ในโลกแห่งยานยนต์ที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว มีรถยนต์บางคันที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของยุคสมัยและกลายเป็นตำนานที่ยังคงส่องประกาย หนึ่งในนั้นคือ Nissan GT-R รหัสตัวถัง R35 โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่นปี 2018 ซึ่งแม้จะผ่านเวลามาหลายปี แต่ยังคงเป็นที่ต้องการและเป็นที่กล่าวขานในฐานะ “ก็อตซิลล่า” แห่งวงการรถยนต์สมรรถนะสูง ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่สั่งสมประสบการณ์มากว่าทศวรรษ ผมขอนำพาทุกท่านมาวิเคราะห์เจาะลึกถึงคุณค่าและสมรรถนะอันเป็นอมตะของ Nissan GT-R ปี 2018 ว่าทำไมรถคันนี้ยังคงเป็นเพชรเม็ดงามในตลาดรถยนต์มือสองและรถสะสมในปี 2025 นี้ และเหตุใดมันจึงยังคงเป็น “รถสปอร์ต” ที่มอบประสบการณ์การขับขี่เร้าใจไม่แพ้ซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ๆ
จากความคาดหวังสู่ตำนานบทใหม่: Nissan GT-R 2018 ในสายตาแห่งอนาคต
เมื่อ Nissan GT-R รุ่นปี 2018 เปิดตัวสู่ตลาดไทยอย่างเป็นทางการโดย Nissan Motor Thailand ในปีนั้น ถือเป็นการสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ ด้วยราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นเมื่อเทียบกับการนำเข้าในอดีต ทำให้มันกลายเป็นความฝันของใครหลายคนที่จะได้เป็นเจ้าของ “รถยนต์สมรรถนะสูง” ระดับตำนานอย่างไม่ต้องสงสัย หลายปีผ่านไปจนถึงปี 2025 GT-R R35 รุ่นปี 2018 ไม่ใช่รถใหม่แกะกล่องอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นโมเดลที่น่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับนักสะสมและผู้ที่มองหา “ซูเปอร์คาร์” ที่คุ้มค่าและยังคงความเร้าใจในราคาที่สมเหตุสมผล การวิเคราะห์เชิงลึกจะเผยให้เห็นว่าเทคโนโลยีและปรัชญาการออกแบบที่ Nissan ใส่ลงไปใน GT-R 2018 นั้นยังคงทรงประสิทธิภาพและมีความหมายต่อวงการยานยนต์อย่างไรในปัจจุบัน
สุนทรียะแห่งอากาศพลศาสตร์: การออกแบบที่หลอมรวมความดุดันและประสิทธิภาพ
รูปลักษณ์ภายนอกของ Nissan GT-R 2018 ยังคงยึดมั่นในปรัชญาการออกแบบที่เน้นฟังก์ชันการใช้งานเป็นหลัก แต่ไม่ทิ้งความสวยงามอันเป็นเอกลักษณ์ ด้วยรูปทรงแบบ 2 ประตู 2+2 Coupe Premium Midship ซึ่งเป็นรูปแบบที่ผสมผสานความสปอร์ตเข้ากับความใช้งานได้จริง หัวใจสำคัญคือความสมดุลของการถ่ายเทน้ำหนักในการขับเคลื่อน และการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่ล้ำสมัย ทุกเส้นสายบนตัวถังไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยเสริมสมรรถนะในการแหวกอากาศ เพิ่มแรงกด (Downforce) และลดแรงต้านทาน เพื่อการยึดเกาะถนนและการทรงตัวที่ยอดเยี่ยมแม้ในความเร็วสูง นี่คือเหตุผลที่ GT-R ยังคงเป็นหนึ่งใน “รถสปอร์ต” ที่ขับขี่ได้อย่างมั่นใจในทุกสภาวะ
เอกลักษณ์ที่โดดเด่นและเป็นที่จดจำคือ “ไฟท้ายวงกลม” ซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากตระกูล Skyline ที่สร้างความประทับใจให้แก่ผู้พบเห็น การมองตามหลัง GT-R ที่ทะยานผ่านไปนั้นจะทิ้งภาพความดุดันและสปอร์ตที่ยากจะลืมเลือน นอกจากนี้ มิติตัวถังที่สมดุล ทั้งฐานล้อ 2,780 มิลลิเมตร ความยาว 4,671 มิลลิเมตร ความสูง 1,372 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 1,740 กิโลกรัม ล้วนเป็นตัวเลขที่ผ่านการคำนวณมาอย่างละเอียด เพื่อให้ได้มาซึ่งประสิทธิภาพสูงสุดในการขับขี่ ทั้งบนถนนปกติและในสนามแข่ง
ภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบให้มีความหรูหราเทียบเท่า “ซูเปอร์คาร์” ด้วยการจัดวางองค์ประกอบที่คำนึงถึงผู้ขับขี่เป็นหลัก เบาะนั่งได้รับการปรับปรุงให้รองรับสรีระได้ดีเยี่ยม ให้ความมั่นคงในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง แต่ก็ยังมอบความสะดวกสบายสำหรับการเดินทางในชีวิตประจำวัน ความประณีตของการตกแต่ง และการเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง สร้างบรรยากาศที่สปอร์ตและหรูหราไปพร้อมกัน สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียดที่ Nissan มอบให้กับรถยนต์รุ่นนี้
หัวใจนักรบ: วิศวกรรมเครื่องยนต์ VR38DETT ที่สร้างปรากฏการณ์
สมรรถนะอันไร้เทียมทานของ Nissan GT-R 2018 มาจากหัวใจหลักคือเครื่องยนต์รหัส VR38DETT แบบ V6 ทวินเทอร์โบชาร์จ ขนาด 3.8 ลิตร ซึ่งได้รับการรังสรรค์ขึ้นด้วยปรัชญา “Takumi” หรือจิตวิญญาณแห่งช่างฝีมือผู้ชำนาญ โดยช่างเทคนิคเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบเครื่องยนต์นี้ด้วยมือ เครื่องยนต์นี้มอบกำลังสูงสุดถึง 419 กิโลวัตต์ (570 แรงม้า) สำหรับรุ่นมาตรฐาน และ 441 กิโลวัตต์ (600 แรงม้า) สำหรับรุ่น NISMO ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งสำหรับรถยนต์ในยุคนั้น และยังคงสร้างความประทับใจในปี 2025
ความพิเศษของเครื่องยนต์ VR38DETT ไม่ได้อยู่แค่ตัวเลขแรงม้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเทคโนโลยีล้ำสมัยที่อยู่เบื้องหลัง:
ระบบอัดอากาศ IHI Turbocharger: Nissan เลือกใช้เทอร์โบชาร์จเจอร์คู่จาก IHI ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อส่งอากาศที่ถูกอัดเข้าสู่แต่ละกระบอกสูบได้อย่างไหลลื่นที่สุด พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพในการหล่อเย็นสูง นอกจากนี้ ระบบการปรับแรงดันเทอร์โบชาร์จเจอร์ด้วยไฟฟ้ายังช่วยให้เครื่องยนต์ตอบสนองต่อแรงบิดได้รวดเร็ว ลดอาการ Turbo Lag ให้เหลือน้อยที่สุด ทำให้ผู้ขับขี่สัมผัสได้ถึงพละกำลังที่มาทันทีทันใด
การเคลือบกระบอกสูบด้วยเทคโนโลยี Plasma-Spray: นี่คือเทคโนโลยีขั้นสูงที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการหล่อเย็น ลดแรงเสียดทาน และลดน้ำหนักของกระบอกสูบ เมื่อเทียบกับกระบอกสูบแบบธรรมดา ซึ่งมีส่วนสำคัญในการเพิ่มแรงม้าและประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนของ “เทคโนโลยีรถยนต์” ที่ Nissan นำมาใช้เพื่อยกระดับสมรรถนะ
ตำแหน่งการวางเครื่องยนต์: การจัดวางเครื่องยนต์ VR38DETT ได้รับการคำนวณมาอย่างดี เพื่อให้มีน้ำหนักเบาและอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมและสมบูรณ์แบบ ช่วยให้จุดศูนย์ถ่วงของรถต่ำลง และการกระจายน้ำหนักเป็นไปอย่างสมดุล ส่งผลต่อการควบคุมรถที่ดีเยี่ยม
ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ ทำให้ GT-R 2018 มีอัตราเร่งที่ทรงพลัง สามารถทะยานจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 2.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุดที่วัดได้จริงถึง 313.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทัดเทียมกับ “ซูเปอร์คาร์” ราคาแพงกว่าหลายเท่า นี่คือสิ่งที่ทำให้ GT-R 2018 ยังคงเป็นที่พูดถึงในฐานะรถที่มอบ “สมรรถนะระดับ Supercar” ในราคาที่เข้าถึงได้
