ตลอดชีวิตของผม การมีโอกาสได้ขับรถราคาหลายล้าน หรือเกินสิบล้านนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อย และถ้ามันเกิดขึ้น ก็มักจะมีลักษณะเทียบได้กับการจับสลากรายการเกมโชว์ชื่อดังแล้วได้ไปกินข้าวสองต่อสองกับดาราในฝันสักคน เพราะรถยนต์ชั้นสูงที่มีมูลค่าเกินกว่าทรัพย์สินของทั้งครอบครัวผมรวมกันนั้น จะมีรังสีบางอย่างรอบตัวที่คอยบอกผมว่า
“ชั้นไม่ได้เกิดมาเพื่ออยู่กับแก วันนี้แกแค่โชคดี จงใช้เวลาอันสั้นนี้ให้คุ้มที่สุด..และอย่าได้ทำให้ชั้นเป็นริ้วรอยแม้แต่นิดเดียว!”
การได้สัมผัสรถเหล่านี้ คือความสุขที่เจือปนความทุกข์อีกแบบหนึ่ง เพราะเรามีภาระทางจิตเพิ่มขึ้นจากการระแวงว่าตัวเองจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ผิด เหมือนออกเดทกับดาราเพศตรงข้ามที่มีเสน่ห์นั่นล่ะ คุณมีความสุขที่เขาอยู่ตรงหน้า มวลอากาศเคลื่อนที่ผ่านลำตัวเขาแล้วพัดกลิ่นน้ำหอมเขามาเข้าจมูกคุณ วิธีการที่เขาพยายามคุยกับคุณ นิ้วทุกนิ้วที่กรีดผ่านศีรษะในยามเสยผม รวมถึงสายตาอันเปี่ยมไปด้วยความอิจฉาของผู้คนที่มองมายังโต๊ะของพวกคุณ
…ทุกอย่างล้วนไม่ใช่ความฝัน แต่คุณสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปชั่วขณะด้วยความระแวงที่จะทำอะไรเปิ่นๆออกมา

แล้วเวลาอันหอมหวลราวกลิ่นดอกมะลินั้นก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกคุณแยกย้ายกันกลับโดยไม่มีการส่งจูบหรืออ้อมกอดใดๆ เธอเดินผ่านพรมแดงขึ้นบนเบาะหลังของ Alphard ส่วนคุณก็ขึ้นรถกระป๋องอายุ 30 ขวบของคุณ ขับกลับบ้านไป
รถราคาแพงระยับหลายคันจะผ่านเข้ามา และผ่านออกไปจากชีวิตผมในลักษณะนี้…แต่กับ Porsche Panamera นั้น เรื่องราวต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง มันไม่ใช่ความรู้สึกว่ากำลังควงดาราในฝันออกงาน แต่เหมือนกับการได้พบว่าเพื่อนสาวสวยคนหนึ่งที่คุณเคยหมายปองเมื่อชาติปางก่อน ได้เปลี่ยน Status ตัวเองเป็นโสดอีกครั้ง คุณนัดเธอกินข้าว และเสพย์สุขจากทุกอิริยาบทของเธอ
สุดท้ายมันก็จะจบด้วยการที่ต่างคนต่างกลับบ้านคนละหลัง ไม่มีจุมพิตบนหน้าผาก ไม่มีอ้อมกอดเล็กๆอุ่นๆ คุณรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีทางเลื่อนสถานะความสัมพันธ์มากไปกว่าเพื่อน แต่มันก็เป็นความสุขที่ปราศจากความอึดอัด เพราะต่างคนต่างก็บ้าพอกัน จริตเดียวกัน ใส่มึงใส่กูในบทสนทนาแล้วไม่รู้สึกผิด แล้วคุณยังได้นัดพบกับเธออีกแม้ว่ามันจะทิ้งช่วงเวลานานเหลือเกินในแต่ละครั้ง
Panamera ใหม่ ก็เข้ามา..จากไป..แล้วก็เข้ามาในชีวิตผม ในรูปแบบคล้ายกันอย่างยิ่ง

