• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N1009065_คำพ ดแย ๆของแม เหม อนคำสาบแช งล_part2

admin79 by admin79
September 8, 2025
in Uncategorized
0
N1009065_คำพ ดแย ๆของแม เหม อนคำสาบแช งล_part2

การเดินทางไปชมงาน Frankfurt Motor Show กับทาง Mercedes-Benz (Thailand) เป็นครั้งแรกในชีวิต ช่วยเปิดหูเปิดตา เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ผมได้อย่างมาก

จากที่เคยได้ยินมาตลอดชีวิตว่า งานนี้ คืองานแสดงรถยนต์ที่มีขนาดพื้นที่จัดงานใหญ่สุดในโลก ผมได้ประจักษ์แล้วครับว่า เป็นความจริง!…ผมกับน้อง Prince คุณผู้อ่านของเราซึ่งกำลังศึกษาต่อในเยอรมนี ที่มาร่วมเดินชมงานด้วยกัน เดินกันขาลากจนถึงกับร้องจ๊าก…

การจะเดินจาก อาคารจัดแสดง Hall 1 ไปจนถึง Hall 11 ปลายสุดงานนั้น คุณอาจจำเป็นต้องเรียกรถยนต์บริการรับส่ง Shuttle จากทางผู้จัดงาน ร่วมกับบรรดาค่ายรถต่างๆ มิเช่นนั้น คุณอาจต้องเดินไกลถึง 2 กิโลเมตร เลยทีเดียว และถ้าจะต้องเดินกลับมายังจุดนัดพบ อาจต้องเดินไปกลับ 4 กิโลเมตร ไม่รวมกับการเดินชมตาม Hall ต่างๆ ที่อาจทำให้ตัวเลขการเดิน บนนาฬิกา สำหรับออกกำลังกาย พุ่งพรวดไปหยุดแถวๆ 15,000 ก้าว โดยง่ายดาย!

ระหว่างที่เราเสร็จภาระกิจในหลายๆบูธแล้ว กำลังเดินต่อไปยังอาคารจัดแสดงที่อยู่ลึกเข้าไป ผมพบว่า นอกเหนือจาก Mercedes-Benz , BMW , Volkswagen Group (รวม Audi) และ Toyota จะขนบรรดา รถยนต์รุ่นแพงๆในสายการผลิตของตน มาร่วมให้บริการขนส่งสื่อมวลชน ระหว่างแต่ละอาคารจัดแสดง ในแบบ Press Shuttle Vehicles กันฟรีๆ แล้ว Kia ก็เป็นอีกค่ายที่ส่งรถยนต์ของตนรุ่น Optima (พิกัดเดียวกับ Hyundai Sonata) เข้าร่วมให้บริการด้วยเช่นกัน และด้วยความสวยของ Optima ทำให้ผมตั้งใจว่า จะแวะไปดูบูธ Kia สักหน่อย….

แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ…!! อลังการงานสร้าง เสียเหลือเกิน!

ท่ามกลางการจัดแสดงของผู้ผลิตจากฝั่งเยอรมัน (ที่เล่นยึดอาคารจัดแสดงไปเป็นของแบรนด์ตนเองและแบรนด์ในเครือ ครบทั้ง 3 บริษัทใหญ่) รวมทั้งฝรั่งเศส อังกฤษ ญี่ปุ่น และจีน ที่พากันขนรถยนต์ของตนมาประชันกันคับคั่ง ยังมีผู้ผลิตจากเกาหลีใต้อีก 2 แบรนด์ ทั้ง Hyundai และ Kia ที่มาร่วมออกบูธในงานครั้งนี้…เพียงแต่ว่า ความอลังการของบูธ Kia นั้น ดูจะข่มรัศมี พี่ชายร่วมสัญชาติกันไปเลย…

อันที่จริง Kia ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมจัดแสดงในงานนี้ก็ได้ เพราะ สำนักงานใหญ่ของ Kia Motor Europe ตั้งอยู่ที่อาคารขนาดใหญ่ ติดกับ Frankfurt Messe สถานที่จัดงาน Frankfurt Motor Show อยู่แล้ว ห่างกันแค่เพียง รั้วรอบขอบชิดติดกันด้วยซ้ำ แถมด้านล่างก็ยังมี Showroom จัดแสดงที่สามารถเนรมิตให้เป็นพื้นที่สำหรับการจัดงานเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ได้เลย แต่…ตามประสาชาวเอเชีย บางทีก็จำต้องอวดศักดาบารมี ให้บรรดาฝรั่งหัวสีทองได้เคารพยำเกรงกันบ้าง จึงไปเช่าพื้นที่จัดแสดงขนาดใหญ่โตมโหฬาร ในงานดังกล่าว ชนิดไม่หวั่นรัศมีเจ้าถิ่นกันเลย

ผมถึงกับรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ว่านับจากวันแรกที่ผมได้มีโอกาสสัมผัสกับแบรนด์ Kia ในประเทศไทย เมื่อครั้งที่ กลุ่มพรีเมียร์ (บริษัท Premier Kia Motor จำกัด) เป็นตัวแทน นำเข้ารถเก๋ง Sephia และ SUV รุ่นเล็ก Kia Sportage มาขายในบ้านเรานั้น พวกเขาเจริญเติบโตก้าวหน้าขึ้นไปรวดเร็วมาก โดยเฉพาะ รถเก๋งคันใหญ่รุ่นใหม่ล่าสุด Kia Stinger เข้าไปนั่งครั้งแรก ถึงขั้นต้องถามเลย ตกลงว่า นี่คือ Kia หรือ Audi? บรรยากาศภายในรถนี่เหมือนกันเปี๊ยบ! แถมตัวรถก็สวยกระชากใจเสียเหลือเกิน

ยิ่งพอเดินไปดูรถต้นแบบ Pro Cee’d ซึ่งเป็นว่าที่ รถเก๋ง Compact Class คันต่อไปของพวกเขา ยิ่งเห็นถึงพัฒนาการที่ก้าวกระโดดขึ้นไปมากในด้านงานออกแบบ พวกเขาเริ่มจับทางถูกแล้วว่า บางทีเส้นสายที่เรียบง่าย ถ้าจัดวางให้ดีๆ มันจะดูลงตัว และดึงดูดใจกว่า คู่แข่งจากญี่ปุ่นเป็นไหนๆ หรือต่อให้เป็น B-Segment Crossover SUV รุ่นล่าสุด ที่เปิดตัวในงานนี้เป็นครั้งแรกในโลก อย่าง Kia Stronic ถึงแม้ว่าพนักศีรษะจะดันกบาลไปหน่อย แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Seat Arona และ Volkswagen T-Roc ซึ่งเปิดตัวในงานเดียวกันนี้ด้วยแล้ว ผมก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า แล้วเราจะไปอุดหนุน Seat ทำไม ในเมื่อ Kia ทำรถออกมาได้น่าใช้กว่า!?

ไม่แปลกครับ Peter Schreyer อดีตนักออกแบบจาก Audi ผู้เคยฝากผลงานไว้กับรถปอร์ตรุ่น TT คือผู้ที่เข้ามาพลิกโฉมงานออกแบบของ Kia จนทำให้ยอดขายเจริญเติบโต กลายเป็นตำนานบทสำคัญในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมยานยนต์โลก ไปโดยปริยาย

แล้ว Kia ในเมืองไทยละ…?

