป็นส่วนตัวของเขา
และผมก็ไม่รู้ว่า การเอ่ยชื่อในบทความนี้ จะเป็นเหตุให้ ผู้จัดการส่วนตัว
ของชายหนุ่มผู้นี้ เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตผมในภายหลังจากบทความนี้เริ่ม
เผยแพร่ด้วยหรือไม่ ก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อนละครับ
พอ V40 ออกปุ๊บ พี่ต่าย เลียบๆเคียงๆ ถามนักแสดงท่านนั้น ว่า
“สนใจอุดหนุน V40 ใหม่สักคันไหมคะ?”
เจ้าตัวตอบกลับมาว่า
“ยังครับ ขอรออ่านรีวิวคุณ J!MMY ก่อน”
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!

เอาละ ตั้งสติ…กลับมาก่อน…ความดันโลหิตพุ่งไป 160 / 100 อัตราการ
เต้นของหัวใจ อยู่ที่ 120 bpm แล้ว!
พอจะทราบมาบ้างว่า Headlightmag.com ของเรานี่ มีคนติดตามอ่านกัน
เยอะอยู่ คนในวงการบันเทิงบางราย ก็เข้ามาอ่าน แต่นึกไม่ถึงว่า คนที่
มีฝีมือทางการแสดงระดับแถวหน้าอย่างเขา ยังมาให้ความสนใจติดตาม
อ่านงานเขียนของเราด้วย ไม่อยากบอกเลย เราก็เป็นแฟนคลับติดตาม
เขาในโลกโซเชียล และในงานแสดงของเขามาตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง
แรกๆ ที่เจ้าตัวฝากผลงานไว้อย่างยอดเยี่ยมมาก ด้วยเช่นเดียวกัน
จนกลายมาเป็น นักแสดงเจ้าฝีมือ อย่างในปัจจุบัน
พัฒนาการของคนเรา มันก็เหมือนกับรถยนต์นั่นละครับ ในแต่ละปี
ที่ผ่านมาไป ผู้คน ย่อมคาดหวังจะเห็นฝีมือของดารานักแสดงที่ตน
ชื่นชอบ ดีขึ้นฉันใด พวกเขาก็ย่อมคาดหวังจะเห็นเทคโนโลยีและ
ความก้าวหน้าใหม่ๆ มาบรรจุใส่ในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ในราคาที่เราๆ
ท่านๆ สามารถเอื้อมถึงได้ง่ายด้วย ฉันนั้น
แต่พัฒนาการของ J!MMY ในพักหลังมานี้ ยอมรับว่า เริ่มถดถอยลง
ไปบ้าง เนื่องจาก อายุเพิ่มขึ้น ความหนื่อยล้าสะสมเริ่มมากขึ้น งาน
เริ่มหนักขึ้น ทำให้เริ่มทำบทความ Full Review ไม่ทันกับปริมาณของ
รถยนต์รุ่นใหม่ที่กระหน่ำเปิดตัวในบ้านเรามาตั้งแต่ปี 2012 ถึงขั้นทำให้
รีวิวรถยนต์บางรุ่น ถูกดองกันยาวถึงปัจจุบัน ยิ่งเวลาผ่านไป งานยิ่งแยะ
จนต้องกระจายไปให้ พี่แพน และน้องๆในทีมแบ่งเบาภาระไปเยอะมาก
แถมผนวกกับการไม่ได้ออกกำลังกายเลยตลอด 7 ปี ตั้งแต่เริ่มเปิดเว็บ
มา พอสุขภาพทรุด มันก็ฉุดร่างกายให้ดำดิ่งสู่ความเจ็บป่วย นอนแผ่
เป็นผัก นานเป็นเดือนๆ แทบไม่ได้ทำงานใดๆเลยทั้งสิ้น

แน่นอนครับ นั่นเป็นอีกหนึ่งในสารพัดข้ออ้างที่ผมยกมา เพื่อบอกว่า
ตอนนี้ เวลาได้ผ่านไปแล้ว 2 ปี หลังการเปิดตัวของ V40 ในบ้านเรา
และนักแสดงชายท่านนั้น ก็ไม่รออ่านรีวิวของผม ตัดสินใจถอยรถ
V40 CrossCountry เบนซิน ออกมาใช้งานในชีวิตประจำวันไปแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น Volvo Cars Thailand ก็ทะยอยส่งรุ่นย่อยใหม่ๆ
ของ V40 ออกสู่ตลาดอยู่เรื่อยๆ สิริรวมนับตั้งแต่เปิดตัว มาถึงวันนี้
นับได้ 4 รุ่นย่อย พอดีๆ บางรุ่นยังมีขายอยู่ บางรุ่น ขายหมดไป
จนเกลี้ยงแล้ว เพราะทำออกมาจำนวนจำกัด และบางรุ่นก็เพิ่งจะ
เปิดตัวในงาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม
2016 ที่ผ่านมาไปหมาดๆ
ผมว่าถึงเวลาแล้วละ ที่เราจะมาสรุปกันสักที ว่า V40 ใหม่ ซึ่งถูก
เปลี่ยนแนวทางไปจาก Compact Station Wagon รุ่นเดิมๆ สู่การ
ตีความใหม่ ให้กลายเป็น Premium Sport Compact Hatchback
สุดโฉบเฉี่ยวที่สุดในรอบหลายปีของ Volvo นั้น จะมีสมรรถนะแรง
แค่ไหน ข้อดีข้อเสียเป็นอย่างไร บุคลิก และความคุ้มค่า น่าสนใจ
เพียงพอให้คุณลองเปิดใจเป็นเจ้าของดูสักครั้งหรือเปล่า?
