• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N1209034_วอย แล งกล าไปกอดก บคนอ นอ_part2

admin79 by admin79
September 10, 2025
in Uncategorized
0
N1209034_วอย แล งกล าไปกอดก บคนอ นอ_part2

คนเรายิ่งแก่ตัวลง..ดูเหมือนเวลามันยิ่งจะเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในกรณีของผมนั้นเวลา
20 ปี ผ่านไปเร็วกว่าที่ผมคิดไว้สมัยเด็กๆมาก..ในช่วงที่ฟองสบู่กำลังขยายตัว
อย่างสุดขีดช่วงปี 1990-1994 ผมมักได้รับโอกาสให้ติดสอยห้อยตามคุณพ่อ
เดินทางไปกับพนักงานของบริษัท 2-3 คนไปยังประเทศสิงคโปร์ เปล่าครับ เราไม่ได้
ไปเที่ยวเพียงอย่างเดียว จุดประสงค์หลักคือการเดินทางไปเจรจากับผู้ผลิต
ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ซึ่งบริษัทของเราจะสั่งมาประกอบขายในไทย พ่อไปทำธุระ
ส่วนผมไปเปิดหูเปิดตาบนแผ่นดินที่มีขนาดเล็ก แต่ทุกอย่างดูทันสมัย
บ้านเมืองสะอาด..ห้ามเคี้ยวหมากฝรั่ง..และถ้าพ่นสีบนกำแพงจะโดนโบยน่วม..
นั่นคือความทรงจำแรกของผมที่มีต่อประเทศปลายสุดแผ่นดินใหญ่ของทวีป
เอเชียแห่งนี้

เราพ่อ/ลูก มักมีโอกาสได้ไปสิงคโปร์ปีละ 1-2 ครั้งจนเศรษฐกิจตกต่ำในหลายปีต่อมา
บริษัทคอมพิวเตอร์ของพ่อต้องปิดกิจการลงไปในที่สุด และผมก็ไม่ได้ย่างเท้าลงบน
ประเทศนี้อีกเลยนับตั้งแต่ปี 1995 ทั้งๆที่ความจริงก็หลงใหลประเทศนี้อยู่พอสมควร
ฐานะทางบ้านเราไม่ได้ร่ำรวยนัก ผมไม่ได้มีโอกาสไปต่างประเทศบ่อยอย่างที่
หลายคนคิด หนังสือเดินทางของผมมีหน้าว่างเพียบ และถ้าหน้าไหนไม่ว่าง มันก็จะ
เป็นประเทศอื่น เช่น ลาว เมียนมาร์ ญี่ปุ่น หรือฮ่องกง

ใครจะไปนึกว่าผ่านมา 21 ปี ผมจะได้รับเชิญจากทาง Porsche Asia Pacific (PAP)
ให้มาลองขับรถ Porsche 911 Carrera S ใหม่ที่สิงคโปร์ นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่ผม
จะได้พบกับเพื่อนเก่า 2 แบบที่ไม่ได้พบกันมานาน ทั้งประเทศปลายทาง.. และรถยนต์
911 คันล่าสุดที่ผมขับนั้นก็เป็น Carrera 2 รุ่นปี 2000 ซึ่งเจ้าของรถให้ผมลองขับ
เพื่อสำรวจความพร้อมก่อนขายต่อ (นี่ก็ขับไปเมื่อปีที่แล้ว) และรุ่นอื่นๆที่ได้ขับ
ก็ย้อนเวลาไปนานพอสมควร 911 ไม่ใช่รถประเภทแบบที่โผล่มาให้ผมขับได้ทุกเดือน
ดังนั้นทุกครั้งที่ได้ขับ มันคือประสบการณ์ที่พิเศษสำหรับผมเสมอไม่มากก็น้อย

2016_911CS_opening01p

ผมนึกกระหยิ่มยิ่มย่องอยู่ในใจพลางนึกภาพตัวเอง อัด 911 อย่างรื่นรมย์ไป
บนทางด่วนของสิงคโปร์ แต่ยังไม่ทันจะยิ้มจนเห็นฟัน คุณน้าหมู Teerapat
ของเราก็ส่งข้อความ Inbox มาบอกผมว่า

“สิงคโปร์เขาจำกัดความเร็วนะพี่ ในตัวเมือง 50 และบนทางด่วน
90 กิโลเมตร/ชั่วโมง”

เพื่อยืนยันสิ่งที่เขาบอก เจ้าหมูแกก็เอาลิงค์บทความที่พี่ฉ่าง อาคม รวมสุวรรณ
แห่งไทยรัฐได้ไปขับ Panamera E-Hybrid มาให้อ่าน อ่านจบก็น้ำตาซึมเล็กน้อย
เพราะตอนแรกคิดไปเองว่าสิงคโปร์จะจำกัดความเร็ว 120 แบบเมืองไทย อีกทั้งเมือง
ของเขาเข้มงวดเรื่องกฎหมายมากขนาดไหนทุกคนคงทราบดี ดังนั้นการขับสไตล์
ผาดโผน หรือการใช้ความเร็วสูงเกินกฎหมายกำหนดนั้น..ลืมไปได้เลย!

อารมณ์เหมือนคนที่กำลังฝันดีแบบสุดๆ แล้วถูกปลุกให้ตื่นมาด้วยเรื่อง
ที่ไม่เป็นเรื่องเลยทีเดียว

2016_911CS_kranji

สิ่งนี้ทำให้ผมคิดอยู่นานว่าจะเขียนบทความลงเว็บ Headlightmag ดีหรือไม่
แต่ในเมื่อส่วนประกอบของรถนั้นมีมากกว่าแค่อัตราเร่ง และการขับในโหมดโหดร้าย
เราก็ควรให้โอกาสรถในการพิสูจน์ตัวเองในด้านอื่นๆบ้าง รถอย่าง 911 ที่เป็นรุ่น
Carrera นั้นไม่ใช่รถสายพันธุ์สนามแข่งแบบรุ่น GT3 และไม่ใช่รถที่สร้างมาโดย
คำนึงถึงพลังมหาศาลมากเท่ารุ่น Turbo หรือ Turbo S คนที่ขับรุ่น Carrera นั้นมีตั้งแต่
สุภาพสตรีไฮโซที่ชื่นชอบรถสปอร์ตแต่ต้องการรถที่ขับง่าย ขับสบาย เจอผู้ชายขับ
รถแต่งมาเกรียนใส่ก็ต้องลงแส้สั่งสอนได้ ไปจนถึงสุภาพบุรุษที่ต้องการรถพลังสูง
ระดับหนึ่ง แต่ต้องการนำมาเป็นรถใช้งานทุกวัน ขับเล่นปลดปล่อยอารมณ์ยามราตรีได้
และต้องสามารถแพ็คของพาแฟนสาวสวยเดินทางไปตากอากาศพัทยาหรือหัวหิน
ในช่วงสุดสัปดาห์ได้ด้วย