นับตั้งแต่ Headlightmag ของเรา ได้มีโอกาสทดลองขับและทำบทความรีวิว Kia Soul รุ่นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร เมื่อปี 2011 จากนั้นมา ดูเหมือนว่า เราจะขาดหายการติดต่อกับทาง Yontrakit Kia Motor ผู้นำเข้าและจำหน่าย รถยนต์ Kia ในบ้านเรา กันไปเลย เหตุผลคาดว่า มาจากการลาออก และเปลี่ยนทีมงานในฝ่ายประชาสัมพันธ์ บ่อยครั้ง ทำให้การติดต่อต่างๆ ขาดหายไปพอสมควร

คุณผู้อ่าน จำนวนไม่น้อย ทะยอยถามไถ่กันเข้ามาเรื่อยๆว่า เมื่อไหร่เราจะทำ Full Review ของรถตู้ Grand Carnival กันเสียที หลายๆคนอยากรู้ว่า มันคุ้มค่าพอที่จะถอยมาใช้สักคันหรือไม่ ผมเองได้แต่ตอบไปว่า ทาง Yontrakit Kia Motor ไม่ได้ส่งรถทดสอบมาให้เราเลย จึงไม่สามารถทำบทความให้อ่านกันได้ เราตั้งคำตอบไว้สำหรับคำถามนี้ ไว้เช่นนี้ เรื่อยมาโดยที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรมากไปกว่านี้

เวลาผานไปจนถึงงาน Meeting ของ Headlightmag ในเดือนสิงหาคม 2015 น้องตอยด์ พิธีกรรายการ The Coup Channel ของเว็บเรา ก็ขับ Kia Grand Carnival สีขาว เข้ามาจอดที่ร้าน Sortel ย่านพระราม 3 อันเป็นสถานที่จดงาน อย่างสงบ ผมออกจะฉงนว่า ตกลงแล้ว ทางเราไปมีดีลกับทาง Yontrakit Kia Motor เขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ตอนนั้น ตอยด์ยืมรถมาเพื่อถ่ายำรายการ เรนเดียร์ เกียร์ 5 เพื่อออกอากาศทางช่อง Voice TV 21 ดังนั้น ผมจึงไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับรถสีขาวคันนั้นอีกเลย

นี่คงจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ทางทีม PR ของ Yontrakit Kia Motor เข้าใจผิดว่า ทาง Headlightmag ยืมรถทดสอบไปแล้ว ทั้งที่จริงๆคือ ในการทำงานของทีม Headlightmag และทีม เรนเดียร์ เกียร์ 5 แยกออกจากกัน ตัวรายการไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทั้งสิ้น แม้ว่าคนทำงานจะเป็นคนเดียวกันก็ตาม ด้วยเหตุนีั้ ผมจึงยังไม่ได้ลองขับ Grand Carnival เสียที

เวลาล่วงเลยมาจนถึงเดือนสิงหาคม 2017 ในงาน BIG Motor Sales ที่ผ่านมา ผมเพิ่งได้มีโอกาสทำความรู้จักกับคุณปลา ผู้ซึ่งมารับหน้าที่เป็น PR Co-ordinator ให้กับ Yontrakit Kia Motor จึงได้นัดแนะกันว่า จะส่ง Grand Carnival มาให้ผมทำบทความรีวิวกันเสียที ทั้งหมดนี้ จึงเป็นที่มา ของบทความ Full Review รถยนต์รุ่นที่ สื่อมวลชนในไทยแทบจะทั้งหมด ได้ลองขับกันไปจนเกลี้ยงหมดแล้ว เหลือแต่ผมคนเดียวนี่ละครับ ที่ยังไม่ได้แตะต้องรถคันนี้เลย นอกเหนือจากไปผุดลุกผุดนั่ง ตอนที่ดีลเลอร์เขาเอามาจัดแสดงในห้าง Mega Bangna เมื่อช่วงปี 2016 เท่านั้นเลยจริงๆ

พอได้ลองขับจริง…เฮ้ย..สโลแกน Power to Surprise ของ Kia Global นี่ มันไม่ใช่แค่คำพูดเล่นๆแล้วนะ วันนี้ Minivan คันนี้ มันพาผม ข้ามขอบเขตของรถตู้แบบเดิมๆที่เราทั้งหลายเคยรู้จักกันมา ไปสู่รถตู้ที่ให้ชีวิตชีวาในการขับขี่ มุดได้มุดดี ท่ามกลางการจราจรที่ติดขัด จะซัดโค้งเล่น ก็ทำได้สบายๆ ไม่แพ้รถเก๋งยุโรปชั้นดี เรี่ยวแรงก็มีมาให้ใช้ แถมยังประหยัดน้ำมันเกินความคาดหมายไปด้วยอีกต่างหาก!

เฮ้ย…Kia มันทำรถดีขึ้นได้ขนาดนี้จริงๆเหรอ?

แบบนี้..ก็ต้องพิสูจน์กันหน่อยละว่า จากครั้งสุดท้ายที่ผมได้ลองขับ Kia ในปี 2011 จนถึงวันนี้ รถยนต์ของ Kia มีพัฒนาการไปอย่างไรบ้าง และ Grand Carnival เอง จะมีดีขึ้นจากรุ่นเดิมมากน้อยแค่ไหน มีจุดเด่นจุดด้อย ประการใดบ้าง เพื่อที่คุณผู้อ่านจะได้ใช้เป็นเครื่องมือประกอบการพิจารณาเลือกซื้อ รถตู้โดยสาร มาใช้งานในบ้านเรือนของคุณ

แน่นอนครับ ตามธรรมเนียมของ J!MMY ผมคงต้องพาคุณย้อนกลับไปแนะนำ ประวัติความเป็นมาของรถตู้รุ่นนี้กันสักหน่อย เพื่อให้เห็นกันตรงนี้ชัดเจนเลยว่า 20 ปีที่ผ่านมา Grand Carnival ถูกพัฒนาไปไกลเกินกว่าจุดเริ่มต้นดั้งเดิมที่มันเคยเป็น…ใครจะเชื่อว่า ครั้งหนึ่ง รถตู้รุ่นนี้ คือ อัศวินม้าขาวที่ช่วยให้ Kia Motor รอดพ้นจากหายนะจากวิกฤติเศรษฐกิจทั่วเอเซีย มาแล้ว…!

วิกฤติเศรษฐกิจทั่ว Asia ที่เริ่มขึ้นเมื่อ 1 กรกฎาคม 1997 ทำให้ Kia Motor ประสบปัญหาการเงินอย่างมาก ขาดทุนถึง 9.57 ล้านล้านวอน จนถึงขั้นประกาศล้มละลาย หลังพยายามแก้ปัญหามาทุกวิถีทาง จากสภาพปัญหาขาดสภาพคล่อง ทำให้เจ้าหนี้ต้องประกาศจัดการประมูล เพื่อหาผู้ซื้อกิจการของ Kia ทั้งหมด ในที่สุด Hyundai Motor คู่แข่งรายใหญ่ ก็เอาชนะ Ford Motor และ Daewoo Motor ในการประมูลดังกล่าว โดยเข้ามายื่นมือช่วยเหลือด้วยวิธี ซื้อหุ้น เพื่อเข้าควบรวมกิจการกัน เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 1998 และเปลี่ยนชื่อใหม่ กลายเป็น กลุ่มบริษัท Hyundai-Kia Automotive Group มาจนถึงปัจจุบัน (ซึ่งลดทอนสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือเพียงแค่ ร้อยละ 34 แล้ว)

ปัจจุบัน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ลดระดับเหลือเพียง การใช้ทรัพยากรด้านการออกแบบ วิจัย และพัฒนาร่วมกัน ณ ศูนย์ วิจัยเทคโนโลยี Hyundai-Kia Automotive ที่ Namyang รวมทั้งใช้พื้นที่ของตึกแฝด หรืออาคารสำนักงานใหญ่ในกรุง Seoul ร่วมกัน แต่ในด้านการผลิต การทำตลาด การขาย การบริการหลังการขาย จะถูกแยกออกจากกัน ปราศจากความเกี่ยวเนื่องกันโดยแทบจะสิ้นเชิง

อนาคตของ Kia ในตอนนั้น แทบไม่เหลือรุ่นไหนที่จะทำยอดขายได้เลย เพราะรถเก๋งรุ่นเล็ก Kia Rio รถเก๋ง C-Segment ยอดนิยม Kia Sephia กับ Kia Credos ยังขายดีสู้ Hyundai Sonata ที่ครองแชมป์อันดับ 1 ในตอนนั้น ไม่ได้เลย พวกเขาฝากความหวังเอาไว้กับรถยนต์นั่ง เพียงไม่กี่รุ่นที่ยังเหลือทำตลาดอยู่ ทั้ง Kia Pride รถยนต์นั่ง Sub-Compact 3 , 4 และ 5 ประตู ขนาดเล็ก ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานร่วมกับ Mazda 121 รุ่นแรก และ Ford Festiva รวมทั้ง Kia Avella ฝาแฝดของ Ford Festiva Generation 2 ซึ่งทำตลาดควบคู่กันไป ไปจนถึงรถตู้เล็ก รุ่น Besta กับ Pregio และ…รถตู้รุ่นใหม่ล่าสุดในตอนนั้น อย่าง Kia Carnival

