• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N0211023 เศรษฐ ไม เคยร มาก อนเลยว าเขาม กแฝด part2

admin79 by admin79
October 28, 2025
in Uncategorized
0
N0211023 เศรษฐ ไม เคยร มาก อนเลยว าเขาม กแฝด part2

ในโลกแห่งอุตสาหกรรมยานยนต์ที่หมุนไปอย่างไม่หยุดยั้ง การหวนกลับไปมองโมเดลที่เคยสร้างความประทับใจในอดีต ถือเป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรถยนต์อเนกประสงค์ประเภท PPV (Pickup Passenger Vehicle) ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศไทยอย่าง Mitsubishi Pajero Sport GT Premium รุ่นปี 2018 ซึ่งในมุมมองของปี 2025 นี้ เราจะมาวิเคราะห์กันว่าทำไมรถยนต์รุ่นนี้จึงยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ และมีคุณค่าที่ยืนยงเหนือกาลเวลาได้อย่างไร

เมื่อพูดถึงรถยนต์อเนกประสงค์แล้ว Mitsubishi Pajero Sport ถือเป็นชื่อแรกๆ ที่นักขับขี่หลายคนนึกถึง ด้วยการผสมผสานระหว่างสมรรถนะที่แข็งแกร่ง ความสามารถในการลุยที่เหนือชั้น และการออกแบบที่โดดเด่น ทำให้รุ่น GT Premium ปี 2018 ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมในช่วงเวลาที่เปิดตัว และแม้จะผ่านไปหลายปี คุณค่าของรถยนต์รุ่นนี้ก็ยังคงไม่เลือนหายไป บทความนี้จะพาทุกท่านไปเจาะลึกทุกแง่มุม ตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอกอันเป็นเอกลักษณ์ ห้องโดยสารที่กว้างขวางสะดวกสบาย หัวใจสำคัญอย่างเครื่องยนต์ ไปจนถึงระบบความปลอดภัยที่เหนือระดับ เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนยิ่งขึ้นจากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ที่มีประสบการณ์กว่าทศวรรษ

ภายนอก: ดีไซน์เหนือกาลเวลาที่ยังคงสะกดทุกสายตา

แม้ในปี 2025 ดีไซน์ของ Mitsubishi Pajero Sport GT Premium รุ่นปี 2018 ก็ยังคงความทันสมัยและโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ไม่ได้ดูล้าสมัยเลยแม้แต่น้อย ด้วยปรัชญาการออกแบบ “Dynamic Shield” ที่มิตซูบิชิใช้ในช่วงเวลานั้น ทำให้ด้านหน้าของ Pajero Sport มีความดุดัน สง่างาม และเป็นที่จดจำ ด้วยชุดตกแต่งชายกันชนหน้าแบบ Front Corner Protector ที่ผสานเข้ากับชุดตกแต่งใต้กันชนหน้าแบบ Front Under Garnish ได้อย่างลงตัว สร้างมิติความแข็งแกร่งและความสปอร์ตได้อย่างยอดเยี่ยม ไฟหน้า Projector Bi-LED ไม่เพียงให้ความสว่างที่คมชัดในทุกสภาพเส้นทาง แต่ยังมาพร้อมไฟส่องสว่างกลางวันแบบ Spectrum LED ที่เพิ่มทัศนวิสัยและความปลอดภัยในเวลากลางวันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ระบบน้ำฉีดล้างไฟหน้าเป็นอีกหนึ่งฟังก์ชันที่สะท้อนถึงความใส่ใจในรายละเอียด ช่วยให้เลนส์ไฟหน้าสะอาดอยู่เสมอเพื่อประสิทธิภาพการส่องสว่างสูงสุด

นอกจากนี้ ไฟตัดหมอกหน้าแบบ Front Fog Lamps พร้อมคิ้วโครเมียมตกแต่งไฟหน้า ยังช่วยเสริมความหรูหราและความกลมกลืนของดีไซน์ด้านหน้า ระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติก็เป็นฟังก์ชันอำนวยความสะดวกที่สำคัญ ช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องกังวลเรื่องการเปิด-ปิดไฟหน้าในสภาพแสงที่เปลี่ยนแปลง เพิ่มความปลอดภัยอีกขั้น กันแมลงฝากระโปรงหน้าและคิ้วกันสาดข้างเป็นอุปกรณ์ตกแต่งที่เพิ่มประโยชน์ใช้สอยและเสริมความสปอร์ตให้กับตัวรถ สคัฟเพลทดีไซน์หรูด้วยฝาครอบสเตนเลส พร้อมชุดตกแต่งข้างประตูแบบ Side Garnish ช่วยปกป้องตัวรถจากรอยขีดข่วนและเพิ่มความพรีเมียมในทุกมิติ

