เห็นบ้านเรามีความตื่นเต้นกับ Civic สีแดงที่กำลังจะมาจำหน่าย ผมเลยถ่าย Civic แดงแบบญี่ปุ่นมาให้ดู Civic ที่จำหน่ายในญี่ปุ่นนั้น หากเป็นบอดี้แฮทช์แบ็คเมื่อไหร่ บอกได้เลยว่าจะเป็นรถที่ผลิตส่งมาจากอังกฤษ (ไม่ใช่ไทย) รวมถึงแฮทช์แบ็ครุ่นธรรมดา 1.5 เทอร์โบที่ไม่ใช่ Type-R ด้วย ในรูปล่างเป็นภายในของรุ่นห้าประตูเทอร์โบสเป็คญี่ปุ่น ซึ่งได้เบาะผ้า และชุดเครื่องเสียงเป็นแบบ 2-DIN ของ Gathers จับใส่ตรงๆ ไม่ใช่จอแบบ Built-in ดีไซน์สวยๆแบบของบ้านเรา

อาจจะไม่ใช่รถใหม่ 100% แต่ก็น่าสนใจตรงที่มันเป็นรุ่น Hybrid ซึ่งบ้านเราไม่มีโอกาสได้ใช้ เพราะเขาเลือกคบกับรุ่นดีเซลไปเรียบร้อยแล้ว CR-V Hybrid ใช้ขุมพลังตัวเดียวกับ Accord Hybrid กล่าวคือเครื่องยนต์สันดาปภายใน เป็นขนาด 2.0 ลิตร ประกบกับมอเตอร์ไฟฟ้า i-MMD แต่ใน CR-V นั้นพละกำลังรวมสูงสุดจะมี 215 แรงม้า ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไออ้อนขนาดจุ 1.3kWh

เปิดตัวมานานแล้วแต่ยังเป็นดาวเด่นในทุกงานที่ไป กับ Honda NSX ซูเปอร์คาร์ตัวท้อปของค่าย ขุมพลัง V6 3.5 ลิตรเทอร์โบคู่พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ให้กำลังสูงสุด 581 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 646 นิวตัน-เมตร ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 2.9 วินาที
NSX ทุกคันจะประกอบด้วยมือ ตั้งแต่ขั้นตอนการร้อยน็อต ไปจนถึงการประกอบชิ้นส่วนภายนอก และภายในทุกชิ้น ในขั้นตอนการประกอบจะมีผู้เชี่ยวชาญจำนวน 16 คน และใช้เวลา 14 ชั่วโมงในการประกอบ NSX 1 คัน และ ใน 1 วันจะสามารถประกอบ NSX ได้ 10 คัน ตัวรถประกอบที่ Marrysville รัฐ Ohio และเครื่องยนต์ทำจากเมือง Anna รัฐเดียวกัน
Isuzu

อันที่จริงคอลัมน์นี้ว่าจะไม่เขียนถึงรถยนต์นั่งในเชิงพาณิชย์หรือรถปกติๆที่เราเห็นกันทั่วไป แต่คันนี้ขอเขียนให้หน่อยเพราะมันคือ Isuzu MU-X ที่ประกอบมาจากประเทศไทย มันไม่ได้ขายในญี่ปุ่นหรอกครับ แต่เอามาโชว์ในงานนี้โดย Label ให้กับผลิตภัณฑ์ว่าเป็นรถที่สร้างมาเพื่อแถบเอเชีย ดินแดนและหมู่เกาะแปซิฟิก ตะวันออกกลางและแอฟริกาใต้ เป็นรถที่ถูกออกแบบให้มีความทนมือทนเท้า วิ่งได้บนถนนหลากหลายแบบ ผมเห็นแขกและฝรั่งพากันตรวจนู่นวัดนี่แบบแอบๆ ก็เลยลองถามว่าเขาคิดอย่างไรกับการประกอบของรถ ก็ได้คำตอบที่น่าภูมิใจแทนคนไทย
เชื่อเสียทีเถอะครับ ฝีมือการประกอบรถบ้านเราน่ะ พอเอาจริงเมื่อไหร่ ฝีมือของเรานี่ระดับโลกมานานแล้วครับ ถ้าไม่ใช่ว่าคุณเอารถบ้านๆไปเทียบกับ Audi หรือ Lexus คันละ 4-5 ล้านบาท

ถ่าย MU-X ฝีมือคนไทยแล้ว ก็มาดูนวัตกรรมของคนญี่ปุ่นกันบ้าง Design Concept FD-SI ซึ่งจะว่าไปแล้ว มันก็คือวิธีที่ Isuzu มองอนาคตของรถส่งของว่าจะเป็นอย่างไร ทีมออกแบบใช้แรงบันดาลใจจากแมลง (น่าจะเป็นผึ้งมากกว่าอย่างอื่น) บวกกับการจัดพื้นที่ภายในของรถให้เหมาะสมกับการบรรทุกของ ออกแบบโครงสร้างให้มีสมดุลย์ที่ดีระหว่างความปลอดภัยและความสามารถในการจุสัมภาระ จุดเด่นของรถคันนี้คือคนขับจะนั่งอยู่ตรงกลาง เพื่อให้สามารถมองซ้ายมองขวา พารถเลาะเลี้ยวไปตามตรอกซอยแคบๆของญี่ปุ่นได้อย่างคล่องแคล่ว
Lexus