2016_911CS_leftfrontdiag

ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ผมอยากทราบเรื่องหนึ่งก็คือการตอบสนองของเครื่องยนต์
Porsche 911 ที่คุณเห็นอยู่นี้คือ Carrera รุ่นแรกที่ได้ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบ ซึ่งแม้
ตัวเลขพละกำลังจะออกมาสวยกว่ารุ่นเดิม แต่เราไม่แน่ใจว่ามันจะให้อรรถรสใน
การขับขี่เหมือนเดิมหรือไม่ ทั้งเรื่องการตอบสนองในรอบต่ำ และเรื่องสุ้มเสียง
ของเครื่องยนต์ที่เป็นเอกลักษณ์ของโมเดลนี้มาโดยตลอด

ดังนั้น อะไรก็ตามที่ไม่ทำให้ผมเสี่ยงต่อการถูกจองจำในสิงคโปร์ ผมก็จะพยายาม
หาคำตอบให้ได้มากที่สุด ผมตั้งใจเอาไว้เช่นนั้น

PARTIAL CITY TOUR

ก่อนที่จะไปถึงเรื่องราวของรถ ผมจะเขียนประสบการณ์จากการเดินทางครั้งนี้บางส่วน
เอาไว้เผื่ออาจมีประโยชน์ต่อบางท่านที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว แม้ว่าเราจะมีเวลาสำหรับ
การเดินเที่ยวไม่นานนักก็ตาม ในการเดินทางครั้งนี้ ผมมีเพื่อนร่วมทริปเป็นบุคคลที่
หลายท่านอาจจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว เขาคือคุณ สุรมิส เจริญงาม จาก Speed Channel
นั่นเองครับ

2016_01_Hotel

โรงแรมที่ทาง Porsche Asia Pacific จัดให้เราเป็นที่พักคือ The Fullerton Hotel
ตั้งอยู่บริเวณใกล้กับรูปปั้นสิงห์โตพ่นน้ำ (Merlion) แค่เดินข้ามถนนไป 10 นาทีก็ถึง
โรงแรมนี้มีประวัติความเป็นมายาวนาน..ด้วยความเซ่อซ่าของผม ค้นประวัติอ่านคร่าวๆ
ก็เห็นว่าโรงแรมนี้เปิดทำการในปี 2001 มารู้ในภายหลังว่าตัวอาคารนี้สร้างเสร็จตั้งแต่
ปี 1928 แล้วก็ถูกใช้เป็นอาคารทำการของหน่วยงานรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นไปรษณีย์สิงคโปร์
กรมสรรพากรสิงคโปร์ หรือหน่วยงานที่ดูแลด้านภาษี ก็เคยตั้งอยู่ที่นี่ จนปี 1997 กลุ่ม
Sino Land กับ Far East Organization เข้ามาซื้อ และเปลี่ยนเป็นโรงแรมระดับห้าดาว
สร้างโรงแรมใหม่โดยพยายามคงลักษณะสถาปัตยกรรมแบบ Colonial ของเดิมเอาไว้
ให้มากที่สด

ด้านทิศเหนือเป็นวิวแม่น้ำสิงคโปร์ มีพิพิธภัณฑ์ และ Victoria Theatre & Concert Hall
อยู่ใกล้ๆแค่ข้ามสะพานแขวนเล็กๆไป ตัวโรงแรมมีห้องหลายคลาสให้เลือก (เท่าที่ค้นๆ
ดูใน Agoda และในเว็บโรงแรม ราคาเริ่มต้นเกือบหมื่นบาทต่อคืนสำหรับห้องถูกสุด ส่วน
ห้องที่ผมนอน ซึ่งเป็นห้อง Quay Room นั้นราคาจะเพิ่มมาสูงจนชีวิตนี้ผมคงไม่ได้
กลับมานอนอีกเป็นแน่แท้ ห้องฝั่ง Quay Room นั้นมองออกไปจะเห็นทิศเหนือ
ฝั่งซ้ายของแม่น้ำคือ Boat Quay ซึ่งมีร้านอาหาร บาร์ ร้านนั่งเล่นวิวสวยตลอดเส้นทาง
ผมกับคุณสุรมิส เดินสำรวจฝั่งซ้ายของแม่น้ำในคืนแรกที่เราไปพัก..ของกินเยอะมาก
โดยเฉพาะปูทะเลเป็นๆจากศรีลังกา ตัวโตมากว่าปูทะเลแถวจันทบุรีสัก 4 เท่าเห็นจะได้
นอกจากนั้นยังมีบาร์นั่งเล่นเก๋ๆ และมีร้านสะดวกซื้อที่มีไอศกรีม Ben & Jerry ถ้วยเล็กๆ
ขายด้วย

และถ้าชอบนั่งเล่นในบรรยากาศชิลล์สุดๆ คุณสามารถเดินจากโรงแรม ข้ามสะพานแขวน
แล้วยึดฝั่งขวาของแม่น้ำเอาไว้ ก็จะสามารถเดินไปถึงบริเวณ Clarke Quay ที่มีแสงสี
ยามค่ำคืนสวยงามและไม่อึกทึกเกินไป..นี่คือวิวที่สามารถมองเห็นได้จากฝั่งห้องของผม
ส่วนห้องของคุณสุรมิส ผมเชื่อว่าอยู่อีกฝั่งหนึ่ง น่าจะเป็นห้อง Premier Quay ซึ่งจะมองเห็น
ถนน Collyer Quay และตึก Marina Bay Sands ชื่อดังได้ เรียกว่าวิวสวยกันคนละแบบ

อ้อ..ไอ้ที่เขียน Quay Quay ทั้งหลายนี่ น้องๆบางคนอาจยังไม่รู้ แต่มันอ่านออกเสียงว่า
“คีย์” นะครับ เป็นภาษาอังกฤษที่หมายถึงบริเวณริมน้ำที่เรือจอดกันเยอะๆ ถ้าคุณ
อ่านออกเสียงแบบอื่นและยืนยันจะอ่านแบบนั้นต่อไป ผมคงทำอะไรไม่ได้นอกจาก
หัวเราะคิกคักในใจเล็กๆมั้งครับ

