ขั้นตอนการพับคือ ควรดึงคันโยกปลดล็อกพับพนักศีรษะลงมาก่อน จากนั้น
ค่อยดึงคันโยกปลดล้อกพนักพิงหลัง เพื่อพับเบาะลงมาให้แบนราบต่อเนื่อง
เป็นแนวเดียวกับพื้นห้องเก็บของด้านหลัง และถ้าจะยกเก็บ ก็สามารถทำได้
ด้วยการยกพนักพิงหลัง ดันกลับขึ้นไปในตำแหน่งเดิมจนเข้าล็อกของมัน

ฝาประตูห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ของ V40 ใหม่ ทุกรุ่นย่อย เปิดขึ้นได้ด้วย
สวิตช์ไฟฟ้า บริเวณมือจับสีดำ ตรงกลาง ค้ำยันด้วยช็อกอัพไฮโดรลิค 2 ต้นทั้ง
ซ้าย – ขวา มีการบุผนังด้านในด้วยพลาสติกสีดำ ที่ออกแบบขึ้นรูปให้เป็นไป
ในทิศทางเดียวกับห้องโดยสาร
ทุกรุ่นจะมีแผงบังสัมภาระด้านหลัง แถมมาให้ ถ้าไม่ต้องการใช้งาน ก็แค่ปลด
เชือกออกจากห่วง ด้านข้างกระจกบังลมหลัง ทั้ง 2 ฝั่ง แล้วถอดออกจากจุดยึด
เก็บไว้บ้านได้เลย แต่ถ้าจะใส่กลับไปใช้งานอีกครั้ง ก็ทำย้อนขั้นตอนข้างบน
ขึ้นไปอีกครั้ง
นอกจากนี้ ทุกรุ่นยังติดตั้ง ใบปัดน้ำฝน พร้อมตัวฉีดน้ำล้างกระจกบังลมหลัง
ลวดไล่ฝ้าแบบไฟฟ้า ท่อไอเสียของแทบทุกรุ่น จะเป็นแบบ ท่อคู่ มีแผงทับทิม
สะท้อนแสงบริเวณเปลือกกันชนหลัง ขนาบข้างช่องใส่ป้ายทะเบียนหลัง

ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ของทั้ง V40 T5 และ V40 Cross Country T5
มีขนาดเท่ากัน พอดีเป๊ะ ด้วยความกว้าง 960 มิลลิเมตร ลึก 780 มิลลิเมตร
ขนาดความจุ 335 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA เยอรมัน ซึ่งดูเหมือนว่าน้อย
แต่ถ้าให้เทียบกับรถยนต์ในระดับเดียวกัน ก็ไม่ได้ต่างไปจากนี้มากนัก หาก
พับเบาะแถว 2 ลงไปจนเรียบ ทั้ง 2 ฝั่ง พื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง จะเพิ่ม
ขึ้นไปถึง 1,032 ลิตร จากความลึกที่เพิ่มขึ้น เป็น 1,670 มิลลิเมตร
หน้าตาของห้องเก็บสัมภาระด้านหลังของทั้ง 2 รุ่น เหมือนกันเปี๊ยบ พื้นที่
ถือว่า มีขนาดกว้างขวางพอประมาณ ไม่เล็กแต่ไม่ใหญ่ ใส่กระเป๋าเดินทาง
ชนาดใหญ่ ได้ 2 ใบสบายๆ พื้นห้องเก็บของ สามารถยกขึ้นมาได้อย่างใน
ภาพข้างบนนี้ แถมยังมีฝาปิดพื้นที่เก็บยางอะไหล่ และเครื่องมือประจำรถ
รวมทั้งแม่แรงยกรถมาให้ในกรณีฉุกเฉิน

แผงหน้าปัด ถูกออกแบบขึ้น ราวกับรู้ใจผมดีว่า เกลียดช่องแอร์แบบที่
เคยพบใน S60 / V60 อย่างมาก คราวนี้ ทีมออกแบบของ Volvo
เลยจับช่องแอร์ มารวบเข้าไว้ด้วยกัน แล้วติดตั้งในตำแหน่งที่ควรเป็น
กันเสียที คือ อยู่ใต้จอมอนิเตอร์สีขนาด 7 นิ้ว สำหรับควบคุมระบบ
SENSUS