ผมมีโอกาสได้พบกับ Panamera เจนเนอเรชั่นที่ 2 ครั้งแรก ในช่วงปลายเดือนมกราคมระหว่างการเดินทางไปเมือง Cape Town เพื่อลองขับ เจ้า 911 Carrera GTS ที่สนาม Killarney Raceway ในการจัดงานครั้งนั้น สื่อมวลชนชาวเอเชียทั้งหมดจะมีโอกาสได้ขับ 911 เฉพาะในสนามแข่งเท่านั้น สำหรับการเดินทางไปและกลับจากสนาม รวมถึงการขับรถชมเมืองใต้สุดของทวีปแอฟริกาแห่งนี้ ทาง Porsche AG จัดกองทัพ Panamera เอาไว้ให้พวกเราขับโดยที่ผู้จัดงานกำหนดเอาไว้หมดแล้วว่าใครจะต้องขับคันไหนบ้าง
เนื่องจากช่วงเดือนมกราคม 2017 นั้นเป็นช่วงที่ Porsche กำลังโปรโมต Panamera 4 E-Hybrid และ Panamera Executive รุ่นฐานล้อยาว จึงมีรถให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นในขณะนั้น ผมกับพี่อาห์เหม็ด ซาลาวุดดิน จาก What Car? อินโดนีเซีย ถูกจัดกลุ่มให้ขับ Panamera 4 E-Hybrid ระหว่างอยู่ที่นั่น

แต่ไม่ทราบว่าพระเจ้าช่วยหรือเป็นความบังเอิญ ในระหว่างเดินทางไปที่ไร่นอกเมือง Cape Town แล้วกำลังจะเดินทางกลับ ปรากฏว่ามีการจัดคิวผิด รถ 4 E-Hybrid ของผมกับพี่อาห์เหม็ดโดนใครขับไปก็ไม่ทราบ (แหมดีนะที่ไม่ประมาท..เอาของลงจากรถครบทุกชิ้น) ทางทีมงานจึงพยายามไล่คิวรถใหม่ แล้วพบว่ามี Panamera Turbo Executive เหลืออยู่คันหนึ่งพอดี
เมื่อเจ้าหน้าที่ถามว่าจะรับรถคันนี้หรือจะรอรถอีกคัน ผมกับพี่อาห์เหม็ดจึงไม่ลังเลที่จะฉกกุญแจรถคันนั้นมา เป็นโบนัสที่ได้ลองเจ้ารถลำตัวยาว ซึ่งมีระบบเลี้ยว 4 ล้อที่ Porsche เพิ่งพัฒนาขึ้นมาใหม่ แถมยังเป็นรุ่น V8 ซึ่งมีแรงม้ามากที่สุดในตระกูล Panamera (ก่อนที่ Turbo S E-Hybrid จะตามออกมาภายหลัง)

จากนั้น อีกราว 3 เดือนถัดมา ทาง AAS Autoservice ผู้แทนจำหน่าย Porsche ในไทยได้เปิดโอกาสให้ผมได้ลองขับ Panamera 4S เครื่องยนต์ V6 ทวินเทอร์โบที่สนามปทุมธานีสปีดเวย์ ซึ่งเป็นโอกาสอันดีในการลองเทียบลักษณะการตอบสนองระหว่างรถรุ่นไฮบริด กับรถเบนซินไร้ถ่านว่าจะแตกต่างกันขนาดไหน
ผมรู้สึกดีใจมากที่ทอดสมอ First Impression ของรถรุ่นนี้ ดองเอาไว้ตั้งแต่ต้นปีเพราะคราวนี้จะได้จับทุกรุ่น รวบอยู่ในบทความเดียวกัน..แต่ยังไม่ทันที่จะเขียนเสร็จ ตั๋วเครื่องบินไปกัวลาลัมเปอร์ก็ถูกส่งมาพร้อมกับอีกหนึ่งภารกิจ