บรรทัดข้างล่าง…รออยู่แล้วครับ…

Volvo V40 ใหม่ ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังและโครงสร้างวิศวกรรมใหม่ เรียกว่า
Global C Platform ซึ่งเป็นผลงานของศูนย์วิจัย Ford development center
ในเมือง Cologne เยอรมนี แพล็ตฟอร์มนี้ ถูกใช้ร่วมกับรถยนต์จากบรรดาค่าย
รถยนต์ ที่เคยอยู่อาศัยร่วมชายคากับ Ford มาก่อน ทั้ง Mazda 3 Gen 2 และ
Mazda 5 / Premacy รุ่นปัจจุบัน รวมทั้ง Ford Focus รุ่นล่าสุด Minivan รุ่น
Focus C-Max , Ford Escape / Kuga รุ่นล่าสุดที่ไม่มีขายในบ้านเรา แม้แต่
รถตู้ส่งของ Ford Transit Connect และ รถยนต์หรู อย่าง Lincoln MKC
ก็ใช้ Platform เดียวกันนี้ด้วย!
เกร็ดความรู้เพิ่มเติมคือ Platform นี้ ถูกพัฒนาต่อเนื่องมาจาก C1 Platform
ที่เคยใช้ใน Volvo C30 S40 กับ V50 ที่ตกรุ่นไปได้สัก 3 ปีมาแล้ว รวมทั้ง
Mazda 3 Gen 2 , Ford Focus Gen 2 และ Focus C-Max รุ่นแรก นั่นเอง
เท่ากับว่า V40 ใหม่ ใช้ Platform คนละตัว กับ 3 ศรีพี่น้องข้างต้นนะจ้ะ
แต่เป็น Platform ใหม่ ที่พัฒนา “ต่อเนื่อง” มาจาก Platform เดิมนั่นเอง
V40 รุ่นปัจจุบัน เผยโฉมสู่สายชาวโลกครั้งแรกผ่านทางภาพถ่ายที่ Volvo
Upload ขึ้นสู่โลก Internet เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2012 ก่อนจะถูกส่งไป
ขึ้นอวดโฉมบนแท่นหมุน ณ งาน Geneva Motor Show ในอีก 1 เดือน
ถัดมา
ในแง่ของการเรียงลำดับตามสายพันธ์ในตระกูล Volvo แล้ว V40 ใหม่ นั้น
หาได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับ V40 Station Wagon ที่เปิดตัวออกมาในปี
1995 ไม่ ในประการใดๆทั้งสิ้น
คราวนี้ Volvo ตัดสินใจ พลิกบทบาทของ ชื่อ V40 จากเดิมที่คนทั่วทั้งโลก
รู้จักในฐานะของรถยนต์นั่งแบบ Premium Compact Wagon 5 ประตู ที่ถูก
สร้างขึ้น พร้อมกันกับ Volvo S40 ภายใต้พื้นตัวถัง (Platform) ร่วมกันกับ
Mitsubishi Carisma ซึ่งทั้ง 2 รุ่น เคยถูกผลิตขึ้น ณ โรงงาน NedCar B.V.
ใน Netherland ให้กลายมาเป็น Premium Compact Hatchback ที่ถูก
สร้างขึ้นมาเพื่อต่อกรกับคู่แข่งตัวฉกาจจากเยอรมัน ทั้ง Mercedes-Benz
A-Class, BMW 1-Series และ Audi A3 รวมทั้งอาจเลยเถิดไปยังรถยนต์
กลุ่ม C-Segment Compact Hatchback จากยุโรป อย่าง Volkswagen
Golf , Opel/Vauxhall Astra , Peugeot 308 , Renault Megane และ
(Citroen) DS4 เป็นต้น
Steven Jacoby , President และ CEO ของ Volvo Car Corporation.