S_trip02

ในคืนแรก ผมออกเดินสำรวจบริเวณใกล้ที่พักโดยตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะไปตามล่าหา
ร้านขายเค้กช็อคโกแลตที่ชื่อ Awfully Chocolate ซึ่งตาบอม RhinoMango
ทีมตัดต่อของเราส่งโพยมาให้ บอกแค่ว่า “ถ้ามีโอกาส อยากให้ลองไปชิมดู”
ผมลอง Google ดูก็พบว่ามีร้านสาขาใกล้ๆที่ Robinson Raffles City ซึ่งอยู่ในระยะ
ที่คนอ้วนอย่างผมสามารถเดินถึงได้โดยไม่ตายกลางทาง จึงเอ่ยปากบอกคุณสุรมิส
ซึ่งเจ้าตัวก็มาเดินชมเมืองเป็นเพื่อนผมด้วยอีกคน

อันที่จริงเส้นทางเดินแบบสั้นๆก็ไม่ยาก แค่เดินไปทางทิศตะวันออก หาถนน
Stamford ให้เจอ แล้วเดินขึ้นทิศเหนือก็จบ หรือนั่งรถไฟใต้ดินจาก Raffles Place
ไปลงที่สถานี City Hall ก็ประหยัดเวลาได้เยอะแล้ว แต่เนื่องจากเราต้องการ
เดินชมเมือง ก็เลยเดินฝั่งซ้ายของแม่น้ำ ขึ้นเหนือไปจนถึงถนน North Bridge
ค่อยหันหน้าไปทางทิศตะวันออกจนไปถึงห้าง Raffles City ที่หัวมุม North Bridge
ตัดกับถนน Stamford

บนถนน North Bridge นั้นเอง ผมได้เจอสถานที่ซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตา มันคือตึก
Funan Centre ซึ่งในปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Funan Digitalife Mall ที่นี่เป็นอาคาร
รวมสินค้า IT คล้ายๆกับ Pantip Plaza ของบ้านเราแหละครับ พอเห็นชื่อแล้วนึกถึง
สมัยที่มาเดินหาผู้ค้าชิพคอมพิวเตอร์กับพ่อเมื่อ 21-25 ปีก่อน เราจะมา Funan
ไม่ก็ซิมลิ้ม สแควร์กันเป็นประจำ แต่ด้วยความที่ผู้คนสิงคโปร์ยุคใหม่ซื้อสินค้า
แบบออนไลน์กันมาก ความนิยมของ IT Mall แบบนี้ก็ลดลง Funan ซึ่งเปิดมา
ตั้งแต่ปี 1985 ก็จะถูกทำลายทิ้งโดยมีกำหนดเริ่มทุบ 30 มิถุนายน 2016 นี้

..นี่ล่ะมั้ง..ความเป็นไปของโลกที่มีเกิดและมีดับไปตามยุคสมัย

S_trip03

อะไรจะดับสูญก็ดับ แต่ความหิวไม่เคยดับสำหรับผมครับ เมื่อเดินมาถึง Raffles City
คุณสุรมิสขอตัวแยกไปเดินดูสินค้าเสื้อผ้าและรองเท้า ส่วนผมก็ตามหาร้านที่เจ้าบอม
บอกจนเจอว่าอยู่ที่ชั้นใต้ดินลงไป 1 ชั้น ที่มีร้านขายอาหารและซูเปอร์มาร์เก็ตนั่นล่ะ
ร้าน Awfully Chocolate ที่นี่ไม่มีที่นั่งนะครับ เหมาะไว้สำหรับซื้อกลับบ้านอย่างเดียว
ผมก็เลยจัดการซื้อไอศกรีมช็อคโกแลตมาลอง (ราคา 4.90 ดอลลาร์สิงโปร์:SGD)
ได้มา 2 ก้อนขนาดเท่าๆ Swensen’s บ้านเรา จ่ายไปร้อยกว่าบาทไทย แต่รสชาติดี
ไม่เข้มหวานบาดคอ แต่ไม่เจือจางเกินไป อยากจะกลับไปซื้ออีกสักถ้วยแต่กลัวรุ่งเช้า
จะต้องวิ่งเข้าห้องน้ำเหมือนสมัยไปทริปไต้หวัน

ส่วนเค้ก..อื้อหือ มันคือของเด็ดของเขาเลยครับ ทุกชิ้นที่วางไว้นี่ คนคลั่งลัทธิ
บูชาคาเคา (Cocoa)แบบผมแทบอยากจะจกมาทุกแบบ แต่ท้ายสุดก็เอามา
แค่เท่าที่เห็น ไอ้ที่กลมๆสีน้ำตาลนั่นคือ Chocolate Tart ซึ่งรสชาติหวานที่สุด
ในกลุ่ม ส่วนก้อน 3 เหลี่ยมคือ Mille Crepe ซึ่งกลิ่นช็อคโกแลตจะบางลง ความ
หวานจะน้อยลง มีกลิ่นคล้ายยีสต์ในขนมปังเด่นขึ้นมาแทน ส่วนก้อนสี่เหลี่ยมนั่น
คือ Stacked Cake ซึ่งรสชาติออกจะธรรมดา ถ้าใครชอบเค้กช็อคโกแลตเข้มจัดๆ
และไม่กลัวความหวาน ผมว่าในไทยเราก็มี Devil Cake ของร้าน PapaPond ที่
อร่อยสู้กับของสิงคโปร์ได้สบายมากครับ

ผมไม่ได้กินเค้กพวกนี้หมดที่หน้าร้านหรอกครับ ผมสั่งใส่กล่องแล้วก็เดินถือ
ปุเลงๆกลับมาทานที่โรงแรม แปลงกายเป็นพริตตี้หนัก 150 กิโลกรัม หยิบ
เค้กทานทีละชิ้นแล้วก็ Live Facebook ไปด้วย สนุกดี สมัยก่อนผู้ใหญ่สอนว่า
เวลากินอย่าพูด ผมแหกกฎโดยการกินไปพูดไปแล้วดันมีคนเข้ามาดูอีก
หลายสิบคนด้วย แต่จะคุ้มกับค้าเค้ก 4 ก้อนตีเป็นเงิน 800 บาทไทยหรือเปล่า
ผมยังรู้สึกตะหงิดๆอยู่

S_trip04

ในคืนที่ 2 (ซึ่งเป็นช่วงที่กลับมาจากการลองรถแล้ว) ทาง Porsche ได้จัดตั๋วนั่งเรือ
Singapore River Cruise ให้ผมกับคุณสุรมิสไว้ แต่หลังจากอาหารเย็น คุณมิสขอตัว
ขึ้นไปเคลียร์งานบนห้อง ผมเลยขออนุญาตลุยเดี่ยว เดินสะพานกระเป๋าแล้วก็
มาที่ท่าเรือข้างโรงแรม ซึ่งทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่า กว่าเรือจะมาก็น่าจะเป็นชั่วโมง
และแนะนำให้ผมเดินไปขึ้นที่ท่าเรือตรงแถวๆรูปปั้น Merlion ซึ่งจะมีเรือมาแวะจอด
บ่อยกว่า พอผมพยักหน้าแล้วเดินออกมาได้ 5 นาที ฝนสิงคโปร์ก็มาทักทายในยาม
ค่ำคืน แต่ผมไม่ได้เลิกล้มความตั้งใจหรอกครับ