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2017 ทาง Porsche ได้จัดให้ผมไปเข้าหลักสูตรอบรม Porsche Media Driving Academy ที่สนามแข่ง Sepang ประเทศมาเลย์เซีย กับพี่ฉ่าง อาคม รวมสุวรรณ แห่ง Thairath Online เราสองคนไปร่วมคอร์สนี้ปีที่แล้วใน Level 1..ปีนี้เลื่อนขั้นเป็น Level 2 ทำให้ได้มีโอกาสลองรถที่มีสมรรถนะสูงขึ้น ได้รับการฝึกให้เข้าโค้งด้วยเทคนิคที่หลากหลายขึ้น เราสองคนได้ขับรถ 6-7 รุ่น และ Panamera 4S กับรุ่น Turbo ฐานล้อสั้นปกติก็รวมอยู่ในเมนูมื้อกลางวัน
คราวนี้ยิ่งเด็ด เพราะได้กระโดดเข้านั่ง 4S V6 ขับวนในส่วนหนึ่งของสนามที่มีทางตรงยาวให้ซัดตึงได้ เมื่อเสร็จแล้ว อาจารย์ผู้สอนก็ให้ย้ายไปรถ Turbo V8 อีกคัน แล้วขับบนแทร็คส่วนเดียวกัน ทำให้ได้เรียนรู้ความต่างระหว่างขุมพลัง 2 แบบนี้มากยิ่งขึ้นไปอีก
ด้วยความที่โอกาสไม่อำนวย เพราะ Panamera ทั้ง 2 คันนั้นจะถูกใช้อยู่เกือบตลอดเวลา และถ้าไม่ใช้ มันก็ถูกนำเข้าพิทเพื่อเปลี่ยนยางและเช็คสภาพ ไม่มีรถ Show Car ที่สามารถถ่ายภาพได้ ผมจึงต้องเขียนบทความนี้โดยยึดรถรุ่น 4 E-Hybrid, 4S และ Turbo Executive เป็นหลัก แต่พยายามสอดแทรกสิ่งที่ได้รับจากการลองขับรุ่น Turbo ฐานล้อสั้นเข้าไปด้วย
บทความนี้จะดูงงๆ เพราะเดี๋ยวก็เป็นรูปรถพวงมาลัยซ้าย บางคันก็พวงมาลัยขวา บางคันมีรูปน้อย บางคันรูปเยอะ แต่เชื่อเถิดครับว่าพยายามคิดหาวิธีเรียบเรียงมาอย่างสุดความสามารถ รู้อะไร ก็อยากจะเล่าให้ผู้อ่านได้รับทราบ ดีกว่าเก็บเอาไว้รอวันตายไปกับผม

Panamera รุ่นแรก เปิดเผยโฉมที่งานมอเตอร์โชว์ในเซี่ยงไฮ้ เดือนเมษายน 2009 มันคือการสานฝันโครงการ Porsche 4 ประตูซึ่งพวกเขาเคยทดลองทำรถต้นแบบรุ่น 989 ออกมาในปี 1988 โดยใช้เครื่องยนต์ V8 วางด้านหน้า 300 แรงม้า หมายมั่นจะให้เป็น “928 แห่งบรรดา Luxury Saloon” แต่ก็ต้องล้มโครงการไปในปี 1991 ซึ่งเป็นช่วงที่ Porsche ประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก
การรอคอยที่ยาวนานเกือบ 2 ทศวรรษ ทำให้ Porsche มีโอกาสศึกษาการสร้างตัวถังและใช้เทคโนโลยีหลายอย่างร่วมกับ Audi ซึ่งต่างก็เป็นลูกพี่ลูกน้องในบ้านใหญ่ของ VW Group เครื่องยนต์ V6 เบนซินและดีเซลที่ใช้ใน Panamera โฉมแรก รหัส 970 บางรุ่นก็นำมาจาก Audi แม้ว่าจะยังมีเครื่องยนต์ V8 4.8 ลิตรในรุ่น Turbo และ Turbo S ที่เป็นฝีมือจาก Posche อยู่ก็ตาม
Panamera 970 ถูกออกแบบโดยมีแนวทางความคิดให้เป็น “Sports Car of its segment” ดังนั้นเมื่อเทียบกับรถลิโม่คันยาวรุ่นอื่นๆอย่าง S-Class, ซีรีส์ 7 หรือ Audi A8 จะพบว่า Porsche มีรูปทรงที่ดูเตี้ย แบน กว้าง ผลเสียที่ตามมาก็คือความสบายของผู้โดยสารด้านหลังที่ลดน้อยถอยลง แลกกับสมรรถนะการทิ้งโค้งที่เฉียบคมคล้ายรถสปอร์ตมากขึ้น
ในสมัยนั้น นักเลงรถ Porsche สาย Hardcore เกลียด 970 มากไม่แพ้ SUV อย่าง Cayenne เพราะมันคือตัวทำลายเอกลักษณ์ของ Porsche ซึ่งควรจะมุ่งหน้าผลิตแต่รถสปอร์ตชั้นดีเท่านั้น หน้าตาของ Panamera ก็ไม่ได้เรียกว่าเซ็กซี่เท่าไหร่ เพราะแม้ว่าด้านหน้าจะดูสปอร์ตดี คล้าย 911+Carrera GT แต่ส่วนท้ายรถนั้นมีสัดส่วนที่เตี้ยบวกค่อม ไม่ถูกใจนักเลงรถเท่าไหร่
แต่ในขณะที่ SUV อย่าง Cayenne และ Macan มียอดขายรวมกันได้อัตราส่วนเกินกว่า 60% ของ Porsche ทุกรุ่นที่ขายในแต่ละปี Panamera 970 จะมียอดขายน้อยกว่า บางครั้งก็ปีละหมื่นคัน บางปีก็ 7-8 พันคัน มีจำนวนไล่เลี่ยกันกับ 911 และมากกว่าแฝดวางกลาง Boxster/Cayman ลูกค้าที่อุดหนุนเยอะ ก็คืออเมริกา จีน และโซนเอเชียซึ่ง “ความใหญ่ของรถบ่งบอกบารมี”