ในตอนนั้น ถึงกับกล่าวว่า “V40 ใหม่ เป็นรถยนต์รุ่นแรกที่เราได้พัฒนาขึ้น
ภายใต้กลยุทธ์ Designed Around You เติมเต็มด้วยอุปกรณ์ high-tech
อันโดดเด่น ซึ่งจะทำให้บรรดาคู่แข่งขอเราพากันปวดหัวเป็นแน่!”
แหม…ช่างกล้าพูดเนาะ!
Volvo ตั้งเป้ายอดขาย V40 ใหม่ไว้ที่ระดับ 90,000 คัน/ปี โดย 85% ของ
ยอดเป้าหมายนี้ เป็นลูกค้าชาวยุโรป
สำหรับประเทศไทย Volvo Cars Thailand เปิดตัว V40 รุ่นนี้เป็นครั้งแรกเมื่อ
วันอังคารที่ 12 มีนาคม 2013 ณ โรงแรม Otaku…เอ้ย! Okura Prestige Bangkok
และจัดแสดงสู่สายตาลูกค้าทั่วไปครั้งแรก ณ งาน Bangkok International Motor
Show เดือนมีนาคม 2013 โดยเปิดตัวพร้อมกัน 2 รุ่นในช่วงแรก คือ V40 T5
และ V40 CrossCountry ขุมพลัง เบนซิน 213 แรงม้า (PS) ทั้งคู่

V40 ใหม่ มีความยาวตลอดทั้งคัน 4,369 มิลลิเมตร ความกว้าง โดยไม่รวม
กระจกมองข้าง 1,783 มิลลิเมตร แต่ถ้ารวมกระจกมองข้างเข้าไปด้วยแล้ว
หากพับกระจกเก็บ จะอยู่ที่ 1,857 มิลลิเมตร แต่ถ้ากางกระจกมองข้างออก
จะเพิ่มขึ้นเป็น 2,041 มิลลิเมตร ความสูงตัวรถ 1,439 มิลลิเมตร ความยาว
ระยะฐานล้อ 2,647 มิลลิเมตร
ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า (Front Thread) 1,559 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อ
คู่หลัง (Rear Thread) 1,546 มิลลิเมตร ระยะห่างระหว่างพื้นถนน จนถึง
พื้นใต้ท้องรถ อยู่ที่ 133 มิลลิเมตร (แต่ถ้าเป็นรุ่น Sport Suspension จะลด
ลงไปอีก 10 มิลลิเมตร เหลือ 123 มิลลิเมตร )
V40 เป็นผลงานของ ทีมออกแบบใน Studio ของ Volvo เอง โดยเส้นสาย
ภายนอก รังสรรค์ขึ้นจากฝีมือของ Chris Benjamin นักออกแบบชาวอเมริกัน
ส่วนภายในห้องโดยสาร เป็นงานของ Sven-Olof Persson, interior design
manager ในโครงการนี้
อย่างไรก็ตาม V40 รุ่นนี้ คือ Volvo รุ่นสุดท้าย ที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้น
ภายใต้การควบคุมดูแลของ นักออกแบบชาวอังกฤษชื่อดัง Peter Horbury
ก่อนที่เขาจะอำลาไปทำงานให้กับ บริษัทแม่ของ Volvo ในปัจจุบันอย่าง
Geely ของประเทศจีน
รูปลักษณ์ภายนอก ถูกออกแบบให้ดูกว้างและเตี้ย โดยได้รับแรงบันดาลใจ
จาก ตัวถัง Shooting Break ของรถสปอร์ตรุ่นดังในอดีต Volvo P1800 ES
Chris Benjamin บอกว่า เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar จงใจออกแบบให้ลาด
มากขนาดนี้ เพื่อสร้างความรู้สึกได้ถึงสัญชาติญาณแห่งการเคลื่อนไหว
อย่างรวดเร็ว และสร้างความแตกต่างไปจากคู่แข่งคันอื่นๆ บ่าข้างอันเป็น
เอกลักษณ์ของ Volvo มาตั้งแต่ปี 1998 ในรุ่น S80 ถูกปรับปรุงให้กลมกลืน
และคงความสง่างามดุจคนมีมัดกล้ามเอาไว้ แถมด้วยแนวเส้นบ่าข้างช่วง
บานประตูคู่หลัง ที่ “ตวัดขึ้น” เล็กน้อย ก่อนจะลากต่อเชื่อมไปยังบั้นท้าย
ยิ่งช่วยเพิ่มความแปลกตา สร้างบุคลิกโฉบเฉี่ยวจากความโค้งมน และมี
Style อันน่าจดจำ
เสาหลังคาคู่หลัง D-Pillar ถูกออกแบบให้สอดรับกับบ่าด้านข้างที่ดูหนา
และเสริมความทะมัดทะแมง บานประตูด้านท้าย ดูเตี้ยและกว้าง แผ่รังสี