เมื่อมองมาที่ด้านท้าย รถ PPV คันนี้ก็ยังคงมีเส้นสายที่สวยงามด้วยไฟท้ายแบบ Spectrum LED ที่ทอดยาวจรดขอบฝาปิดท้าย สร้างความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์อย่างชัดเจน คิ้วโครเมียมชายฝากระโปรงท้ายและแผงตกแต่งขอบกันชนท้ายสเตนเลสช่วยเสริมความหรูหราและความแข็งแกร่ง ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ High-Mount Stop Lamp ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ และระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ Rain Sensor ก็ช่วยให้ทัศนวิสัยไม่เป็นอุปสรรคแม้ในยามฝนตก กระจกมองข้างที่ปรับและพับด้วยไฟฟ้าเป็นฟังก์ชันพื้นฐานที่มอบความสะดวกสบายในทุกการเดินทาง

สิ่งที่ทำให้ Pajero Sport GT Premium แตกต่างคือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น ระบบไฟส่องสว่างอัตโนมัติเมื่อปลดล็อค และระบบไฟนำทางหลังดับเครื่องยนต์ ที่เพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายในยามค่ำคืน ราวหลังคา Silver Dynamic Roof Rails ที่ได้รับการออกแบบพิเศษให้รับกับหลังคารถอย่างสวยงาม ไม่เพียงแต่เพิ่มความสปอร์ต แต่ยังเพิ่มฟังก์ชันการใช้งานในการบรรทุกสัมภาระเพิ่มเติม สปอยเลอร์หลังแบบ Tailgate Spoiler และบันไดข้าง Stylish Side Steps ไม่เพียงแค่เพิ่มความสวยงาม แต่ยังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานได้จริง เสาอากาศแบบฝังกระจกหลังแบบ Glass Antenna แสดงถึงความใส่ใจในรายละเอียดเพื่อความเรียบร้อยของดีไซน์ ไฟส่องสว่างบริเวณด้านข้างประตูเพื่อทัศนวิสัยที่ดีในยามค่ำคืน เป็นรายละเอียดที่หลายคนอาจมองข้ามแต่กลับสร้างความประทับใจได้เป็นอย่างดี ปิดท้ายด้วยล้อแม็กซ์อัลลอยสีทูโทนขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 265/60 ที่ดูสมส่วนและแข็งแกร่ง พร้อมชุดตกแต่งซุ้มล้อและบังโคลนล้อแบบ Fender Arch Molding ที่ช่วยเสริมความบึกบึนให้กับตัวรถโดยรวม

ภายใน: ห้องโดยสารอัจฉริยะเพื่อความสะดวกสบายและฟังก์ชันการใช้งาน

ก้าวเข้ามาภายในห้องโดยสารของ Mitsubishi Pajero Sport GT Premium รุ่นปี 2018 คุณจะสัมผัสได้ถึงความกว้างขวาง โอ่โถง และการออกแบบที่เน้นฟังก์ชันการใช้งานเป็นหลัก แม้ในบริบทของปี 2025 การจัดวางองค์ประกอบต่างๆ ก็ยังคงดูดีและใช้งานง่าย เบาะนั่งด้านหน้าหุ้มด้วยวัสดุหนังสังเคราะห์ ให้สัมผัสที่นุ่มนวลและทนทาน สามารถปรับระดับได้ 8 ทิศทางด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าที่ปรับระดับสูงต่ำได้ เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้าสามารถหามุมที่สบายที่สุดในการเดินทาง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับรถยนต์ครอบครัวที่ต้องเดินทางไกล

เบาะนั่งแถวที่ 2 สามารถแยกพับได้ 60:40 พร้อมพนักพิงปรับเอนและพับไปด้านหน้าได้ รวมถึงมีที่พักแขนติดตั้งมาให้ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารตอนกลาง เบาะนั่งแถวที่ 3 คือจุดเด่นที่แท้จริงสำหรับรถยนต์อเนกประสงค์ ด้วยความสามารถในการปรับพับให้ราบไปกับพื้นห้องโดยสาร ช่วยเพิ่มพื้นที่ในการบรรทุกสัมภาระได้อย่างมหาศาล และพนักพิงที่สามารถปรับเอนได้ เพื่อให้ผู้โดยสารแถวหลังสุดไม่รู้สึกอึดอัด การออกแบบภายในที่เน้นความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนรูปแบบเบาะนั่งนี้ ทำให้ Pajero Sport เป็นรถยนต์ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเพื่อการเดินทางท่องเที่ยวแบบครอบครัว การขนสัมภาระ หรือการใช้งานในชีวิตประจำวัน

การตกแต่งภายในด้วยสีเงินและเปียโนแบล็คสร้างบรรยากาศที่หรูหราและทันสมัย จอแสดงข้อมูลการขับขี่ความชัดเจนสูงแบบ High Contrast Multi Information Display ให้ข้อมูลที่จำเป็นครบถ้วนและอ่านง่าย ระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมระบบกรองอากาศ Nanoe® ผสานการทำงานร่วมกับแผงควบคุมระบบปรับอากาศด้านหลังแบบแยกอิสระ พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ทำให้มั่นใจได้ว่าทุกคนในห้องโดยสารจะได้รับความเย็นสบายและอากาศที่บริสุทธิ์ตลอดการเดินทาง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับสภาพอากาศในประเทศไทย กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ และกระจกหน้าต่างไฟฟ้าแบบปรับขึ้น-ลงอัตโนมัติฝั่งคนขับพร้อมระบบ Safety ช่วยเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยในการขับขี่

