ย้อนกลับไปในปี 2017 ท่ามกลางสมรภูมิรถยนต์พรีเมียมที่ดุเดือดในประเทศไทย การปรากฏตัวของ Volvo S90 ไม่ใช่เพียงแค่การเปิดตัวรถซีดานรุ่นใหม่ แต่คือหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์อันก้าวไกลของวอลโว่ในการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและความปลอดภัยระดับโลก ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าสังเกตและวิเคราะห์การเดินทางของ S90 อย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ราคาเปิดตัวที่สร้างความฮือฮา การปรับกลยุทธ์ครั้งสำคัญ ไปจนถึงการวางรากฐานอันแข็งแกร่งที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์และตำแหน่งทางการตลาดของวอลโว่ในยุคปัจจุบันปี 2025 บทความนี้จะพาทุกท่านเจาะลึกถึงปัจจัยที่ทำให้ S90 กลายเป็นหนึ่งในรุ่นเรือธงที่น่าจดจำและยังคงมีอิทธิพลต่อตลาด รถยนต์หรู อย่างต่อเนื่อง
S90 ในปี 2017: การมาถึงที่พลิกเกม
ในงาน Motor Expo 2016 ที่ประเทศไทย วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ได้เผยโฉม Volvo S90 ปี 2017 เป็นครั้งแรก ด้วยราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท สำหรับรุ่น D4 Inscription ซึ่งเป็นระดับการตกแต่งสูงสุดในขณะนั้น การเปิดตัวครั้งนี้ไม่ใช่แค่การนำเสนอซีดานที่สง่างาม แต่เป็นการประกาศทิศทางใหม่ของวอลโว่ที่ต้องการนำเสนอความหรูหราแบบสแกนดิเนเวียนที่แตกต่าง ผสมผสานความเรียบง่ายเข้ากับความโมเดิร์นได้อย่างลงตัว โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาด รถซีดานหรู อย่างแท้จริง การตัดสินใจที่จะนำเข้ารุ่น D4 Inscription เป็นรุ่นแรกสะท้อนความมั่นใจของวอลโว่ในกลุ่มลูกค้าที่ต้องการความพิเศษและฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียมสูงสุด ซึ่งถือเป็นการวางรากฐานสำหรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เน้นคุณภาพและความหรูหราตั้งแต่แรกเริ่ม
กลยุทธ์การปรับราคาและขุมพลัง Plug-in Hybrid: จุดเปลี่ยนสำคัญ
แต่จุดเปลี่ยนที่สำคัญยิ่งกว่าเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคมปี 2017 เมื่อวอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ได้ประกาศปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ ด้วยการเพิ่มรุ่นย่อยเป็น 3 รุ่น และเปิดตัวราคาจำหน่ายใหม่ที่น่าสนใจยิ่งขึ้น โดยเริ่มต้นเพียง 3.09 ล้านบาท สำหรับรุ่น D4 Momentum และรุ่นปลั๊กอินไฮบริด T8 Twin Engine AWD อีก 2 รุ่นย่อยที่ราคา 3.39 ล้านบาท (Momentum) และ 3.79 ล้านบาท (Inscription) การปรับลดราคา “เป็นล้าน” ในบางรุ่นย่อยนี้ ถือเป็นการตอบรับและปรับตัวต่อสภาวะตลาดที่ต้องการความคุ้มค่าและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยไม่ทิ้งความเป็นพรีเมียมและนวัตกรรม นี่คือการเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาด เพราะทำให้ S90 สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้อย่างเต็มภาคภูมิ และยังเป็นการเน้นย้ำวิสัยทัศน์ของวอลโว่ที่มุ่งมั่นสู่พลังงานไฟฟ้า