ดังนั้น เมื่อ Porsche ต้องสร้าง Panamera เจนเนอเรชั่นใหม่ (971) พวกเขาจึงให้ความใส่ใจกับการออกแบบภายนอกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องสัดส่วนของตัวรถซึ่งต้องมีความสวยงามมากกว่ารุ่นเดิม มีการ “เพิ่มความเป็น 911” เข้าไปบนตัวถังแบบ GT Saloon โดยสังเกตได้จากไฟท้ายและโป่งซุ้มล้อหลังซึ่งมีลักษณะคล้ายกันมาก
ตามแนวทางการออกแบบ 971 ยังถูกบังคับด้วยคำว่า “Sports Car of its segment” ทำให้ต้องมีรูปลักษณ์ที่ดูแล้วเตี้ย แบน กว้าง ทั้งที่ความจริงตัวรถก็ไม่ได้จัดว่าเตี้ยนัก แต่เพราะความกว้างของรถจึงทำให้ขนาดของมันดูเล็กเมื่อจอดอยู่คันเดียว แต่จะดูใหญ่ขึ้นทันทีถ้าจอดข้าง Macan หรือแม้แต่ Cayenne
เราจะสังเกตเห็นได้ว่า Porsche ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเอกลักษณ์การออกแบบด้านหน้าเท่าไหร่ เพราะของเดิมก็ทำมาดีอยู่แล้ว เพียงแต่เพิ่มความแหลมคมของชุดไฟหน้าและขัดเกลากันชนให้มีความทันสมัยขึ้น แต่ด้านหลังนั้นเป็นจุดอ่อนที่หลายคนบอกว่าดูตลก Porsche จึงแก้ไขด้วยการเพิ่มความสูงของหลังคาด้านหน้า 5 มิลลิเมตร แต่ลดความสูงหลังคาด้านหลังลง 20 มิลลิเมตร และยึดขนาดตัวรถออก ปรับลักษณะไฟท้ายให้เรียวยาว

ในความเห็นของผม 971 ปรับดีไซน์ออกมาได้สวยงามน่ามองขึ้น และกลายเป็นว่าตอนนี้ท้ายรถกลับน่ามองกว่าด้านหน้า โดยเฉพาะในยามค่ำคืนซึ่งแสงจากแผงทับทิมกลางรถไฮไลท์ตัวอักษร P-O-R-S-C-H-E ขึ้นมาอย่างสวยงาม ส่วนประตูหลังกับกระจกโอเปร่านั้นเวลามองเฉพาะจุด..จะดูโบราณมาก แต่พอมองแบบรวมทั้งคันกลับดูดี แน่นอนว่ามันมีวิธีออกแบบประตูหลังให้เฉี่ยวกว่านี้ แต่รับรองว่าขึ้นลงจากรถไม่ง่ายแน่

Porsche เผยรายละเอียดของ Panamera ลงเว็บไซต์ของพวกเขาในเดือนมิถุนายน จากนั้นก็เปิดตัวแบบ World Premiere ในวันที่ 27 กรกฎาคม 2016 เริ่มต้นด้วยรุ่น 4S, Diesel และรุ่น Turbo และตามมาด้วยรุ่น 4 E-Hybrid ในวันที่ 29 กันยายน

