ในโลกแห่งยนตรกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำไม่หยุดยั้ง การหวนกลับไปมองรถยนต์บางรุ่นที่สร้างมาตรฐานใหม่และยังคงเป็นที่จดจำ แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี ก็ยังคงเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ “Nissan GT-R R35” โมเดลปี 2018 ซึ่งเคยสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญเมื่อครั้งเปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ความสำเร็จของ GT-R ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การเป็นรถสปอร์ตสมรรถนะสูงเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของวิศวกรรมยานยนต์ญี่ปุ่นที่สามารถท้าชนกับซูเปอร์คาร์ยุโรปได้อย่างสมศักดิ์ศรี ด้วยสมรรถนะที่น่าทึ่งในราคาที่เข้าถึงได้มากกว่า เมื่อมองย้อนกลับไปจากมุมมองของปี 2025 เราจะพบว่า GT-R R35 โดยเฉพาะรุ่นปี 2018 ยังคงเป็นที่พูดถึง และยังคงมีสถานะเป็นรถสปอร์ตไอคอนที่นักสะสมและผู้ที่หลงใหลในความเร็วต่างถวิลหา บทความนี้จะพาท่านเจาะลึกถึงวิศวกรรมการออกแบบ, ขุมพลัง, และเทคโนโลยีอันเป็นเอกลักษณ์ของ GT-R R35 รุ่นปี 2018 พร้อมวิเคราะห์ว่าเหตุใด “Godzilla” คันนี้จึงยังคงแผลงฤทธิ์และครองใจผู้คนได้แม้ในปัจจุบัน
วิวัฒนาการและปรัชญาการออกแบบของ GT-R R35: ผสานตำนานสู่ยุคใหม่
Nissan GT-R ไม่ได้เป็นเพียงรถยนต์ แต่คือตำนานที่สืบทอดมาจากรหัส “Skyline” ที่โด่งดัง ความคาดหวังที่มีต่อ R35 จึงสูงลิบ และวิศวกรของ Nissan ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ด้วยการสร้างสรรค์รถยนต์ที่แหวกขนบและฉีกกฎเกณฑ์ โมเดลปี 2018 ถือเป็นการปรับโฉมครั้งสำคัญที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของ R35 ไว้ได้อย่างลงตัว แต่ในขณะเดียวกันก็ได้รับการปรับปรุงในรายละเอียดต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์และความสง่างาม โดยยังคงยึดมั่นในปรัชญา “Ultimate Driving Pleasure” และ “Anytime, Anywhere, Anyone” ที่ทำให้ GT-R เป็นรถซูเปอร์คาร์ที่ขับขี่ง่ายในทุกสถานการณ์
การออกแบบภายนอกของ GT-R R35 2018 ยังคงโดดเด่นด้วยเส้นสายที่ดุดันและทรงพลัง ด้านหน้าปรับปรุงใหม่ด้วยกระจังหน้า V-motion อันเป็นเอกลักษณ์ของ Nissan ที่ใหญ่ขึ้น เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของอากาศเข้าสู่ห้องเครื่องและระบบระบายความร้อน ไฟหน้า LED ดีไซน์โฉบเฉี่ยวพร้อม Daytime Running Light รูปสายฟ้า ยังคงเป็นสัญลักษณ์ที่จดจำได้ทันที ขณะที่ด้านท้ายยังคงเอกลักษณ์ด้วยไฟท้ายทรงกลมคู่ที่เป็นมรดกจาก Skyline ซึ่งไม่ว่าใครที่เห็นก็จะรู้ได้ทันทีว่านี่คือ “GT-R” การปรับปรุงเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงหลักอากาศพลศาสตร์ขั้นสูง ตัวถังที่มีการคำนวณและทดสอบอย่างพิถีพิถันช่วยลดแรงต้านอากาศ เพิ่มแรงกด (Downforce) และรักษาเสถียรภาพการขับขี่ที่ความเร็วสูงได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้ทุกองค์ประกอบบนตัวรถมีส่วนช่วยในด้านสมรรถนะอย่างแท้จริง มิติของตัวรถที่ดูแข็งแกร่งและสมดุล สะท้อนถึงการกระจายน้ำหนักที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการควบคุมรถสปอร์ตสมรรถนะสูง