เหตุผลในการพัฒนา Carnival รุ่นแรกนั้น เกิดขึ้นจากการขยายตัวของตลาดรถยนต์นั่ง Minivan ในสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ในช่วงปี 1983 – 1993 ได้ลุกลามมาถึง เกาหลีใต้ ต้องยอมรับว่า Chrysler Voyager คือรถตู้ Minivan ขนาดใหญ่ รุ่นบุกเบิก ที่สร้างปรากฎการณ์ในตลาดรถยนต์ฝั่งอเมริกาเหนืออย่างมาก จนเกิดกระแสความต้องการ Minivan 7 ที่นั่ง จากผู้ผลิตค่ายอื่นๆ บ้าง

ขณะนั้น Kia ยังไม่มีรถยนต์ Minivan 7 ที่นั่ง มาก่อน ไหนๆก็ไหนๆ พวกเขาตัดสินใจ ทุ่มงบประมาณพัฒนา Minivan ออกมา ถึง 3 รุ่นรวด เพื่อออกจำหน่ายในช่วงปี 1998 – 1999 แบ่งเป็นน้องเล็กรุ่น Caren 5 ที่นั่ง รุ่น Carstar / Joice (สร้างขึ้นจากพื้นฐานวิศวกรรมร่วมกันกับ Hyundai Santamo ซึ่งก็คือ Mitsubishi Chariot / Space Wagon รุ่นที่ 2 ปี 1991 – 1997 ที่ Hyundai ไปซื้อลิขสิทธิ์มาทำขายในแดนกิมจินั่นเอง

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองถึงคู่แข่งในตลาดตอนนั้น Hyundai ยักษ์อันดับ 1 ในเกาหลีใต้ มีรถตู้แบบ Minivan ขายอยู่ 2 รุ่น คือ Santamo (ซึ่งไปซื้อ Mitsubishi Space Wagon ปี 1991 – 1997 มาผลิตขายในแบรนด์ตนเอง) กับ รถตู้ Hyundai Starex บรรพบุรุษของ รถตู้ H-1 ซึ่ง Hyundai ก็ไปซื้อ Mitsubishi Delica Space Gear ปี 1995 มาผลิตขายในชื่อตนเองอีกเช่นกัน!) ปรากฎว่า ยังมีช่องว่างทางการตลาด สำหรับกลุ่มลูกค้าที่อยากได้ Minivan ขนาดใหญ่กว่า Santamo แต่ไม่ต้องการรูปลักษณ์ ที่ยกมาจากรถตู้ เหมือน Starex ซึ่งมีขนาดใหญ่เกินไป ดังนั้น เมื่อ Kia เห็นช่องว่างทางการตลาดดังกล่าว จึงพัฒนา Carnival ออกมาเอาใจลูกค้ากลุ่มนี้ในที่สุด

ผู้บริหารของ Kia Motor เปิดไฟเขียว อนุมัติหลักการ ในการพัฒนาและออกแบบ โครงการรถตู้ Minivan ขนาดใหญ่ เป็นครั้งแรก เมื่อเดือนพฤษภาคม 1994 หลังจากนั้น Kia ได้ทุ่มเงินลงทุนกว่า 1,300,000 ล้านวอน ซุ่มพัฒนารถตู้รุ่นนี้ นานถึง 3 ปี กับอีก 5 เดือน จึงได้ส่ง รถยนต์คันต้นแบบ ไปอวดโฉม สู่สายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรกในงาน Tokyo Motor Show เดือนตุลาคม 1997 ก่อนที่เวอร์ชันจำหน่ายจริง จะพร้อมออกสู่ตลาดเกาหลีใต้ เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 28 มกราคม 1998 ภายใต้ชื่อ Kia Carnival 1st Generation รหัสรุ่น KV-II ก่อนจะเริ่มเปิดตัว ในตลาดต่างประเทศ เดือนสิงหาคม 1998 ตามด้วยการเปิดตัวในตลาดยุโรป ช่วงเดือนธันวาคม 1998

ทันทีที่เปิดตัว Carnival ได้รับความนิยมอย่างสูง เพราะกลุ่มลูกค้าที่อยากได้รถตู้ Minivan แบบนี้ มีจำนวนมาก จุดเด่นอยู่ที่การออกแบบให้ตัวรถ มีขนาดใหญ่ เป็น Minivan ที่มีราคา เท่าๆกับรถเก๋งซีดานขนาดกลาง มีรูปลักษณ์โค้งมน ดูเป็นสากลมากขึ้น ราวกับได้แรงบันดาลใจมากจาก Minivan ฝั่งอเมริกาเหนือ อย่าง Chrysler Voyager ลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ Cd 0.32

นอกจากนี้ Kia ยังพยายามเน้นเรื่องความปลอดภัย ทั่งการเสริมคานรับแรงในประตูทุกบาน ติดตั้งถุงลมนิรภัยมาให้ ทั้งฝั่งคนขับ และผู้โดยสาร ตามแต่ละรุ่นย่อย แต่ละตลาด เป็นครั้งแรก ครบครันด้วยอุปกรณ์ทำงานด้วยสวิตช์ไฟฟ้า รวมทั้งซันรูฟเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า และการออกแบบให้ห้องโดยสาร สามารถเดินทะลุถึงกันได้แบบ Walk Through ในรุ่น 7 ที่นั่ง รวมทั้งยังสามารถปรับเบาะแถวกลาง ให้หมุนกลับด้าน 180 องศา ได้ เพื่อเปลี่ยนภายในรถให้เป็นห้องพักผ่อนของครอบครัว ลูกค้าชาวเกาหลีใต้ สั่งซื้อรุ่นเครื่องยนต์ Diesel เป็นจำนวนมาก เพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกช่วงนั้น เริ่มถีบตัวพุ่งขึ้นสูง

ตัวถังยาว 4,890 มิลลิเมตร กว้าง 1,895 มิลลิเมตร สูง 1,730 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,910 มิลลิเมตร มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 แบบ 2 ระดับความแรง

-K5 (KR) เบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว 2,497 ซีซี หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ 175 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 22.5 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที
– J3 Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,902 ซีซี Turbo 135 แรงม้า (PS) ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 31.5 กก.-ม.ที่ 2,000 รอบ/นาที

ทั้ง 2 เครื่องยนต์ ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และ อัตโนมัติ 4 จังหวะ พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียนพร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฮโดรลิค ระบบกันสะเทือนหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังแบบ Multi-Link (5-Link) พร้อมเหล็กกันโคลงทั้งหน้า-หลัง ระบบห้ามล้อแบบหน้าดิสก์ หลังดรัม หรือดิสก์ ขึ้นอยู่กับแต่ละตลาด เสริมด้วยระบบป้องกันล้อล็อก ABS

การปรับปรุงครั้งแรก สำหรับเวอร์ชันเกาหลีใต้ เริ่มขึ้นเมื่อ 27 เมษายน 1999 ด้วยการเพิ่มรุ่น LPG ติดตั้ง เครื่องยนต์ K5M สเป็กเหมือน K5 ปกติ แต่เติมก๊าซ LPG มีขายเฉพาะเกาหลีใต้ ลดกำลังลงเหลือ 150 แรงม้า (PS) ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดลดเหลือ 22.0 กก.-ม.ที่ 3,600 รอบ/นาที)