นอกจากการเปิดตัวกับสื่อมวลชนแล้ว ตามนิสัยของ Porsche ก็ต้องทำพิธีบวงสรวงเทพเจ้ายางมะตอยเป็นการรับรองเกียรติให้กับตัวรถเสียก่อน ทีมทดสอบนำโดย ดร. Gernot Döllner (Head of the Panamera Model Line) และนักขับหนุ่มเคราบางร่างฟิตอย่าง Lars Kern (คนขวา) เอารถไปทดสอบที่ Nurburgring และทำเวลาได้ 7:38 นาที กลายเป็นรถซาลูน Production Car ที่เร็วที่สุดบนสนามนี้โดยชนะ Alfa Romeo Giulia เกียร์ธรรมดาไปได้ 1 วินาที
Panamera ครองแชมป์ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมจนถึงเดือนกันยายน ต่อมา Alfa ส่ง Giulia เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะมาวิ่งอีกรอบแล้วได้เวลา 7:32 วินาที ตำแหน่งแชมป์จึงตกเป็นของอิตาลีอีกครั้ง
ผมขอให้ “น้อง Lars” เล่าถึงการขับทดสอบครั้งนั้น (เราไม่ได้สัมภาษณ์แบบทางการหรอกครับ พอดีเจอกันตอนเช้าที่บุฟเฟต์เลยขอคุยเพราะเขาเป็นผู้ชายที่อบอุ่นกรุ่นไอมิตรมาก ถามนิดเดียว ตอบให้แบบเต็มใจ) เขาบอกว่ารถทดสอบที่ใช้วิ่งนั้น เป็น Panamera Turbo 4.0 V8 สเป็คโรงงาน ล้อและยางก็เหมือนรถที่ออกจากโรงงาน สิ่งที่ต่างออกไปคือเบาะแข่ง, โรลเคจ และชุดอุปกรณ์ตรวจวัดต่างๆเท่านั้น
“ถ้าพี่เข้าใจว่า Panamera คือรถใหญ่และหนักเกือบสองตัน ก็จะรู้ว่าการตอบสนองแบบนี้จากรถขนาดนี้มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา…บางคนจะเข้าใจว่ารถที่ใช้ทำสถิตินั้นจะถูกถอดอุปกรณ์ออกจนหมด เปล่าเลยครับนอกจากที่ผมบอกไป อย่างอื่นอยู่ครบ ที่สำคัญคือเวลาขับผมลอง Setting หลายแบบ ทีมช่างเขาบอกให้ใส่เกียร์ D แล้วขับ ไม่ต้องเล่น Manual Mode รถก็เปลี่ยนเกียร์ได้ดี ผมไม่ต้องไปยุ่งกับ Paddle shift เลย”
แสดงว่าน้องชอบเกียร์ของมัน? (ผมถามกลับ)
“ก็ใช่ครับจะว่าอย่างนั้นก็ได้ บางรอบผมขับแล้วเล่นเกียร์เองกลับทำเวลาได้ช้ากว่าเล่น Paddle shift อีกนะพี่ นี่คือจุดที่ผมว่า PDK รุ่นใหม่นี้ทำได้ดี มันรู้งาน ตรงไหนควรคาเกียร์ กดคันเร่งแบบไหนแล้วควรจะคิกดาวน์หนักแค่ไหน มันรู้หมด”
แล้วถ้าเทียบกับ 911 ล่ะครับ?
“คนละแบบกันครับ อย่างผมนี่รถที่ใช้ประจำคือ 997 GT3 เรื่องการเลี้ยวกับความคล่องตัว ต่อให้ Panamera ใหม่กว่ามาก แต่เราหนีกฎเรื่องน้ำหนักไม่พ้น นี่คือรถที่หนักต่างกัน 5-600 กิโลกรัม ผมก็ไม่อยากพูดให้มันดูเหมือนโฆษณา ผมเป็นนักทดสอบ..ไม่ใช่นักโปรโมต นี่เราพูดกันตามจริงนะ แต่เวลาไปวิ่งรอบ Nurburgring จริง Panamera มันเร็วเพราะมันมีแรงเยอะ สปีดทางตรงขึ้นเร็วน่ากลัวมาก และบุคลิกของรถจะเน้นความมั่นใจมากกว่า 911 เยอะครับ”
ผมคุยกับเขาเสร็จ ก็แอบไปเปิดดู Lap Times ของ Nurburgring ปรากฏว่า GT3 997 วิ่งช้ากว่า Panamera Turbo อยู่ 2 วินาที และเจ้า Panamera เองก็เร็วเท่ากับ 997 Turbo, 458 Italia และ Lexus LFA ดังนั้นผมว่าเทพเจ้ายางมะตอยยอมให้มันสอบผ่านล่ะครับ
ต่อไปเราเริ่มมาดูข้อมูลจำเพาะเรื่องขนาดตัวถังและน้ำหนักของ Panamera รุ่นที่ผมได้ลองขับกันดีกว่านะครับ