นายคริส เวลส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด ในขณะนั้น ได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของวอลโว่ที่จะผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าและไฮบริดทุกคันตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นไป ซึ่งนับเป็นการประกาศที่กล้าหาญและล้ำหน้าคู่แข่งในตลาด รถยนต์ไฟฟ้า อย่างชัดเจน การนำเสนอ S90 T8 Twin Engine AWD Plug-in Hybrid สู่ตลาดอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายนปีนั้น จึงไม่ใช่แค่การเพิ่มตัวเลือก แต่คือการตอกย้ำความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ที่ได้ประกาศไว้ และจากยอดขาย XC90 T8 Twin Engine AWD ที่เป็น Plug-in Hybrid มากกว่า 15% ทั่วโลก สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่ผู้บริโภคเริ่มหันมาให้ความนิยมกับ รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด มากขึ้น ซึ่ง S90 ก็พร้อมที่จะเดินตามรอยความสำเร็จนี้
ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์: ความงดงามที่ยั่งยืนในปี 2025
ในแง่ของการออกแบบ Volvo S90 ยังคงเป็นต้นแบบของความสง่างามแบบสแกนดิเนเวียนที่ยังคงความร่วมสมัยแม้จะก้าวเข้าสู่ปี 2025 แล้วก็ตาม แนวคิด “Designed Around You” ที่คิดคำนึงถึงผู้ใช้เป็นหลักถูกถ่ายทอดผ่านเส้นสายที่เรียบง่าย แต่แฝงด้วยความเฉียบคมและหรูหรา โครงสร้างตัวรถที่ใช้แพลตฟอร์ม Scalable Product Architecture (SPA) ซึ่งเป็นนวัตกรรมทางวิศวกรรมที่ทันสมัยที่สุดของวอลโว่ในยุคนั้น ไม่เพียงมอบความแข็งแกร่งและปลอดภัย แต่ยังให้สัดส่วนที่ลงตัว ไฟหน้าที่จำลองแบบ “ค้อนแห่งเทพเจ้าธอร์” (Thor’s Hammer) แบบ LED ที่ผสานเข้ากับกระจังหน้าอันโดดเด่นพร้อมโลโก้ Iron Mark ใหม่ กลายเป็นเอกลักษณ์ที่จดจำได้ง่ายและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งอย่างชัดเจน
ภายในห้องโดยสาร S90 ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถัน สะท้อนความหรูหราและฟังก์ชันการใช้งานสูงสุด แผงหน้าปัดแสดงผลกราฟิกขนาด 12.3 นิ้ว (ในรุ่น T8 Twin Engine) ให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและใช้งานง่าย วัสดุตกแต่งระดับพรีเมียม ทั้งหนังและโลหะถูกนำมาใช้ผสมผสานอย่างลงตัว แม้กระทั่งปุ่มปรับทิศทางช่องลมแอร์แนวตั้งที่ขัดเกลาด้วยโลหะรูปทรงเพชร แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียด ระบบกรองอากาศ Clean Zone ที่ดักจับละอองฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้บรรยากาศภายในรถบริสุทธิ์สะอาด ถือเป็นจุดเด่นด้านสุขภาพที่วอลโว่ให้ความสำคัญมาโดยตลอด ซึ่งในยุค 2025 นี้ ฟังก์ชันเหล่านี้ยังคงเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคมองหาและยังคงเป็นมาตรฐานที่สูงในกลุ่ม รถยนต์หรู
Intellisafe: ปณิธานความปลอดภัยที่ไม่ประนีประนอม
Volvo S90 คือตัวแทนของปณิธานด้านความปลอดภัยที่ไม่ประนีประนอมของวอลโว่ ภายใต้ชื่อ Intellisafe ซึ่งรวมระบบความปลอดภัยทั้งเชิงป้องกันและปกป้องไว้ด้วยกัน ระบบ Pilot Assist เจเนอเรชั่นที่ 2 เป็นระบบช่วยในการขับขี่กึ่งอัตโนมัติที่ทำงานได้สูงสุด 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยไม่ต้องอาศัยรถคันหน้าอีกต่อไป นับเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าอย่างมากในปี 2017 และเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติของวอลโว่ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ S90 ยังติดตั้งนวัตกรรมความปลอดภัยที่เป็นครั้งแรกของโลกในรถซีดานอย่างระบบป้องกันรถยนต์วิ่งออกนอกช่องทาง (Run-Off Road Mitigation) ที่ทำงานในย่านความเร็ว 65-140 กม./ชม. รวมถึงระบบ City Safety ที่มาพร้อมเซนเซอร์ตรวจจับสัตว์ขนาดใหญ่ (Large Animal Detection) เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยทั้งกลางวันและกลางคืน ระบบเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ แต่ยังเป็นก้าวสำคัญสู่ Vision 2020 ของวอลโว่ที่ตั้งเป้าว่า “ในปีค.