พวงมาลัยแร็ค แอนด์ พิเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงช่วยให้การบังคับเลี้ยวเป็นไปอย่างนุ่มนวลและง่ายดาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการขับขี่ในเมืองหรือการเข้าจอด พวงมาลัยยังสามารถปรับระดับได้ 4 ทิศทาง (ขึ้น-ลง-เข้า-ออก) เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถหามุมที่เหมาะสมที่สุดในการควบคุมรถ เสริมด้วยถาดใส่ของท้ายรถแบบ Luggage Tray ที่ช่วยรองรับการเก็บสัมภาระได้ดีขึ้น พร้อมที่ปิดสัมภาระด้านหลังแบบ Sliding Tonneau Cover เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความปลอดภัยของสิ่งของ ปุ่มควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ภายในรถถูกจัดวางไว้ใกล้มือผู้ขับขี่ ทำให้ใช้งานง่ายและสะดวกสบาย

สำหรับฟังก์ชันอำนวยความสะดวกที่ติดตั้งมาอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นช่องจ่ายกระแสไฟ DC ขนาด 12V และ AC ขนาด 220V ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการเดินทางไกล ระบบเครื่องเสียงจาก 2DIN บนจอภาพระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth แบบ A2DP ระบบนำทางในรถยนต์ (Navigation System) ทำให้ทุกการเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่เพียงเท่านั้น Pajero Sport GT Premium ยังเพิ่มระบบความบันเทิงสำหรับผู้โดยสารตอนหลังด้วยจอภาพ Wide Screen พร้อมเครื่องเล่น DVD และรีโมท หูฟังอินฟราเรดสำหรับผู้โดยสารตอนหลังจำนวน 2 ชุด และลำโพง 6 ตำแหน่ง เพื่อให้ทุกคนในรถได้รับความบันเทิงอย่างเต็มที่ตลอดเส้นทาง

ขุมพลัง: เครื่องยนต์ดีเซล MIVEC VG Turbo กับเกียร์ 8 สปีดที่ลงตัว

หัวใจหลักของ Mitsubishi Pajero Sport GT Premium รุ่นปี 2018 คือเครื่องยนต์ดีเซล MIVEC VG Turbo DOHC 16 วาล์ว ขนาด 2.5 ลิตร พร้อมวาล์วไอดีแปรผัน, เทอร์โบแปรผัน และอินเตอร์คูลเลอร์ ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องของสมรรถนะและความทนทาน เครื่องยนต์บล็อกนี้ให้กำลังสูงสุด 181 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุดถึง 430 นิวตัน-เมตร ที่ 2,500 รอบ/นาที ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจสำหรับรถยนต์ PPV ในยุคนั้น แรงบิดที่มาในรอบต่ำทำให้รถมีกำลังเหลือเฟือในการออกตัวและการเร่งแซง มอบประสบการณ์การขับขี่ที่มั่นใจได้ในทุกสภาพถนน

ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อม Sport Mode ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่ล้ำหน้าในเวลานั้น การมีอัตราทดเกียร์ถึง 8 จังหวะ ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์เป็นไปอย่างนุ่มนวลและราบรื่น เพิ่มประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์แบบไฟฟ้าผสานรับกับระบบ INC (Idle Neutral Control) ที่ช่วยควบคุมและตัดกำลังส่งไปยังเพลาขับอัตโนมัติเมื่อรถหยุดนิ่งหรือเหยียบเบรกในตำแหน่งเกียร์ D ซึ่งช่วยลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์และเพิ่มความประหยัดน้ำมันได้อย่างชัดเจน ระบบ G-Sensor ยังช่วยควบคุมการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ให้มีความแม่นยำมากขึ้นในทางลาดชัน ทำให้การขับขี่บนเส้นทางขึ้น-ลงเขาเป็นไปอย่างมั่นคงและปลอดภัย

สำหรับรุ่น GT Premium 4WD ยังมาพร้อมระบบ Super Select 4WD-II ที่เป็นเอกลักษณ์ของมิตซูบิชิ ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ทำให้ Pajero Sport เหนือกว่าคู่แข่งหลายราย ระบบนี้ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนโหมดการขับขี่จาก 2 ล้อ (2H) มาเป็น 4 ล้อ (4H) แบบ Full Time All Wheel Control ได้อย่างง่ายดาย แม้ในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ โดยมีโหมดให้เลือกปรับเปลี่ยนถึง 4 ระดับ เพื่อรองรับสภาพภูมิประเทศที่หลากหลาย:

โหมด 2H: สำหรับการขับขี่บนสภาพถนนปกติ เน้นความประหยัดน้ำมัน

โหมด 4H: เหมาะสำหรับสภาพถนนเปียกลื่นหรือต้องการการยึดเกาะที่เพิ่มขึ้น สามารถใช้ความเร็วได้