Panamera 4E Hybrid มีความยาว 5,049 มิลลิเมตร กว้าง 1,937 มิลลิเมตร สูง 1,423 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,950 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า (Front Track) เท่ากับ 1,671 มิลลิเมตร ด้านหลัง (Rear Track) เท่ากับ 1,651 มิลลิเมตร ความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร น้ำหนักตัวถังตามมาตรฐาน DIN เท่ากับ 2,170 กิโลกรัม ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานในตัวถังแบบมาตรฐานเท่ากับ 0.28
รถทดสอบทะเบียน S GO363E ของเรามาพร้อมกับสีพิเศษ “Crayon” คือจะขาวก็ไม่ขาว จะเทาก็ไม่เทา แต่ของจริงดูเริดมากชนิดวิ่งผ่านกลุ่มเด็กมัธยม เราโดนตะโกนและผิวปากแซวไปตลอด มีชาวบ้านชาว Cape Town ทุกสีผิวขออนุญาตถ่ายรูปด้วยอยู่เสมอ รถคันนี้มีออพชั่นล้อ Panamera SportDesign ขนาด 21 นิ้ว (ของติดรถเป็นขนาด 19 นิ้ว) และชุดแต่งกันชนหน้า/หลังและสเกิร์ตข้าง SportDesign กับปลายท่อไอเสียแบบสปอร์ต (ของเดิมเป็นทรงเหลี่ยมสองข้าง)

Panamera 4S มีความยาว 5,049 มิลลิเมตร กว้าง 1,937 มิลลิเมตร สูง 1,423 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,950 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า (Front Track) เท่ากับ 1,671 มิลลิเมตร ด้านหลัง (Rear Track) เท่ากับ 1,651 มิลลิเมตร ความจุถังน้ำมัน 90 ลิตร น้ำหนักตัวถังตามมาตรฐาน DIN เท่ากับ 1,870 กิโลกรัม ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานในตัวถังแบบมาตรฐานเท่ากับ 0.28
ตามประสารถทดสอบของ AAS ส่วนมาก ออพชั่นภายนอกจะเป็นไปตามมาตรฐานโรงงาน ไม่มีชุดแต่งพิเศษ และล้อที่ใช้ก็เป็นล้อ 19 นิ้วลายประจำรุ่น Panamera 4S ส่วนท่อไอเสียของรุ่นนี้จะเป็นทรงกลมออกข้างละ 2 ท่ออยู่แล้ว


Panamera Turbo มีความยาว 5,049 มิลลิเมตร กว้าง 1,937 มิลลิเมตร สูง 1,427 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,950 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า (Front Track) เท่ากับ 1,657 มิลลิเมตร ด้านหลัง (Rear Track) เท่ากับ 1,639 มิลลิเมตร (ระยะแคบกว่าตัว 6 สูบเพราะล้อมาตรฐานเป็นแบบ 20 นิ้ว) ความจุถังน้ำมัน 90 ลิตร น้ำหนักตัวถังตามมาตรฐาน DIN เท่ากับ 1,995 กิโลกรัม ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานในตัวถังแบบมาตรฐานเท่ากับ 0.29
รถทดสอบ Turbo ของเรานี้จะได้กันชน SportDesign มา และเปลี่ยนล้อจากลาย 5 ก้านมาตรฐานเป็นลายเดียวกับ 911 Turbo ซึ่งมีขนาด 21 นิ้ว และเปลี่ยนท่อไอเสียเป็นแบบสปอร์ต