ความมั่นใจในตนเองที่สูงมากออกมา ส่วนบานฝาท้ายแบบ Hexagon
สีดำ และชุดไฟท้ายที่ออกแบบให้ขนาบกับเสาหลังคาคู่หลัง D-Pillar
ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับเส้นสายของ พี่สาวคนกลางอย่าง V60
Sports Wagon ไปในคราวเดียวกันนั่นเอง
สำหรับรุ่น CrossCountry จะถูกยกตัวถังให้สูงขึ้นเล็กน้อย 30 มิลลิเมตร
เสริมชิ้นส่วนพลาสติกสีดำแบบด้าน บริเวฯชายล่างของเปลือกกันชนหน้า
และหลัง ชายขอบประตูด้านล่างทั้ง 4 บาน เพิ่มราวหลังคา Rack Roof ให้
จากโรงงาน ซึ่งแข็งแรงพอใช้ได้งานได้ รวมทั้งจะเปลี่ยนมาใช้ล้ออัลลอย
ขนาด 7 x 17 นิ้ว ลาย Larenta
ภาพรวมของงานออกแบบยังคงอยู่ภายใต้แนวทาง Scandinavian Design
ที่เน้นความสวยงาม อย่างเรียบง่าย แต่มีเสน่ห์ และมีเอกลักษณ์ อยู่ได้นาน
เหนือกาลเวลา ผสมผสานกับแนวคิดการออกแบบ Design Around You
ซึ่ง Volvo เริ่มทะยอยนำมาใช้กับรถยนต์ของตนในช่วงไม่กี่ปีมานี้

หลังจากทำตลาดมาได้ราวๆ 1 ปีครึ่ง Volvo Cars Thailand จึงนำ V40 T5
มาปรับปรุงสมรรถนะให้แรงขึ้น ด้วยชุดแต่งจากสำนักโมดิฟายคู่บุญอย่าง
Polestar Performance อัพเกรดความแรงจาก 220 เป็น 245 แรงม้า (PS)
ออกขายในชื่อ Volvo V40 T5 R-Limited Polestar เปิดตัวไปเมื่อวันที่
19 พฤศจิกายน 2015 และในงาน Motor Expo 2015 โดยมีจำหน่ายใน
จำนวนจำกัดเพียง 28 คัน ราคา 1,999,000 บาท และมีเพียงสีเดียวนั่นคือ
Ice-White
ความแตกต่างจากรุ่นปกติ เมื่อมองจากภายนอกรถ อยู่ที่ การติดสัญลักษณ์
R-Limited ไว้เหนือซุ้มล้อคู่หน้า ทั้ง 2 ฝั่ง เพิ่มสติกเกอร์คาดข้าง ณ บริเวณ
ชายประตูรถด้านล่าง ชุดฝาครอบกระจกมองข้างสีดำ ล้ออะลูมิเนียม Midir
7.5 x 18 นิ้ว Diamond Cut สีดำมันวาว ขนาด 225/40 R18 นิ้ว และ ชุด
เปลือกกันชนหลัง R-Design สีดำดีไซน์พิเศษพร้อมท่อไอเสียคู่ แค่นั้น

ย่างเข้าสู่ปี 2016 มาได้ไม่ถึง 2 เดือน Volvo Cars Thailand ก็เสริมรุ่นย่อย
ใหม่ล่าสุดให้กับ V40 อีกครั้ง ในชื่อว่า Volvo V40 Cross Country D4 เริ่ม
ออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2016 ที่ผ่านมานี่เอง
V40 Cross Country D4 ถือเป็นครั้งแรกของการติดตั้งขุมพลัง Diesel Turbo
พร้อมเทคโนโลยีหัวฉีด i-Art ลงใน V40 รุ่นปัจจุบัน เวอร์ชันสำหรับตลาด
ประเทศไทย โดยเชื่อมต่อเข้ากับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
ความแตกต่างจาก V400 Cross Country T5 หากมองจากถายนอก บอกเลย
ว่า มีเพียงแค่สัญลักษณ์ “D4” แปะไว้ที่ฝั่งขวาล่าง ของฝาประตูห้องเก็บของ
ด้านหลังรถ เท่านั้น ที่เหลือ แทบจะหาความแตกต่างไม่ได้เลย ไม่เว้นแม้แต่
ล้ออัลลอยลาย Larenta ขนาด 7 x 17 นิ้ว
หรือถ้าเป็นคนช่างสังเกตจริงๆ คุณจะพบว่า รุ่น D4 คันที่ผมนำมาลองขับนี้
มีสีตัวถังใหม่ล่าสุด คือ เบอร์ 713 Power Blue Metallic ซึ่งถูกนำมาใช้เป็น
ครั้งแรกใน Volvo รุ่นนี้
…เดี๋ยวนะ…ตอนตั้งชื่อสีรถเนี่ย ไปนัดแนะอะไรกับ Isuzu เขาก่อนหรือเปล่า?