โหมด 4HLc: สำหรับเส้นทางที่มีความเปียกลื่นและทุรกันดาร หรือต้องการแรงฉุดลากสูง

โหมด 4LLc: เหมาะสำหรับใช้ในเส้นทางที่มีความลาดชันสูง มีโคลนมาก หรือต้องลุยอย่างหนัก เพื่อกำลังฉุดลากสูงสุด

ด้วยขุมพลังและระบบขับเคลื่อนที่ครบครันนี้ ทำให้ Mitsubishi Pajero Sport GT Premium เป็นรถยนต์ที่พร้อมตอบโจทย์การใช้งานในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมือง การเดินทางท่องเที่ยวระยะไกล หรือการผจญภัยในเส้นทางออฟโรด

ความปลอดภัย: มั่นใจทุกเส้นทางด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง

ด้านความปลอดภัย Mitsubishi Pajero Sport GT Premium รุ่นพิเศษนี้ จัดเต็มด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำสำหรับปี 2018 เพื่อปกป้องผู้โดยสารในทุกเส้นทางได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งหลายระบบยังคงมีความสำคัญและมีประสิทธิภาพแม้ในปัจจุบัน ระบบล็อคความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control (ACC) ช่วยลดความเมื่อยล้าในการขับขี่ทางไกล โดยระบบจะรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าโดยอัตโนมัติ และปรับความเร็วตามรถคันหน้า หากรถคันหน้าชะลอความเร็วลง ระบบก็จะลดความเร็วตาม และจะกลับสู่ความเร็วที่ตั้งไว้เมื่อรถคันหน้าพ้นระยะตรวจจับ

มั่นใจทุกการจอดด้วยสัญญาณกะระยะจอด (Parking Sensor) และระบบไฟกระพริบฉุกเฉินขณะเบรกกะทันหันอัตโนมัติ ESS (Emergency Stop Signal System) มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต โฉมนี้ยังได้รับการดีไซน์ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว พร้อมระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และระบบป้องกันการลื่นไถล ASTC (Active Stability and Traction Control) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความปลอดภัยในการขับขี่ นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA (Hill Start Assist) และระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC (Hill Descent Control) ที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ในเส้นทางท้าทาย

ระบบรักษาเสถียรภาพการทรงตัวขณะลากจูง TSA (Trailer Stability Assist) ก็เป็นฟังก์ชันที่สำคัญสำหรับผู้ที่ใช้งานรถในการลากจูง และเพื่อให้ความปลอดภัยในการขับขี่รอบด้าน Pajero Sport GT Premium ยังมาพร้อมระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว FCM (Forward Collision Mitigation System) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้า นอกจากนี้ ยังมีระบบความปลอดภัยแบบใหม่ในยุคนั้นอย่างระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว UMS (Ultrasonic Misacceleration Mitigation System) ที่ช่วยป้องกันการพุ่งชนโดยไม่ตั้งใจ เสริมด้วยระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา BSW (Blind Spot Warning) และกล้องมองภาพรอบคันพร้อมเส้นกะระยะแสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ Multi Around Monitor with Guiding Line and Expected Course Line ซึ่งช่วยให้การจอดรถและการขับขี่ในพื้นที่จำกัดเป็นไปอย่างปลอดภัยและง่ายดายยิ่งขึ้น รวมถึงระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS (Keyless Operation System) พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ เพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยในการเข้าถึงตัวรถ

สรุป: คุณค่าที่ยังคงอยู่ของ Mitsubishi Pajero Sport GT Premium (2018) ในปี 2025

เมื่อมองย้อนกลับไปจากมุมมองของปี 2025 Mitsubishi Pajero Sport GT Premium รุ่นปี 2018 ไม่ได้เป็นเพียงรถยนต์อเนกประสงค์ทั่วไป แต่เป็นรถยนต์ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน ทั้งในด้านรูปลักษณ์ภายนอกที่ยังคงความทันสมัย ภายในที่กว้างขวางและอัดแน่นด้วยฟังก์ชันอำนวยความสะดวกสบาย ขุมพลังดีเซล MIVEC VG Turbo ขนาด 2.5 ลิตร ที่ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด และระบบ Super Select 4WD-II ได้อย่างลงตัว มอบสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมทั้งบนถนนปกติและเส้นทางออฟโรด ที่สำคัญคือชุดเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ครบครัน ซึ่งถือว่าล้ำหน้าสำหรับรถยนต์ในยุคนั้น

ด้วยคุณสมบัติทั้งหมดนี้ ทำให้ Pajero Sport GT Premium รุ่นปี 2018 ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งในตลาดรถยนต์มือสองในปี 2025 โดยมอบความคุ้มค่าและความอเนกประสงค์ที่ยากจะหาได้ในรถยนต์ระดับราคาเดียวกัน เป็นรถยนต์ที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานของครอบครัวยุคใหม่ที่ต้องการทั้งความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และความสามารถในการผจญภัยในทุกเส้นทาง การลงทุนในรถ PPV คันนี้จึงเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ที่มีคุณค่าแท้จริงและใช้งานได้ยาวนาน