นำรถมาโชว์ในงานเกือบครบ ทั้ง CT, NX และ RX แต่ตัวเด่นของบูธในงานนี้คือการนำเอา Lexus LS ทั้งคันต้นแบบ และรถเวอร์ชั่นขายจริงมาจอดโชว์พร้อมกัน (ปกติเราจะไม่ค่อยพบบริษัทรถทำวิธีนี้)
Lexus LS+ Concept เป็นรถที่ทำขึ้นมาเพื่อโชว์ว่าทิศทางการออกแบบของรถรุ่นใหญ่สุดของค่ายจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต ทั้งเส้นสายแบบ L-Finesse กระจังหน้า Spindle Grill ยังอยู่ครบ มีเอกลักษณ์สำคัญคือการออกแบบให้มีโอเปร่ากระจกหลัง (Six-window design) เป็นครั้งแรกที่รถยนต์ซาลูนจาก Lexus ใช้การออกแบบลักษณะนี้
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญใน LS+ Concept คือการทำงานของระบบ AI ที่สามารถจดจำได้ทั้งถนนและคนขับ มันคือส่วนหนึ่งของระบบสมองกลอันซับซ้อนของรถที่ช่วยให้มันสามารถขับเคลื่อนตัวเองไปบนถนนได้อย่างปลอดภัย เรียกว่าระบบ Highway Teammate ซึ่งเมื่อตัวรถแล่นอยู่บนถนนที่ปลอดคน (เช่นถนนหลวงสายใหญ่ ทางด่วน หรือมอเตอร์เวย์ และไม่ใช่ถนนที่คนเดินพลุกพล่าน) มันจะสามารถขับพาตัวเองไปยังจุดหมาย เร่ง เบรก และรักษาระยะกับรถคันหน้าและหลังได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ส่วนรถเวอร์ชั่นขายจริงของ LS เจนเนอเรชั่นที่ 5 นั้น ก็เริ่มเผยโฉมมาทีละรุ่น เริ่มกันตั้งแต่ LS500 3.5 ลิตรทวินเทอร์โบ 422 แรงม้าตั้งแต่ช่วงต้นปี 2017 แล้วตามด้วย LS500h V6 3.5 ลิตรไร้เทอร์โบ แต่พ่วงมอเตอร์ พลังรวม 359 แรงม้าที่งานในเจนีวา เดือนมีนาคม จากนั้นตบท้ายด้วย LS350 V6 3.5 ลิตรไร้เทอร์โบ and No Motor พลัง 315 แรงม้า เปิดตัวที่เซี่ยงไฮ้
ตัวรถใช้พื้นฐานโครงสร้างใหม่ รถขับหลัง Premium Rear-Wheel drive ที่ Lexus เรียกว่า all-new Lexus global architecture for Luxury vehicles (GA-L) โครงสร้างตัวถังทำจากเหล็ก Ultra-high tensile และ อะลูมิเนียม ทำให้ลดน้ำหนักลงจาก LS รุ่นเดิมได้มากถึง 90 กิโลกรัมทั้งๆที่ตัวรถนั้นทั้งยาวและกว้างขึ้นกว่าเดิม
สำหรับประเทศไทย เจอกัน เดือนพฤศจิกายนนี้ โปรดติดตามการนำเสนอของคุณหมู Moo Cnoe ไว้ให้ดี แต่บอกไว้ก่อนว่า เนื่องจากทุกรุ่นของ LS นั้นมีความจุเกิน 3.0 ลิตร ทำให้ต้องโดนภาษีสรรพสามิตขั้นเต็ม 50% ดังนั้น ราคาน่าจะสูงมากจนคู่แข่งลิมูซีนที่เขามีขุมพลังไฮบริดขายอาจจะหันมายิ้มเยาะๆก่อนจิบเบียร์คุยกันต่อไปตามประสาคนชาติเดียวกัน

Lexus LC500… ของที่คนไทยผู้ไม่มีเงินจะซื้อร่ำร้องอยากให้มา ส่วนคนที่มีเงินเยอะพอเขาจัดการกันไปเองหมดแล้ว LC นั้นจัดเป็นรถประเภท Grand Tourer ระดับสูงของทางค่าย (สูงกว่า RC แต่ไม่เท่า LFA ในตำนาน) ใช้เครื่องยนต์ 2UR-GSE V8 5.0 ลิตร ไม่คบเทอร์โบ เป่าเสกแรงม้าออกมาได้ 471 ตัว ซึ่งมันก็คือเครื่องยนต์ตัวเดียวกับ RC-F และ GS-F นั่นเอง
ส่วนอีกขุมพลังหนึ่งจะอยู่ในรุ่น LC500h ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซิน V6 3.5 ลิตร บวกกับมอเตอร์ไฟฟ้าไฮบริด ให้พละกำลังรวม 354 แรงม้า ซึ่งก็ใกล้เคียงกับ LS500h นั่นเอง
Mazda
ถ้าคุณกำลังสงสัยว่า Mazda 3 เจนเนอเรชั่นต่อไปจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร เจ้า KAI Concept นี้น่าจะเป็นคำตอบให้คุณได้อย่างดี ทีมออกแบบ Mazda สานต่อแนวคิดทางการออกแบบ KODO Design ยุคที่สอง ซึ่งเน้นว่าการออกแบบรถให้สวยนั้น สัดส่วนของตัวรถ ด้านหน้า ด้านด้าน หลังคา และล้อ ต้องประสานรวมกันให้เกิดรูปทรงที่เซ็กซี่ แต่ในขณะเดียวกันนั้น KODO Design 2.0 ยังเน้นเส้นสายที่สะอาดตา ไม่เน้นมิติเน้นส่วนเว้าหรือโค้งมากจนดึงความสนใจไปจากสัดส่วนทองคำของรถ
KAI Concept ใช้เครื่องยนต์ SkyActiv-X แบบใหม่ล่าสุด ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เบนซิน หัวฉีดตรง และมีหัวเทียน (ย้ำอีกครั้งว่า มี-หัว-เทียน แม้หลายคนจะชอบพูดว่าเป็นเบนซินไร้หัวเทียนมาก่อนหน้านี้) แต่การทำงานของเครื่องยนต์ จะมีบางจังหวะที่เครื่องยนต์จะทำงานแบบเครื่องยนต์ดีเซลได้ (ซึ่งก็คือจุดระเบิดโดยใช้การอัดของลูกสูบ ไม่พึ่งพาประกายหัวเทียน)
ในช่วงเดินเบา หรือเดินทางด้วยความเร็วคงที่ เครื่องยนต์จะทำงานในโหมดเสมือนดีเซล ทำให้อัตราการสิ้นเปลืองและมลภาวะต่ำลง ส่วนจุดใดก็ตามที่ต้องใช้กำลังเครื่องยนต์มาก หรือใช้รอบสูง ซึ่งการจุดระเบิดแบบดีเซลไม่สามารถใช้ได้ เครื่องยนต์ก็จะใช้หัวเทียนในการกำหนดว่าจะให้จุดระเบิดตอนไหน หรือในช่วงบี้เต็มคันเร่ง ก็จะทำงานประหนึ่งเครื่องยนต์เบนซินทั่วไป
ทั้ง Mazda 3 บอดี้ใหม่ และเครื่องยนต์ SkyActiv-X จะเผยโฉมและให้ชาวโลกซื้อหาได้ในปี 2019

รถต้นแบบอีกคันที่เป็นตัวแทนของงานดีไซน์ KODO ภาคสอง ก็คือ Mazda VISION Coupe ซึ่งมีแนวทางการออกแบบคล้ายกันกับ KAI Concept ตรงนี้เน้น “สัดส่วนทองคำ” ใช้ขนาดของบอดี้รถในส่วนต่างๆที่คิดมาแล้วเป็นอย่างดี เพื่อให้รถสะท้อนบุคลิกตามประเภทของมันอย่างที่ควรเป็น และยังเน้นการทำเส้นสายต่างๆให้ดูสะอาดตา มีมิติ แต่ไม่เน้นเหลี่ยมสัน เว้าโค้งมากจนทำลายความงามของรถทั้งคัน
บางส่วนของตัวรถ จะเป็นพื้นที่โลหะที่ดูว่าง แต่ได้รับการคำนวณมาอย่างดีให้เล่นกลกับลูกตามนุษย์ เมื่อรถวิ่งผ่านแสงไฟในรูปแบบต่างๆ เมื่อรวมสิ่งเหล่านี้เข้ากับปรัชญาของ Mazda แล้วเติมความหรูหราแบบรถยุโรปชั้นสูงเข้าไปให้มากกว่า KAI Concept ผลที่ได้ก็คือ VISION Coupe คันนี้ ซึงได้รับคำชมถึงทรวดทรงว่าเป็นหนึ่งในรถต้นแบบที่น่ามองที่สุดของงาน Tokyo Motorshow เลยทีเดียว