ส่วน Panamera Turbo Executive จะเป็นรถที่ถูกยืดฐานล้อออกไปอีก 150 มิลลิเมตรเพื่อเพิ่มความสบายให้กับคนนั่งหลัง ทำให้มีความยาว 5,199 มิลลิเมตร กว้าง 1,937 มิลลิเมตร สูง 1,432 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 3,100 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า (Front Track) เท่ากับ 1,657 มิลลิเมตร ด้านหลัง (Rear Track) เท่ากับ 1,639 มิลลิเมตร (เท่ากับรุ่น Turbo เพราะใช้ล้อเดียวกัน) ความจุถังน้ำมัน 90 ลิตร น้ำหนักตัวถังตามมาตรฐาน DIN เท่ากับ 2,100 กิโลกรัม ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานในตัวถังแบบมาตรฐานเท่ากับ 0.29
ในภาพรวม Panamera 971 มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นเก่าแทบจะทุกมิติ โดยถ้าเอารุ่นตัวถังธรรมดามาวัดกัน จะพบว่ายาวขึ้น 34 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 6 มิลลิเมตร สูงขึ้น 5 มิลลิเมตร ฐานล้อยาวขึ้น 30 มิลลิเมตร แต่เวลาจอดเทียบกันกลับรู้สึกว่ารุ่นใหม่ดูเหมือนเล็กกว่า เป็นเพราะการออกแบบหลอกตาครับ

จุดเด่นอีกประการหนึ่งของ Panamera ก็คือสปอยเลอร์หลัง ซึ่งสามารถกางหรือเก็บ รวมถึงสามารถสั่งให้ทำงานแบบอัตโนมัติที่ความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ วิธีการกางนั้นก็ต่างกัน 4E-Hybrid กับ 4S ที่ใช้เครื่องยนต์ V6 จะเป็นสปอยเลอร์แบบดีดตัวขึ้นชิ้นเดียวธรรมดาๆ แต่รุ่น Turbo และ Turbo Executive จะอลังการกว่า ด้วยสปอยเลอร์ 3 ชิ้น เวลามันกางทีนึงเป็นภาพที่น่าชม เพราะหลังจากมันยกตัวขึ้น ชิ้นซ้ายและขวาจะผลักตัวแยกออกจากกัน มีชิ้นกลางดันตัวเข้ามาสอด ทำให้ในยามที่มันกางออกมา สปอยเลอร์ของรุ่น V8 จะกินพื้นที่ในแนวกว้างมากกว่า V6
เหตุผล? ผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องการสร้างแรงกดด้านท้ายครับเพราะรถ V8 เทอร์โบทั้ง 2 รุ่นนั้นสามารถทำความเร็วได้ทะลุ 300 กิโลเมตร/ชั่วโมงทั้งคู่ ในขณะที่รถเครื่องยนต์ V6 อีก 2 รุ่นทำได้อย่างมากก็ 289 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ความเร็วสูงระดับนั้น แรงกดของอากาศทั้งด้านหน้าและท้ายสำคัญมากถ้าต้องการจะให้รถวิ่งนิ่งๆ
ต่อไป เราไปดูรายละเอียดภายในห้องโดยสารกันดีกว่าครับ
ต้องขอบอกไว้ก่อนสักนิดว่า เราจะมีภาพห้องโดยสารของรถ 3 รุ่นคือ 4 E-Hybrid, 4S และ Turbo Executive เพราะรถรุ่น Turbo นั้นใช้ในการอบรมบนสนามแข่งเป็นหลัก ต้องถูกซัดจัดหนักตลอดเวลาจนไม่เหลือเวลาให้ผมได้เก็บภาพข้างในอย่างละเอียด แต่พูดง่ายๆแล้วกันครับว่าซีกหน้าของรถเหมือนรุ่น Turbo Executive แต่ซักหลังจะคล้าย 4S มากกว่า (ออพชั่นติดรถไม่ได้เยอะอย่างที่คิด)

กุญแจเป็นรูปทรงรถ Porsche เหมือนกับรุ่นอื่นๆในค่าย ระบบ Comfort Access (Smart Key) นั้นเป็นอุปกรณ์ที่ต้องสั่งพิเศษโดยในบางประเทศ ทางผู้แทนจำหน่ายอาจเลือกที่จะติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน หากมีระบบนี้ ก็จะสามารถเดินเข้าใกล้รถ จับเปิดประตู แล้วเข้าไปนั่งได้เลย แต่วิธีการสตาร์ทรถ แทนที่จะเป็นปุ่มแบบกดกลับทำเป็นครีบตั้งๆยื่นออกมาจากช่องเสียบกุญแจปกติ ให้ใช้วิธีบิดแล้วสตาร์ทเอา
ตัวกุญแจเหมือนกับของ 911 และอีกหลายๆรุ่นในเครือ ซึ่งลูกค้าจะสามารถสั่งทำกุญแจเป็นสีเดียวกับตัวรถก็ได้ เหมาะในกรณีที่บ้านคุณมี Porsche หลายคันจะได้ไม่หยิบสลับผิด