เพราะแค่กลับคำว่า Power Blue เป็น Blue Power เราก็จะได้ Sub-name ใหม่
ล่าสุดของรถกระบะ D-Max 1.9 ลิตร ทันที!!!

กุญแจของ V40 ทั้ง 4 รุ่นย่อย ยังคงเป็นกุญแจรีโมทคอนโทรล Keyless
Smart Entry PCC (Personal Car Communicator) พร้อมระบบกันขโมย
Immobilizer จากโรงงาน หน้าตาแบบเดียวกับใน Volvo รุ่นใหม่ๆ แทบ
ทุกรุ่นในช่วง 5 ปี ให้หลังมานี้
การเปิดประตูรถ ก็เหมือนกับกุญแจ Smart Key ในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ทั่วไป
เพียงแค่ พกรีโมท PCC ไว้กับตัว ทันทีที่ดึงมือจับประตู รถจะปลดล็อคให้
โดยอัตโนมัติ และถ้าจะล็อครถ ก็แค่ แตะสัมผัสหลุมบนมือจับเปิดประตู
ฝั่งไหนก็ได้ ระบบจะสั่งล็อคหรือปลดล็อคบานประตู และฝากระโปรงหลัง
โดยกดปุ่มเพียงครั้งเดียว แถมยังสามารถเข้าเมนู ไปตั้งค่าส่วนตัวเพื่อสั่งให้
ปลดล็อคประตูด้านคนขับก่อน หรือให้ ปลดล็อคประตูทุกบานพร้อมกันได้
นอกจากนี้ ยังสามารถสั่งเปิด – ปิดกระจก หน้าต่างทุกบาน เพียงแค่กดปุ่ม
ล็อก หรือปลดล็อก ค้างไว้ 2 วินาที และสั่งปลดล็อคฝากระโปรงหลัง แยก
ต่างหากได้ แถมยังตั้งค่าในเมนูของรถ ให้ประตูทุกบานสั่งล็อคได้อัตโนมัติ
เมื่อออกรถไปได้สัก 5 วินาที และผู้ขับขี่สามารถล็อคประตูทันทีได้เอง โดย
กดปุ่มล็อกข้างมือจับประตูภายใน
แต่ความแตกต่างจากรถยนต์ทั่วไปนั้น อยู่ที่ว่า หากคุณกำลังเดินช้อปปิง
หรือเดินไปทำงาน แล้วไม่แน่ใจว่าล็อครถหรือยัง ให้กดปุ่ม i บน รีโมท
PCC ไฟสัญญาณก็จะวิ่งวนๆรอบๆ PCC ถ้าล็อกรถแล้ว ก็จะขึ้นไฟเขียว
ที่รูป กุญแจล็อก แต่ถ้ายังไม่ได้ล็อก ก็จะขึ้นไฟสัญญาณเตือนที่รูปกุญแจ
ปลดล็อก เมื่อเดินกลับมาที่รถ ภายในรัศมี 60 ถึง 100 เมตร คุณสามารถ
กดปุ่ม i แสดงข้อมูล ของ PCC เพื่อดูรายงานล่าสุดเกี่ยวกับสถานะการ
ล็อคและการส่งสัญญาณเตือน
ระบบ PCC ยังมีสัญญาณกันขโมยควบคุมด้วย PCC เชื่อมต่อกับประตู
ฝากระโปรงทุกบาน สัญญาณนี้จะร้องลั่น เมื่อมีการเคลื่อนไหวภายในรถ
หรือมีการทุบกระจก หากตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่นเมื่อ มีคนมารอ
ที่รถ และพร้อมจะทำร้าย ให้กดปุ่มฉุกเฉินบน PCC รถจะร้องขึ้นมา เพื่อ
ส่งสัญญาณร้องขอความช่วยเหลือได้ เมื่อดับเครื่องยนต์ ไฟหน้าจะสว่าง
ค้างไว้ เพื่อนำทางเข้าบ้าน ทั้งนี้ ไม่มีไฟส่องสว่างใต้กระจกมองข้างมาให้

เมื่อเปิดประตูคู่หน้า ในยามค่ำคืน จะพบหลอดไฟขนาดเล็ก ใต้กระจกมองข้าง
เพื่อส่องพื้นที่บริเวณซึ่ง ผู้ขับขี่หรือผู้โดยสาร จะก้าวลงไปนั่ง หรือลุกออกจาก
ตัวรถให้สว่างขึ้น (Puddle Lights in side Mirrors)
การลุกเข้า – ออกจากเบาะนั่งคู่หน้า ต้องใช้ความระมัดระวัง มากกว่า Volvo
รุ่นอื่นๆ เพราะเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar นั้น ค่อนข้างลาดต่ำ ใครที่ไม่ระวัง
ไม่รอบคอบ หากหย่อนก้นลงไปนั่งสุ่มสี่สุ่มห้า โดยไม่ได้ปรับเบาะคู่หน้าลง
ไปให้กดต่ำสุดๆ หัวของคุณอาจโขกโปีก เข้าที่เสากรอบประตู เต็มเหนี่ยว
อย่างที่ผม เคยโดนมาแล้ว..(เจ็บโคตรๆ) กึงกระนั้น ต่อให้ปรับเบาะนั่งกดลง
จนต่ำสุด ผมก็ยังเจอปัญหา หัวโขกกับเสากรอบประตูอยู่ดี!