ศึกไฮบริดอมตะ: เปรียบเทียบ Honda Accord Hybrid vs. Toyota Camry Hybrid (รุ่นปี 2018) ในมุมมองปี 2025

ในปี 2018 ตลาดรถยนต์ซีดานหรูขนาดกลางในประเทศไทยมีการแข่งขันที่ดุเดือดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มรถยนต์ไฮบริดที่กำลังเป็นเทรนด์สำคัญ การมาถึงของ Honda Accord Hybrid และ Toyota Camry Hybrid ในโมเดลปี 2018 ได้สร้างมาตรฐานใหม่และจุดประกายความสนใจให้กับผู้บริโภคที่มองหารถยนต์ที่เหนือกว่าในด้านสมรรถนะ ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ที่มีประสบการณ์กว่า 10 ปี เราจะพาคุณย้อนกลับไปวิเคราะห์การแข่งขันอันเข้มข้นนี้ และดูว่าโมเดลปี 2018 ทั้งสองคันนี้ยังคงมีคุณค่าและโดดเด่นอย่างไรในมุมมองของปี 2025

การเปรียบเทียบรถยนต์ระดับเรือธงจากสองค่ายยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่นอย่าง Honda และ Toyota ในเซ็กเมนต์ไฮบริด ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขสเปค แต่ยังเป็นการสะท้อนปรัชญาการออกแบบและวิศวกรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งส่งผลต่อประสบการณ์การขับขี่และคุณค่าที่ผู้บริโภคได้รับ เรามาดูกันว่าใครคือผู้ชนะในศึกครั้งนี้ และอะไรคือเสน่ห์ที่ทำให้รถยนต์ทั้งสองคันนี้ยังคงเป็นที่พูดถึงในวันนี้

ราคาจำหน่ายและตำแหน่งทางการตลาด (ปี 2018 และมุมมองปี 2025)

ในช่วงปี 2018 ทั้ง Honda Accord Hybrid และ Toyota Camry Hybrid ถูกวางตำแหน่งให้เป็นรถยนต์ซีดานพรีเมียมที่ตอบโจทย์ผู้บริหารและครอบครัวที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยมีราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ใกล้เคียงกันมาก Honda Accord Hybrid เปิดตัวด้วยราคาเริ่มต้นประมาณ 1.65 ล้านบาท ในขณะที่ Toyota Camry Hybrid เริ่มต้นที่ประมาณ 1.67 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นราคาที่สมเหตุสมผลสำหรับเทคโนโลยีและฟังก์ชันที่อัดแน่นมาให้

จากมุมมองของปี 2025 ราคาเหล่านี้สะท้อนถึงกลยุทธ์ของทั้งสองค่ายในการนำเสนอเทคโนโลยีไฮบริดให้กับตลาดในวงกว้างขึ้น ซึ่งในปัจจุบัน โมเดลปี 2018 เหล่านี้ได้กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในตลาดรถมือสอง ด้วยราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่ยังคงมอบสมรรถนะและความประหยัดน้ำมันที่ยอดเยี่ยม ทำให้รถยนต์ไฮบริดรุ่นพี่เหล่านี้ยังคงเป็น “รถประหยัดน้ำมัน” ที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการความหรูหราควบคู่ไปกับค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่สมเหตุสมผล

ราคาจำหน่าย Honda Accord (ปี 2018):

รุ่น 2.0 E AT: 1,385,000 บาท

รุ่น 2.0 EL AT: 1,445,000 บาท

รุ่น 2.4 EL AT: 1,635,000 บาท

รุ่น 2.0 Hybrid: 1,659,000 บาท

รุ่น 2.0 Hybrid TECH: 1,849,000 บาท

ราคาจำหน่าย Toyota Camry (ปี 2018):

รุ่น 2.0 G: 1,399,000 บาท

รุ่น 2.0 G Extremo: 1,525,000 บาท

รุ่น 2.5 G: 1,599,000 บาท

รุ่น 2.5 HV Navigator: 1,673,000 บาท

รุ่น 2.5 HV Premium: 1,863,000 บาท

จะเห็นได้ว่าการแข่งขันในด้านราคาเป็นไปอย่างเข้มข้น ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่หลากหลายและคุ้มค่า

ภายนอก: ความหรูหราที่แตกต่างในสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์

การออกแบบภายนอกคือจุดแรกที่สะท้อนถึงบุคลิกของรถยนต์แต่ละคัน ทั้ง Honda Accord Hybrid และ Toyota Camry Hybrid ในปี 2018 ต่างก็มีดีไซน์ที่โดดเด่นและบ่งบอกความเป็น “รถเก๋งหรู” ได้อย่างชัดเจน