11 กุมภาพันธ์ 2001 รุ่นปรับโฉม Minorchange เปิดตัวในเกาหลีใต้ ในชื่อ Kia Carnival II เปลี่ยนกระจังหน้า เปลือกกันชนหน้า ชิ้นส่วนตัวถังด้านท้ายรวมทั้งแผงไฟท้ายใหม่ เพิ่มคิ้วกันกระแทกรอบคัน เปลี่ยนแผงหน้าปัดเป็นแบบใหม่ เบาะนั่ง การบุแผงประตูด้านใน ปรับปรุงใหม่ กระจกกรองแสงรอบคัน Solar Control Glass ปรับปรุงการเก็บเสียงและลดการสั่นสะเทือน NVH (Noise Vibration Harshness) เสริมโครงสร้างด้านหน้า ประตูหน้า และกันชน ให้แข็งแรงขึ้น เพื่อเพิ่มความปลอดภัย นอกจากนี้ ยังถือเป็นรุ่นแรกที่ KIA ส่งเข้าไปบุกตลาดอเมริกาเหนือ โดยผ่านมาตรฐานทดสอบความปลอดภัยจากการชนในระดับ 5 ดาว จาก หน่วยงานด้านความปลอดภัยยานยนต์และทางหลวงของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา NHTSA เมื่อเดือนธันวาคม 2001

21 มกราคม 2002 ปรับปรุงเครื่องยนต์ J3 Diesel 2,902 ซีซี ให้ผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro III ทำให้กำลังสูงสุด ลดเหลือ 130 แรงม้า (PS) ที่ 3,800 รอบ/นาที แต่แรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้นมาเป็น 33.0 กก.-ม. ที่ 1,800 รอบ/นาที รวมทั้งยังปรับปรุงวัสดุอุปกรณ์ภายในใหม่เล็กน้อย ต่อมา 29 มิถุนายน 2003 อัพเกรดอุปกรณ์ เพิ่มแผงกันความร้อนใต้ฝากระโปรงหน้า เปลี่ยนมาใช้โคมไฟหน้าพร้อมไฟเลี้ยวที่ถูกปรับปรุงให้มีความสว่างยิ่งขึ้น รวมทั้งยกเลิกการผลิตและจำหน่ายรุ่น 6 ที่นั่ง ไปโดยถาวร

15 มกราคม 2004 ได้มีการเพิ่มแผงควบคุมที่พวงมาลัย และเพิ่มลายไม้ให้ดูหรูหรา และได้ออกแบบล้ออัลลอยด์ใหม่ นอกจากนี้ ยังเพิ่มชดเครื่องเสียงแบบมีหน้าจอระบบการนำทาง GPS Navigation System ในตัว และระบบเซ็นเซอร์ที่กันชนหลัง จากนั้น วันที่ 5 มิถุนายน 2005 Carnival-II ถูกปรับโฉมครั้งสุดท้าย โดยมีการเปลี่ยนกระจังหน้าให้เป็นแบบ ซี่นอน เปลี่ยนฝาครอบไฟหน้าอลุมมิเนียมสีดำ และล้ออัลลอยแบบปัดเงา กระจกด้านอกเคลือบสารกันน้ำแบบพิเศษ และกระจกมองหลังแบบ ECM เพิ่มความหรูหราด้วยพนักพิงแบบหนังธรรมชาติ

Carnival เวอร์ชันไทย เปิดตัวในบ้านเราครั้งแรก พร้อมกับการประกาศเปิดตัว Yontrakit Kia Motor ในฐานะผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ Kia อย่างเป็นทางการรายใหม่ ณ งาน Motor Expo เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 1999 โดยมีให้เลือกเพียงรุ่น เบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว 2,398 ซีซี 170 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 21.5 กก.-ม.ที่ 4,250 รอบ/นาที ขับล้อหน้า เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ เพียงแบบเดียว ติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานครบครัน ทั้งเบาะนั่งแบบ 2-3-2 รวม 7 ที่นั่ง เบาะแถวกลางปรับหมุนได้ 180 และปรับเป็นโต๊ะวางของได้ แผงหน้าปัดประดับลายไม้ (ทำในประเทศไทย) ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ระบบเบรก หน้าดิสก์ หลังดรัม พร้อมระบบป้องกันล้อล็อก ABS และระบบปรับตั้งผ้าเบรกอัตโนมัติ ฯลฯ ตั้งราคาไว้ที่ 1,460,000 บาท

จากนั้น 30 พฤศจิกายน 2001 Kia Carnival Minorchange รุ่นปี 2001 ก็ถูกเปิดตัว ณ งาน Motor Expo ตามออกมา ในระยะเวลาราวๆ 1 ปีเศษ มีการปรับปรุงเครื่องยนต์ V6 DOHC 24 วาล์ว 2,398 ซีซี เดิม ให้ผ่านมาตรฐานมลพิษในบ้านเรา กำลังสูงสุดลดลงมา เหลือ 163 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดลดลงนิดเดียว เหลือ 21.1 กก.-ม.ที่ 4,500 รอบ/นาที เครื่องยนต์ลูกนี้ ขึ้นชื่อลือชาว่า เรี่ยวแรงพไหว แต่กินน้ำมันเอาเรื่อง จุกจิก ซ่อมโน่น นี่ นั่น ตลอด แต่ด้วยความนิยมที่มีมาอย่างต่อเนื่องทำให้ Yontrakit ตัดสินใจ นำ Carnival มาขึ้นสายการประกอบในประเทศไทย ณ โรงงาน Y.M.C General Assembly ที่บางชัน ในปี 2004 และทำตลาดจนถึงปี 2006

Carnival รุ่นแรก ทำตลาดในเกาหลีใต้ จนถึงเดือนกรกฎาคม 2005 แต่ยังคงผลิตเพื่อการส่งออกไปยังตลาดนอกเกาหลีใต้จนถึงเดือนตุลาคม 2005 ตลอดอายุตลาด Kia Carnival รุ่นแรก ทำยอดขายไปได้ 219,400 คัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดอเมริกาเหนือ Carnival ขายได้ 15,069 คัน ในปีแรกที่ออกจำหน่าย ก่อนจะเพิ่มเป็น 39,088 คันในปี 2002 แล้วพุ่งทะยานขึ้นเป็น 50,628 คันในปี 2003 ก่อนจะขึ้นสู่จุดสูงสุด 61,149 คัน ในปี 2004 และปิดท้ายปี 2005 ด้วยตัวเลข 52,837 คัน

จุดด้อยสำคัญของ Carnival รุ่นแรก อยู่ที่ ฝาถังน้ำมัน ติดตั้งใกล้กับบานประตูเลื่อนมากไป ทำให้ผู้โดยสารเบาะแถวกลาง ไม่สามารถเปิดประตูฝั่งซ้ายเพื่อลงจากรถได้ ในขณะเติมน้ำมัน อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องความทนทานของชิ้นส่วนอะไหล่ในเครื่องยนต์ และด้านความปลอดภัยที่ยังไม่ดีพอเมื่อเทียบกับคู่แข่ง

รุ่นที่ 2 รหัสรุ่น VQ ถูกสร้างขึ้นในเวลา 26 เดือน ด้วยเงินลงทุนกว่า 250 พันล้านวอน เปิดตัวครั้งแรกในโลก ณ งาน Chicago Auto Show เมื่อ 14 เมษายน 2005 แต่กว่าจะเริ่มผลิตออกสู่ตลาดได้จริง Kia เลือกที่จะทุ่มกำลังการผลิตรุ่นตัวถังยาว LWB ในช่วงแรกไปให้กับสหรัฐอเมริกาก่อน ลูกค้าชาวอเมริกัน เริ่มรับรถได้ตั้งแต่เดือน กันยายน 2005 ขณะที่ลูกค้าชาวเกาหลีใต้เอง ก็ต้องรอจนถึง 12 มกราคม 2006 จึงจะได้อุดหนุนเป็นเจ้าของรุ่นตัวถังสั้น SWB กัน

Carnival รุ่นที่ 2 ถูกสร้างขึ้นมาให้มีตัวถัง 2 ขนาดความยาว คือรุ่นช่วงสั้นมาตรฐาน Short Wheelbase (SWB) มีความยาว 4,810 มิลลิเมตร และรุ่นช่วงยาว Long Wheelbase (LWB) ซึ่งเพิมขนาดตัวถังให้ยาวขึ้นอีก เป็น 5,130 มิลลิเมตร ทั้ง 2 ตัวถัง กว้างเท่ากันที่ 1,985 มิลลิเมตร สูงระหว่าง 1,760 – 1,830 มิลลิเมตร (ขึ้นอยู่กับรางหลังคา) ระยะฐานล้อรุ่นช่วงสั้น 2,890 มิลลิเมตร รุ่นช่วงยาว 3,020 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า/หลัง เท่ากันหมดที่ 1,685 มิลลิเมตร ภาพรวมแล้ว ตัวรถมีเส้นสายตัวถังที่เน้นเหลี่ยมสันมากขึ้นกว่ารุ่นเดิมอย่างชัดเจน จนอาจดูเชยไปสักหน่อย เมื่อเทียบกับบรรดาคู่แข่งชาติอื่นๆในขณะนั้น