ระบบขับเคลื่อนและเกียร์: การประสานงานที่ไร้ที่ติ
Nissan GT-R 2018 มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด แบบ Dual Clutch ที่ได้รับการพัฒนามาเป็นพิเศษ เพื่อการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วและแม่นยำ ด้วย Paddle Shift ที่ติดตั้งอยู่บนพวงมาลัย ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ในเวลาเพียง 0.15 วินาทีในโหมด R-MODE ซึ่งเป็นความเร็วระดับเดียวกับรถแข่ง ระบบเกียร์นี้ทำงานร่วมกับ “ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ” ATTESA E-TS All-wheel-drive ที่เป็นเอกลักษณ์ของ GT-R
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะนี้สามารถปรับการกระจายแรงบิดระหว่างล้อหน้าและล้อหลังได้แบบเรียลไทม์ ตั้งแต่ 0:100 (ขับเคลื่อนล้อหลังเต็มรูปแบบ) ไปจนถึง 50:50 (ขับเคลื่อน 4 ล้อเต็มรูปแบบ) ขึ้นอยู่กับสภาพถนนและสไตล์การขับขี่ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนและการทรงตัวสูงสุดในทุกสภาพเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นการออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง การเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง หรือการขับขี่บนพื้นผิวที่ลื่น ทำให้ผู้ขับขี่สามารถปลดปล่อยพลังของเครื่องยนต์ได้อย่างเต็มที่ด้วยความมั่นใจ นี่คือหนึ่งใน “เทคโนโลยีรถยนต์” ที่ทำให้ GT-R โดดเด่นเหนือคู่แข่ง
ช่วงล่างและระบบเบรก: สร้างสรรค์เพื่อความเร้าใจสูงสุด
Nissan GT-R 2018 ไม่เพียงแต่มีเครื่องยนต์ที่ทรงพลัง แต่ยังมาพร้อมระบบช่วงล่างและเบรกที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างดี เพื่อรองรับสมรรถนะระดับสูงและมอบความสนุกในการขับขี่ที่เหนือกว่า:
โช้คอัพ Bilstein® DampTronic®: โช้คอัพคุณภาพสูงจาก Bilstein รุ่น DampTronic® ได้รับการปรับแต่งมาเป็นพิเศษสำหรับ GT-R โดยเฉพาะ สามารถปรับการตอบสนองได้ตามสภาพถนนและโหมดการขับขี่ ช่วยควบคุมแรงสั่นสะเทือนให้เหมาะสม เพิ่มการยึดเกาะถนนและความมั่นคงในทุกสถานการณ์
จานเบรก Brembo® Monoblock: เพื่อการหยุดรถที่มั่นใจและเฉียบคม GT-R 2018 ติดตั้งจานเบรกแบบ Monoblock จาก Brembo® ทั้ง 4 ล้อ โดยด้านหน้ามาพร้อมปั๊มเบรก 6 ลูกสูบ และด้านหลัง 4 ลูกสูบ ตัวจานเบรกมีความแข็งแกร่งสูงแต่น้ำหนักเบา และมีโรเตอร์ด้านในที่ออกแบบมาเพื่อการระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ป้องกันอาการเบรกเฟดเมื่อใช้งานหนัก นี่คือส่วนสำคัญของ “รถยนต์สมรรถนะสูง” ที่เน้นความปลอดภัย
ล้อ RAYS Forged Aluminum ขนาด 20 นิ้ว: ล้ออะลูมิเนียมหล่อขึ้นรูปขนาด 20 นิ้ว ผลิตโดย RAYS ผู้ผลิตล้อคุณภาพสูงระดับสนามแข่ง ล้อชุดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อ GT-R โดยเฉพาะ มีน้ำหนักเบาและแข็งแรง ทนทานต่อแรงเค้นสูงจากการขับขี่สมรรถนะจัดจ้าน
ยางสปอร์ต Dunlop® SP Sport Maxx® GT 600 DSST CTT: เพื่อดึงสมรรถนะของรถยนต์สปอร์ตคันนี้ออกมาให้ถึงขีดสุด Nissan เลือกใช้ยางสปอร์ตแบบ Run-Flat ประสิทธิภาพสูงจาก Dunlop ที่ให้การยึดเกาะถนนเป็นเลิศ สร้างความมั่นใจในการควบคุมและมอบความรู้สึกสนุกในการขับขี่ในทุกเส้นทาง