ดูเผินๆ คุณอาจนึกว่ารถคันนี้คือ CX-5 ทว่าที่จริง มันคือ Mazda CX-8 ซึ่งเป็นรถประเภท SUV พื้นฐานเก๋ง ที่ถูกขยายความยาวฐานล้อออกไป 230 มิลลิเมตร ทำให้สามารถเพิ่มจำนวนผู้โดยสารจาก 5 เป็น 7 ที่นั่ง ซึ่งในญี่ปุ่นนั้น CX-8 จะเป็น SUV คันโตที่สุดของทางค่าย ทว่าในตลาดโลกนั้น CX-8 จะแทรกอยู่ตรงกลางระหว่าง CX-5 กับ CX-9 รวมถึงมีราคาค่าตัวสอดอยู่ระหว่างกลางทั้งสองรุ่น (แต่ค่อนไปทาง CX-5) เบาะแถวที่สองของ CX-8 จะมีทั้งแบบ Bench ยาวนั่งได้ 3 คน และแบบ Captain Seat ที่เป็นเบาะแยกคู่คล้ายรถ MPV ญี่ปุ่นสายไฮโซทั้งหลาย
CX-8 ในตลาดญี่ปุ่น มีเครื่องยนต์เพียงแบบเดียวคือ SkyActiv-D 2.2 ลิตร ซึ่งก็เป็นเครื่องยนต์เดียวกับ Mazda CX-5 แต่เพื่อให้คงระดับอัตราเร่งได้ใกล้เคียง CX-5 และชดเชยกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น เครื่องยนต์จึงถูกปรับจูนให้มีกำลังเพิ่มจาก 175 เป็น 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้นจาก 420 เป็น 450 นิวตัน-เมตร
Mercedes-Benz/AMG/SMART
รวมพื้นที่กันทั้งหมดในเครือ ไม่ว่าจะเป็น Mercedes-Benz ในไลน์อัพปกติ Mercedes-AMG พันธุ์โหดหลายคัน หรือจะใหญ่และหรูสุดแบบ Maybach หรือเล็กจิ๋วสุดอย่าง SMART และ SMART Brabus ทั้งหมดรวมอยู่ในบริเวณขนาดใหญ่ของ East Hall ฝั่งใต้

ที่ฝั่งของ Mercedes-Benz จะพบได้ทั้ง G-Class ซึ่งเป็นที่ินิยมมากในบรรดาเศรษฐีญี่ปุ่น รวมถึง A/GLA/CLA ซึ่งเป็นรถขับหน้าที่เขาว่าขายดี (แต่กลับเห็นบนท้องถนนโตเกียวน้อยกว่า G หรือ S-Class เสียอีก)

Mercedes-AMG Project One รถที่เราน่าจะเรียกว่าเป็น “ไฮเปอร์คาร์ที่เกิดจากการเอาบอดี้ซูเปอร์คาร์ครอบลงไปบนรถ F1”
ขุมพลังสำหรับ Mercedes-AMG Project One เป็นเครื่องยนต์เบนซิน V6 ขนาด 1.6 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศ Turbocharged ผสานการทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัว (มอเตอร์ขับเคลื่อน 3+ มอเตอร์เทอร์โบ 1)
สำหรับมอเตอร์ 2 ตัวแรก ขนาด 2 x 120 กิโลวัตต์ (120 kW = 163 แรงม้า PS) จะถูกติดตั้งไว้ที่เพลาล้อหน้า มอเตอร์ตัวที่ 3 มีขนาด 90 กิโลวัตต์ (90 kW = 122 แรงม้า (PS)) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบเทอร์โบชาร์จ โดยในรอบเครื่องยนต์ต่ำ มอเตอร์จะเป็นตัวปั่นใบพัดไอดีเพื่ออัดอากาศ จนกระทั่งถึงรอบเครื่องยนต์สูงๆ ก็จะตัดการทำงานและให้ใบพัดไอเสียทำหน้าที่ปั่นใบพัดไอดีแทน และท้ายสุด มอเตอร์ตัวที่ 4 มีขนาด 120 กิโลวัตต์ (120 kW = 163 แรงม้า (PS)) ถูกติดตั้งไว้ที่เครื่องยนต์ และ ส่งกำลังไปยังเกียร์ โดยมีชุดเฟืองตรง หรือ Spur Gear ช่วยในการตัดต่อกำลัง
โดยรวมแล้วพละกำลังของ AMG Project One น่าจะทะลุ 1,000 แรงม้าไปไกล สามารถเร่งความเร็ว 0-200 ไมล์/ชั่วโมงได้ภายในเวลาแค่ 6 วินาทีเท่านั้น

มาต่อกันที่ Mercedes-Benz EQA Concept เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแฮทช์แบ็คขนาดตัวใกล้เคียงกับ A-Class ซึ่งเผยโฉมมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2017 มีเส้นสายการออกแบบชนิดที่ทางเบนซ์เรียกว่า Sensual Purity ซึ่งก็คือแนวทางการออกแบบพื้นผิวตัวถังที่เรียบ สะอาดตา แต่เก็บรายละเอียดส่วนอื่นให้ดูสวยงาม นอกจากนี้ EQA Concept ยังขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ขับเคลื่อน 4 ล้อ (มอเตอร์หน้า 1 ชุดและหลัง 1 ชุด) ให้พลังรวม 268 แรงม้า

รถต้นแบบอีกคันคือ Smart Vision EQ fortwo ซึ่งมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนตัวเองอ้ัตโนมัติ (Autonomous Drive) Level 5 ซึ่งสามารถปล่อยให้รถขับเองโดยที่ตัวรถอาจไม่จำเป็นต้องมีพวงมาลัยด้วยซ้ำ จุดเด่นอีกประการของ Vision EQ fortwo คือกระจังหน้า ซึ่งอันที่จริงสำหรับรถยนต์ไฟฟ้านั้นคงไม่ต้องมีแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นจอภาพขนาดใหญ่ที่สามารถแสดงข้อมูลภาพกับตัวอักษรได้หลากหลาย