ผมเดินลอดใต้ถนน Esplanade Drive มาโผล่แถวๆตัว Merlion ถ้าคุณเป็นชาย
และมาเที่ยวสิงคโปร์คนเดียวแล้วอยากเจอสาวๆน่ารักๆโมเอะอายิชิวาว่า ผมแนะ
ให้เดินมาแถวๆนี้เลยครับ สาวไทยน่ารักๆเพียบ ผมก็โรคจิตแกล้งปลอมตัวเป็น
คนท้องถิ่นพูดภาษาอังกฤษสำเนียง Singlish แซวกึ่งผูกมิตรคนนั้นคนนี้เป็นการ
คลายเครียดรอเวลาที่เรือเทียบท่า จากนั้นก็นั่งเรือ วนขึ้นทิศเหนือชมแสงสี
ริมแม่น้ำโดยมีเสียงบรรยายภาษาอังกฤษหญิงที่ค่อนข้างฟังดูน่าหมั่นไส้เหมือน
เซลส์ขายบริการฟิตเนสเจ้าที่เจ๊งไปนานแล้วเจ้าหนึ่งขับกล่อมไปตลอดทาง
เราไปกลับลำเรือกันแถวๆ Clarke Quay (คลาร์กคีย์นะครับ ไม่ใช่คลาร์ก ค..)

จากนั้นเรือก็จะแล่นย้อนกลับมาทางปากอ่าว ผ่านบริเวณ Clifford Pier ผ่าน
อาคารตะปุ่มตะป่ำคล้ายลูกทุเรียน ผ่าน Marina Bay Sands แล้วก็ไปจอดส่ง
นักท่องเที่ยวลงที่ฝั่ง Marina นั่นเอง ถ้าใครไม่ลง เขาก็จะพากลับมาที่ท่าเรือ
ตรงใกล้ๆ Merlion แบบเดิม..แม้ฝนจะตกปรอยๆ และมีเด็กขี้แยทำลาย
บรรยากาศไปบ้าง แต่การที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนแผ่นดินใหญ่หน้าตาเหมือน
คุณยิปโซกับคุณยิปซี (มากันสองคนนะครับ) นั่งตากฝนข้างๆเป็นเพื่อน มีกลิ่น
น้ำหอมกับเครื่องสำอางค์ปนๆกลับกลิ่นฝนบางๆ..ถึงเป็นไข้พี่ก็ว่าคุ้มวะ

BRIEF HISTORY OF CARRERA CARS

porsche_911_carrera_rs_2.7_sport_31

ผมคงไม่ร่ายประวัติของ 911 ทุกรุ่นให้ท่านอ่านในบทความนี้ เพราะอย่าลืมว่ารถ
อายุยืนอย่าง 911 นั้นขายมายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ แม้จะเปลี่ยนแพลทฟอร์มหลัก
ไปแค่ 3 ครั้งแต่ก็มีรุ่นย่อยและอัพเดทหลายครั้ง ดังนั้นจึงจะย้อนดูประวัติของรถตระกูล
Carrera ทั้งหลาย และไม่นับพวก Carrera GT กับ Carrera Speedster ซึ่งเป็นรถพิเศษ

คำว่า Carrera นั้น เป็นภาษาสเปน แปลว่าการแข่งขัน Porsche เอาชื่อนี้มาจาก
รายการแข่ง Carrera PanAmericana ในเม็กซิโก ซึ่งพวกเขาเคยชนะการแข่งใน
คลาสรถสปอร์ต ต่อมาก็เอามาตั้งเป็นชื่อรถแข่งรุ่น 356 Carrera แล้วท้ายที่สุดก็
นำมาใช้กับรถตระกูล 911 เริ่มด้วยรุ่น 911 Carrera RS 2.7 ปี 1972 อย่างที่เห็นในภาพ

รถรุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์ที่ได้รับการปรับแต่งใหม่ ในตัวท้อปของรุ่นธรรมดาอย่าง 911S
สมัยนั้นจะใช้เครื่องยนต์ 2,341 ซี.ซี. (แต่ดันถูกเรียกเหมาเป็น 2.4 ลิตร) มีพลังทั้งสิ้น
190 แรงม้า (PS) ดังนั้นพอมาเป็นรถพิเศษอย่าง Carrera RS จึงต้องขยายความจุเป็น
2.7 ลิตร พละกำลังเพิ่มเป็น 210 แรงม้า (PS) นอกจากนี้ยังได้เครื่องทรงองค์แต่ง
ภายนอกอย่างเช่นหางหลังตูดเป็ด ปรับปรุงช่วงล่างให้มีความแข็งหนึบขึ้น ติดตั้งเบรก
ที่มีขนาดโตขึ้น

Carrera RS รุ่นแรก แบ่งการตกแต่งออกเป็น 2 แบบคือรุ่น RS Touring ที่ติดตั้งอุปกรณ์
อำนวยความสะดวกครบ สำหรับลูกค้าทั่วไป ตัวรถหนัก 1,075 กิโลกรัม และอีกรุ่นก็คือ
Sport Lightweight ซึ่งลดน้ำหนักลงอีก 100 กิโลกรัมด้วยการใช้กระจกบาง และเหล็ก
ตัวถังที่บางลงบางจุด ถอดอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นออก ทั้ง 2 รุ่นรวมกันมียอดจำหน่าย
1,580 คัน ทำให้จัดเป็น Porsche 911 รุ่นที่หายากและน่าสะสมรุ่นหนึ่ง

porsche_911_carrera_2.7_coupe_181

ในปี 1974 911 ได้มีการปรับเปลี่ยนทรงของกันชนหน้าใหม่เพื่อให้รองรับ
การกระแทกที่ความเร็วต่ำได้ดีขึ้น รถตระกูล Carrera ก็ได้อานิสงส์ไปด้วย
แต่พวกเขาเลิกจำหน่ายรุ่น Carrera RS แล้วเปลี่ยนไปใช้ชื่อว่า Carrera 2.7
ธรรมดาแทน แต่เครื่องยนต์กลไกร่วมถึงเกียร์รุ่นเก่ารหัส 915 ก็ยกมาจาก
Carrera RS Touring นั่นเอง แรงม้าจึงอยู่ที่ 210 ตัวเท่าเดิม