แผงควบคุมตรงกลาง ในรุ่น V40 T5 เป็นโทนสีขาว เล่นลวดลาย
Graphic ด้วยเส้นสีแดง สลับสีเงิน แบบ Center Court
แต่ในรุ่น Cross Country T5 จะตกแต่งแผงควบคุม ด้วยสีน้ำตาล
Copper Dawn ที่มีพื้นผิวสากๆ ให้สัมผัสของรถยนต์ Premium มาก
ยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ประกับด้านข้างด้วยลายโครเมียม นอกจากนี้ V40 รุ่น
Cross Country ยังพิเศษกว่ารุ่นมาตรฐาน ด้วยการประดับแผง Trim
สีเงิน สลักคำว่า Cross Country ติดตั้งเหนือช่องเก็บของ Glove
Compartment ฝั่งผู้โดยสารด้านซ้าย อีกด้วย
มีการใช้แถบโครเมียม ประดับบริเวณรอบช่องแอร์ทั้ง 2 ฝั่ง ซ้าย – ขวา
รอบแผงควบคุมกลาง รอบฐานรองคันเกียร์ ก้านพวงมาลัย และมือจับ
เปิดประตูทั้ง 4 บาน
มองขึ้นไปด้านบนเพดานหลังคา แผงบังแดด ทั้งฝั่งซ้าย – ขวา มีทั้ง
กระจกแต่งหน้า และไฟส่องสว่าง พร้อมฝาผิด มาให้ ครบถ้วน กระนั้น
แผงค่อนข้างแข็ง และยังไม่สามารถ เลื่อนเพิ่มพื้นที่บังแสงแดดได้
ส่วนไฟส่องสว่างในห้องโดยสารและไฟอ่านแผนที่ คราวนี้ใช้หลอด
LED สีขาวนวล มีขนาดเล็กกว่าดิม ให้บรรยากาศในห้องโดยสารที่ดู
ละมุนตาในยามค่ำคืนมากกว่าเดิม แต่ความสว่าง ยังไม่มากพอสำหรับ
การถ่ายทำคลิป The Clip! Check Check Out ในตอนกลางคืน
เอาเสียเลย แถมคราวนี้ สวิชต์ ก็ยังเล็ก จนผมต้องใช้มือคลำขึ้นไปเมื่อ
จะเปิดใช้งาน ยังไม่ค่อยสะดวกนัก ด้านบนของไฟส่องสว่าง กลาง
ผู้โดยสารด้านหลัง มีไฟเตือนให้คาดเข็มขัดนิรภัย ฝังมาให้
กระจกมองหลัง เป็นแบบตัดแสงอัตโนมัติ ออกแบบมาในสไตล์
Frameless ไร้กรอบ ดูสวยงามร่วมสมัย และไม่มีส่วนแหลมคม
ที่จะทำอันตรายผู้โดยสารขณะเกิดอุบัติเหตุ

จากบานประตูคนขับฝั่งขวา ไปทางซ้าย
สวิชต์ กระจกมองข้างปรับได้ด้วยไฟฟ้า หากต้องการพับกระจก ก็ใช้วิธีการ
เหมือน Volvo รุ่นอื่นๆ คือ ต้องกดปุ่ม L R พร้อมกันทั้ง 2 ปุ่ม กระจกจะพับ
เก็บเอง ถ้าต้องการกางออกเพื่อใช้งาน ก็กดปุ่ม L กับ R พร้อมกัน ซ้ำอีกครั้ง
สามารถตั้งค่าได้ใผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ SENSUS
สวิชต์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า ทั้ง 4 บาน เป็นแบบ One Touch กดเพื่อเลื่อนลง
หรือดึงขึ้น เพื่อเลื่อนขึ้น อัตโนมัติ เพียงครั้งเดียว มีระบบ Jam-Protection
ป้องกันการบาดเจ็บจากการโดนกระจกหนีบ ครบทุกบาน
ใต้ช่องแอร์ฝั่งขวามือของคนขับ เป็นสวิชต์ เปิดปิดไฟหน้า แบบธรรมดา แบบ
ติดสว่างเองเมื่อสภาพแสงภายนอกตัวรถเริ่มน้อยลง (ไฟหน้า Auto) รวมไปถึง