องค์ประกอบทั้งหมดของระบบช่วงล่างและเบรกนี้ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ GT-R 2018 สามารถถ่ายทอดกำลังลงสู่พื้นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และให้ความมั่นใจในการควบคุมรถในทุกย่านความเร็ว
โหมดการขับขี่: ปรับแต่งความเร้าใจในแบบของคุณ
Nissan GT-R 2018 มาพร้อม 3 โหมดการขับขี่ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกระดับความเร้าใจและสมรรถนะที่ต้องการได้อย่างอิสระ โดยจะมีการปรับตั้งค่าระบบเกียร์ ช่วงล่าง และระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Vehicle Dynamic Control – VDC) ให้เหมาะสมกับแต่ละโหมด:
R-MODE: โหมด “รีดแรงม้า” ออกมาให้ได้มากที่สุด ระบบเกียร์จะปรับเป็นแบบ Quick Shift ที่เปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็วและใช้รอบเครื่องยนต์สูง เพิ่มสมรรถนะของช่วงล่างให้แข็งขึ้น และปรับระบบ VDC ให้เหมาะสมกับการขับขี่แบบสปอร์ตสุดขีด เหมาะสำหรับการขับขี่ในสนามแข่งหรือเมื่อต้องการความเร้าใจสูงสุด
NORMAL MODE: โหมดนี้ออกแบบมาเพื่อการขับขี่ในชีวิตประจำวัน โดยจะปรับตั้งค่าระบบต่างๆ ให้มีความลื่นไหลและนุ่มนวลที่สุด เพื่อความสะดวกสบายในการขับขี่บนถนนทั่วไป
SAVE MODE (Special Mode): โหมดนี้เหมาะสำหรับการเดินทางไกลหรือการขับขี่บนสภาพถนนที่ลื่น โดยจะเน้นการเพิ่มแรงบิดในรอบต่ำ เพื่อให้รถสามารถรักษาเสถียรภาพได้ดีขึ้นบนพื้นผิวที่ท้าทาย พร้อมทั้งรวมข้อดีในด้านความนุ่มนวลของโช้คอัพและความสะดวกสบายมาให้ด้วย
ศูนย์บัญชาการข้อมูล: หน้าจอแสดงผลที่มอบทุกรายละเอียด
ภายในห้องโดยสารของ GT-R 2018 ผู้ขับขี่จะพบกับหน้าจอ Multiple Customizable Displays ที่เป็นนวัตกรรมล้ำสมัย ซึ่งได้รับความร่วมมือในการพัฒนาจาก Polyphony Digital ผู้สร้างเกม Gran Turismo หน้าจอเหล่านี้จะแสดงข้อมูลสมรรถนะของรถแบบเรียลไทม์ได้อย่างละเอียด ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถวิเคราะห์และทำความเข้าใจพฤติกรรมของรถได้ดียิ่งขึ้น:
หน้าจอแสดงผลที่ 1: มอนิเตอร์เครื่องยนต์ แสดงข้อมูลสำคัญ เช่น แรงดันเทอร์โบ (Turbo Boost), อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง และแรงดันน้ำมันเครื่อง
หน้าจอแสดงผลที่ 2: มอนิเตอร์แรงที่เครื่องยนต์ส่งออก แสดงความเร็ว, แรงดันเทอร์โบ และองศาลิ้นปีกผีเสื้อ ช่วยให้เข้าใจถึงพละกำลังที่กำลังถูกสร้างขึ้น
หน้าจอแสดงผลที่ 3: ตรวจสอบค่าความประหยัดน้ำมัน แสดงข้อมูลการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและระดับความประหยัดในการขับขี่
หน้าจอแสดงผลที่ 4: มอนิเตอร์การทำงานของเครื่องยนต์ แสดงอุณหภูมิน้ำหล่อเย็น, อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง และอุณหภูมิน้ำมันเกียร์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการขับขี่สมรรถนะสูง
หน้าจอแสดงผลที่ 5: มอนิเตอร์ความสมดุลของตัวรถ แสดงองศาของตัวรถเมื่อเข้าโค้งและการใช้เบรก ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถประเมินการทรงตัวของรถได้
หน้าจอแสดงผลที่ 6: นาฬิกาจับเวลา ผู้ขับขี่สามารถกดเริ่มและหยุดจับเวลาได้จากพวงมาลัย เพื่อบันทึกสถิติการขับขี่ของตนเอง