ถ้าไม่นับรถเทพเทวดาขับอย่าง AMG Project One แล้ว รุ่นท้อปสุดของทางค่ายก็คงได้แก่ AMG GT-R ซึ่งเป็นรุ่นย่อยหนึ่งของอนุกรม GT/GT-S/GT-R ซึ่งเพิ่งจะผ่านการไมเนอร์เชนจ์ไปเมื่อไม่นานมานี้ โดย GT-R จะเป็นรุ่นที่แรงสุด โหดที่สุด และปรับจูนมาเพื่อการแข่งขันมากที่สุด GT-R ใช้เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่วางซุกระหว่างแบงก์ฝาสูบ ความจุ 4.0 ลิตรที่ให้พลังถึง 585 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร
สนนราคาในญี่ปุ่นก็โหดเอาการ เพราะในขณะที่ AMG GT รุ่นล่างสุดมีราคาเริ่มต้น 16.9 ล้านเยน GT-R บวกชุดแต่งครบแบบในภาพจะมีราคาสูงถึง 23-27.3 ล้านเยนเลยทีเดียว

ถ้าใครไม่อยากจ่ายเงินซื้อซูเปอร์คาร์แพงๆ แต่ยังอยากได้อัตราเร่งหลังติดเบาะไว้ใช้และไม่ชอบที่จะต้องเลื้อยๆคลานๆเวลาเจอปูดถนนใหญ่ๆ ขอเชิญไปลอง GLC63S 4Matic Coupe นี่คือ SUV ที่เร่งได้เร็วที่สุดที่มีขายโดยทาง Mercedes-AMG ในขณะนี้ ใช้เครื่อง V8 ทวินเทอร์โบบล็อคเดียวกับ GT/GT-S แต่เปลี่ยนเป็นอ่างน้ำมันเครื่องพร้อมปั๊มแบบรถปกติ แรงม้าสูงสุด 510 แรงม้าเท่า AMG GT-S แรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร ที่เมืองไทยยังไม่ได้เอาเข้ามาขาย เพราะปัจจุบัน GLC43 หกสูบก็แรงและราคากำลังสวย ถ้าเอาตัว V8 เข้ามา ราคาน่าจะสูง (แต่ถ้าเอามา เชื่อเถอะครับยังไงก็มีคนซื้อ)

Smart Fortwo BRABUS Sports รถเล็กซูเปอร์จิ๋วจากฝั่งเยอรมัน เอา Smart รุ่นปกติมาให้ทาง BRABUS ตกแต่งให้ โดดเด่นด้วยล้ออัลลอย Monoblock IX และชุดแต่งตัวถังสีตัดกัน คล่องตัวเป็นลิงด้วยรัศมีวงเลี้ยวที่แคบเพียง 3.3 เมตร มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 บล็อคกับ 3 ระดับขุมพลัง ได้แก่ 1.0 ลิตร ไร้เทอร์โบ 71 แรงม้า ตามด้วย 0.9 ลิตรเทอร์โบ 90 แรงม้า และตัวแรงสุดคือ 0.9 ลิตรเทอร์โบ 109 แรงม้า แรงบิด 170 นิวตัน-เมตร..แรงบิดเท่ารถ 1.8 ลิตร แรงม้าเท่ารถ 1.5 ลิตรบ้านๆ แต่ลากน้ำหนักตัวแค่ประมาณ 980 กิโลกรัม ทำให้อัตราเร่ง 0-100 ทำได้ภายใน 9.5 วินาที
Mitsubishi

ถึงแม้จะมีชื่อที่ฟังดูคล้ายกัน แต่รถต้นแบบอย่าง Mitsubishi e-Evolution แทบไม่มีอะไรเหมือนกับ Lancer Evolution เลยแม้แต่น้อย มันคือรถครอสโอเวอร์จากอนาคตที่ใช้ขุมพลังไฟฟ้าจากมอเตอร์ 3 ชุด (ล้อหน้าข้างละชุด และล้อหลัง 1 ชุด) มีสไตล์การออกแบบที่ดูสปอร์ต แต่เน้นระยะโอเวอร์แฮงหน้าและหลังที่สั้น สามารถลุยไต่มุมชันได้สูง มีรูปร่างซีกบนที่ทันสมัย ดูเหมือนรถสปอร์ตมากกว่า SUV
นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งระบบ A.I (Artificial Intelligence) ขั้นทดสอบลงไปในรถ เพื่อให้ตัวรถนั้นสามารถเรียนรู้ และมีความคิดเองได้ ระบบ A.I. ของมัน สามารถเรียนรู้สภาพถนน การจราจร และความสามารถของคนขับในแต่ละคน เพื่อปรับรูปแบบการฝึกหัดคนขับ Coaching ผ่านจอแสดงผลและเสียง ซึ่งส่งผลให้ผู้ขับสามารถบังคับรถได้อย่างปลอดภัยและบริหารการใช้พลังไฟฟ้าได้อย่างคุ้มค่า

หลังจากที่ขายจริงในยุโรปไปเมื่อเดือนกันยายน Mitsubishi ก็ได้ฤกษ์เปิดตัว Eclipse Cross ในบ้านเกิดเมืองนอนเสียที นี่คือรถครอสโอเวอร์ที่ทาง Mitsubishi เล็งให้มีตำแหน่งทางการตลาดสอดอยู่ตรงกลางระหว่าง ASX (ขนาดเล็ก) และ Outlander (ซึ่งเป็นรถ SUV ขนาดค่อนข้างโต) ขนาดตัวของมันนั้นใหญ่กว่า B-SUV อย่าง HR-V แต่ใกล้เคียงกันกับ Subaru XV
Eclipse Cross มีเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนให้เลือก 2 แบบ ซึ่งได้แก่เครื่องยนต์ 1.5 ลิตรเทอร์โบรหัส 4B40 ให้พลัง 160 แรงม้า ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า หรือขับเคลื่อน 4 ล้อผ่านเกียร์ CVT ที่สามารถล็อคอัตราทดได้ 8 จังหวะ และหลังจากนี้ไปจะมีเครื่องยนต์ 2.2 ลิตรดีเซลเทอร์โบรหัส 4N14 ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะตามมาอีกภายหลัง
รูปทรงของ Eclipse Cross เป็นการออกแบบแนวใหม่ที่นำเอาผลตอบรับจากลูกค้าในฝั่งยุโรปเป็นเกณฑ์พิจารณาสำคัญ ที่ผ่านมาแม้ว่า Mitsubishi จะพยายามสร้างรถให้ถูกใจคนยุโรปมากเท่าไหร่ก็ยังมีลูกค้าบางกลุ่มที่มองว่ารถของพวกเขาดูอนุรักษ์นิยมเกินไป Eclipse Cross คือรถที่จะมาเปลี่ยนความคิดเหล่านี้
Nissan