จุดเด่นของ Carnival VQ คือ การติดตั้งบานประตูคู่หลังเลื่อนได้แบบไฟฟ้า รวมทั้งฝาท้ายเปิด – ปิดได้ด้วยไฟฟ้า Auto tailgate รวมทั้งแร็คพวงมาลัยแบบเลือกปรับรัศมีวงเลี้ยวได้ VRS (Variable Rack Stroke system) เป็นระบบควมคุมรัศมีวงเลี้ยว ในกรณีที่สวมโซ่ไว้ขับขี่ในฤดูหนาว ช่วยเพิ่มหรือลดรัศมีวงเลี้ยวจาก 6.3 เหลือ 5.51 เมตร พัฒนาโดย Hyundai-Kia Automotive Research Institute เป็นครั้งแรก

เวอร์ชันเกาหลีใต้ มีเครื่องยนต์ที่มีให้เลือก 2 แบบ
– L6EA LPG 4 สูบ 16 วาล์ว 2,656 ซีซี 161 แรงม้า (PS) ที่ 5,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 25.0 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที
– J3 Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,902 ซีซี CRDi Turbo พร้อมระบบแปรผันวาล์ว CVVT 170 แรงม้า (PS) ที่ 3,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 36.0 กก.-ม.ที่ 2,000 – 3,000 รอบ/นาที

สำหรับเวอร์ชันส่งออก และสหรัฐอเมริกา จะไม่มีรุ่น LPG แต่จะมีเครื่องยนต์ เบนซิน ไซส์ใหญ่ 2 แบบ ดังนี้
– เบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว 2,656 ซีซี พร้อมระบบแปรผันวาล์ว CVVT 189 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 25.4 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที (รุ่น SWB) พ่วงเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ 4 จังหวะ
– เบนซิน V6 DOHC 32 วาล์ว  3,778 ซีซี 247 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 35 กก.-ม.ที่ 3,500 รอบ/นาที (รุ่น LWB) พ่วงเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ 5 จังหวะ
– Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,902 ซีซี CRDi Turbo 160 แรงม้า (PS) ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 35 กก.-ม.ที่ 2,000 – 3,000 รอบ/นาที พ่วงเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ 5 จังหวะ

ทุกขุมพลัง มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ 4 หรือ 5 จังหวะ พวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียนพร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฮโดรลิค ระบบกันสะเทือนหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังแบบ Multi-Link ระบบห้ามล้อ เป็นแบบหน้าดิสก์หลังดรัม หรือดิสก์เบรก 4 ล้อ ตามแต่ละตลาดและรุ่นย่อย เสริมระบบ ABS และ EBD กับถุงลมนิรภัย 2-4 หรือ 6 ใบ ตามแต่ละรุ่นย่อยและแต่ละประเทศ

การปรับโฉมสำหรับตลาดเกาหลีใต้ มีขึ้นครั้งแรกเมื่อ 26 มีนาคม 2006 Kia เพิ่มรุ่นย่อยระดับหรู Kia Grand Carnival Limousine 11 ที่นั่ง ตกแต่งหรูพิเศษ ด้วยสีขาวและสีดำ เพิ่มออพชันไฟฟ้า และเบาะหนังเข้าไปเต็มพิกัด จากนั้น 5 กุมภาพันธ์ 2007 จึงเพิ่มเครื่องยนต์ Diesel 2,902 ซีซี CRDi 160 แรงม้า (PS) สำหรับรุ่น 11 ที่นั่ง เข้ามาให้เลือก ตามด้วยการเสริมทัพขุมพลัง L6EA LPG 161 แรงม้า (PS) ในเดือนตุลาคม 2007

6 มกราคม 2010 รุ่นปรับโฉม Minorchange ออกสู่ตลาดเกาหลีใต้ ในชื่อ Kia Carnival R เปลี่ยนกระจังหน้าใหม่ มาเป็นแบบ Tiger Nose เหมือนบรรดา Kia รุ่นอื่นๆ ที่เปิดตัวในช่วงเวลาเดียวกัน วางเครื่องยนต์แบบใหม่ ยกชุดมาจาก SUV รุ่น Sorento R มีทั้งรหัส D4HB Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,199 ซีซี Common-Rail-Turbo CRDi 197 แรงม้า (PS) ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด มีทั้งแบบ 43.0 และ 44.5 กก.-ม.ที่ 1,800 – 2,500 รอบ/นาที ตามสเป็กของแต่ละรุ่นย่อย ส่วนเครื่องยนต์ L6EA เติมก๊าซ LPG 161 แรงม้า (PS) ยังคงทำตลาดควบคู่ไปด้วย

2 ธันวาคม 2010 เพิ่มอุปกรณ์ใหม่ เสริมถุงลมนิรภัยด้านข้าง และระบบควบคุมการทรงตัว ESP จากนั้นเดือนมิถุนายน 2011 Kia ได้เพิ่มเครื่องยนต์ขนาดใหญ่สุด G6DC เบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว 3,470 ซีซี 275 แรงม้า (PS) ที่ 6,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 34.3 กก.-ม.ที่ 4,500 รอบ/นาที เข้ามาให้ลูกค้าได้เลือกใช้ ต่อมา รุ่นเครื่องยนต์ L6EA LPG ยุติการผลิตในเดือนธันวาคม 2011 และการกระตุ้นตลาดครั้งสุดท้าย มีขึ้นเมื่อ 5 มีนาคม 2013 โดยเพิ่มล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว ลายใหม่ และ เพิ่มช่องใส่ Tablet ใต้แผงคอนโซลด้านหน้า และเข็มขัดนิรภัย 3 จุด ครบทุกที่นั่ง สำหรับรุ่นช่วงสั้น รวมทั้ง 16 สิงหาคม 2013 ได้ปรับปรุงระบบล็อกความเร็วคงที่ไว้ให้ทำงานได้ ไม่เกิน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง

Carnival รุ่นที่ 2 เคยถูก Hyundai สั่งเข้าไปประกอบขาย ที่โรงงานของตนในสหรัฐอเมริกา ซึ่งก่อตั้งร่วมกับ Kia โดยเปลี่ยนกระจังหน้า เปลี่ยนโลโก้รอบคันแล้ว เปลี่ยนชื่อเป็น Hyundai Entourage เพื่อหวังอุดช่องว่างในตลาดรถตู้ Minivan ของตนที่นั่น ตามแผนเดิมคือ ยกเลิกไปในเดือน สิงหาคม 2005 แต่จู่ๆ Hyundai กับ Kia ก็รื้อแผนนี้ กลับมาอีกครั้ง โดยยึดกำหนดเปิดตัวเดิมไว้คือ งาน Chicago Auto Show เดือนกุมภาพันธ์ 2006 ก่อนส่งขึ้นโชว์รูมในเดือนเมษายน 2006 มีให้เลือกเฉพาะรุ่นตัวถังยาว LWB เท่านั้น เพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับ Hyundai Verucruz Crossover SUV 7 ที่นั่ง สำหรับตลาดอเมริกาเหนือ โดยวางเครื่องยนต์ Lambda V6 DOHC 24 วาล์ว 3.8 ลิตร จาก Canival / Sedona แต่กลับกลายเป็นว่า ขายไม่ดี เพราะลูกค้าชาวอเมริกันไม่โง่ พวกเขาเดินเข้าโชว์รูม Kia และยังคงสั่งซื้อ Carnival ในชื่อ Kia Sedona กันต่อไป ทำให้ Hyundai ต้องประกาศในเดือนเมษายน 2009 ว่าจะยุติการทำตลาด Minivan รุ่นนี้ ภายในสิ้นปี โดยจะไม่มีรุ่นปี 2010 อีกต่อไป