ต่อมา ในปี 1976 หลังจากที่เปิดตัวรุ่น 911 Turbo (930) รุ่นแรก Carrera
ก็ได้รับผลบุญด้วยโดยที่ Porsche ใช้ข้อเหวี่ยงและชิ้นส่วนท่อนล่างของเครื่อง
แบบเดียวกับ 930 แต่ไม่มีการติดตั้งเทอร์โบ ทำให้ได้ความจุเพิ่มจาก 2.7
เป็น 3.0 ลิตร ขยายขนาดวาล์วไอดี/ไอเสียเพิ่มด้วย แต่แรงม้ากลับลดลง
จาก 210 เหลือ 200 ตัวถ้วนๆ แต่แรงบิดมาให้ใช้เร็วกว่าเดิม ขับสนุกขึ้น
รถ Carrera 3.0 นี้ขายอยู่แค่เพียงปีเดียวเท่านั้น

porsche_911_sc_3.0_coupe_81

ในปี 1978 Porsche เปลี่ยนชื่อรุ่นจาก Carrera เป็น “SC” ซึ่งสร้างความสับสน
พอสมควรเพราะหลายคนนึกว่าเลิกยุ่งกับชื่อ Carrera แล้ว แต่อันที่จริง ตัวอักษร
SC มันก็ย่อมาจาก “Super Carrera” นั่นแหละ!

911 SC ยังใช้เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร หัวฉีดกลไก K-Jetronic เหมือนเดิม แต่เพราะ
ช่วงนั้นเป็นยุควิกฤติการณ์น้ำมันขาดแคลนต่อเนื่องกันมานานหลายปี รถโมเดลปี
1978 จึงถูกปรับจูนให้กินน้ำมันน้อยลง ส่งผลให้แรงม้าถอยลงไปจนเหลือแค่ 180 PS
(น้อยกว่า 911S 2.4 ปี 1972 เสียอีก) แต่ในภายหลัง Porsche ก็ใส่ม้ากลับเข้าไป
ในเครื่องยนต์ จาก 180 เป็น 188 และจบที่ 204 PS ในช่วงหลัง

แต่เดิมนั้น 911 ที่เป็นรุ่น Carrera มักจะเป็นรุ่นพิเศษที่มีพลังสูงกว่าปกติ แต่นับจาก
รุ่น SC เป็นต้นไปนั้น ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า Porsche จะให้รุ่น Carrera เป็นรถระดับ
เริ่มต้น (Entry Level) ของ 911 ในขณะที่ 911 Turbo จะเป็นสุดยอดทั้งเรื่อง
ความหรู ความแรง และความแพง 911SC รับหน้าที่นี้ไปจนหมดอายุการตลาด
ของมันในปี 1983

ในช่วงอายุขัยของ 911SC นั้น ถือเป็นช่วงเวลาตัดสินชะตาของรถโมเดลนี้ บางท่าน
อาจทราบอยู่แล้วว่าอันที่จริง Porsche ตั้งใจจะ “ฆ่า” 911 ทิ้งตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ
ที่ 70s แล้ว พวกเขาสร้าง 928 มาเพื่อแทนที่ 911 และคิดจะปล่อยให้ Porsche
เครื่องวางหลังระบายความร้อนด้วยอากาศสูญพันธุ์ไปในช่วงต้นยุค 80s แต่เมื่อ
นาย Peter M. Schutz ได้มาเป็น CEO ของ Porsche ในปี 1981 เขาเดินเข้าไป
ในห้องทำงานของ Dr. Helmut Bott ซึ่งเป็นผู้บริหารฝ่ายผลิตภัณฑ์

Peter เหลือบไปเห็นตารางบนผนังที่โชว์แผนการผลิตของรถรุ่นต่างๆ ไม่ว่า
จะเป็น 944, 928 หรือ 911 แต่เส้น Timeline การผลิตของ 911 สิ้นสุดลงในปี
1981 เมื่อเขาเห็นดังนั้น เลยบอกว่า “ไม่ใช่ละ…ต้องนี่…อย่างงี้” แล้วก็หยิบปากกา
มาร์กเกอร์สีดำลากเส้นบนตาราง ต่อชีวิตให้ 911 แถมยังกวนส้นด้วยการลากเส้น
จนเลยตารางออกไปอีก “เราจะไม่เลิกผลิต 911..เข้าใจตรงกันนะท่าน”

porsche_911_carrera_3.2_clubsport_coupe_61

ดูเหมือนความตั้งใจของ Peter Schutz จะได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการ
บริหาร 911 ได้รับไฟเขียวให้อยู่ต่อแถมยังได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นจนภายหลัง
มันมีชีวิตอยู่ยืนยาวกว่า 928 ที่ถูกสร้างมาแทนที่มันเสียอีก

ก้าวเข้าสู่ปี 1984 Porsche ก็ตัดสินใจเลิกใช้ชื่อ SC แล้วหันมาปะชื่อรุ่น
Carrera อีกครั้ง มาคราวนี้ปรับปรุงชิ้นส่วนและกลไกเพิ่มเติมไปหลายอย่าง
เพิ่มความจุเครื่องยนต์จาก 3.0 เป็น 3.2 ลิตร เพิ่มพลังเป็น 234 แรงม้า (PS)
ซึ่ง Porsche เคลมว่า 80% ของเครื่องยนต์เป็นชิ้นส่วนใหม่ เปลี่ยนระบบจ่ายน้ำมัน
เชื้อเพลิงจากหัวฉีดกลไก K-Jetronic เป็นหัวฉีดไฟฟ้า L-Jetronic นอกจากนี้ยังได้
เปลี่ยนระบบส่งกำลังจากเกียร์ธรรมดารหัส 915 ที่ใช้มานานกว่าทศวรรษ มาเป็น
เกียร์ใหม่จาก Getrag รุ่น G50

การปรับเสริมสมรรถนะ ส่งผลให้ 911 Carrera 3.2 สามารถทำอัตราเร่ง 0-100
กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลา 5.4 วินาที ซึ่งถือว่าเร็วมากสำหรับรถสปอร์ต
ปี 1983 และยังแรงชนิดที่วิ่งไล่กับ Carrera รุ่นใหม่ๆที่ตามมาหลังจากนั้นได้
ไปจนถึงรุ่นหลานเลยทีเดียว

และถ้านั่นยังแรงไม่พอ Porsche ยังทำรุ่น Carrera Club Sport ที่ถอดอุปกรณ์
อำนวยความสะดวกที่ไม่จำเป็นออกจนน้ำหนักเบาลงอีก 70 กิโลกรัม และปรับ
ECU ให้สามารถลากรอบได้สูงขึ้นกว่ารุ่นปกติ