สำหรับภายในห้องโดยสาร โมเดลปี 2018 ได้รับการยกระดับความหรูหราและประณีตเทียบเท่ารถยนต์พรีเมียมคลาสสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แผงคอนโซลได้รับการออกแบบใหม่ ลดจำนวนปุ่มควบคุมลงเหลือเพียง 11 ปุ่ม เพื่อความเรียบง่ายและใช้งานง่ายขึ้น เบาะนั่งวัสดุหนังคุณภาพสูงได้รับการออกแบบใหม่ให้โอบกระชับและรองรับสรีระได้ดีเยี่ยม ให้ความสบายในการเดินทางไกลและการยึดเกาะเมื่อต้องขับขี่ด้วยความเร็วสูง ตำแหน่งการจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ถูกจัดวางอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงฟังก์ชันต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบมัลติฟังก์ชันขนาด 8 นิ้ว ที่เป็นจุดเด่นมาตั้งแต่แรกก็ได้รับการปรับปรุงให้มีความคมชัดและใช้งานง่ายยิ่งขึ้น พร้อมแสดงข้อมูลสมรรถนะของรถแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยเพิ่มอารมณ์สปอร์ตและข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็นสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการรีดเค้นศักยภาพของรถยนต์คันนี้อย่างเต็มที่ แม้จะเป็นรถยนต์สปอร์ต แต่ GT-R R35 2018 ยังคงให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายและความหรูหราที่ผู้ใช้งานสามารถสัมผัสได้ในทุกการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมืองหรือการออกทริปทางไกล
หัวใจแห่งอสูร: สมรรถนะและขุมพลัง VR38DETT
หัวใจที่ทำให้ Nissan GT-R R35 เป็นที่กล่าวขานและยอมรับในระดับโลกคือเครื่องยนต์รหัส VR38DETT ซึ่งเป็นผลงานวิศวกรรมที่น่าทึ่ง เครื่องยนต์เบนซิน V6 ขนาด 3.8 ลิตร เทอร์โบคู่ (Twin-Turbo) ที่ประกอบด้วยมือโดยช่างฝีมือระดับ “Takumi” ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเข้มข้น มีเพียงไม่กี่คนในโลกเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบเครื่องยนต์อันทรงพลังนี้ ทุกบล็อกเครื่องยนต์จึงเปรียบเสมือนงานศิลปะที่เต็มไปด้วยความใส่ใจและรายละเอียด
ในรุ่นปี 2018 เครื่องยนต์ VR38DETT สร้างกำลังสูงสุดได้ถึง 570 แรงม้า (PS) ที่ 6,800 รอบ/นาที และแรงบิดมหาศาล 637 นิวตันเมตร ที่ช่วง 3,300-5,800 รอบ/นาที ซึ่งตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ถึงสมรรถนะระดับซูเปอร์คาร์ที่สามารถท้าทายคู่แข่งที่มีค่าตัวสูงกว่าหลายเท่า ด้วยพละกำลังขนาดนี้ GT-R R35 2018 สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 2.7 วินาที ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจและทำให้รถคันนี้เป็นหนึ่งในรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลกในช่วงเวลาดังกล่าว ความเร็วสูงสุดที่สามารถทำได้จริงอยู่ที่ประมาณ 315 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่แท้จริงของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังอันล้ำสมัย
เบื้องหลังพละกำลังอันมหาศาลนี้คือเทคโนโลยีขั้นสูงมากมาย เริ่มต้นที่ระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบคู่ IHI turbocharger ที่ได้รับการปรับแต่งมาเป็นพิเศษ เพื่อให้ตอบสนองต่อคันเร่งได้อย่างรวดเร็วและลดอาการ Turbo Lag ให้เหลือน้อยที่สุด ทำให้ผู้ขับขี่สัมผัสได้ถึงแรงบิดที่มาอย่างต่อเนื่องและหนักแน่น นอกจากนี้ เครื่องยนต์ VR38DETT ยังใช้เทคโนโลยีการเคลือบกระบอกสูบแบบ plasma-spray แทนการใช้ปลอกสูบเหล็กแบบดั้งเดิม ซึ่งช่วยลดแรงเสียดทาน, เพิ่มประสิทธิภาพการหล่อเย็น และลดน้ำหนักของเครื่องยนต์ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนช่วยในการเพิ่มทั้งพละกำลังและประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน (ในระดับของรถยนต์สมรรถนะสูง)