ถึงแม้ C30 จะเคยก่อให้เกิดอาการคล้ายกันนี้มาบ้าง แต่ผมมองว่า ด้วย
ขนาดของบานประตูที่กว้างกว่า ผมจึงมีปัญหาเรื่องหัวโขกประตู น้อย
กว่า V40 พอสมควร
การออกแบบตัวรถให้เตี้ย ทำให้การลุกเข้า – ออก อาจยากลำบากสักหน่อย
สำหรับผู้สูงอายุ แต่ในรุ่น Cross Country ซึ่งมีระยะห่างจากพื้นถนน เพิ่ม
จาก V40 รุ่นปกติ เล็กน้อย ก็พอจะช่วยให้ผู้สูงอายุ ลุกเข้า – ออก ได้ดีขึ้น
นิดนึง แต่ไม่มากนัก
พูดกันตรงๆ นี่คือ Volvo ที่ ผมมีปัญหากับการเข้าไปนั่ง และลุกออกมา
จากตัวรถ มากที่สุด เท่าที่เคยเจอ ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา ต่อให้เป็นรุ่น
Cross Country ก็แทบไม่ได้มีความแตกต่างมากมายเลย ผมอาจออกแรง
ลุกออกมาจากรถน้อยลง แต่ การเข้าไปนั่ง ในแต่ละครั้ง ทำให้ขาขวา
ของผม มักเกิดอาการเส้นตึง ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดตะคริวกินตามมาได้
เป็นรถยนต์นั่ง ที่มีการเข้า – ออก จากตำแหน่งเบาะคู่หน้า แย่ที่สุด รุ่นหนึ่ง
เท่าที่ผมเคยเจอมาตลอด 15 ปีที่ทำรีวิวรถยนต์ เลยทีเดียว!
บานประตูคู่หน้า ออกแบบให้มีพื้นที่วางแขน ซึ่งแม้ว่าจะมีตำแหน่งวางแขน
ที่พอเหมาะแล้ว ทว่าขนาดของมันค่อนข้างเล็กแคบกว่าปกติไปสักหน่อย แต่
ถ้าใช้งานเพื่อวางแขนตามปกติ ก็ยังพือว่า วางแขนได้จริงอยู่
แผงประตู มีช่องใส่ของจุกจิกมาให้ รวมทั้งช่องวางกระป๋องน้ำอัดลม ใส่ขวด
น้ำดื่มขนาด 7 บาท ได้พอดี ฝั่งละ 1 ตำแหน่ง

ภายในห้องโดยสารของ V40 T5 และ T5 R-Limited ตกแต่งด้วยโทนสีดำเข้ม
Charcoal Solid ขณะที่ V40 Cross Country ทั้ง T5 และ D4 จะตกแต่งด้วย
หนังสีดำ Charcoal ตัดสลับด้วยสีน้ำตาล Hazel Brown Solid ส่วนเบาะนั่งทุก
ตำแหน่ง หุ้มด้วยวัสดุหนังที่ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ ได้รับการรับรองจาก Oeko-Tex
Standard 100 ปราศจากโครเมียม เป็นไปตามโครงการพัฒนาห้องโดยสารที่
สะอาดปลอดภัยของ Volvo ซึ่งได้รับการยอมรับจากสมาคมโรคหอบหืดและ
ภูมิแพ้ของสวีเดน!…
(…ห้ะ?…)
ถ้าเข้าไปนั่งใน V40 แล้วรู้สึกอึดอัด ไม่ต่างจาก การเข้าไปนั่งใน Ford Focus
รุ่นล่าสุด ไม่ต้องแปลกใจครับ มันไม่ได้มาจากพื้นที่ในการนั่งโดยสารหรอก แต่
อยู่ที่ เสาหลังคาคู่หน้า ลาดต่ำ จนต้องทำกระจกหน้าต่างรอบคัน ให้เล็ก ตีบตัน
กว่า Volvo รุ่นอื่นๆ (ยกเว้น P1800) พอสมควร เพื่อให้เส้นสายของตัวรถ มัน
ต่อเนื่องกันเป็นหนึ่งเดียว นั่นเอง ส่งผลมาถึงตำแหน่งแผงบังแดดที่อยู่ใกล้กับ