ไฟตัดหมอก และสวิตช์ปรับระดับความสว่างของไฟเรืองแสงมาตรวัด ติดตั้งใน
ตำแหน่งเดียวกับรถยนต์จากยุโรปทั่วๆไป
V40 ทุกรุ่นย่อย ติดตั้ง ไฟหน้าแบบ Xenon ปรับมุมองศาการหักเห ตามการเลี้ยว
ของพวงมาลัย Adaptive Bending Light พร้อมระบบปรับระดับ ขึ้น ลง อัตโนมัติ
มาให้ เพื่อช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ทางไกล และการเข้าโค้ง ยามค่ำคืน เห็น
ได้ชัดเจนขึ้น
บนคอพวงมาลัย ก้านสวิตช์ฝั่งขวา ควบคุมระบบใบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ พร้อมชุด
ฉีดน้ำล้างไฟหน้าและกระจกบังลมหน้า ทำงานพร้อมๆกัน รวมทั้งใบปัดน้ำฝน
และชุดฉีดน้ำล้างกระจกบังลมด้านหลัง ส่วนก้านสวิตช์ฝั่งซ้าย ควบคุมไฟเลี้ยว
ไฟสูง ระบบไฟสูงตัดลำแสงอัตโนมัติเมื่อมีรถแล่นสวนทางมา และชุดสวิตช์
ควบคุมการแสดงข้อมูลบนชุดมาตรวัด Multi-Information System ไว้ใช้เลือก
เปลี่ยนโหมดหน้าจอของมาตรวัด หรือเปลี่ยน Theme การแสดงผล Set ตั้งค่า
Trip Meter ฯลฯ
พวงมาลัยแบบสามก้าน หุ้มหนัง และประดับด้วยโครเมียม ปรับระดับสูง – ต่ำ
และใกล้ – ไกลได้มาก ยกชุดมาจาก S60 – V60 ทั้งดุ้น แต่มีความแตกต่างกันตรง
แผงสวิตช์บนก้านพวงมาลัยฝั่งซ้าย เป็นระบบล็อกความเร็วคงที่ Cruise Control
แบบมาตรฐาน (ไม่ใช่ระบบ Redar Cruise Control) ส่วนบนก้านพวงมาลัยฝั่ง
ซ้าย ติดตั้งชุดสวิตช์ควบคุมชุดเครื่องเสียง เป็นหลัก
การติดเครื่องยนต์ หากพก รีโมท PCC ไว้กับตัวอยู่แล้ว ก็เหยียบเบรกกดปุ่ม Start
ถ้าไม่รู้จะพกกุญแจไว้ที่ไหน ก็เสียบไว้ใส่ช่องใต้ปุ่ม Push Start นั่นละ ทั้งหมดนี้
ยกชุดมาจาก S60 – V60 – XC60 ทั้งดุ้น

ชุดมาตรวัดของ V40 ถือว่า เป็นการยกเครื่องงานออกแบบมาตรวัดความเร็ว
ของ Volvo ครั้งแรกในรอบ 10 กว่าปี ถูกติดตั้งใน V40 เป็นรุ่นแรก ก่อนจะ
ทะยอยติดตั้งไปยัง Volvo ทุกรุ่น ตั้งแต่ปี 2013 – ปัจจุบัน มาตรวัดชุดนี้ เป็น
ผลงานของ นักออกแบบ Volvo ที่ชื่อ Matthew Easton
Easton เล่าว่า ชุดมาตรวัดนี้ สร้างขึ้นจากองค์ความรู้เชิงลึกที่ Volvo สั่งสม
มาจากทั้งการทดสอบ และการวิจัยจากลูกค้า ส่วนแรงบันดาลใจในการสร้าง
ชุดมาตรวัดแบบนี้ มาจากการได้เข้าร่วม ในงานพัฒนารถยนต์ต้นแบบ S60
Concept ช่วงก่อนหน้านี้ โดยยึดพื้นฐานจากรูปทรงเรขาคณิต วงรี จากนั้น
ก็นำแรงบันดาลใจจากความชื่นชอบส่วนตัวในด้าน งานออกแบบตามสไตล์
Scandinavian Design , Solar Eclipse (สุริยุปราคา) และ Jellyfish (หรือ
แมงกระพรุน…!)