Nissan IMx คือรถต้นแบบพลังไฟฟ้า ขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยพลังมอเตอร์หน้า 1 ชุดและหลัง 1 ชุด ให้พลังขับเคลื่อนรวม 320kW (435 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ส่งผลให้รถสามารถวิ่งได้ไกลถึง 600 กิโลเมตรหลังการชาร์จไฟเต็ม
โครงสร้างของรถเป็นแพลตฟอร์มรถไฟฟ้าแบบที่ Nissan ทำขึ้นมาใหม่สำหรับใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ซึ่งจะแบกแบตเตอรี่เอาไว้ที่พื้นห้องโดยสารแทนส่วนที่เคยเป็นเพลากลาง และยังสามารถกดพื้นห้องโดยสารให้แบนราบโดยที่ได้จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำเป็นของแถม Nissan กำลังวิจัยโครงสร้างแบบนี้เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับรถยนต์นั่งเวอร์ชั่นผลิตจริงที่จะตามออกมาในอนาคต
นอกจากจะมีพลังสูง พิสัยทำการไกลแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ Nissan ตั้งใจจะโชว์เคสในรถคันนี้ คือระบบ ProPilot ซึ่งก็คือระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติขั้นเต็ม ซึ่งเมื่อผู้ขับกดปุ่มให้ระบบทำงาน พวงมาลัยจะหดเข้าไปติดกับคอนโซล และเบาะนั่งแต่ละตัวจะเอนไปอยู่ในตำแหน่งที่ให้ความผ่อนคลายมากขึ้น ผู้โดยสารกับคนขับสามารถนั่งสนทนาเม้าท์มอยชาวบ้านได้ตามใจชอบ

ต่อกันด้วย Nissan LEAF NISMO ซึ่งเป็นเวอร์ชั่น Performance ของ Leaf รุ่นใหม่ที่เพิ่งจะเปิดตัวไปเดือนก่อน จุดเด่นที่แตกต่างจากรุ่นธรรมดา อยู่ที่ชุดกันชนหน้า สเกิร์ตข้าง และกันชนหลังที่มีการตกแต่งด้วยวัสดุสีแดง NISMO พร้อมล้ออัลลอยขนาดใหญ่ ส่วนภายในนั้น ก็เกือบจะเหมือนรถรุ่นปกติ เพียงแต่เลือกโทนสีเป็นสีดำ และมีการเพิ่มวัสดุขอบแดงไปตามจุดต่างๆ
ทาง Nissan บอกว่าทีมวิศวกรได้ทำการปรับจูนช่วงล่าง สปริงและโช้คอัพใหม่ พร้อมทั้งจูนลักษณะการตอบสนองของคันเร่งให้มีแรงกระชากเวลาตอกคันเร่งมาขึ่นกว่ารุ่นปกติ เพื่อให้เป็นรถที่ขับได้สนุกขึ้น
แต่นี่จะนับเป็น EV Hot Hatch หรือจะเป็นแค่รถรักโลกที่แต่งตัวเหมือนรถซิ่ง..เวลากับการทดสอบจะเป็นตัวพิสูจน์

เพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อ 6 กันยายน วันนี้เลยได้โอกาสนำมาโชว์ในงาน TMS 2017 ชื่อของ LEAF แปลว่า ใบไม้ ขณะเดียวกัน ก็ย่อมาจากคำหลายคำรวมกันคือ Leading/Environmentally friendly/Affordable/Family car การออกแบบภายนอกของ NEW Nissan Leaf ได้แรงบันดาลใจมาจากรถยนต์ต้นแบบ IDS Concept Car ที่เปิดตัวไปในปี 2015 มีเอกลักษณ์ประจำตัวของ Nissan ยุคใหม่คือกระจังหน้าแบบ V-Motion โคมไฟทรงบูมเมอแรง และหลังคาแบบ Floating Roof
ขุมพลังที่ใช้ เป็นมอเตอร์ไฟฟ้า AC Synchronous electric motor รหัส EM57 กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ที่ 3,283 – 9,795 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ที่ 0 – 3,283 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Single Speed ปล่อย CO2 0g./km. (Zero Emission) ระยะทางที่ NEW Nissan Leaf วิ่งได้สูงสุดต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้งอยู่ที่ 400 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน JC08 ประเทศญี่ปุ่น ) หรือ 240 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน EPA ประเทศสหรัฐฯ) หรือ 378 กิโลเมตร (ตามมาตรฐานฝั่ง Europe)

Nissan Serena e-Power มาโชว์โฉมในงานนี้ แต่ยังไม่มีการเผยรายละเอียดใดๆเกี่ยวกับระบบขับเคลื่อน เรารู้แค่เพียงว่ามันใช้หลักการแบบเดียวกันกับ Note e-Power ซึ่งจะขับเคลื่อนรถด้วยพละกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้น ส่วนเครื่องยนต์มีหน้าที่ปั่นไฟไปให้แบตเตอรี่ ซึ่งส่งพลังไปขับชุดมอเตอร์ รถรุ่นนี้จะไม่มีปลั๊กเสียบชาร์จใดๆ ถ้าคิดจะเติมพลังงานให้รถ ก็แค่ขับไปปั๊มน้ำมันเท่านั้น
ภายนอก e-Power จะต่างจากรุ่นธรรมดาตรงกระจังหน้าสีน้ำเงิน และล้ออัลลอยลายเฉพาะรุ่น ส่วนภายในก็มีวัสดุตกแต่งบางจุดที่เป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกัน Serena e-Power มีกำหนดจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นในไตรมาสที่ 2 ของปี 2018

Nissan X-Trail ไมเนอร์เชนจ์ ขายมาได้สักพักแล้ว และสำหรับบ้านเราก็เตรียมพบกันได้ในเร็วๆนี้ เนื่องจากรุ่นปัจจุบันทำตลาดในประเทศไทยมาตั้งแต่ปลายปี 2014 ดังนั้นก็ได้เวลาอันสมควรแล้ว สิ่งที่แตกต่างจากรุ่นเดิมก็คือ กระจังหน้า V-Shape ที่ขยายขนาดให้ใหญ่โตขึ้น มีการปรับเส้นสายของไฟหน้าเล็กน้อย เพิ่มขยัก และ เหลี่ยมมุม รวมถึงปรับภายในตัวโคม เป็นแบบ Projector Lens คู่ ตัวไฟ Daytime Running Light ในแนวนอนย่อขนาดลงให้กระชับมากขึ้น มาพร้อมระบบไฟสูงอัตโนมัติ กันชนหน้า/หลังเป็นทรงใหม่
ส่วนภายในนั้น ยังเป็นดีไซน์เดิม แค่มีการปรับเปลี่ยนวัสดุในบางจุดให้ดูหรูหราทันสมัยขึ้น และเปลี่ยนพวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้านท้ายตัด ดีไซน์คล้ายกับ Nissan Note นั่นเอง