Carrera 3.2 ลิตร ได้รับความนิยมค่อนข้างสูง และสามารถสร้างยอดจำหน่าย
ทั่วโลกได้ 76,000 คัน ในปัจจุบันยังถือว่าเป็นรถ 911 รุ่นคลาสสิคที่ผู้คนใน
ยุโรปมักเสาะหา เพราะยังมีเส้นสายตัวถังดูเหมือนรถยุคเก่า แต่กลไกหลาย
ต่อหลายอย่างถูกปรับปรุงให้มีความทนทานมากขึ้น จุกจิกน้อยลงกว่ารุ่นก่อนๆ

porsche_911_carrera_4_coupe_us-spec1

เข้าสู่ช่วงปลายยุค 80s คอมมิวนิสต์โซเวียตล่มสลาย กำแพงเบอร์ลินถูกทุบ
โลกของรถสปอร์ตก็เดินหน้าไปไม่หยุดยั้ง Porsche เริ่มมองเห็นศักยภาพ
ของคู่แข่งรายใหม่ทั้งจากโลกตะวันตกและตะวันออก และเริ่มคิดปรับปรุง
รถของตัวเองให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ในช่วงปลายปี 1989 นั้นเอง Porsche จึงได้
ทำการเปิดตัว 911 รหัสตัวถัง 964

ครั้งนี้มาแปลก และมากับเทคโนโลยีใหม่ พวกเขาเผยโฉม 911 Carrera 4
ซึ่งใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาเป็นรุ่นแรก หลังจากนั้นปีต่อมาจึง
เปิดตัวรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังที่ใช้ชื่อว่า 911 Carrera 2

รถโฉม 964 นั้นมีหน้าตาภายนอกที่ดูกลมเกลี้ยงทันสมัยขึ้น แต่ดีไซน์หลัก
โดยเฉพาะส่วนประตูกับหลังคายังคงสืบทอดแนวทางเดิมที่ขายมากว่า 2 ทศวรรษ
สปอยเลอร์หลังของ Carrera 2 และ 4 เป็นแบบที่กางออกโดยอัตโนมัติเมื่อใช้
ความเร็วสูง และในยามปกติจะพับเก็บราบไปกับแนวฝากระโปรง
964 เป็น 911 รุ่นแรกที่เปลี่ยนชุดรองรับน้ำหนักรถจากทอร์ชั่นบาร์เป็นคอยล์สปริง
แถมยังเป็นรุ่นแรกที่มีการติดตั้งระบบเบรก ABS และพวงมาลัยเพาเวอร์อีกด้วย
สำหรับเครื่องยนต์นั้น ก็ถูกขยายเพิ่มจาก 3.2 เป็น 3.6 ลิตร พละกำลังเพิ่มเป็น
250 แรงม้า (PS) และเพื่อความสบายในการขับ Porsche ได้เพิ่มระบบส่งกำลัง
แบบเกียร์อัตโนมัติ Tiptronic 4 จังหวะ มีฟังก์ชั่นเล่นเกียร์ +/- มาให้ นับเป็น
ค่ายรถเจ้าแรกๆที่ทำเกียร์แบบนี้มาให้ลูกค้าเลือก ในภายหลังออพชั่นนี้กลายเป็น
ที่นิยมและกลายเป็นของธรรมดาที่พบได้ในรถทั่วไป

สำหรับผู้ที่นิยมความแรง ในปี 1992 ก็มีรุ่น Carrera RS ซึ่งใช้เครื่อง 3.6 ลิตร
ปรับเพิ่มพลังเป็น 264 แรงม้า ถอดอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นออก และปรับช่วงล่าง
ให้เตี้ยลงอีก 40 มิลลิเมตร มีหางหลังขนาดใหญ่ติดตายตัวและล้ออัลลอย 3 ชิ้น
ปี 1993 มีรุ่นพิเศษที่ผลิตจำนวนจำกัดมาก ขยายความจุเป็น 3.8 ลิตร พละกำลัง
สูงถึง 304 แรงม้า เป็นรถสะสมหายากที่ราคาปัจจุบันแพงกว่าตอนเปิดตัวขาย
หลายเท่า

porsche_911_carrera_s_3.6_coupe_21

หลังจากที่ 964 ขายได้สักพัก โลกของรถสปอร์ตเริ่มสั่นคลอนจากการปรากฏตัว
ของ Honda/Acura NSX ซึ่งเป็นรถที่ขับง่าย เข้าใจชีวิตของคนใช้รถสปอร์ต
ที่ไม่ได้อยากจะใช้รถที่เสียงดัง พยศ มีความท้าทายในการขับขี่ มันเป็นรถที่
จะขับใช้งานก็สบาย จะขับให้เร็ว ก็เร็วได้อย่างกลัว Porsche จึงพยายามมอง
ความต้องการของลูกค้าให้ลึกขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็อยากรักษาเอกลักษณ์ของ
911 เอาไว้ให้ครบถ้วน ผลที่ได้ก็คือ 911 โฉม 993 ซึ่งเผยโฉมในช่วงปี 1993

993 Carrera มีทั้งรุ่นขับหลังขายในชื่อ Carrera (ไม่มีเลข 2) และรุ่นขับเคลื่อน
4 ล้อในชื่อ Carrera 4 เครื่องยนต์ที่ใช้เป็นบล็อค M64 ที่พัฒนาต่อเนื่องมาจาก
964 ความจุยังอยู่ที่ 3.6 ลิตร แต่ปรับปรุงระบบท่อไอเสีย ระบบจ่ายน้ำมันและ
กล่อง ECU ใหม่จนได้แรงม้าเพิ่มเป็น 272 แรงม้า (PS)

นอกจากเครื่องยนต์แล้ว สิ่งที่ทำให้ 993 เด่นกว่ารถรุ่นเดิมคือช่วงล่างหลัง
แบบมัลติลิงค์ ซึ่งออกแบบมาให้ยึดเกาะถนนได้ดีขึ้น ลดอาการท้ายปัดเวลา
ถอนคันเร่งยามเข้าโค้งแรงๆได้ ทำให้กลายเป็นรถที่ขับง่ายขึ้นสำหรับมือใหม่
และเป็นรถที่มือชั้นเซียนสามารถขับในสนามได้เร็วยิ่งขึ้น

ในปี 1995 เครื่องยนต์ M64 ได้รับการพัฒนาอีกขั้นให้มีระบบท่อไอดีแปรผัน
VarioRam ทำให้มีแรงบิดดีขึ้นตั้งแต่ต้นยันปลาย และมีเสียงดูดอากาศโหดขึ้น
เวลาลากรอบสูง อีกทั้งยังทำให้แรงม้าเพิ่มเป็น 286 PS ส่วนรุ่นเกียร์อัตโนมัติ
Tiptronic ก็ได้ปุ่มเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยเพิ่มเข้ามา