ฝั่ง Kia เอง ก็เหนื่อยไม่แพ้กัน ตัวเลขยอดขายในสหรัฐอเมริกา ซึ่งยังคงเป็นตลาดหลัก กลับลดลง เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจ ในปี 2008 และการแข่งขันที่รุนแรง เพราะคู่แข่งพากันทะยอยเปิดตัวรถตู้รุ่นใหม่ ที่ไฉไลกว่า ทำให้ ตัวเลขยอดขายของ Sedona ไม่สวยงามนัก ปี 2006 ขายได้ 57,018 คัน พอถึงปี 2007 ตัวเลขลดลงเหลือ 40,493 คัน ปี 2008 ตัวเลขดิ่งลงเหลือ 26,915 คัน ปี 2009 ดีขึ้นเล็กน้อยเป็น 27,398 คัน พอปี 2010 ก็หล่นเหลือ 21,823 คัน ปี 2011 เพิ่มเป็น 24,047 คัน ปี 2012 ร่วงเหลือ 17,512 คัน และปี 2013 ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อรการมาถึงของรุ่นปลี่ยนโฉม ขายได้แค่ 7,079 คัน

เวอร์ชันไทย ทำตลาดด้วยรุ่นช่วงยาว LWB เปิดตัวครั้งแรก ในงาน Motor Expo 2006 เปลี่ยนจากขุมพลังเบนซิน มาวางเครื่องยนต์ J3 Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,902 ซีซี CRDi พ่วง Turbo 185 แรงม้า (PS) ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 36.0 กก.-ม.ที่ 2,000 – 3,000 รอบ/นาทีระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 12.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 197 กิโลเมตร/ชั่วโมง จากนั้น ในงาน Motor Expo เดือนพฤศจิกายน 2008 จึงเพิ่มรุ่นพิเศษ Grand Carnival CEO 08 ออกมาในราคา 1,764,000 บาท

ในตลาดโลก Carnival รุ่นช่วงสั้น ยุติการผลิตลงในเดือนกันยายน 2013 คงเหลือไว้แต่รุ่นตัวถังยาว 7-8 และ 11 ที่นั่ง ทำตลาดกันแบบเรื่อยๆ ยาวๆ จนถึงเดือนมิถุนายน 2014

เมื่อปฏิทิน เดินทางมาถึงปี 2014 Kia Carnival ทั้ง 2 Generation มียอดขายสะสมรวม 570,000 คัน เฉพาะในตลาดเกาหลีใต้ และ 890,000 คัน ในตลาดส่งออกทั่วโลก แม้ยอดขายรายปีจะลดลงไป แต่ตัวเลขสะสมที่มากมายขนาดนี้ ย่อมง่ายต่อการตัดสินใจเปิดไฟเขียวของผู้บริหาร Kia ในการพัฒนา Carnival รุ่นต่อไป

การพัฒนา Carnival 3rd Generation เริ่มต้นขึ้น ราวๆ เดือนมกราคม 2010 ใช้เวลาไปรวมทั้งสิ้น 52 เดือน (หรือ 4 ปี กับอีก 4 เดือน) กับเงินลงทุนอีกมากถึง 350 พันล้านวอน  เพื่อพลิกโฉมให้กับ Grand Carnival ใหม่ แบบไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลย

การพัฒนารุ่นใหม่ มุ่งเน้นให้ความสำคัญไปยังตลาดอเมริกาเหนือ โดยเจาะกลุ่มลูกค้า ผู้ชาย หัวหน้าครอบครัว วัย 35 – 44 ปี ที่มีบุคลิกของความเป็นพ่อ และความเป็นเพื่อนที่ดี ของลูก ในคนคนเดียวกัน (Friend + Daddy)

อย่างไรก็ตาม Kia กลับตัดสินใจ ไม่ส่ง Grand Carnival ใหม่ ไปทำตลาดในยุโรป โดยให้เหตุผลว่า ในอดีต Carnival รุ่นที่ 2 มีให้เลือกทั้งรุ่นช่วงสั้น และช่วงยาว แน่นอนว่า ตลาดอเมริกาเหนือ และทั่วโลก นิยมรุ่นช่วงยาวเป็นหลัก ขณะที่รุ่นช่วงสั้น ทำยอดขายในยุโรปได้ดีกว่า แต่ก็ยังไม่ถึงกับมากนัก เมื่อเทียบกับยอดขายจากรุ่นฐานล้อยาว

ขณะเดียวกัน การแข่งขันในตลาด Minivan 5 และ 7 ที่นั่ง ในยุโรป รุนแรงมาก ท่ามกลางความต้องการที่เริ่มหดตัวลง และผู้ผลิตชาวยุโรป ทั้งในเยอรมนี และฝรั่งเศส ต่างเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งมาก ยากต่อการเจาะตลาดเข้าไป ดังนั้น ในเมื่อ Carnival ทำยอดขายในตลาดอเมริกาเหนือ ได้ดีกว่า ดังนั้น การพัฒนารถยนต์จึงต้องมุ่งเอาใจลูกค้ากลุ่มใหญ่สุดอย่างชาวอเมริกัน ไว้ก่อน

เมื่อเป็นเช่นนั้น ทีมวิศวกรของ Kia จึงเลือกเอใจลูกค้าชาวอเมริกัน ด้วยการพัฒนารถรุ่นใหม่ ออกมาแค่รุ่นฐานล้อยาวเพียงแบบเดียวเท่านั้น ทำให้ขนาดตัวถังของ Carnival ใหม่ ใหญ่โตขึ้นมาก จนทำให้มีแนวโน้มว่าอาจไม่ได้รับความนิยมในตลาดยุโรป ซึ่งต้องการ Minivan ขนาดเล็กกว่ามาก ต่อให้เป็น Minivan ของกลุ่ม PSA Peugeot / Citroen ก็ยังมีขนาดเล็กกว่า Carnival ใหม่

เนื่องด้วยเหตุผลดังกล่าว รุ่นที่ 3 ของ Carnival จึงถูกเรียกชื่อใหม่ว่าเป็น Grand Carnival เนื่องจากตัวรถถูกเพิ่มขนาดตัวถังให้ใหญ่โตบ้านบึ้ม เกินกว่า Carnival รุ่นเดิมไปไกลโขนั่นเอง

เมื่อการพัฒนา สุกงอมจนได้ที่ Kia Motor จึงเริ่มปล่อยภาพ Teaser ด้านหน้ารถของ Minivan รุ่นใหม่นี้เป็นครั้งแรก เมื่อ 3 เมษายน 2014 จากนั้น ตามด้วยภาพ Teaser ด้านข้างของตัวรถ เมื่อ 10 เมษายน 2014 ก่อนจะนำไปเปิดผ้าคลุมต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ ณ งาน New York Interntional Auto Show เมื่อ 15 เมษายน 2014

จากนั้น เป็นคิวของลูกค้าชาวเกาหลีใต้ ที่ได้สัมผัสกับ Grand Carnival เป็นประเทศที่ 2 งานแถลงข่าว Media Preview มีขึ้นเมื่อ 22 พฤษภาคม 2014 พร้อมกับเปิดรับจองจากลูกค้าชาวเกาหลีใต้ ไปพร้อมกัน Kia ฝากความหวังและทุ่มโฆษณา Grand Carnival ใหม่อย่างถี่ยิบ ด้วยสารพัดแคมเปญการตลาด ที่เน้นสื่อถึงการตั้งคำถามกับพ่อบ้านชาวเกาหลีใต้ทั้งหลาย ในทำนองว่า “คุณพาลูกไปเที่ยวครั้งสุดท้าย เมื่อไหร่?”