ศ. 2020 จะต้องไม่มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัสในรถวอลโว่รุ่นใหม่” แม้ในปี 2025 วิสัยทัศน์นี้จะยังคงเป็นความท้าทายที่ทุกค่ายรถยนต์พยายามไปให้ถึง แต่ S90 ได้พิสูจน์แล้วว่าการลงทุนใน ระบบความปลอดภัยรถยนต์ คือหัวใจสำคัญของแบรนด์ และเป็นสิ่งที่ลูกค้าวอลโว่ไว้วางใจมาโดยตลอด
Sensus Connect และระบบเสียง Bowers & Wilkins: ประสบการณ์ความบันเทิงและเชื่อมต่อ
ในด้านเทคโนโลยีความบันเทิงและการเชื่อมต่อ S90 ก็ไม่เป็นสองรองใคร ด้วยระบบ Sensus Connect ซึ่งเป็นระบบแรกของโลกที่เชื่อมต่อกับ Apple CarPlay และรองรับ Android Auto ได้อย่างราบรื่นผ่านซอฟต์แวร์ที่มากับตัวรถ การควบคุมที่ปุ่มสัมผัสบนแกนพวงมาลัยและระบบสั่งการด้วยเสียง Voice Control ผ่านหน้าจอแสดงผลขนาด 9.0 นิ้ว มอบความทันสมัย สะดวกสบาย และเสริมความปลอดภัยในการขับขี่ ซึ่งเป็นมาตรฐานของ เทคโนโลยีรถยนต์ ที่ก้าวหน้าในยุคปัจจุบัน
ยิ่งไปกว่านั้น S90 ในรุ่น Inscription ยังติดตั้งเครื่องเสียง Premium Sound by Bowers & Wilkins ระบบสเตอริโอรอบทิศทางที่มอบประสบการณ์เสียงที่คมชัดและมีมิติที่สุดในโลก ด้วยแอมพลิฟายเออร์ 1,400 วัตต์ 12-แชนเนล คลาส-ดี และลำโพง 19 ตัวรอบห้องโดยสาร ผู้ขับขี่และผู้โดยสารสามารถเลือกโหมดฟังได้ 3 โหมด ได้แก่ Studio, Individual Stage และ Gothenburg Concert Hall สร้างสรรค์ประสบการณ์การได้ยินราวกับนั่งอยู่ใน Gothenburg Concert Hall จริงๆ ซึ่งระบบเสียงระดับนี้ยังคงเป็นมาตรฐานที่ยากจะหาคู่แข่งได้ในตลาด รถยนต์หรู แม้จะผ่านไปหลายปีก็ตาม
ขุมพลังแห่งอนาคต: D4 และ T8 Twin Engine ในบริบทปี 2025
Volvo S90 ปี 2017 มีตัวเลือกขุมพลัง 2 รุ่น ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของวอลโว่ในการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคพลังงานไฟฟ้า:
เครื่องยนต์ดีเซล D4 ขนาด 2.0 ลิตร: D4 คอมมอนเรล ทวินเทอร์โบพร้อมเทคโนโลยีหัวฉีด i-Art ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 8.2 วินาที และมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 20.4 กม./ลิตร โดยปล่อย CO2 เพียง 129 กรัมต่อกิโลเมตร ในปี 2017 เครื่องยนต์ดีเซลยังคงเป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ต้องการ รถยนต์ประหยัดน้ำมัน และแรงบิดสูงสำหรับการเดินทางไกล แม้ว่าในปี 2025 แนวโน้มตลาดจะมุ่งสู่พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มตัว แต่เครื่องยนต์ D4 ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งสำหรับผู้ที่ยังคงต้องการเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ประหยัดและเชื่อถือได้