ระบบส่งกำลังก็เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ Nissan GT-R R35 2018 มาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 6-Speed Dual Clutch (คลัตช์คู่) ที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เกียร์ลูกนี้สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้รวดเร็วเพียง 0.15 วินาทีในโหมด R-Mode ซึ่งเป็นความเร็วที่เทียบเท่ากับเกียร์รถแข่ง การทำงานที่ฉับไวของเกียร์นี้ ทำให้การถ่ายทอดพละกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังล้อเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด ส่งผลให้ GT-R สามารถทะยานไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง นอกจากนี้ ระบบเกียร์ยังมาพร้อมกับ Paddle-shift หลังพวงมาลัย ให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ได้ด้วยตัวเอง เพิ่มความรู้สึกในการขับขี่แบบสปอร์ตอย่างเต็มที่
เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนความเหนือชั้น: แชสซีและระบบช่วงล่าง
นอกจากขุมพลังเครื่องยนต์ที่ยอดเยี่ยมแล้ว สิ่งที่ทำให้ Nissan GT-R R35 แตกต่างจากรถสปอร์ตทั่วไปคือระบบขับเคลื่อนและช่วงล่างที่ได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อรองรับพละกำลังมหาศาลและให้การควบคุมที่แม่นยำและมั่นคงในทุกสภาพถนน ไม่ว่าจะเป็นในสนามแข่งหรือบนท้องถนนทั่วไป เทคโนโลยีเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้ GT-R ได้รับฉายาว่า “Godzilla” ที่สามารถโค้งได้ดั่งใจและเกาะถนนได้เป็นเยี่ยม
หัวใจสำคัญของสมรรถนะการขับขี่คือระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ (ATTESA E-TS All-wheel-drive system) ซึ่งสามารถกระจายแรงบิดไปยังล้อหน้าและล้อหลังได้อย่างชาญฉลาดและรวดเร็ว ตามสภาพการขับขี่และแรงยึดเกาะถนนที่ตรวจจับได้ โดยปกติแล้ว ระบบจะส่งกำลังไปยังล้อหลังเป็นหลัก แต่เมื่อตรวจพบการสูญเสียการยึดเกาะ หรือเมื่อต้องการพละกำลังในการเร่งออกจากโค้ง ระบบจะส่งกำลังไปยังล้อหน้าทันทีสูงสุดถึง 50% ทำให้ GT-R มีเสถียรภาพการทรงตัวที่ยอดเยี่ยมและสามารถเข้าโค้งได้อย่างรวดเร็วและมั่นใจ
ระบบช่วงล่างของ GT-R R35 2018 ได้รับการปรับแต่งมาเป็นพิเศษ ด้วยโช้คอัพ Bilstein® DampTronic® ที่สามารถปรับการทำงานได้แบบอิเล็กทรอนิกส์ตามโหมดการขับขี่ที่เลือก ซึ่งระบบนี้จะช่วยควบคุมการสั่นสะเทือนของรถให้เหมาะสมกับความเร็วและสภาพถนน ทำให้รถมีความนุ่มนวลในการขับขี่ทั่วไป แต่ขณะเดียวกันก็สามารถแข็งและมั่นคงเมื่อต้องขับขี่ด้วยความเร็วสูงหรือเข้าโค้งด้วยความเร็ว โช้คอัพ Bilstein ขึ้นชื่อเรื่องประสิทธิภาพและความทนทาน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับรถยนต์สมรรถนะสูงที่ต้องรับแรงเค้นมหาศาล