Nissan NOTE e-Power NISMO คือเวอร์ชั่นตกแต่งพิเศษของ Note e-Power ใช้ขุมพลัง เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ รหัส HR12DE ขนาด 1.2 ลิตร 79 แรงม้า ปั่นไฟส่งไปมอเตอร์ไฟฟ้า EM57 High Power ที่สร้างพละกำลังสูงสุด 109 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 254 นิวตัน-เมตร น้ำหนักตัว 1,250 กิโลกรัม ส่วนที่ตกแต่งพิเศษคือกระจังหน้าตาข่าย Nismo กับกันชน สเกิร์ตข้าง ที่แซมสีแดง สปอยเลอร์หลัง Nismo และล้ออัลลอย Nismo ขอบ 16 จับคู่กับยางขนาด 195/55R16 ภายใน เป็นสีดำ ตัดขอบแดงตามช่องแอร์ และเปลี่ยนเบาะเป็นทรงสปอร์ตที่โอบรัดมากกว่าปกติ
Peugeot

ไม่ใช่รถยอดนิยมในญี่ปุ่น แต่ก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ มีพื้นที่บูธค่อนข้างเล็ก เพราะว่ากันว่างาน Tokyo Motorshow นั้นมีเงื่อนไขการพิจารณาการให้พื้นที่บูธตามจำนวนยอดขายรถยนต์ ซึ่งแน่นอนว่า Peugeot ในญี่ปุ่นยังไม่ป๊อปเท่า Volkswagen

คันนี้ คือ 2008 Cross City เป็นเวอร์ชั่นพิเศษเฉพาะสำหรับประเทศญี่ปุ่น เป็นครอสโอเวอร์ 5 ที่นั่งขนาดกระทัดรัด ใช้เครื่องยนต์ 1.2 ลิตรเทอร์โบเบนซิน 110 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 205 นิวตัน-เมตร

Peugeot 5008 GT เป็นพรีเมียม SUV ขนาดกลาง 7 ที่นั่ง ความยาวลำตัว 4.64 เมตร ความกว้าง 1.86 เมตร ใช้เครื่องยนต์ BlueHDi ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร ให้พลัง 180 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ราคาจำหน่ายในญี่ปุ่นอยู่ที่ 4,540,000 เยน
Porsche

เปิดตัวเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นกับ Cayenne เจนเนอเรชั่นที่ 3 ซึ่งพัฒนามาให่หมดจด ใช้ขุมพลังเครื่องยนต์เทอร์โบรุ่นใหม่ 3.0 ลิตร 340 แรงม้า ประกบคู่กับเกียร์ Tiptronic S 8 จังหวะ ภายในออกแบบใหม่โดยมีกลิ่นอายของรถรุ่นหลังๆอย่าง Panamera เข้าไปมากขึ้น มีจอสำหรับระบบมัลติมีเดีย และระบบเชื่อมต่อินเทอร์เน็ตที่ทันสมัยขึ้น
Cayenne รุ่นมาตรฐาน 340 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายใน 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 245 กิโลเมตร/ชั่วโมง

Panamera Sport Turismo นี่ก็เผยโฉมเป็นครั้งแรกงานแรกในญี่ปุ่นเช่นกัน มีดีไซน์ด้านหลังเฉพาะที่เพิ่มพื้นที่การบรรทุกจาก Panamera รุ่นปกติ (และความเห็นผม ดูสวยกว่ารุ่นปกติด้วยซ้ำ) ฝาท้ายขนาดใหญ่ มีขอบล่างที่ต่ำลง ทำให้ขนถ่ายสัมภาระได้ง่ายขึ้น (แต่อย่าไปเทียบกับ Volvo V60 ข้างบ้านละกัน) เบาะนั่งจะเป็นแบบ 4+1 ที่นั่ง ซึ่งต่างจากรุ่นปกติที่เบาะหลังจะไม่สามารถนั่ง 3 คนได้
รุ่นที่นำมาโชว์ในงาน TMS2017 นี้ เป็นรุ่น Panamera 4 E-Hybrid Sport Turismo ซึ่งใช้เครื่องยนต์ V6 เทอร์โบคู่ 2.9 ลิตร จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้มีพละกำลังรวมสูงถึง 462 แรงม้า
Renault

บูธตั้งอยู่โซนใกล้ Nissan กับ Mitsubishi เพราะเขาเป็นญาติกัน Renault ในตลาดญี่ปุ่นนั้น มีลักษณะเป็นรถเล็กรสเปรี้ยวทางเลือกของคนที่ไม่อยากเอื้อมไปถึงตลาดพรีเมียม แต่ก็ไม่ชอบที่จะซื้อรถญี่ปุ่นตามข้างบ้าน ในงานนี้ รถเด่นที่นำมาโชว์ก็คือ Megane RS แฮทช์แบ็คสายแรง เครื่องยนต์ 1.8 ลิตรเทอร์โบ แต่ให้กำลังถึง 280 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 390 นิวตัน-เมตร ขนาดตัวรถไล่เลี่ยกันกับ Nissan Pulsar และมีประตูหลังที่ดูคล้าย Mercedes-Benz GLA เอามากๆ