“ผมต้องการสร้างงานออกแบบที่ ดูสะอาดตา และเรียบง่าย (Clean & Simple
Design) โดยใช้การแสดงผล Graphic แบบละเอียด Theme ของมาตรวัดทั้ง
3 แบบ ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของผู้ขับขี่ ตามสภาพการณ์ที่
แตกต่างกัน”
ชุดมาตรวัดของ V40 ใช้จอ TFT (Thin Film Transistor) แสดงผลด้วย
ภาพGraphic สวยงาม แบ่งช่องแสดงผลไว้ 5 ช่อง ฝั่งซ้ายสุดเป็นมาตรวัด
น้ำมันเชื้อเพลิง ขวาสุด เป็นไฟบอกตำแหน่งเกียร์ ทุกแบบ จะ มีสัญลักษณ์
แสดงระบบแจ้งเตือนป้ายจราจร (Road Sign Information) ผู้ขับขี่สามารถ
เลือกรูปแบบในการแสดงข้อมูลได้ถึง 3 แบบ
Elegance
พื้นหลังจะเป็นสีกาแฟนม มาตรวัดความเร็วจะเป็นวงกลมตรงกลางเหมือน
กับโหมด Eco แสดงความเร็วรถแบบเข็มชี้ ในรูปแบบฟอนท์ตัวเลขดั้งเดิม
ของ Volvo แต่ถูกออกแบบ จัดวางให้อ่านง่าย รวมทั้งแสดงข้อมูลหรือแจ้ง
เตือนระบบต่างๆ เป็นภาพ Graphic และถูกขนาบข้างด้วยมาตรวัดอุณหภูมิ
น้ำหล่อเย็นทางฝั่งซ้าย กับแถบมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ แบบเลื่อนขึ้นลง
ทางฝั่งขวา
Eco
พื้นหลังจะถูกเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อนๆ หน้าจอแสดงผลจะคล้ายๆกับแบบ
Elegance โดยมาตรวัด Eco จะอยู่ด้านซ้ายมือ แสดงการใช้เชื้อเพลิงใน
ขณะนั้น (แบบ Real Time) และปริมาณการใช้เชื้อเพลิงสะสม
ส่วนแถบมาตรวัดด้านซ้าย จะเปลี่ยนการแสดงผลจากมาตรวัดอุณหภูมิ
น้ำหล่อเย็นไปเป็น แถบ Eco Guide วัดความเร็วรถ ความเร็วรอบเครื่อง
ตำแหน่งวาล์วลิ้นปีกผีเสื้อ (Throttle) และการเบรก เพื่อคำนวนข้อมูล
ร่วมกัน แล้วแนะนำแนวทางให้ผู้ขับ ขับขี่ประหยัดมากยิ่งขึ้น โดยมีกราฟ
แบบเส้นแสดงว่าประหยัดน้ำมัน รวมทั้งมีการคำนวณอัตราการใช้น้ำมัน
เฉลี่ยใน 2-3 นาทีที่ผ่านมา แสดงเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนเมื่ออัตรา
การประหยัดเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น ยิ่งสัญลักษณ์ดังกล่าวอยู่ใกล้ด้านบนมาก
เท่าไร ไฟเครื่องหมาย e จะสว่าง แสดงว่าคุณขับประหยัดมาก และถ้าเรา
ขับรถจนประหยัด ถึงเกณฑ์แล้ว มาตรวัดก็จะแสดงสัญลักษณ์รางวัลให้
ผู้ขับขี่อีกด้วย
นี่มันเป็นลูกเล่นเดียวกับรถยนต์ Hybrid ฝั่งญี่ปุ่น เลยนี่หว่า!