สายตาของผู้ขับขี่มากไปหน่อย จนก่อความอึดอัดให้กับบางคนได้
เบาะนั่งคู่หน้า ของ V40 ออกแบบในสไตล์ สปอร์ต มีรูปทรง คล้ายกับเบาะ
ของ S60 มากๆ ต่างกันแค่ลายตะเข็บและฝีเย็บบริเวณปีกด้านข้าง และแผง
พลาสติกบริเวณฐานรองเบาะ มีมือหมุนปรับดันหลัง รวมทั้งสวิตช์ไฟฟ้าเพื่อ
ปรับเอน หรือเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง ครบทั้งฝั่งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
พนักพิงหลัง ออกแบบให้มีการรองรับสีข้างของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร พอกันกับ
เบาะของ S60 1.6 DRIVe แต่ถ้ายังไม่พอใจ ก็มีมือหมุนปรับตำแหน่งดัน
แผ่นหลัง มาให้บริเวณด้านข้างของพนักพิงคู่หน้า ถือว่า พนักพิง ไม่นุ่มนิ่ม แต่
ก็ไม่แข็งเป็นไม้กระดาน อยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างแข็งนิดๆ กำลังดี
พนักศีรษะ เหมือนกันกับ S60 / V60 คือมีฟองน้ำแน่น แต่บาง ดันศีรษะใน
ระดับกำลังดี ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป ส่วนเบาะรองนั่ง ก็มีความยาว
เหมาะสม กับช่วงขารองรับได้กำลังดี ด้านหลังของพนักพิงเบาะคู่หน้า มี
ช่องตาข่ายใส่หนังสือมาให้ ทั้ง 2 ฝั่ง
เบาะคู่หน้า ปรับตำแหน่งด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ทั้งหมด โดยฝั่งคนขับ จะติดตั้ง
หน่วยความจำตำแหน่งเบาะคนขับ มีมาให้ 3 ตำแหน่ง แต่ฝั่งผู้โดยสารด้าน
ซ้าย จะไม่มีมาให้
เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบ ELR 3 จุด Pretensioner & Load Limiter ช่วย
ลดแรงปะทะ และดึงกลับอัตโนมัติ สามารถปรับระดับสูง – ต่ำ ได้ เหมือนใน
S60 / V60 ใหม่ เสียที

ส่วนการเข้า – ออกจากตัวรถ ผ่านบานประตูคู่หลังนั้น ค่อนข้างอัตคัต คับแคบ
เป็นอย่างมาก ช่องทางเข้า – ออก มีขนาดเล็กเกินไป ถ้าคุณเป็นผู้หญิงตัวเล็ก
อย่างคุณแม่ของผม อาจไม่มีปัญหาในเรื่องนี้เลย แต่ถ้าคุณเป็นผู้ชาย ตัวใหญ่
ระดับตาแพน Commander CHENG อาจต้องใช้ความพยายามในการลุกเข้า
และออกมาจากรถ ในระดับที่มนุษย์ ใช้ความพยายามในการยัดแพนด้าเข้ากรง!
บานประตูคู่หลัง มีสวิชต์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า แบบ One-Touch กดสวิชต์ หรือ
ยกสวิชต์ ขึ้นเพียงครั้งเดียว มาให้ ทั้ง 2 ฝั่ง เหมือนกระจกหน้าต่างบานประตู
คู่หน้า อย่างไรก็ตาม กระจกหน้าต่างคู่หลัง ไม่สามารถเลื่อนลงไปจนสุดขอบ
หน้าต่างของบานประตูได้เลย เลื่อนลงมาได้แค่ระดับที่เห็นในรูปข้างบนนี้
เท่านั้น!