ระบบเบรกก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ Nissan ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ด้วยชุดเบรกสมรรถนะสูงจาก Brembo® ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อ GT-R โดยเฉพาะ จานเบรกแบบ MONOBLOCK ขนาดใหญ่ทั้ง 4 ล้อ พร้อมคาลิปเปอร์เบรก 6 สูบที่ล้อหน้า และ 4 สูบที่ล้อหลัง ให้ประสิทธิภาพการหยุดรถที่ยอดเยี่ยมและลดระยะเบรกได้อย่างมีนัยสำคัญ ตัวจานเบรกยังมีโรเตอร์ด้านในที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อการระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้ระบบเบรกทำงานได้อย่างเต็มที่และคงที่แม้จะมีการใช้งานอย่างหนักหน่วงต่อเนื่อง
ยางสปอร์ต Dunlop® SP Sport Maxx® GT 600 DSST CTT แบบ Run-flat ที่พัฒนาขึ้นสำหรับ GT-R โดยเฉพาะ ติดตั้งบนล้ออะลูมิเนียมฟอร์จขนาด 20 นิ้ว น้ำหนักเบาจาก RAYS ผู้ผลิตล้อคุณภาพสูงระดับโลก ยางเหล่านี้ไม่เพียงให้การยึดเกาะถนนที่เหนือชั้นเท่านั้น แต่ยังสร้างความมั่นใจในการขับขี่ และเสริมประสบการณ์การควบคุมรถให้สนุกสนานยิ่งขึ้น ยาง Run-flat ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยในกรณีที่ยางรั่ว ทำให้ผู้ขับขี่สามารถขับต่อไปได้ในระยะหนึ่ง
GT-R R35 2018 ยังมี 3 โหมดการขับขี่ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับได้ตามต้องการ ซึ่งแต่ละโหมดจะปรับการทำงานของระบบเกียร์, ช่วงล่าง และระบบควบคุมการทรงตัว Vehicle Dynamic Control (VDC) ให้เหมาะสมกับสถานการณ์:
R-Mode: โหมดสูงสุดที่ปลดปล่อยสมรรถนะของ GT-R ออกมาอย่างเต็มที่ เกียร์จะเปลี่ยนเร็วขึ้น ช่วงล่างจะแข็งขึ้น และ VDC จะทำงานในระดับที่เอื้อต่อการขับขี่แบบสปอร์ตสูงสุด เหมาะสำหรับการขับขี่ในสนามแข่ง
Normal Mode: โหมดสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน ที่ปรับระบบต่างๆ ให้ทำงานได้อย่างสมดุล มอบความสบายในการขับขี่ และยังคงความคล่องตัวของรถสปอร์ต
Save Mode (Special Mode): โหมดนี้เหมาะสำหรับการเดินทางไกล หรือเมื่อขับขี่บนสภาพถนนที่ลื่น โดยจะช่วยเพิ่มแรงบิดและรักษาเสถียรภาพของรถ พร้อมทั้งให้ความนุ่มนวลของโช้คอัพเพื่อความสบายในการเดินทาง
ประสบการณ์การขับขี่ในปี 2025 และการเป็นเจ้าของ
แม้จะก้าวเข้าสู่ปี 2025 แล้ว แต่ Nissan GT-R R35 รุ่นปี 2018 ก็ยังคงเป็นรถยนต์ที่มอบประสบการณ์การขับขี่อันเร้าใจและเป็นที่ต้องการในตลาดรถยนต์มือสอง ย้อนกลับไปเมื่อครั้งเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย GT-R R35 ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากผู้ที่หลงใหลในความเร็วและประสิทธิภาพ มันเป็นรถที่ทำให้ความฝันของหลายคนเป็นจริงกับการเป็นเจ้าของรถยนต์สมรรถนะระดับซูเปอร์คาร์ในราคาที่ “เข้าถึงได้” มากกว่าคู่แข่งจากยุโรป และนับตั้งแต่นั้นมา GT-R ก็ได้สร้างฐานแฟนคลับและชุมชนผู้ใช้งานที่เหนียวแน่น
ในปี 2025 การเป็นเจ้าของ Nissan GT-R R35 รุ่นปี 2018 ยังคงเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น รถยนต์คันนี้ยังคงยืนหยัดในฐานะรถสปอร์ตคลาสสิกสมัยใหม่ที่ให้ความรู้สึกดิบและเชื่อมโยงกับผู้ขับขี่ได้ดีกว่ารถยนต์สมัยใหม่ที่เน้นระบบช่วยเหลืออิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบ แม้ว่าเทคโนโลยีในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ จะก้าวหน้าไปมาก แต่ GT-R R35 ก็ยังคงมีเสน่ห์ด้วยความสามารถในการแสดงข้อมูลสมรรถนะแบบเรียลไทม์ผ่าน “Multiple customizable displays” บนหน้าจอกลาง ซึ่งทำให้ผู้ขับขี่สามารถตรวจสอบค่าต่างๆ ได้อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็น Turbo Boost, อุณหภูมิน้ำมัน, แรงดัน, G-force ในการเข้าโค้ง, และแม้แต่ Lap Timer สำหรับการจับเวลาในสนาม สิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นส่วนสำคัญที่เพิ่มอารมณ์ร่วมในการขับขี่และทำให้ผู้ขับรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องจักรแห่งความเร็วนี้