นอกจาก Megane RS แล้วก็ยังมี Megane GT เครื่องยนต์ 1.6 ลิตรเทอร์โบ 205 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ EDC ซึ่งฟังดูแล้วน่าเสียดายมาก Nissan กับ Renault ก็เป็นญาติกัน ทำไม Nissan ไม่ลองเอาขุมพลังแบบนี้มาใส่ในรถขับหน้าแรงๆขายในบ้านเราบ้าง Honda Civic RS จะได้มีฝันร้ายกับเค้าเสียที
Subaru
Subaru VIZIV Performance Concept คือรถต้นแบบที่ Subaru สร้างมาเพื่อโชว์ว่า WRX/WRX STi เจนเนอเรชั่นต่อไป จะมีเอกลักษณ์ทางการออกแบบอย่างไรบ้าง ดีไซน์ภายนอกยังคงยึดหลักแนวคิดการออกแบบ “Dynamic × Solid” มีเส้นสายที่คมชัด เน้นสันเหลี่ยมคมที่มีส่วนทำให้รถดูดุขึ้น จุดเด่นอีกประการที่เห็นได้แต่ไกลคือซุ้มล้อทรงหกเหลี่ยม ทำหน้าที่เป็นโป่งยื่นออกมาคลุมล้อด้วย มีการตกแต่งแซมด้วยคาร์บอนไฟเบอร์บริเวณกันชนหน้า ซุ้มล้อ และหลังคา
ขุมพลังขับเคลื่อน เป็นเครื่องยนต์ Boxer และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Symmetrical AWD และยังมีการติดตั้งระบบ EyeSight เจนเนอเรชั่นใหม่ที่ทำงานผสานกันกับกล้องและเรดาร์จนสามารถใช้เพื่อการขับขี่แบบอัตโนมัติ (Autonomous Driving)ได้อีกด้วย
แต่สิ่งที่เด่นที่สุดในบูธของ Subaru จากมุมมองของ “สาวกสูบนอน” ก็คงนี้ไม่พ้น “The Price of WRX” เจ้าชายไฮโซพลังสูงอย่าง WRX STi S208 ซึ่งเป็นรถเวอร์ชั่นพิเศษ ผลิตในจำนวนจำกัด สืบสานวัฒนธรรมรถแพงสุดของค่ายต่อจาก S207 ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2015 ที่สำคัญ Subaru จะทำ S208 ออกมาขายแค่ 450 คันเท่านั้น ถ้าจำนวนคนจองเยอะกว่าจำนวนรถ ก็จะใช้วิธีการจับสลากเอา เรียกได้ว่ารวยอย่างเดียวไม่พอ ต้องเฮงยกกำลังสี่ด้วย
รูปแบบของรถ ก็ยังคล้ายคลึงกับ S207 คุณเริ่มต้นด้วย WRX STi เวอร์ชั่นญี่ปุ่น เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ Twin Scroll จากนั้นก็ใส่เสื้อผ้าเจ้าชาย เช่นล้ออัลลอยฟอร์จน้ำหนักเบาขนาด 19 นิ้วของ BBS ใส่เบรก Brembo โตพิเศษ หน้า 6 Pot หลัง 2 Pot จากนั้นก็เลือกว่าจะเอารุ่นที่เป็นหางหลังตูดเป็ดคาร์บอนขนาดเล็ก หรือเป็น GT-Wing คาร์บอนขนาดใหญ่ (รุ่นธรรมดาแบบไร้หางก็มีเช่นกัน) ส่วนภายในนั้น จะมีเบาะ Recaro ทรงเฉพาะสำหรับรุ่น S แดชบอร์ดคาดวัสดุสีชมพู หน้าปัดไฟขาว กรอบแดง เข็มแดงแทนไฟส้มของ STi รุ่นปกติ
นอกจากนี้ก็ยังมีช่วงล่างสตรัทที่ปรับจูนเป็นพิเศษโดยทาง Bilstein เพื่อรถตระกูล S โดยเฉพาะ ค้ำช่วงล่างชุดรอบคันจาก STi และมีชุดปั๊มและหัวฉีดพ่นละอองน้ำใส่อินเตอร์คูลเลอร์เพื่อช่วยระบายความร้อน (แก้ปัญหาความร้อนสะสมของพวกรถอินเตอร์บน เวลาวิ่งที่ความเร็วต่ำแล้วลมตีเข้าสคูพไม่แรงพอ)

BRZ Sport เป็นเวอร์ชั่นพิเศษผลิตจำนวนจำกัดแค่เพียง 100 คันเท่านั้น ใครที่อยากเป็นเจ้าของจะต้องเข้าพิธีจับสลากเช่นเดียวกับ S208
จุดเด่นของรถรุ่นนี้ อยู่ที่ภายนอกซึ่งมาพร้อมกับสีตัวถังพิเศษ ฟ้าอมเทา Cool Gray Khaki กระจกมองตกแต่งด้วยสีดำเงา เสาอากาศเป็นแบบครีบฉลาม มาพร้อมล้ออัลลอยลายใหม่ ด้านท้ายมีสปอยเลอร์ขนาดเล็กติดตั้งมาด้วย ล้ออัลลอยสีดำขนาด 18 นิ้ว มีช่วงล่างที่เปลี่ยนใหม่ทั้งโช้คอัพและสปริง ทำโดย SACHS และออกแบบโดย ZF เพื่อใช้สำหรับ BRZ Sport 100 คันนี้โดยเฉพาะ
เครื่องยนต์ที่ใช้ ก็ยังเป็น FA20 D4S เหมือนเดิม แต่ได้รับการปรับจูนเพิ่มกำลังจาก 200 เป็น 217 แรงม้า แรงบิดสูงสุดเพิ่มจาก 205 เป็น 212 นิวตัน-เมตร ส่วนภายในห้องโดยสารมีการตกแต่งให้มีความเป็นสปอร์ต มีโลโก้สัญลักษณ์ STi ที่หมอนรองศีรษะ เบาะนั่งหุ้มด้วยผ้าสลับหนัง สีดำสลับสีแดง พวงมาลัยหุ้มด้วยหนัง เดินตะเข็บด้ายสีแดง
Suzuki
เน้นการโชว์รถต้นแบบขนาดเล็กและเบาในน้ำหนัก แต่ไม่เบาในสไตล์และความชิค อันเป็นสไตล์ถนัดของ Suzuki
Suzuki XBEE (อ่านว่าครอสบี) เป็นรถครอสโอเวอร์สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาให้รองรับกับการใช้งานเหมือน SUV ของแท้ที่ย่อขนาดลงให้ขับในเมือง ใช้เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร เทอร์โบ หรือ 1.2 ลิตร NA+ระบบ Mild Hybrid มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ปรับการทำงานให้เหมาะกับการขับขี่ทั้งบนถนนแห้ง ทางโคลน หิมะ และขับลงเขา
XBEE มีการตกแต่ง 3 แบบ คือ XBEE แบบมาตรฐานที่ดูเรียบง่าย ภายในดำ ตกแต่งคอนโซลสีขาวงาช้าง ตามด้วย XBEE Outdoor Adventure ซึ่งจะมีกาบข้างสีคล้ายลายไม้ ใช้โทนสีและการตกแต่งที่รับแรงบันดาลใจมาจากเตนท์คาราวานทะเลทราย ภายในตกแต่งด้วยลายไม้ กับ XBEE Street Adventure ซึ่งแต่งในสไตล์คนเมืองทันสมัย มีแพทเทอร์นเหลี่ยมที่กาบข้างและตกแต่งคอนโซลด้วยลายกราฟฟิค

Suzuki e-SURVIVOR Concept รถต้นแบบจอมลุยพลังมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัวที่ล้อแต่ละข้าง เผยโฉมในงาน TMS 2017 นี้เป็นแห่งแรกในโลก มันคือวิสัยทัศน์ของ Suzuki ที่จะแสดงให้โลกเห็นว่าพวกเขามองอนาคตของรถจอมลุยในภายหน้าไว้ว่าควรเป็นอย่างไร ตามแนวคิด “An exciting and fun SUV of the future” เจ้า e-SURVIVOR Concept ใช้โครงสร้างแบบ Ladder frame น้ำหนักเบา มีขนาดตัวถังที่เล็กกระทัดรัด ตามความเชื่อในการสร้างรถลุยของ Suzuki ว่าเล็กกว่า เบากว่า คล่องกว่า ย่อมได้เปรียบ
ทั้งนี้ อย่าเพิ่งถามว่ามอเตอร์ 4 ตัวติดที่ล้อนั้น ถ้าเอาไปลุยน้ำแบบที่ภาคกลางตอนบนบ้านเราตอนนี้จะรอดหรือไม่ เพราะรถคันนี้ยังเป็นรถต้นแบบอยู่ครับ