นอกจาก Carrera และ Carrera 4 แล้ว ยังมีรุ่นพิเศษเน้นความแรงอย่าง
Carrera RS เช่นเดียวกับสมัย 964 รุ่นนี้จะใช้เครื่องยนต์ 3.8 ลิตร 300 แรงม้า
มีหางหลังขนาดใหญ่ติดตายตัว และล้ออัลลอยทำจากแม็กนีเซียม 3 ชิ้นยิงหมุด
รอบล้อแบบที่หาดูได้ยากแล้วในรถโรงงานสมัยนี้

ส่วน Carrera S/Carrera 4S นั้นตามออกมาในช่วงปี 1997 มันคือรถที่ใช้บอดี้
ภายนอกแบบลำตัวกว้างของรุ่น Turbo แต่ไม่มีหางหลังปลาวาฬ และใช้เครื่อง
3.6 ลิตร 286 แรงม้าแบบเดียวกับรุ่นธรรมดานั่นเอง

993 ได้รับการขนานนามว่าเป็น 911 ที่ดีที่สุด..ไม่ใช่ในเชิงของสมรรถนะตัวเลข
ต่างๆ แต่เป็นเพราะมันคือจุดที่สมดุลย์ที่สุดระหว่างความคลาสสิคของ 911
ยุคเก่า (กระจกหน้าตั้ง กระจกหลังลาด ท้ายเป็นกบ และเป็นรุ่นที่ระบายความร้อน
ด้วยอากาศเป็นรุ่นสุดท้าย) เข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ (เครื่องหัวฉีดไฟฟ้า อุปกรณ์
ความปลอดภัยครบครัน และช่วงล่างหลังมัลติลิงค์)

porsche_911_carrera_coupe_1

996 เปิดตัวในปลายปี 1998 นำร่องด้วยรุ่น Carrera ขับหลัง และ Carrera 4
นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของรถตระกูล 911 เพราะมันถูกออกแบบขึ้นใหม่
ทั้งคันโดยมีแค่ช่วงล่างหน้า/หลัง และเกียร์เท่านั้นที่เอาของ 993 มาปรับปรุงเพิ่ม
บอดี้ภายนอกออกแบบโดย Pinky Lai ซึ่งเป็นนักออกแบบชาวฮ่องกงที่รับผิดชอบ
ดีไซน์ของ Boxster และ Cayman รุ่นแรกด้วย

996 ใช้เครื่องยนต์แบบระบายความร้อนด้วยน้ำเหมือนรถทั่วไป ความจุ 3.4 ลิตร
พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VarioCam ให้แรงม้าสูงสุด 300 แรงม้า (PS) ในรุ่น
Carrera และ Carrera 4 และเครื่องยนต์ใหม่บล็อคนี้เองที่สร้างตำนาน IMS
Bearing Failure (แบริ่งชาฟท์ขับโซ่เพลาลูกเบี้ยวสึก) ในขณะที่รถรุ่น GT3
และ Turbo ซึ่งยังใช้เสื้อสูบแบบเดียวกับรถรุ่นเก่าไม่มีปัญหานี้

ลูกค้าของ Porsche จำนวนไม่น้อยรู้สึกไม่ชอบรูปทรงของ 996 ทั้งๆที่มันมี
ความทันสมัยขึ้นมากกว่าแต่ก่อน นั่งสบายและถูกหลัก Ergonomics มากขึ้น
ในหลายจุด สาเหตุก็เพราะการพยายามควบคุมปัจจัยทางการเงินตามนโยบาย
ของ CEO Wendelin Wiedeking ทำให้ส่วนหน้าของรถรวมถึงภายในมีลักษณะ
เหมือนกับ Boxster ซึ่งเป็นรถระดับราคาถูกกว่า แต่เชื่อเถอะว่าพวกเขาจำเป็น
ต้องทำ เพราะ Porsche ในช่วงนั้นสถานการณ์ทางการเงินกำลังย่ำแย่

แต่ไม่ว่าใครจะตำหนิอย่างไร ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกลับถูกใจลูกค้า
หน้าใหม่ของ Porsche เป็นจำนวนมาก มันเป็นรถที่ขับง่ายและใช้สบาย
มากขึ้น เบาะนั่งสบายขึ้น แผงคอนโซลและพวงมาลัยดูทันสมัยและใช้ง่าย
กว่าแต่ก่อน ตัวถังนั้นดูตามสเป็คเหมือนกว้างขึ้นนิดเดียว แต่ที่จริงรถรุ่นเก่า
กว้างเพราะโป่งข้างมันใหญ่ ในขณะที่ 996 นั้นตัวถังใหญ่ทั้งตัว ทำให้มีเนื้อที่
ภายในมากขึ้น ส่วนช่วงล่างของเดิมจาก 993 ที่ดีอยู่แล้ว ก็พัฒนาให้ดีขึ้น
ไปกว่าเดิมอีก

ในปี 2002 Porsche เปลี่ยนไฟหน้าของ 996 จากสไตล์ Boxster เป็นไฟหน้า
ของรุ่น Turbo ที่เป็นเลนส์ขาวคนละทรง เพื่อพยายามทำให้ลูกค้ารู้สึกแตกต่างจาก
Boxster มากขึ้น และยังเอาปรับเครื่องยนต์กลับไปเป็น 3.6 ลิตร ทำให้มี
กำลังเพิ่มขึ้นเป็น 320 แรงม้า (PS) ส่วนโมเดลแรงอย่าง Carrera RS นั้น
ไม่มีการผลิตออกมา เพราะ Porsche สร้าง 911 พันธุ์สนามแรงแบบ NA
รุ่นใหม่อย่าง GT3 มาแทน

ต่อให้แฟนพันธุ์แท้ Porsche จะตั้งข้อกังขากับ 996 หรือตีคุณค่าให้น้อยกว่า
911 รุ่นก่อนหน้าเพียงใด ความจริงก็คือในขณะที่ 993 ขายได้ไม่ถึง 70,000 คัน
996 นั้นสร้างยอดขายรวมได้ถึง 170,000 คัน สมความตั้งใจของ CEO เขา
และ 911 กับ Boxster ช่วยสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้ Porsche มีทุนในการ
พัฒนา SUV อย่าง Cayenne ซึ่งในภายหลังรถทั้ง 3 รุ่นมีส่วนช่วยให้ Porsche
พลิกฐานะจากบริษัทใกล้ล้มละลายกลายเป็นบริษัทผลิตรถสปอร์ตที่สร้างกำไร
ได้งดงามมากที่สุดเจ้าหนึ่งภายในเวลาไม่กี่ปี

porsche_911_carrera_s_coupe_uk-spec_51

ปี 2004 Porsche ก็เปิดตัวรุ่น 997 Carrera และ Carrera S ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ
Carrera 4/4S นั้นเปิดตัวในปี 2005 ตัวรถได้รับการออกแบบให้ลู่ลมขึ้น ค่าสัมประสิทธิ์
แรงเสียดทานลดจาก 0.30 เป็น 0.29 ภายนอกได้รับการออกแบบให้เอาใจ
แฟนพันธุ์แท้ 911 โดยการกลับมาใช้ไฟหน้าทรงรีเหมือนสมัยรุ่น 993 ในขณะที่
แผงแดชบอร์ดภายในก็เหมือนกับเอาแดชบอร์ดของ 993 มาปรับจนดูทันสมัยตามยุค
และใช้วัสดุที่ดูก็ดีสัมผัสก็ดีสมกับที่เป็นรถสปอร์ตชั้นสูง พูดง่ายๆ 997 ก็คือ 996
ที่เอามาปรับเปลี่ยนบางส่วน อะไรก็ตามที่ 996 พลาดไป Porsche ก็แก้ไขให้เสร็จ
ในรุ่น 997 นี้เอง