ขนาดประตูของ Panamera แม้จะดูเหมือนเล็ก แต่แท้จริงแล้วใหญ่ไม่แพ้รถขนาด C-Segment โดยปกติ แต่ด้วยรูปแบบความเตี้ยของรถทำให้ช่องทางเข้ามีขนาดเล็กกว่า Limo เต็มขั้นอย่าง S-Class และซีรีส์ 7 สิ่งที่ต่างกันอย่างชัดเจนก็คือใน Panamera คุณอาจจะต้องก้มหัวหลบแนวหลังคาบ้างถ้าคุณตัวสูง 183 เซนติเมตรแบบผม แต่สำหรับคนทั่วไป สามารถเข้าออกได้ง่ายมากครับ
เบาะนั่งแม้จะดูคล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกัน 100% นัก โดยปกติรุ่น 4 E-Hybrid และ 4S จะได้เบาะไฟฟ้าแบบปรับ 8 ทิศทาง (เดินหน้า, ถอยหลัง, ความสูง, ความเท, พนักพิงหลัง) แต่ในรถทดสอบของเรา ก็อย่างที่เห็นว่า 4 E-Hybrid คันนี้มาพร้อมเบาะตัวท้อป Adaptive Sports Seat ปรับได้ 18 ทิศทางซึ่งสามารถปรับความแข็งของพนักพิงหลังได้ และมาพร้อมกับระบบความจำเชื่อมระหว่างตำแหน่งเบาะและพวงมาลัยที่ปรับขึ้น/ลงและเข้า/ออกด้วยไฟฟ้า
เบาะ Adaptive Sports Seat จะมีปีกข้างท่อนบนที่ใหญ่กว่าเบาะแบบอื่นๆ ส่วนปีกข้างลำตัวและที่นั่งก็จะสูงขึ้นอีกเล็กน้อย ผมรู้สึกว่าเป็นเบาะที่ขนาดกำลังเหมาะสำหรับคนไซส์ฝรั่ง เวลานั่งแล้วให้ความรู้สึกกระชับ พนักพิงศีรษะไม่ดันหัวมากเกินไปและมีความนุ่มนวลเหมาะสมตามรูปแบบรถ มันไม่ใช่เบาะที่ทำมาเพื่อการซัดโค้งในสนามแข่ง แต่ดูเหมือนจะเหมาะสำหรับการขับทางไกลด้วยความเร็วสูงเสียมากกว่า
ส่วนรุ่น 4S และ Turbo Executive นั้นจะได้เบาะนั่งแบบปรับได้ 14 ทิศทาง (14-Way Power Seats) โดยที่ 4S สเป็คบ้านเรานั่น AAS เขาอัปเกรดให้จากเบาะตัว 8 ทิศธรรมดา ส่วน Executive นั้นจะได้เบาะตัวนี้เป็นมาตรฐานและมีให้เลือกเพียงแบบเดียวเท่านั้น
ถ้าผมพูดตามตรง Porsche อาจจะด่า…แต่วัดจากความรู้สึกของมนุษย์ไซส์ XXXXL อย่างผมแล้ว ความรู้สึกที่ได้จากการนั่งแทบไม่ต่างจาก Adaptive Sports Seat เลย เพราะปีกด้านข้างที่ตัวพนักรองก้นนั้นมีความสูงใกล้เคียงกัน ส่วนปีกที่พนักพิงหลังนั้นผมว่าเบาะรุ่น 14-Way ทำมากำลังเหมาะสำหรับการขับทางไกลๆดีแล้ว แต่เบาะ Adaptive Sports นั้นจะรองรับช่วงไหล่เวลานั่งขับได้ดีกว่า
เวลาเป็นคนขับ ผมรู้สึกว่าเบาะ Adaptive ตัวท้อปนี่ล่ะเจ๋ง เพราะรองรับได้กระชับพอดีทั้งหลัง หัว ไข่ ไหล่ และตูด แต่พอเปลี่ยนตัวมาเป็นคนนั่งโดยสารแล้วคิดอย่างจะเอนเบาะนอนให้สบายหน่อย เบาะ 14-Way