ทวิน-เอ็นจินเทคโนโลยี (Twin Engine Technology) T8 Plug-in Hybrid: นี่คือหัวใจสำคัญที่บ่งบอกถึงอนาคตของวอลโว่ ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ผสานการทำงานของเทอร์โบชาร์จและซูเปอร์ชาร์จ ให้กำลังสูงสุด 320 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 87 แรงม้า เมื่อรวมกันแล้ว ให้พละกำลังสูงถึง 407 แรงม้า แรงบิด 640 นิวตัน-เมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เพียง 4.8 วินาที ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจสำหรับซีดานขนาดใหญ่ และมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 55.5 กม./ลิตร พร้อมปล่อย CO2 เพียง 41 กรัมต่อกิโลเมตร ที่สำคัญคือสามารถวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียว (Pure mode) ได้ไกลถึง 52 กิโลเมตร และชาร์จแบตเตอรี่เต็มได้ในเวลาเพียง 2.5 ชั่วโมง (เมื่อใช้การชาร์จสูงสุด 16A)
ในปี 2025 ขุมพลัง Plug-in Hybrid อย่าง T8 ได้กลายเป็นแกนหลักของกลยุทธ์วอลโว่ทั่วโลก S90 T8 คือผู้บุกเบิกที่แสดงให้เห็นว่า รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด สามารถมอบทั้งสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม ความประหยัด และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ในคราวเดียวกัน และเป็นคำตอบที่ลงตัวสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานไฟฟ้าโดยไม่ต้องกังวลเรื่องระยะทางหรือสถานีชาร์จมากนัก ราคา Volvo S90 รุ่น T8 ในปี 2017 ที่เริ่มต้นที่ 3.39 ล้านบาท ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับเทคโนโลยีล้ำสมัยเช่นนี้
บริการหลังการขาย: ความมั่นใจในการเป็นเจ้าของ
วอลโว่เข้าใจดีว่าการเป็นเจ้าของรถยนต์พรีเมียมนั้น ไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่การซื้อ แต่รวมถึงประสบการณ์หลังการขายที่ไร้กังวล ในปี 2017 วอลโว่ได้มอบบริการหลังการขายมาตรฐานที่ครอบคลุมสำหรับ S90 ทุกรุ่น ได้แก่ Volvo Maintenance บำรุงรักษาฟรี 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร, Volvo Warranty บริการรับประกันคุณภาพ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และ Volvo Assistance บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง 3 ปี แพ็กเกจบำรุงรักษา Volvo เหล่านี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ทำให้การตัดสินใจเป็นเจ้าของ S90 เป็นเรื่องง่ายขึ้น และยังคงเป็นจุดแข็งของวอลโว่ในการดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาฐานลูกค้าเก่าไว้ได้อย่างเหนียวแน่นจนถึงปัจจุบัน
บทสรุป: S90 จากอดีตสู่ปัจจุบัน
Volvo S90 ปี 2017 ถือเป็นบทพิสูจน์ถึงความกล้าหาญและวิสัยทัศน์ของวอลโว่ ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ผสมผสานความหรูหรา นวัตกรรม ความปลอดภัย และพลังงานทางเลือกเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว การปรับกลยุทธ์ด้านราคาและนำเสนอขุมพลัง Plug-in Hybrid ที่ล้ำหน้าในยุคนั้น ไม่เพียงแต่ช่วยให้ S90 ประสบความสำเร็จในตลาด รถยนต์หรู ของไทย แต่ยังวางรากฐานอันแข็งแกร่งให้วอลโว่ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาด รถยนต์ไฟฟ้า ในปี 2025
เมื่อมองย้อนกลับไปจากมุมมองของปี 2025 S90 ไม่ได้เป็นเพียงรถซีดานที่สวยงาม แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลง เป็นผู้บุกเบิกที่กล้าฉีกกรอบเดิมๆ และแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของยานยนต์แห่งอนาคต ด้วยการออกแบบที่เหนือกาลเวลา เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ และปณิธานด้านความปลอดภัยที่ไม่ประนีประนอม Volvo S90 ยังคงเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่น่าสนใจและเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลก.