แผงประตูด้านข้าง มีพื้นที่วางแขน ลักษณะเดียวกับแผงประตูคู่หน้า คือวางแขน
ได้ในตำแหน่งที่เหมาะสม แต่พื้นที่วางแขน น้อยไปนิดนึง แม้แต่คนตัวผอมยัง
แอบมีบ่น ให้ได้ยิน ส่วนช่องวางของด้านข้างแผงประตู ก็วางได้แค่กระป๋องน้ำ
อัดลมเป็นหลัก

เบานั่งด้านหลัง มีพนักศีรษะที่มาในแนวเดียวกับเบาะหน้า คือฟองน้ำบาง และ
ตื้น แต่มีความนุ่มให้สัมผัสอยู่บ้าง พนักพิงหลัง มีพื้นที่โอบไหล่จนถึงลำตัวของ
ผู้โดยสารได้ดี ส่วนพนักพิงหลังนั้น แน่น เหมือนจะแข็ง แต่พอมีความนุ่มให้เจอ
นิดหน่อย
พนักศีรษะ ไม่ดันกบาลนัก แน่นแต่แอบนุ่มเล็กๆ แบบเดียวกับ พนักศีรษะเบาะ
คู่หน้า สามารถกดปุ่มจากแผงคอนโซลกลาง เพื่อพับหักคอลงมาได้ ลดการ
บดบังทัศนวิสัยขณะถอยเข้าจอด ในยามที่ไม่มีผู้โดยสารด้านหลังได้ดี
เบาะรองนั่ง แน่น กำลังดี มีความยาวพอดีๆ รองรับช่วงต้นขา ไปจนเกือบจะถึง
ข้อพับของผม ได้อย่างสบายๆ ถือว่าเป็นเบาะรองนั่งของเบาหลังที่ดีใช้ได้ แต่
ถ้ายาวกว่านี้ได้อีกนิด ก็คงดี
พนักวางแขน ดึงลงมาได้ วางแขนและข้อศอกได้ในตำแหน่งที่พอจะให้ความ
สบายได้อยู่ ส่วนช่องวางแก้ว 2 ตำแหน่ง ถูกซ่อนไว้ อย่างชาญฉลาด ที่เบาะ
รองนั่งตรงกลาง การใช้งาน เพียงแค่ ดึงตัวปลดล็อกออก ฝาเบาะหุ้มด้วยหนัง
จะเปิดกางออกมา ให้ใช้งานได้สบายๆ โดยไม่ทำให้นั่งสบายน้อยลง แถมยัง
สามารถพับเก็บกลับไปเป็นเบาะรองนั่งสำหรับผู้โดยสารตรงกลางได้ตามเดิม
หากไม่ได้ใช้งาน
พื้นที่เหนือศีรษะ บอกได้เลยว่า น้อย ต้องทำใจในจุดนี้ หากคุณตัวสูงไม่เกิน
170 เซ็นติเมตร คุณจะมีพื้นที่เหนือศีรษะ เหลือราวๆ 1 กำปั้นแน่ๆ แต่ถ้าสูง
เกินกว่านั้น โอกาสที่หัวจะชนเพดานก็จะมีสูง ส่วนมือจับ “ศาสดา” สำหรับ
ยึดเหนี่ยวจิตใจ มีมาให้ครบ เหนือช่องทางเข้า – ออก ของประตูทั้ง 4 บาน
ส่วนพื้นที่วางขา ต่อให้ผม ปรับเบาะนั่งด้านหน้า ในตำแหน่งที่ผมขับสบาย
พอย้ายมานั่งด้านหลัง ก็ยังมีพื้นที่วางขา เหลือในระดับเท่ากันกับ Mazda 3
ทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ คือเหลือราวๆ 1 ฝ่ามือขึ้นไป ได้อยู่ เพียงแต่ว่า คุณอาจ
รู้สึกอึดอัด จากสิ่งที่สายตาคุณมองเห็น น้องเติ้ง สมาชิก The Coup Team
ของเรา ถึงกับบ่นเลยว่า “ย้ายไปนั่งบนเบาะหลัง Mazda 2 ใหม่ ยังสบาย
มากกว่า!
เข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง เป็นแบบ ELR 3 จุด มาให้ครบทั้ง
3 ตำแหน่ง พร้อมทั้งจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก มาตรฐาน ISOFIX ติดตั้ง
ที่ ฐานด้านล่างของพนักพิงหลังทั้งฝั่งซ้ายและขวา
ด้านข้างเบาะรองนั่ง ทั้ง 2 ฝั่ง ใกล้กับบานประตู มีถาดวางของจุกจิกขนาดเล็ก
2 ระดับ สำหรับวางสิ่งของจุกจิกได้เล็กน้อย เป็นสิ่งที่เรามักไม่ค่อยได้พบเห็น
ในบรรดารถยนต์รุ่นใหม่ๆบ่อยครั้งนัก ราวกับว่าจะใช้ช่องวางของนี้ ถมพื้นที่
ด้านข้างเบาะให้เต็ม แค่นั้น