Honda Accord Hybrid: มาพร้อมดีไซน์ที่เน้นความเฉียบคม สปอร์ต และทันสมัย กระจังหน้าโครเมียมขนาดใหญ่ผสานเข้ากับชุดไฟหน้า LED พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และระบบปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ ซึ่งให้ทั้งความสว่างและรูปลักษณ์ที่โดดเด่น ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED และไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED ช่วยเสริมความปลอดภัยและดีไซน์โดยรวม กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวในตัวที่ปรับและพับด้วยไฟฟ้าเป็นฟังก์ชันมาตรฐานที่เพิ่มความสะดวกสบาย จุดเด่นที่หลายคนชื่นชอบคือหลังคาซันรูฟพร้อมระบบ One-Touch ที่เพิ่มความโปร่งโล่งและประสบการณ์การขับขี่ที่พิเศษ สเกิร์ตด้านข้างและสปอยเลอร์หลังทรงสปอร์ต พร้อมไฟท้าย LED ทำให้ Accord Hybrid มีภาพลักษณ์ที่ดูโฉบเฉี่ยวและหรูหรา ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 235/45 R18 ช่วยเสริมความมั่นคงและภาพลักษณ์ที่สปอร์ต

Toyota Camry Hybrid: ในขณะที่ Camry Hybrid เลือกนำเสนอความหรูหราสง่างามและภูมิฐาน ด้วยกระจังหน้าดีไซน์ใหม่แบบ Mesh Radiator Black Grille ที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้นำ ไฟหน้า LED แบบ Dual Projector ดีไซน์พิเศษ ให้ความสว่างที่ชัดเจนและรูปลักษณ์ที่พรีเมียม พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติและไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่กลางวันแบบ LED ไฟตัดหมอกด้านหน้าแบบ LED ก็ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยได้เป็นอย่างดี ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ และกระจกมองข้างที่ปรับและพับด้วยไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชันปรับอัตโนมัติขณะถอยหลังและ Hydrophilic ที่ช่วยลดการเกาะตัวของหยดน้ำ เป็นคุณสมบัติที่เพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยได้อย่างมาก ไฟท้ายดีไซน์ใหม่แบบ LED มองเห็นเด่นชัดในระยะไกล พร้อมดีไซน์แบบแอร์โรไดนามิก ฟิน ที่ช่วยลดแรงต้านอากาศ เพิ่มเสถียรภาพของรถในการขับขี่ที่ความเร็วสูง คิ้วฝากระโปรงท้ายโครเมียมเพิ่มความหรูหรา ปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยพ่นเงาขนาด 17 นิ้ว พร้อมยางขนาด 215/55 R17 ที่เน้นความนุ่มนวลในการขับขี่

ภายใน: ความหรูหราและความสะดวกสบายที่ลงตัว

ห้องโดยสารคืออาณาจักรส่วนตัวที่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ด้วยกัน ทั้ง Accord Hybrid และ Camry Hybrid ต่างก็มอบประสบการณ์ที่พรีเมียม แต่ในสไตล์ที่แตกต่างกัน

Honda Accord Hybrid: ภายในตกแต่งด้วยโทนสีดำ พร้อมชุดตกแต่งลายไม้และเปียโนแบล็ค สร้างบรรยากาศที่สปอร์ตและหรูหรา เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์คุณภาพดี เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่ง (Memory Seat) และระบบปรับดันหลังไฟฟ้า เบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง พร้อมปุ่มปรับเบาะไฟฟ้าด้านข้างพนักพิง ช่วยให้ผู้โดยสารตอนหลังสามารถปรับเบาะหน้าได้ เพิ่มความสะดวกสบายได้อย่างมาก เบาะหลังสามารถปรับพับได้เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ

พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันลายไม้ พร้อมระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยแบบ Paddle Shift ช่วยเพิ่มอารมณ์สปอร์ต ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท และปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์อัจฉริยะ (Push Start) พร้อมระบบ Honda Smart Key System เป็นฟังก์ชันที่เพิ่มความสะดวกสบายได้อย่างแท้จริง ปุ่ม Econ ช่วยให้ขับขี่อย่างประหยัดพลังงาน หน้าจอแสดงผล TFT ขนาด 7.7 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และระบบสั่งการด้วยเสียง Siri รวมถึงระบบนำทางเนวิเกเตอร์ ทำให้ Accord Hybrid เป็น “รถยนต์ไฮบริด” ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ดิจิทัลได้อย่างดีเยี่ยม

Toyota Camry Hybrid: การตกแต่งภายในของ Camry Hybrid เลือกใช้ชุดลายไม้ Carbon Wood และน้ำตาล Kogane สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและภูมิฐาน เบาะนั่งดีไซน์ใหม่หุ้มด้วยหนัง Smooth Leather สีน้ำตาล และวัสดุสังเคราะห์ เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมปุ่มปรับดันหลังด้านคนขับ เบาะนั่งด้านหลังปรับเอนไฟฟ้าได้ ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ Accord ไม่มี ทำให้ผู้โดยสารตอนหลังได้รับความสะดวกสบายสูงสุด กระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติ หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ MID ขนาด 4.2 นิ้ว และมาตรวัดเรืองแสง Optitron ให้ข้อมูลที่ชัดเจน ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control พร้อม Dynamic Radar Cruise Control เป็นฟังก์ชันที่เพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ทางไกล

ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์อัจฉริยะ Push Start และ Smart Entry พวงมาลัยหุ้มหนังลายไม้แบบ 3 ก้าน พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ เครื่องเล่น DVD พร้อมลำโพง JBL 12 ตำแหน่ง และช่องเชื่อมต่อ USB รวมถึงอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) เป็นคุณสมบัติที่โดดเด่น ทำให้ Camry Hybrid เป็น “รถยนต์ครอบครัว” ที่ครบครันด้านความบันเทิง ระบบนำทาง In-car Navigator แบบหน้าจอสัมผัส และระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกปรับอุณหภูมิอิสระ ซ้าย-ขวา-หลัง พร้อมระบบกรองอากาศ Nanoe® ยิ่งเสริมความพรีเมียมและความสบายภายในห้องโดยสาร

เครื่องยนต์: ขุมพลังไฮบริดที่แตกต่างในแนวคิด

หัวใจสำคัญของการเปรียบเทียบรถยนต์ไฮบริดคือระบบส่งกำลัง ทั้ง Honda และ Toyota ต่างก็มีปรัชญาในการพัฒนาระบบไฮบริดที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ

Honda Accord Hybrid: ใช้เครื่องยนต์ Atkinson Cycle DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 145 แรงม้า ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 175 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที รองรับพลังงาน E20 ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าชนิดลิเธียม-ไอออน ความจุไฟฟ้า 1.3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ให้กำลังสูงสุด 184 PS แรงบิดสูงสุด 315 นิวตัน-เมตร ให้กำลังรวมสูงสุด 215 PS ระบบไฮบริดของ Honda ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง 2 ตัว โดยมอเตอร์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่และชาร์จไฟกลับขณะลดความเร็ว ส่วนมอเตอร์เจเนอเรเตอร์ (Generator) ทำหน้าที่ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเครื่องยนต์ส่งต่อให้กับมอเตอร์ขับเคลื่อน โดยมีสมองกลควบคุมการทำงานของมอเตอร์ทั้ง 2 ตัว ให้ทำงานได้อย่างสมดุล เพิ่มสมรรถนะในการวิ่งได้อย่างดีเยี่ยม มอบการขับขี่ที่นุ่มนวลและเงียบสงบในโหมด EV และมีอัตราเร่งที่น่าพอใจเมื่อเครื่องยนต์และมอเตอร์ทำงานร่วมกัน

Toyota Camry Hybrid: มาพร้อมเครื่องยนต์ 2AR-FXE 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VVT-i ขนาด 2.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้า ที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 213 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที รองรับน้ำมัน E20 ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าพลังสูง ทำให้ได้กำลังรวมสูงสุดถึง 205 PS โดยมีแรงบิดสูงสุดของมอเตอร์ไฟฟ้า 270 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500 รอบ/นาที ระบบเกียร์อัตโนมัติ E-CVT พร้อมปุ่มปรับโหมดการขับขี่ Eco Mode ที่จะเลือกใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์อย่างเหมาะสม และ EV Mode ที่จะเลือกใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อการขับขี่แบบเงียบสนิท ระบบช่วงล่างที่มั่นคงด้วยระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบแม็กเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบอิสระดูอัลลิงค์สตรัท ช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างนุ่มนวลในทุกเส้นทาง “สมรรถนะเครื่องยนต์” ของ Camry Hybrid เน้นความต่อเนื่องและแรงบิดที่มีให้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง

ความปลอดภัย: มั่นใจทุกการเดินทางด้วยเทคโนโลยีปกป้อง

ในยุคที่เทคโนโลยีความปลอดภัยรถยนต์ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้ง Honda และ Toyota ต่างก็จัดเต็มระบบความปลอดภัยมาให้อย่างครบครันเพื่อปกป้องผู้โดยสาร

Honda Accord Hybrid: มาพร้อมถุงลมนิรภัยถึง 6 ตำแหน่ง (คู่หน้า, ด้านข้างอัจฉริยะ i-Side Airbags, ม่านถุงลมนิรภัย Side Curtain Airbags) กล้องส่องภาพด้านหลังที่สามารถปรับมุมมองได้ถึง 3 ระดับ (130 องศา, 180 องศา, มุมมองจากด้านบน) เป็นฟังก์ชันที่เพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยในการถอยจอดได้อย่างมาก ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน Honda LaneWatch ช่วยแสดงภาพในจุดบอดผ่านกระจกมองข้างด้านซ้าย ลดความเสี่ยงในการเปลี่ยนเลน ระบบควบคุมการทรงตัว VSA และสัญญาณไฟฉุกเฉินขณะเบรกกะทันหัน ESS ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน HSA ระบบเตือนการชนด้านหน้าและตรวจจับคนเดินถนนด้วยกล้องและเรดาร์พร้อมระบบช่วยเบรก CMBS และเสียงเตือนคนภายนอกรถขณะขับขี่โหมดมอเตอร์ไฟฟ้า โครงสร้างตัวถังนิรภัย G-Force Control ยิ่งเพิ่มความมั่นใจในการปกป้องผู้โดยสาร