Performance
หน้าปัดจะเปลี่ยนสีเป็นโทนสีแดงเพื่อให้อารมณ์สปอร์ต มาตรวัดตรงกลาง
จะเปลี่ยนเป็น แถบมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ ขณะเดียวกัน มาตรวัดความเร็ว
ของรถจะเปลี่ยนมาแสดงผล เป็นตัวเลข Digital ขนาดใหญ่ตรงกลางแทน
แถบด้านขวาเป็น มาตรวัด Power Guide ที่บอกให้ผู้ขับทราบว่า ในแต่ละ
วินาที พละกำลังถูกเรียกมาใช้เท่าไหร่ แถบสีเหลือง แสดงให้ผู้ขับขี่รับรู้ว่า
ตนเองกำลังเหยียบคันเร่งไฟฟ้า ลงไปมากน้อยแค่ไหน
ส่วนแถบฝั่งซ้ายจะเป็น มาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็น ซึ่งเมื่อกดปุ่มระบบ
ล็อกความเร็วรถ Cruise Control แถบดังกล่าว จะเปลี่ยนเป็นแถบแสดง
ระดับความเร็วที่ผู้ขับขี่ต้องการให้ล็อกไว้ ขับไปสักพัก จึงจะเปลี่ยนกลับ
มาแสดงผลเป็นแถบมาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นดังเดิม
การเรียกดูข้อมูลจากหน้าจอ ควบคุมจากปุ่มบนก้านสวิตช์ไฟเลี้ยวฝั่งขวา
ของคอพวงมาลัย ปุ่ม Menu ไว้เลือกหน้าจอ สวิตช์หมุนเลื่อน ไว้เลือกใน
สิ่งที่เราต้องการ ปุ่ม OK บนหัวก้านไฟเลี้ยว ใช้ยืนยันการเลือกของเรา แต่
ถ้าจะถอยกลับมายังเมนูก่อนหน้า กดปุ่ม Back ที่อยู่ด้านในสุดของตัวก้าน

ชุดเครื่องเสียง เป็นแบบ 4 x 40W. High Performance Audio System
มีวิทยุ AM/FM เครื่องเล่น CD ช่องเสียบ AUX, USB และ iPod พร้อม
ลำโพง 8 ตัว มาให้ หากเป็นรุ่น S เครื่องเล่น CD จะเล่นแผ่น DVD ได้
รวมทั้ง จอมอนิเตอร์สี จะเพิ่มขนาดจาก 5 นิ้ว เป็น 7 นิ้ว
คุณภาพเสียง อยู่ในขั้นเทพอันดับต้นๆ ตามมาตรฐานของ ชุดเครื่องเสียง
Volvo แบบ High Performance ที่ดีเยี่ยม เหมือนเช่นเคย

กล่องเก็บของข้างลำตัวผู้ขับขี่กับผู้โดยสารตอนหน้า ด้านบน เป็นที่วางแขน
บุด้วยหนังแบบเดียวกันกับหนังหุ้มเบาะ เลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลังได้ แถมยัง
วางแขนได้พอดีเป๊ะ ในระดับสบายพอใช้ได้
เมื่อเปิดฝาด้านบนออกจะพบกล่องใส่ CD ขนาดแค่พอดีกับกล่อง CD ขนาด
มาตรฐาน ราวๆ 8 กล่อง มีช่องเสียบ USB และช่องปลั๊กเสียบไฟ 12V มาให้
ช่องใส่แก้วน้ำ สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า มีมาให้ 2 ตำแหน่ง แต่ไม่มีไฟส่อง
สว่างมาให้ทว่า ยังคงมีฝาปิดแบบเลื่อน เพื่อความสวยงาม ตามเคย
เสียดายว่า เบรกมือ ยังไม่ย้ายตำแหน่งมาจากฝั่งว้าย

ทัศนวิสัยด้านหน้านั้น ต้องยอมรับว่า การออกแบบให้ด้านหน้ารถลู่ลม จนเสา
หลังคาคู่หน้า A-Pillar ลาดเอียงลงมามากนั้น ทำให้เกิดความึดอัดทางสายตา
เพราะแผงบังแสงแดด จะเลื่อนมาอยู่ใกล้สายตาคนขับมากไป เหมือนเช่นที่
มักพบได้ในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ จำนวนมาก แต่การมองเห็นเส้นทางข้างหน้า
ยังถือว่า ชัดเจนดี

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา แอบมีการบดบังรถยนต์ที่แล่นสวนทางมาจาก
ฝั่งขวา ของทางโค้งขวา บนถนนแบบสวนกันสองเลน อยู่พอสมควร เพราะเสา
หลังคาค่อนข้างหนาพอดู
กระจกมองข้าง มีขนาดเหมาะสมดีแล้ว แต่กรอบพลาสติกด้านในแอบกินพื้นที่
การมองเห็นเข้ามามากพอสมควร

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย แอบบดบังทัศนวิสัย ขณะเลี้ยวกลับรถอยู่บ้าง
ในบางรูปแบบของจุดกลับรถ เช่นบริเวณที่บังด้วยเสาตอม่อรถไฟฟ้า BTS ไม่ว่า
คุณจะปรับเบาะนั่งคนขับไว้อย่างไรก็ตาม
เช่นเดียวกันกับฝั่งขวา กระจกมองข้าง ฝั่งซ้าย มีขนาดที่เหมาะสมแล้ว แต่ยังมี
กรอบพลาสติกที่บดบังมุมมอง กินพื้นที่เข้ามาในบานกระจกเยอะอยู่ ถ้าปรับ