Carrera ธรรมดาใช้เครื่อง 3.6 ลิตรที่เอามาจาก 996 แรงม้าอยู่ที่ 325 แรงม้า (PS)
ส่วน Carrera S นั้น เครื่องยนต์จะถูกขยายความจุขึ้นเป็น 3.8 ลิตร แรงม้าเพิ่มเป็น
360 แรงม้า ซึ่งมากเท่ากับ 996 GT3 รุ่นแรกเลยทีเดียว ส่วนระบบส่งกำลังนั้นมีให้
เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเกียร์ Tiptronic 5 จังหวะพร้อมสวิตช์เปลี่ยนเกียร์
ที่ก้านพวงมาลัย

ในปี 2008 997 ก็ได้รับการอัพเดตเสริมเขี้ยวเล็บอีกครั้ง Porsche นำเครื่องยนต์
แบบหัวฉีด Direct Injection รุ่นเครื่อง 3.6 ลิตร แรงม้าเพิ่มเป็น 345 แรงม้า และรุ่น
3.8 ลิตร แรงม้าเพิ่มเป็น 385 แรงม้า มีการปรับแต่งช่วงล่างให้มีความมั่นคงขณะเลี้ยว
รวมถึงปรับแต่งซอฟท์แวร์ระบบควบคุมการทรงตัวและกันไถลให้ทำงานเร็ว มอบความ
ปลอดภัยโดยที่ไม่ทำให้รถวิ่งช้าลงหรือสูญเสียความเร็วจนน่ารำคาญ

นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่มาใหม่คือระบบส่งกำลังแบบคลัตช์คู่ PDK – Porsche Doppel
Kupplung 7 จังหวะ ซึ่งทำงานได้รวดเร็ว ว่องไว เมื่อใช้คู่กับระบบช่วยออกตัว
ทำให้ 911 ในยุค PDK นั้น รถเกียร์ธรรมดาวิ่งช้ากว่ารถเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ไปแล้ว
รถ 997.2 เวอร์ชั่นอัพเดทนี้จะมีไฟท้ายและไฟเลี้ยวเป็นหลอด LED

บอดี้ล่าสุดของ Porsche 911 ก็คือโฉม 991 ซึ่งเผยโฉมไปในเดือนสิงหาคมปี
2011 นับเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหลักครั้งที่ 3 ของรถตระกูล 911
โครงสร้างแรก ใช้ตั้งแต่ปี 1964 จนสิ้นสุดบอดี้ 993 ครั้งที่ 2 มากับรถรุ่น 996
และครั้งที่ 3 กับรถรุ่นนี้นั่นเอง สิ่งที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนคือระยะฐานล้อที่ยาว
เพิ่มขึ้นจาก 2,350 เป็น 2,450 มิลลิเมตร โครงสร้างของรถเปลี่ยนวัสดุหลัก
จากเหล็กเป็นอะลูมิเนียม ทำให้น้ำหนักรถแทบไม่ต่างไปจากเดิมต่อให้ตัว
โตขึ้นก็ตาม

991 เป็น 911 รุ่นแรกที่ใช้พวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า ซึ่งได้รับกระแสตอบรับ
ทั้งด้านดีและด้านลบ (จะพูดว่า “ไม่ดี” ก็ยากเพราะมันก็ยังนับว่าเป็นพวงมาลัย
ไฟฟ้าที่ปรับจูนมาได้ดีที่สุดรุ่นหนึ่ง) และเป็นรุ่นสุดท้ายที่จะมีเครื่องยนต์แบบ
ปราศจากเทอร์โบชาร์จให้เลือกในรุ่น Carrera ทั้งหลาย เพราะเครื่องยนต์ 3.4 ลิตร
350 แรงม้า และ 3.8 ลิตร 400 แรงม้า (ในรุ่น S) นั้น นับเป็นเครื่อง 6 สูบไร้เทอร์โบ
ที่ทรงพลังที่สุดในบรรดา Carrera Series ทั้งหมดในประวัติศาสตร์ถ้าไม่นับพวก
รถพิเศษที่ทำเพื่อการแข่งในสนาม

แต่ก็อย่างที่คริสติน่า อากีลาร์เคยร้องเพลงเอาไว้ครับ “ประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำ
ประวัติศาสตร์จะต้องเปลี่ยน” Porsche เองก็โดนบังคับด้วยเรื่องอัตราการสิ้นเปลือง
เชื้อเพลิง และมาตรฐานมลภาวะประเมินรวมของทางค่าย ทำให้เครื่อง 6 สูบ
นอนยันแบบไร้เทอร์โบถูกกำจัดทิ้ง เหลือไว้แค่เพียงโมเดลพิเศษของค่ายอย่าง
911 GT3 และ 911R ซึ่งทำมาเอาใจลูกค้าแฟนพันธุ์แท้เครื่อง NA เท่านั้น

และการมาของเครื่องยนต์เทอร์โบใน Carrera ก็ทำให้เราได้มีโอกาสมาลอง
ในวันนี้..เอาล่ะน่า ถึงแม้จะขับได้ไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันก็ต้องมีอะไร
ให้เราเรียนรู้นิสัยเบื้องต้นบ้างล่ะ!

Previous Post

N1209036_ดท ใคร วฉ นนอกใจ_part2

Next Post

N1209033_อย าอวดด าย งม ไม พอ_part2

Next Post
N1209033_อย าอวดด าย งม ไม พอ_part2

N1209033_อย าอวดด าย งม ไม พอ_part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N3012051 มหาบ ณฑ ตส งอาหาร part2
  • N3012036 เลขาคนใหม สมองไว นห part2
  • N3012031 เจ บใจท กพ เจ บจ งท กเธอ part2
  • N3012055 หย าก บผ วท งท องเล อกว นท หน อย part2
  • N3012037 เส ยเม ยไม าเส ยหน าไม ได part2

Recent Comments

No comments to show.

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.