Toyota Camry Hybrid: มอบการปกป้องผู้โดยสารด้วยระบบควบคุมการทรงตัว VSC ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเสริมแรงเบรก BA และระบบเบรก ABS ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง (รวมถุงลมนิรภัยหัวเข่าคนขับ) โครงสร้างตัวถังนิรภัย GOA สัญญาณเตือนกะระยะที่มุมกันชน 4 มุม และด้านหลัง 2 จุด ไฟฉุกเฉิน Emergency Stop Signal เมื่อเบรกกะทันหัน และที่โดดเด่นคือเทคโนโลยีความปลอดภัยก่อนการชน Toyota Safety Sense ที่ประกอบด้วยระบบเตือนการชนด้านหน้าและตรวจจับคนเดินถนนด้วยเรดาร์ (Pre-Collision System), ระบบปรับลดไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ (Automatic High Beams), ระบบเตือนภัยให้รักษาตำแหน่งรถเมื่อเบี่ยงออกนอกเลน (Lane Departure Alert) และระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Blind Spot Monitor) รวมถึงระบบเตือนวัตถุเคลื่อนไหวด้านหลังรถพร้อมเสียงสัญญาณเตือน (Rear Cross Traffic Alert) ซึ่งเป็นชุด “เทคโนโลยีความปลอดภัยรถยนต์” ที่ครอบคลุมและครบครันอย่างแท้จริง

สรุป: ใครคือผู้ชนะในศึกแห่งความหรูหราและประหยัด

เมื่อพิจารณาจากมุมมองของปี 2025 ทั้ง Honda Accord Hybrid และ Toyota Camry Hybrid รุ่นปี 2018 ต่างก็เป็นรถยนต์ซีดานไฮบริดที่ยอดเยี่ยมในยุคของมัน และยังคงคุณค่าในฐานะ “รถมือสอง” ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

Honda Accord Hybrid โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่สปอร์ตเฉียบคม ภายในที่ทันสมัย พร้อมเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกที่ครบครัน และระบบไฮบริดที่ให้การขับขี่ที่นุ่มนวลและตอบสนองได้ดีเยี่ยม เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความหรูหราควบคู่ไปกับความสปอร์ต และชื่นชอบประสบการณ์การขับขี่ที่คล่องตัว

Toyota Camry Hybrid นำเสนอความหรูหราที่มาพร้อมความภูมิฐาน ภายในที่กว้างขวางและสะดวกสบายเป็นพิเศษสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง รวมถึงระบบไฮบริดที่เน้นความทนทานและประหยัดน้ำมันอย่างต่อเนื่อง พร้อมด้วยชุดเทคโนโลยีความปลอดภัย Toyota Safety Sense ที่ครอบคลุม เหมาะสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายสูงสุดสำหรับทุกคนในครอบครัว และความมั่นใจในทุกการเดินทาง

การตัดสินใจเลือกรถยนต์ระหว่างสองคันนี้จึงขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลและลำดับความสำคัญของผู้ซื้อ หากคุณให้ความสำคัญกับความสปอร์ตและความทันสมัย Honda Accord Hybrid อาจเป็นคำตอบ แต่หากคุณต้องการความภูมิฐาน ความสะดวกสบายสูงสุดสำหรับผู้โดยสาร และเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ครบครัน Toyota Camry Hybrid คือตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งคู่ต่างก็เป็นตำนานของรถยนต์ไฮบริดซีดานที่ยังคงน่าจับตามองมาจนถึงปี 2025

Previous Post

N0211025 ดไม แบ งเซอร สชาร จให กน องส กบาท ดท ายงานเข พน กงานออกยกท part2

Next Post

N0211002 แม านเห นไรบางอย างในเค เธอจะสามารถช วยเหล อช ตเด กคนน ไว ได ไหม part2

Next Post
N0211002 แม านเห นไรบางอย างในเค เธอจะสามารถช วยเหล อช ตเด กคนน ไว ได ไหม part2

N0211002 แม านเห นไรบางอย างในเค เธอจะสามารถช วยเหล อช ตเด กคนน ไว ได ไหม part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N2312089 สาระไม องม แล วคลายเคร ยดก พอ #แม สะใภ าตามล กสะใภ part2
  • N2312084 เด กเสร ฟล บหล ทำก บล กค โชคด ไปเจอเข าก อน part2
  • N2312087 เด กเสร ฟล บหล ทำก บล กค โชคด ไปเจอเข าก อน (1) part2
  • N2312088 เม อเศรษฐ หม นล าน ไปจ บพน กงานธรรมดา part2
  • N2312085 ยใกล คนสม ยน ไว ใจไม ได #คนส งของต องด part2

Recent Comments

No comments to show.

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.