แค่มองเห็นด้านข้างตัวถัง พร้อมมือจับประตู แบบฉิวเฉียด
กระจกมองข้างทั้ง 2 ฝั่ง ยังคงติดตั้งระบบเตือนจุดบอดด้านข้างรถ BLIS (Blind
Spot Information System) เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ทุกคัน แต่คราวนี้ Volvo
ถอดกล้องอินฟาเรดใต้กระกมองข้างออกไป แล้วแทนที่ด้วย เซ็นเซอร์วัดระยะแทน
หลักการทำงานยังคงเหมือน Volvo รุ่นใหม่ๆ ตั้งแต่ปี 2008 คือ เซ็นเซอร์จะจับ
ภาพรถคันที่แล่นตามมาข้างๆ แล้วแจ้งเตือนผู้ขับขี่ด้วยสัญญาณไฟสีอำพัน ที่มุม
กระจกมองข้างด้านในรถ ตามความเป็นจริง ขึ้นอยู่กับว่า จักรยานยนต์ หรือรถ
จะแล่นมาทางฝั่งซ้าย หรือขวา ก็จะมีไฟสัญญาณแจ้งเตือน ที่่กระจกฝั่งนั้นๆ
ระบบนี้จะทำงานเมื่อความเร็วรถมากกว่า 10 กิโลเมตร/ชั่วโมง รวมทั้งมีสวิชต์
ปิด-เปิด ระบบที่แผงควบคุม ด้านล่างใกล้คันเกียร์
การเปลี่ยนมาใช้เซ็นเซอร์ แทรนกล้อง อินฟาเรด มีข้อดีคือ ระบบ BLIS ทำงาน
ได้อย่างเที่ยงตรง แม่นยำขึ้น แทบไม่เหลือ อาการติงต๊อง กระพริบถี่ๆ เหมือน
ที่เคยเกิดขึ้นใน C30 กับ S80 รุ่นก่อนหน้านี้อีกต่อไป แต่จะเกิดการกระพริบ
เฉพาะกรณีมีรถแล่นมาทางด้านข้าง แล้วคุณเปิดไฟเลี้ยว เพื่อดึงดันจะเปลี่ยน
เลนถนน ก่อนจะติดสว่างแช่ยาวๆ เมื่อรถยนต์คันนั้น แล่นขึ้นหน้า หรือชะลอ
ถอยห่างจากรถของคุณ

ส่วนทัศนวิสัยด้านหลังนั้น อาจต้องทำใจสักหน่อย เพราะเสาหลังคาคู่หลัง
D-Pillar ถูกออกแบบให้มีกระจก Opera ในรูปทรงแบบนั้น ซึ่งทำให้การ
บดบังทัศนวิสัยของรถจักรยานยนต์ที่แล่นมาจากด้านหลัง เกิดขึ้นชัดเจน
ยังดีที่ว่า ตำแหน่งพนักศีรษะ ถูกเรียงไว้ในตำแหน่งเดียวกับเสาหลังคา
พอดีๆ ไม่ได้กินพื้นที่ไปยังกระจกบังลมด้านหลังด้วย ทำให้พอจะรู้ว่า
ทีมวิศวกร Volvo เอง ก็คงทำการบ้านในเรื่องนี้มาอย่างดีที่สุดแล้ว

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********
ในตลาดโลก V40 จะมีเครื่องยนต์ให้เลือกทั้งหมดมากถึง 9 แบบ แบ่งเป็น เบนซิน
6 แบบ และ Diesel 3 แบบ เพื่อให้สอดคล้อง และเหมาะสมของผู้บริโภคในแต่ละ
ภูมิภาค รวมทั้งข้อกำหนดทางกฎหมายด้านภาษี และมลพิษ ในแต่ละประเทศ
ขุมพลัง เบนซิน นั้น เริ่มจาก รุ่น T2 วางเครื่องยนต์รหัส B4164T4 บล็อก 4 สูบ
DOHC 16 วาล์ว 1,596 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 79.0 x 81.4 มิลลิเมตร
กำลังอัด 10.0 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบตรงสู่ห้องเผาไหม้ Direct Injection
พร้อม Turbocharger 120 แรงม้า (PS) ที่ 4,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
24.45 กก.-ม.ณ ตั้งแต่ 1,600 – 3,000 รอบ/นาที ต่อเนื่องเป็น Flat Torque
ตามด้วยรุ่น T3 วางขุมพลังรหัส B4164T3 บล็อค 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,596 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 79.0 x 81.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.0 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ
Direct Injection พร้อม Turbocharger 150 แรงม้า (PS) ที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิด
สูงสุด 24.45 กก.-ม.ที่รอบตั้งแต่ 1,600 – 4,000 รอบ/นาที ต่อเนื่องเป็น Flat Torque
รุ่นที่ Volvo คาดหวังยอดขายจากลูกค้าในตลาดโลกมากที่สุด เพราะเป็นขุมพลัง
หลัก คือรุ่น T4 ซึ่งจะวางเครื่องยนต์ รหัส B4164T บล็อค 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