เพียง 2 วันหลังการเปิดตัว 27 พฤษภาคม 2014 Kia ออกมาประกาศถึงยอดสั่งจองเฉพาะในตลาดบ้านเกิดของตนเอง คือเกาหลีใต้ ว่า สูงถึง 5,000 คัน ทำลายสถิติ Kia K7 Saloon ที่เคยทำไว้ได้ในระดับ 3,100 คัน ถือว่า ทะลุเป้าจำหน่าย 4,000 คัน/เดือน ที่วางไว้ไปเรียบร้อย ไม่เพียงเท่านั้น ยอดสั่งจองยังคงพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับ 12,000 คัน ในเวลา 1 เดือนหลังเปิดตัว และเมื่อผ่านไปอีก 2 สัปดาห์ จนถึง 14 กรกฎาคม 2014 ยอดจองก็พุ่งขึ้นไปเป็น 17,000 คัน (เฉพาะยอดจองวันที่ 1 – 15 กรกฎาคม 2014 ก็ปาเข้าไปแล้วถึง 4,700 คัน!)  ทั้งๆที่ Kia วางกำลังการผลิต Grand Carnival ใหม่ ทั้งเพื่อรองรับตลาดในประเทศ และเพื่อตลาดส่งออกไว้ที่ระดับ 5,000 คัน/เดือน ทำให้ในที่สุด Kia ต้องตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นเป็น 8,000 คัน/เดือน โฆษกของ Kia Motor ที่เกาหลีใต้ ให้เหตุผลว่า “ยอดขายที่สูงพรวดพราดเช่นนี้ ส่วนหนึ่งมาจากความนิยมในกิจกรรมสันทนาการ ตั้งแคมป์ ตามต่างจังหวัดของชาวเกาหลีใต้ เพิ่มสูงขึ้น”

สำหรับประเทศไทย Yontrakit Kia Motor สั่งนำเข้ารถตู้รุ่นนี้ มาเปิดตัวเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2015 พร้อมกับ Kia Soul Full Modelchange 2.0 ลิตร ก่อนจะนำไปจอดโชว์ในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2015 โดยมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย คือ LX ราคา 1,595,000 บาท และรุ่น EX 1,928,000 บาท ได้รับความนิยมจากลูกค้าเป็นอย่างดีเกินคาดหมาย ก่อนที่รุ่น 7 ที่นั่ง Option จัดเต็ม จะตามมาเปิดตัวในงาน Bangkok Internatinal Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2017 ที่ผ่านมา โดยติดป้ายราคา 2,999,000 บาท ซึ่งแพงขึ้นเนื่องจากเหตุผลด้านภาษี

Grand Carnival ใหม่ มีขนาดตัวถังใหญ่โตอลังการมากกว่ารุ่นเดิมชัดเจน ด้วยความยาวถึง 5,115 มิลลิเมตร กว้าง 1,985 มิลลิเมตร (หรือเกือบ 2 เมตร!!) สูง 1,755 มิลลิเมตร (รวมแร็คราวหลังคา) ระยะฐานล้อ ยาวถึง 3,060 มิลลิเมตร ซึ่งยาวพอๆกับรถกระบะ Toyota Hilux Tiger X-Tra Cab ปี 2001 กันเลยทีเดียว! ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า / หลัง (Front & Rear Thread) อยู่ที่ 1,740 / 1,747 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวรถ Gross weight อยู่ที่ 2,770 กิโลกรัม ระยะห่างจาพื้นถนนจนถึงใต้ท้องรถ (Ground Clearance) อยู่ที่ 171 มิลลิเมตร

หากเปรียบเทียบกับ Kia Grand Carnival รุ่นที่ 2 รุ่นตัวถังยาว LWB ซึ่งมีความยาว 5,130 มิลลิเมตร กว้าง 1,985 มิลลิเมตร สูง 1,830 มิลลิเมตร (รวมแร็คหลังคา) ระยะฐานล้อ 3,020 มิลลิเมตร แล้ว จะพบว่า รถรุ่นใหม่ สั้นกว่าเดิม 15 มิลลิเมตร กว้างเท่าเดิม แต่เตี้ยลง 75 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาวขึ้นถึง 40 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า/หลัง เพิ่มขึ้น 50 มิลลิเมตร

แต่ถ้าต้องเปรียบเทียบกับคู่แข่งตรงๆตัวในบ้านเรา อย่าง Hyundai H-1 ซึ่งมีความยาว 5,120 มิลลิเมตร กว้าง 1,920 มิลลิเมตร สูง 1,925 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 3,200 มิลลิเมตร แล้ว จะพบว่า Grand Carnival ใหม่ สั้นกว่า H-1 แค่ 5 มิลลิเมตร แต่กว้างกว่า H-1 ถึง 60 มิลลิเมตร เตี้ยกว่าถึง 170 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อสั้นกว่า H-1 ถึง 140 มิลลิเมตร

และถ้าลองเปรียบเทียบกับ 2 คู่แฝดมหาประลัย Toyota Alphard / Vellfire รุ่นล่าสุด ซึ่งมีความยาว 4915 – 4,930 มิลลิเมตร กว้าง 1,890 มิลลิเมตร สูง 1,895 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 3,000 มิลลิเมตร แล้ว คุณจะพบว่า Grand Carnival ใหม่ ยาวกว่า Alphard/Vellfire ถึง 185 มิลลิเมตร กว้างกว่า 95 มิลลิเมตร เตี้ยกว่า 140 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาวกว่า 60 มิลลิเมตร

รูปลักษณ์ภายนอกถูกออกแบบให้เน้นความเรียบง่าย แต่ดูโอ่อ่า หรูหรา ทรงภูมิ ทรงพลัง อย่างภูมิฐาน ในแบบ Modern Premium ถือเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของ Peter Schreyer อดีต Chief Designer ของ Kia ผู้เคยฝากผลงานไว้กับ การออกแบบ รถสปอร์ตอย่าง Audi TT และเป็นผู้กำหนดแนวทางงานออกแบบของ Kia ตั้งแต่ปี 2008 มาจนถึงปัจจุบันนี้

เห็นครั้งแรก ผมมองว่า สวย! มันดูสวยงามกว่าบรรดาคู่แข่งที่แท้จริงของมันในตลาดอเมริกาเหนือ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Toyota Sienna , Nissan Quest , Honda Odyssey หรือ Chrysler Pacifica ด้วยเส้นสายที่เรียกง่ายแต่ใหญ่โต น่าเกรงขามแบบนี้ ทำให้ Grand Carnival สามารถยืนยันฟัดเหวี่ยงกับคู่ต่อสู้ทั้ง 4 รุ่นดังกล่าวได้อย่างไม่น้อยหน้าใครเขาเลย

กระจังหน้าเป็นแบบ Tiger Nose เอกลักษณ์ใหม่ของแบรนด์ Kia ถูกออกแบบมา 2 เวอร์ชัน คือ แบบซี่นอน สำหรับตลาดเกาหลีใต้ และแบบตาข่ายวงรี ที่ใช้ทำลาดต่างประเทศ รวมทั้งในเมืองไทย ล้อมกรอบด้วยโครเมียม และมีสัญลักษณ์ของ KIA อยู่ด้านบนสุด เหนือกระจังหน้าขึ้นไป

Grand Carnival ใหม่ เวอร์ชันไทย ยังคงให้ชุดไฟหน้าแบบ Projector แต่ใช้หลอด Halogen พร้อมกับไฟหรี่ด้านหน้า และไฟ Daytime Running Light แบบ LED กรอบกระจกมองข้าง ติดตั้งไฟเลี้ยวแบบ LED ส่วนรุ่น EX จะเพิ่ม ไฟตัดหมอกหน้าแบบ Projector พร้อมโครเมียมล้อมกรอบ มาให้โดยเฉพาะ

ส่วนด้านหลัง กระจกหน้าต่างขนาดใหญ่ ถูกออกแบบให้ยกระดับขอบสะเอวขึ้นมาจากบานประตูคู่หลังเล็กน้อย แถมยังลากยาวต่อเนื่องไปยังบานประตูห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ในแบบ Wrap around

ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง มีสปอยเลอร์เหนือกระจกบังลมหลัง ติดตั้งไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ไว้ในตัว บนหลังคามีเสาอากาศวิทยุแบบครีบฉลาม (Shark Fin) ตามสมัยนิยม ใบปัดน้ำฝนหลังพร้อมหัวฉีดน้ำล้างกระจก กับไล่ฝ้า และแผงทับทิมสะท้อนแสงยามค่ำคืน ที่เปลือกกันชนหลัง ทั้งหมดนี้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ของทกรุ่นย่อย