ระบบแสดงผลเหล่านี้ตอกย้ำถึงความตั้งใจของ Nissan ในการมอบเครื่องมือที่ครบครันให้แก่ผู้ขับขี่ เพื่อให้สามารถเข้าถึง “ข้อมูลสมรรถนะ” และปรับปรุงทักษะการขับขี่ได้อย่างต่อเนื่อง
Nissan GT-R 2018 ในปี 2025: เพชรเม็ดงามในตลาดรถมือสองและรถสะสม
ในปัจจุบัน ปี 2025 Nissan GT-R 2018 ได้ก้าวเข้าสู่สถานะของ “รถยนต์มือสอง” ที่ยังคงเป็นที่ต้องการอย่างมากสำหรับผู้ที่หลงใหลใน “รถสปอร์ต” และ “ซูเปอร์คาร์” ด้วยสมรรถนะที่ยังคงโดดเด่นไม่แพ้รถยนต์รุ่นใหม่ๆ และราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าในฐานะ “รถยนต์มือสอง” ทำให้มันกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
คุณค่าที่ยังคงอยู่: แม้จะผ่านไปหลายปี แต่ GT-R 2018 ยังคงเป็นรถที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจและประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม ด้วยเครื่องยนต์ VR38DETT ที่ทนทานและระบบขับเคลื่อนที่ไว้ใจได้
ตลาดรถยนต์มือสอง: “ราคา Nissan GT-R มือสอง” ในปี 2025 ย่อมมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับสภาพรถ ประวัติการดูแลรักษา และการดัดแปลงต่างๆ การหา GT-R 2018 ที่อยู่ในสภาพดีเยี่ยมและมีประวัติการเข้าศูนย์บริการที่ชัดเจน ถือเป็นการ “ลงทุนรถยนต์” ที่คุ้มค่าสำหรับนักสะสมหรือผู้ที่ต้องการรถสมรรถนะสูงในระยะยาว
ค่าบำรุงรักษาและการปรับแต่ง: การเป็นเจ้าของ “รถหรู” หรือ “รถยนต์สมรรถนะสูง” ย่อมมาพร้อมกับ “ค่าบำรุงรักษารถหรู” ที่สูงกว่ารถยนต์ทั่วไปเล็กน้อย แต่ด้วยความแพร่หลายของ GT-R ในตลาดโลก ทำให้การหาอะไหล่และอู่ซ่อมบำรุงที่มีความเชี่ยวชาญไม่ใช่เรื่องยาก นอกจากนี้ GT-R ยังเป็นรถที่ได้รับความนิยมในการ “การปรับแต่งรถ” เพื่อเพิ่มสมรรถนะให้สูงขึ้นไปอีก ซึ่งมีชุดแต่งและอะไหล่ Aftermarket ให้เลือกมากมาย
สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาเป็นเจ้าของ Nissan GT-R 2018 ในปี 2025 สิ่งสำคัญคือการตรวจสอบประวัติรถอย่างละเอียด การตรวจสภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ และการทำความเข้าใจถึงค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่จะตามมา อย่างไรก็ตาม หากคุณมองหา “รถสปอร์ต” ที่มีประวัติอันยาวนาน สมรรถนะที่น่าทึ่ง และเทคโนโลยีที่ยังคงล้ำสมัย GT-R 2018 คือตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม
บทสรุป: ตำนานที่ยังคงโลดแล่น
Nissan GT-R R35 รุ่นปี 2018 เป็นมากกว่าแค่รถยนต์ มันคือสัญลักษณ์แห่งวิศวกรรมยานยนต์ที่กล้าท้าทายขีดจำกัด ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีขั้นสูง สมรรถนะอันไร้เทียมทาน และปรัชญาการออกแบบที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพ ทำให้มันยังคงเป็น “รถยนต์สมรรถนะสูง” ที่สร้างความตื่นเต้นและมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เหมือนใคร แม้จะเดินทางเข้าสู่ปี 2025 GT-R 2018 ยังคงพิสูจน์ให้เห็นว่าชื่อ “ก็อตซิลล่า” ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่มาจากความสามารถที่แท้จริงที่ยังคงสร้างความประทับใจและเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนในวงการยานยนต์ได้อย่างไม่เสื่อมคลาย สำหรับผู้ที่กำลังมองหา “รถสปอร์ต” หรือ “ซูเปอร์คาร์” ที่มีประวัติอันน่าทึ่งและสมรรถนะที่ยังคงสร้างความประทับใจไม่รู้ลืม GT-R 2018 คือตำนานที่คุณควรลองสัมผัสด้วยตัวเอง