1,596 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 79.0 x 81.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.0 : 1 ฉีดจ่าย
เชื้อเพลิง แบบ Direct Injection พร้อม Turbocharger 180 แรงม้า (PS) ที่ 5,700
รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 24.45 กก.-ม ที่รอบตั้งแต่ 1,600 – 5,000 รอบ/นาที
ต่อเนื่องกัน เป็น Flat Torque
แต่ในบางตลาด รุ่น T4 จะถูกอัพเกรดจากเครื่องยนต์ 4 สูบเดิม มาเป็นขุมพลัง
รหัส B5204T8 บล็อค 5 สูบ DOHC 20 วาล์ว 1,984 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก
81.0 x 77.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.5 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Port Injection
พร้อม Turbocharger 180 แรงม้า (PS) ที่ 5,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 30.57
กก.-ม ที่รอบตั้งแต่ 2,700 – 4,000 รอบ/นาที ต่อเนื่องกันเป็น Flat Torque
ถ้าอยากเร่งแซงทันใจขึ้นอีก ก็ต้องมาคบหากับ รุ่น T5 ที่วางเครื่องยนต์รหัส
B5204T9 บล็อค 5 สูบ DOHC 20 วาล์ว 1,984 ซีซี หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ แบบ
Integrated Fuel SFI Port Injection พร้อม Turbocharger 213 แรงม้า
(PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 30.57 กก.-ม ที่ รอบเครื่องยนต์ ตั้งแต่
2,700 – 5,000 รอบ/นาที ต่อเนื่องกันเป็น Flat Torque
เวอร์ชันแรงสุดของฝั่งเบนซิน คือ รุ่น T5 ที่วางเครื่องยนต์รหัส B5254T12
บล็อค 5 สูบ DOHC 20 วาล์ว 2,497 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 83.0 x 92.3
มิลลิเมตร กำลังอัด 9.5 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Port Injection พร้อมด้วย
Turbocharger แรงสะใจถึง 254 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด
สูงสุด 36.68 กก.-ม ที่รอบตั้งแต่ 1,800 – 4,200 รอบ/นาที ต่อเนื่องกันเป็น
Flat Torque
ส่วนฝั่ง Diesel V40 ก็มีทางเลือกให้ตื่นเต้นกัน 3 ระดับความแรง เริ่มด้วยรุ่น
D2 วางเครื่องยนต์ รหัส D4162T บล็อค 4 สูบ SOHC 8 วาล์ว 1,560 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 75.0 x 88.3 มิลลิเมตร กำลังอัด 16.0 : 1 ฉีดจ่าย
เชื้อเพลิงด้วยรางแรงดันสูง Common Rail พร้อมหัวฉีด Direct Injection
พ่วง Turbocharger 115 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
27.51 กก.-ม ที่รอบตั้งแต่ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที (Flat Torque)
ขั้นต่อไป เป็นรุ่น D3 วางเครื่องยนต์ รหัส D5204T6 บล็อค 5 สูบ DOHC
20 วาล์ว 1,984 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 81.0 x 77.0 มิลลิเมตร กำลังอัด
16.5 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยราง Common Rail แบบ Direct Injection
พร้อม Turbocharger 150 แรงม้า (PS) ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
35.66 กก.-ม ที่รอบเครื่องยนต์ ตั้งแต่ 1,500 – 2,750 รอบ/นาที ต่อเนื่อง
เป็น Flat Torque
ปิดท้ายด้วยตัวแรงสุดในกลุ่ม Diesel คือรุ่น D4 วางขุมพลังรหัส D5204T4
5 สูบ DOHC 20 วาล์ว 1,984 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 81.0 x 77.0
มิลลิเมตร กำลังอัด 16.5 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยราง Common Rail แบบ
Direct Injection พร้อม Turbocharger 177 แรงม้า (PS) ที่ 3,500
รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 40.76 กก.-ม ที่รอบตั้งแต่ 1,750 – 2,750 รอบ/
นาที ต่อเนื่องกัน เป็น Flat Torque
———————-
แต่สำหรับลูกค้าในเมืองไทย Volvo เตรียมเครื่องยนต์ “ตัวค่อนข้างแรง”
ไว้ให้ชาวไทยได้เลือก เพียงแบบเดียว วางลงในทั้ง V40 และ V40 Cross
Country คือรุ่น T5 เครื่องยนต์ รหัส B5204T9 บล็อค 5 สูบ DOHC 20 วาล์ว
1,984 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 81.0 x 77.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.5 : 1 ฉีด
จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ Integrated Fuel SFI Port Injection
พร้อม Turbocharger เรียงลำดับการจุดระเบิดตามกระบอกสูบ 1 – 2 – 4 – 5 – 3
รอบเดินเบาอยู่ที่ 720 รอบ/นาที
กำลังสูงสุด 213 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 30.57 กก.-ม
ที่ รอบเครื่องยนต์ ตั้งแต่ 2,700 – 5,000 รอบ/นาที ต่อเนื่องเป็น Flat Torque

ส่วนรุ่น T5 R-Limited ปี 2015 จะเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ เป็นรหัส B4204T11
บล็อค 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,984 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 81.0 x 77.0
มิลลิเมตร กำลังอัด 9.5 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ Integrated
Fuel SFI Port Injection พร้อม Turbocharger เรียงลำดับการจุดระเบิดตาม
กระบอกสูบ 1 – 2 – 4 – 3 รอบเดินเบาอยู่ที่ 720 รอบ/นาที
กำลังสูงสุด 220 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 35.66 กก.-ม
ที่ รอบเครื่องยนต์ ตั้งแต่ 1,500 – 4,000 รอบ/นาที ต่อเนื่องเป็น Flat Torque
ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 137 กรัม/กิโลเมตร
แต่สำหรับเวอร์ชันไทย รุ่น R-Limited จะมีจำนวน 28 คัน ที่ถูกอัพเกรดด้วย
ชุดเพิ่มสมรรถนะ Polestar Performance Optimisation มูลค่า 57,400 บาท
ซึ่งก็คือ การลงโปรแกรมในกล่องสมองกลเครื่องยนต์ ECM Engine Control
Module) ให้แรงขึ้นเป็น 245 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แต่แรงบิดสูงสุด
เท่าเดิม
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขสมรรถนะของรุ่น T5 R-Limited มันช่างเหมือนกับสเป็ก
ของรุ่น เบนซิน T5 แบบมาตรฐานในเมืองนอกไม่มีผิดเพี้ยน

ส่วนขุมพลังใหม่ล่าสุด ที่เพิ่งประจำการในปี 2016 ทั้งในเมืองนอกและเมืองไทย
คือรุ่น D4 วางขุมพลังรหัส D4204T14 บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,969 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 82.0 x 93.2 มิลลิเมตร กำลังอัด 15.8 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิง
ด้วยราง Common Rail แบบ Direct Injection พ่วง Turbocharger
จุดเด่นของเครื่องยนต์ลูกนี้ อยู่ที่การติดตั้งเทคโนโลยี i-Art (Intelligent Accuracy
Refinement Technology) ซึ่งเคยเปิดตัวในบ้านเรามาแล้วกับ XC60 D4 หลักการ
ทำงานก็คือ กล่องสมองกลเครื่องยนต์ ECM (Engine Control Module) จะตรวจ
วัดแรงดัน จากเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งไว้ที่หัวฉีดของแต่ละกระบอกสูบ ให้เหมาะสมต่อการ
เผาไหม้ เพื่อให้จุดระเบิดได้สมบูรณ์ขึ้น ประหยัดน้ำมันขึ้น ลดมลพิษลงได้ ระบบนี้จะ
สามารถสั่งให้ฉีดจ่ายน้ำมันสูงสุด 9 ครั้ง ต่อการหมุนของเครื่องยนต์ 1 รอบ ด้วยแรงดัน
สูงสุดถึง 2,500 Bar Turbocharger