Suzuki Spacia / Spacia Custom Concept เป็นรถ Tall wagon ขนมปังเหาะขนาดจิ๋วสไตล์ยอดนิยมแม่บ้านญี่ปุ่น เนื่องจากมีความคล่องตัวในเมืองสูงและนั่งแล้วรู้สึกปลอดโปร่งสบาย ใช้เครื่องยนต์ 658 ซี.ซี. 3 สูบพร้อมระบบวาล์วแปรผัน VVT และมีรุ่น Mild Hybrid ให้เลือก
Spacia Concept มีการตกแต่ง 2 แบบ ถ้าเป็นรุ่นธรรมดา จะเน้นรูปร่างที่ดูน่ารัก เรียบง่าย มีสีสัน ส่วน Spacia Custom จะเน้นหน้าตาที่ดุ ตกแต่งด้วยกระจังหน้าแบบ Dark Metallic ภายในสีดำ แซมวัสดุสีเงิน

ถึงแม้จะออกมานานแล้ว แต่คนไทยคนใดที่ได้มางาน TMS2017 ต้องไม่พลาดรถคันนี้ Swift Sport ใหม่ ที่ขนมา 2 คัน คันสีน้ำเงินเป็นรถเกียร์อัตโนมัติ และคันสีเหลืองเป็นรถเกียร์ธรรมดา (เชื่อว่าถ้าผมบอกแบบนี้ คุณๆที่เดินเข้าบูธวิ่งไปหาสีเหลืองก่อนแน่) Swift Sport ใช้เครื่องยนต์ 1.4 ลิตรเทอร์โบ BOOSTERJET K14C-DITC พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VVT เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 140 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 220 นิวตัน-เมตร
อีกจุดขายสำคัญคือแพลทฟอร์มใหม่ Heartect ความแข็งแกร่งที่อยู่ภายใต้น้ำหนักที่เบากว่าเดิม มีการปรับโครงสร้างพื้นตัวถังส่วนล่างและโครงกระดูกงูพร้อมทั้งเสริมความแข็งแกร่งของโครงสร้างเพื่อความแข็งแรงแต่ไม่เบียดเนื้อที่ภายในห้องโดยสารและห้องสัมภาระ
เท่าที่ผมลองนั่งดู ตำแหน่งการขับขี่คล้ายรุ่นเดิมคือสูง แต่ดูคล่อง พวงมาลัย คันเร่ง เบรก เกียร์ อยู่ถูกที่ แต่อย่าหวังว่า Suzuki ประเทศไทยจะเอามาขาย เพราะถ้าขายก็ไม่รู้จะจดสรรพสามิตยังไงเนื่องจากเอา Swift 1.2 ไปจดเป็นอีโคคาร์เรียบร้อยแล้ว อย่างนี้ไม่ต้องคิดมากครับ รอหน้า/ท้ายตัดญี่ปุ่นมาแล้วกัน

Suzuki Jimny รถออฟโรดขนาดเล็กจากทางค่าย ที่มาโชว์ในงานนี้เป็นโฉมเก่าที่ขายมาตั้งแต่ปี 1997 นะครับ
ส่วนรุ่นใหม่ที่ใกล้จะมาแล้งนั้น มีแนวโน้มว่าจะมาประกอบขายในอาเซียน (อินโดนีเซีย) โดยใช้เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร ดังนั้นจึงมีลุ้นที่จะเข้าไทยเช่นกัน สายออฟโรดเล็กหลายคนรออยู่เยอะและทางเราจะหาข้อมูลมาป้อนให้เรื่อยๆนะครับ
Toyota
ล้ำสมัยด้วยบรรยากาศบูธแบบเมนทอสเป๊ปเปอร์มินท์ มีรถต้นแบบมาจัดแสดงเป็นจำนวนมาก แต่ในรอบวันที่ 25 ตุลาคม ดูเหมือนจะไม่ค่อยเน้นการโชว์รถแบบที่ขายในตลาดทั่วไปเท่าไหร่นัก

Toyota Fine Comfort Ride คือต้นแบบของรถ MPV แห่งอนาคต ที่ออกแบบด้วยแนวคิด “ Wearing Comfort ” หรือ การถูกล้อมรอบด้วยสะดวกสบาย จนทำให้ผู้โดยสารรู้สึกถึงคุณค่าที่มากกว่า การเป็นรถยนต์สำหรับโดยสารธรรมดา หรือ ไม่ใช่แค่การโดยสารห้องโดยสารลายล้อมไปด้วยจอแสดงผล แบบสัมผัส ที่จะอยู่รอบๆคนขับ และ ผู้โดยสาร เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุม และ เข้าถึงข้อมูลได้อย่างอิสระ สำหรับที่นั่งถูกออกแบบให้ปรับได้อย่างคล่องตัว และ ยืดหยุ่น เพื่อให้สอดรับกับความสบายในทุกทิศทาง
สำหรับรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า แบบ FCV (Fuel Cell) คันนี้ มอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกติดตั้งไว้ให้ใกล้มุมของตัวรถให้มากที่สุด เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพด้านการใช้พื้นที่ และ ประโยชน์ด้านการกระจายน้ำหนักของตัวถัง นอกจากนี้ยังทำให้ลดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสารได้ เมื่อมอเตอร์ไฟฟ้าทำงาน

Toyota Concept-i เป็นรถที่เน้นการออกแบบให้ล้ำยุค ด้วยการทำให้ด้านหน้าของรถยนต์ดูพุ่งไปด้านหน้า พร้อมเส้นสายลื่นตาตลอดคันทั้งภายนอกและภายใน โดยแผงแดชบอร์ดยังเชื่อมต่อกับชิ้นส่วนตัวถังภายนอกด้วย ภายในห้องโดยสารมาพร้อมกับระบบเชื่อมต่อ HMI Interaction และหน้าจอแสดงผล 3D Head-up Display
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ AI ใน Toyota Concept สามารถทำได้มากกว่าการขับขี่รถยนต์โดยอัตโนมัติ เนื่องจากสามารถประเมินการแสดงออกของคนขับได้หลายรูปแบบทั้งการแสดงสีหน้า การกระทำ และโทนเสียงการพูด รวมไปถึงกิจกรรมต่างๆ ในโลกออนไลน์ ประวัติการสนทนา และข้อมูลใน GPS