ส่วนรุ่น EX จะเพิ่ม ชุดไฟท้ายพร้อมไฟเบรกแบบ LED แร็คหลังคา สำหรับเชื่อมติดตั้ง Rack Rail ไว้บรรทุกสัมภาระ จักรยาน หรือกล่องเก็บของบนหลังคา รวมทั้งมีขอบโครเมียม ประดับอยู่เหนือขอบกระจกหน้าต่างรอบคัน มาให้เป็นพิเศษ

รุ่น LX จะให้ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว สวมยางขนาด 235/65R17 แต่ในรถคันที่เราทดลองขับ ซึ่งเป็นรุ่น EX จะติดตั้งล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว สวมยางขนาด 235/60R18 จาก Kumho รุ่น

ระบบกลอนประตู เปลี่ยนมาใช้กุญแจ Remote Control แบบ Keyless Entry มีสวิตช์สั่งล็อกประตูทุกบาน อยู่บนวงกลมด้านบนสุด ถัดลงมาเป็นสวิตช์ปลดล็อกบานประตูทุกบาน ตามด้วยสวิตช์สั่งเปิด – ปิด บานประตูเลื่อนทั้งฝั่งซ้าย และขวา รวมทั้งสวิตช์เปิดฝาประตูห้องเก็บสัมภาระด้านหลังด้วยไฟฟ้า ซึ่งต้องกดปุ่มนี้แช่ค้างไว้ราวๆ 2-3 วินาที บานฝาท้ายถึงจะปลดล็อกและเปิดยกขึ้นให้

แม้ว่าตัวกุญแจจะออกแบบมาสวย และใช้วัสดุที่ให้น้ำหนักกำลังดี ดุจรีโมทกุญแจของรถยนต์ระดับ Premium แถมยังมีระบบกางกระจกมองข้างไฟฟ้า ในทันทีที่คุณเดินเข้าใกล้ตัวรถ ทว่า Grand Carnival เวอร์ชันไทย ยังคงไม่มีระบบ Smart Entry ดึงมือจับเปิดประตูรถได้ทันทีมาให้แต่อย่างใด หากต้องการจะปลดล็อก หรือสั่งล็อกรถ คุณยังคงต้องกดปุ่มสีดำ Smart Key Lock บนมือจับประตูฝั่งคนขับ เหมือนเช่นรถเก๋งประกอบในประเทศหลายๆรุ่น อยู่ดี แถมสวิตช์นี้ ยังมีเฉพาะรุ่นท็อป EX เท่านั้นอีกต่างหาก!

มือจับประตูพ่นสีเดียวกับตัวถัง มีรูกุญแจให้ แต่เฉพาะรุ่น EX จะเพิ่มอุปกรณ์พิเศษก็คือ หากกดปุ่มปลดล็อกแล้ว จะมีไฟเรืองแสงที่มือจับฝั่งคนขับมาให้ เพื่อเพิ่มการมองเห็น ในยามค่ำคืน คล้ายกับมือจับเปิดประตูของ BMW หรือ Mercedes-Benz บางรุ่น

ช่องทางเข้า – ออกจากบานประตูคู่หน้า มีขนาดใหญ่โต และกว้างเอาเรื่อง ช่วยทำให้การก้าวขึ้น – ลงจากเบาะคู่หน้า สะดวกสบาย หากปรับเบาะนั่งในระดับต่ำสุด ตำแหน่ง Hip-Point (บั้นเอว) ของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ก็ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า เบาะคู่หน้าของบรรดารถตู้ที่ขายกันอยู่ในบ้านเรา ทั้ง Hyundai H-1 รวมถึง Toyota Alphard / Vellfire กระนั้น ความสูงจากพื้นถนนจนถึงตำแหน่งเบาะรองนั่ง ยังใกล้เคียงกับ Nissan Elgrand / Quest รุ่นล่าสุด

อย่างไรก็ตาม การเข้า – ออกจากรถ จำเป็นต้องก้มหัวลงเล็กน้อย เพราะมิเช่นนั้น โอกาสที่ศีรษะคุณอาจไปโขกกับเสาโครงหลังคา บริเวณกรอบช่องประตู ก็ยังมีหลงเหลืออยู่บ้าง

แผงประตูด้านข้าง ตกแต่งด้วยวัสดุบุนุ่ม ตั้งแต่แผงสีเทาดำท่อนบน จนถึงพื้นที่ด้านข้างพนักวางแขน ซึ่งออกแบบให้อยู่ในตำแหน่งเหมาะสม ดังนั้น ท่อนแขนของคุณจะวางอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม สบายกำลังดี

บริเวณมือจับ และแผงสวิตช์กระจกไฟฟ้า เป็นวัสดุแบบแข็ง เหมือนเช่นท่อนล่างของแผงประตู ซึ่งออกแบบให้เป็นช่องใส่ของขนาดยักษ์ สามารถวางขวดน้ำดื่มขนาดใหญ่ ได้สบายๆ รวมทั้งใส่เอกสาร หรือข้าวของจุกจิกได้เหลือเฟือ ด้านล่าง มีแผงทับทิมสีแดง สำหรับส่องสว่างให้รถคันที่แล่นตามมาในยามค่ำคืน ได้เห็นชัดว่าคุณกำลังเปิดประตูรถอยู่

เบาะนั่งคู่หน้า หุ้มด้วยหนังสีเบจ ที่มีพื้นผิวดีขึ้นกว่า Grand Carnival รุ่นก่อน ให้ความสว่าง สวยงาม และดูมีราคาแพง สามารถปรับระดับสูง – ต่ำ เลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง และปรับเอน หรือตั้งชัน รวมได้มากถึง 8 ทิศทาง ครบทั้งฝั่งผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านซ้าย เสียดายว่า ไม่มีระบบหน่วยความจำตำแหน่งเบาะ-กระจกมองข้าง-พวงมาลัย มาให้เลย

ตัวเบาะ ออกแบบมาในสไตล์ “แน่น – นุ่ม” ดุจนั่งอยู่บนโซฟาหนาๆ พนักพิงหลัง รองรับแผ่นหลังรวมไปถึงช่วงหัวไหล่ได้ดี ปีกเบาะด้านข้าง โอบกระชับสรีระด้านข้างได้อย่างพอดีตัว ไม่แน่นหรือไม่กางออกจนเกินไป ขณะเดียวกัน เบาะรองนั่งก็ยังหนาแน่น-นุ่มกำลังใช้ได้ ไม่นิ่มเกินเหตุ ไม่ย้วยเกินไป สำหรับสรีระร่างของผมแล้ว เบาะรองนั่งมีความยาวเหมาะสม กำลังดี ยาวจนถึงขาพับ ภาพรวมถือว่าให้ความสบายได้ดีมากกว่าบรรดารถตู้หลายๆรุ่นในตลาดบ้านเรา

ข้อที่ควรปรับปรุง แน่นอนครับ พนักศีรษะ ออกแบบตามเทนด์ของรถยนต์สมัยใหม่หลังปี 2013 เป็นต้นมา คือยังคงดันกบาลไปสักหน่อย แม้ว่า จะเสริมฟองน้ำมาไม่มาก ทำให้ตัวพนักศีรษะนุ่มจนค่อนข้างจะนิ่มสบายเสียด้วยซ้ำ ทางแก้คือ อาจต้องปรับพนักพิงหลังเอนลงนิดนึง เพื่อช่วยลดการปวดเมื่อยบริเวณท้ายทอย หรือกระดูกต้นคอ

Previous Post

N1009075_นทาเขา แต เราท กข_part2

Next Post

N1009066_พวกฉลาดแกมโกง ตไม ได กคน_part2

Next Post
N1009066_พวกฉลาดแกมโกง ตไม ได กคน_part2

N1009066_พวกฉลาดแกมโกง ตไม ได กคน_part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N3112064 เพ อนท เขาไม ทำก บเพ อนแบบน part2
  • N3112072 เธอถอดบsาต อหน แต มไปว าเค ามอง(ไม )เห part2
  • N3112076_กผอ. ไม พอใจท กภารโรงใส ดว ายน ำเหม อนเขา_part2
  • N3112074 ทำนาอย ๆม คนมาขอความช วยเหล part2
  • N3112069 อให แฟนไม แต แม แฟนร กส ดห วใจ part2

Recent Comments

No comments to show.

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.