สำหรับผู้ที่กำลังมองหา Nissan GT-R มือสอง ในปี 2025 สิ่งสำคัญคือการพิจารณาสภาพของรถและการบำรุงรักษาในอดีต เนื่องจากเป็นรถยนต์สมรรถนะสูง การดูแลรักษาที่ถูกวิธีและสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็น ค่าบำรุงรักษา GT-R อาจสูงกว่ารถยนต์ทั่วไปเล็กน้อย แต่ก็ยังถือว่าสมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับสมรรถนะที่ได้รับ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เลือกซื้อจากผู้ขายที่สามารถแสดงประวัติการเข้ารับบริการจากศูนย์หรืออู่เฉพาะทางได้ อะไหล่ GT-R โดยเฉพาะชิ้นส่วนสำคัญอย่างเครื่องยนต์หรือระบบเกียร์ อาจมีราคาสูง แต่ด้วยตลาดรถยนต์สมรรถนะสูงที่ยังคงคึกคัก ทำให้สามารถหาอะไหล่ได้ง่ายขึ้น รวมถึงมีตลาดการแต่งรถ GT-R ที่ใหญ่และหลากหลาย มีชุดแต่งและอุปกรณ์เพิ่มสมรรถนะให้เลือกมากมาย หากท่านเป็นผู้ที่ชื่นชอบการปรับแต่งรถยนต์
อย่างไรก็ตาม ราคา Nissan GT-R มือสอง ในปัจจุบันยังคงถือว่ามีความคุ้มค่าอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสมรรถนะ ความน่าเชื่อถือ และสถานะของรถยนต์ระดับไอคอน การเป็นเจ้าของ GT-R ในปี 2025 ไม่ได้เป็นเพียงการครอบครองรถยนต์ แต่เป็นการครอบครองส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ยานยนต์ที่ยังคงมีชีวิตชีวา และยังคงมอบความสุขและอะดรีนาลีนให้กับผู้ที่อยู่หลังพวงมาลัยได้อย่างเต็มเปี่ยม
บทสรุป
Nissan GT-R R35 โมเดลปี 2018 ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็นมากกว่ารถยนต์สปอร์ตธรรมดา มันคือสัญลักษณ์ของการทำลายขีดจำกัด การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีล้ำสมัย วิศวกรรมที่แม่นยำ และจิตวิญญาณแห่งการแข่งขันที่สืบทอดมาจากตำนาน Skyline ด้วยสมรรถนะอันดุดันของเครื่องยนต์ VR38DETT ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ และช่วงล่างที่ได้รับการปรับแต่งมาอย่างยอดเยี่ยม ทำให้ GT-R ยังคงเป็นรถยนต์ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจและไม่มีใครเทียบได้
ในโลกที่กำลังมุ่งหน้าสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าและขับขี่อัตโนมัติ GT-R R35 รุ่นปี 2018 ยังคงเป็นตัวแทนของยุคทองของรถยนต์สันดาปที่เน้นความบริสุทธิ์ของสมรรถนะและความรู้สึกที่เชื่อมโยงระหว่างคนกับเครื่องจักร แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายปีแล้ว แต่ “Godzilla” คันนี้ก็ยังคงคำรามกึกก้อง และยังคงเป็นรถที่อยู่ในใจของนักขับและนักสะสมทั่วโลก การเป็นเจ้าของ Nissan GT-R R35 ในปี 2025 จึงไม่ใช่เพียงแค่การมีรถสปอร์ตไว้ในครอบครอง แต่เป็นการลงทุนในตำนานที่มีคุณค่าและยังคงสร้างความตื่นเต้นได้เสมอ ไม่ว่าอนาคตของวงการยานยนต์จะไปในทิศทางใด ชื่อของ Nissan GT-R R35 จะยังคงถูกจารึกไว้ในฐานะ “เทพเจ้าแห่งความเร็ว” ที่ยังคงเร้าใจและสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นต่อๆ ไป

