ในโลกแห่งอุตสาหกรรมยานยนต์ที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว การหวนมองกลับไปยังรุ่นรถยนต์ที่เคยสร้างปรากฏการณ์เมื่อหลายปีก่อน ย่อมช่วยให้เราเข้าใจถึงวิวัฒนาการและทิศทางของนวัตกรรมได้ดียิ่งขึ้น ในปี 2017 มีรถยนต์หลายรุ่นที่เปิดตัวและสร้างความน่าสนใจในตลาดอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นรถ SUV ขนาดใหญ่ที่เน้นความแข็งแกร่งและสมรรถนะ หรือรถซีดานหรูที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยและระบบขับเคลื่อนแห่งอนาคต รวมถึงยนตรกรรมพรีเมียมที่รุกเข้าสู่เซกเมนต์ใหม่ ๆ และรถยนต์หรูหราขั้นสุดที่ redefining คำว่า “ความพิเศษ” บทความนี้จะพาทุกท่านไปเจาะลึกถึงรถยนต์เด่นเหล่านั้น พร้อมวิเคราะห์ถึงอิทธิพลและมรดกที่พวกเขาทิ้งไว้ในภูมิทัศน์ยานยนต์ปี 2025
Nissan Armada ปี 2017: SUV ฟูลไซส์จากแดนอาทิตย์อุทัยสู่ตลาดอเมริกา
เมื่อปี 2017 Nissan ได้สร้างความฮือฮาในตลาดรถยนต์สหรัฐอเมริกาด้วยการเปิดตัว Nissan Armada โฉมใหม่ ซึ่งถือเป็นการพลิกโฉมครั้งสำคัญสำหรับรถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ 7 ที่นั่งรุ่นนี้ Armada ปี 2017 ได้รับการพัฒนาบนแพลตฟอร์มเดียวกับ Infiniti QX80 ซึ่งเป็น SUV หรูหราจากค่ายเดียวกัน และที่สำคัญคือมันใช้พื้นฐานร่วมกับ Nissan Patrol ที่โด่งดังในภูมิภาคตะวันออกกลาง นี่คือกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดของ Nissan ในการนำเสนอรถยนต์ที่แข็งแกร่ง ทนทาน และเปี่ยมด้วยสมรรถนะ ด้วยรูปลักษณ์ที่ปรับให้เข้ากับรสนิยมของตลาดอเมริกัน พร้อมตำแหน่งทางการตลาดที่ท้าชนคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง Toyota Sequoia และอาจรวมไปถึง Toyota Land Cruiser ซึ่งเป็นที่หมายปองของหลายคน
ย้อนกลับไปในยุคนั้น Nissan Armada รุ่นก่อนหน้า (ตั้งแต่ปี 2004) ใช้แพลตฟอร์ม F-Alpha แบบตัวถังวางบนเฟรม (body-on-frame) ร่วมกับรถกระบะอย่าง Nissan Titan และ Nissan Frontier รวมถึง Nissan Pathfinder และ Infiniti QX56 การเปลี่ยนมาใช้แพลตฟอร์มของ Patrol จึงเป็นการยกระดับ Armada อย่างมีนัยสำคัญ ไม่เพียงแต่ในด้านโครงสร้างที่ทันสมัยและแข็งแกร่งขึ้น แต่ยังรวมถึงภาพลักษณ์ที่ดูพรีเมียมและสมบุกสมบันยิ่งกว่าเดิม การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Nissan ในการนำเสนอ รถยนต์พรีเมียม ที่ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ทั้งการขับขี่ในเมือง การเดินทางไกล และการผจญภัยในเส้นทางออฟโรด
ในตลาดสหรัฐอเมริกาช่วงเวลานั้น Nissan มี Armada เพียงรุ่นเดียวที่เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Toyota Sequoia ในขณะที่ Infiniti QX80 (ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ของ QX56) ได้เปลี่ยนไปใช้แพลตฟอร์มของ Nissan Patrol ตั้งแต่ปี 2010 เพื่อขึ้นไปต่อกรกับ Lexus LX และ Toyota Land Cruiser ที่วางตำแหน่งเป็นรถ SUV หรูขนาดใหญ่ที่มีราคาจำหน่ายสูงกว่าอย่างชัดเจน แม้จะมีมิติตัวถังและเครื่องยนต์ที่ใกล้เคียงกันก็ตาม การนำ Nissan Patrol ที่เป็นที่ยอมรับในด้านความทนทานและ สมรรถนะสูง มาปรับโฉมเป็น Armada สำหรับตลาดสหรัฐฯ จึงเป็นก้าวที่น่าจับตา
การปรับเปลี่ยนรายละเอียดภายนอกเล็กน้อย เช่น ชุดกันชนหน้าและล้ออัลลอยลายใหม่ ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ถูกจริตกับกลุ่มลูกค้าในสหรัฐฯ มากขึ้น แม้กระนั้น รูปลักษณ์โดยรวมยังคงความบึกบึนและแข็งแกร่งของ Patrol ไว้ ภายในห้องโดยสารของ Armada ปี 2017 แม้จะไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการในตอนแรก แต่ก็คาดการณ์ได้ว่าไม่แตกต่างจาก Nissan Patrol ที่จำหน่ายในตะวันออกกลางมากนัก ด้วยการตกแต่งที่หรูหรากว่า Armada รุ่นปัจจุบันในขณะนั้นที่ค่อนข้างเรียบง่าย แต่ก็ยังคงความแตกต่างจาก Infiniti QX80 ที่เน้นความหรูหราในระดับที่สูงกว่า
สำหรับขุมพลัง Nissan Armada ปี 2017 ใช้เครื่องยนต์เบนซิน V8 หัวฉีดตรง (DIG) ขนาด 5.6 ลิตร เช่นเดียวกับ Infiniti QX80 ซึ่งให้กำลังสูงสุด 400 แรงม้า ที่ 5,800 รอบ/นาที และแรงบิดมหาศาลถึง 560 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ด้วยพิกัดการลากจูงได้สูงสุดเกือบ 4 ตัน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการใช้งานหนักที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับลูกค้า SUV ขนาดใหญ่ในอเมริกาเหนือ ประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน อาจไม่ใช่จุดเด่นหลักของรถกลุ่มนี้ แต่การมีพละกำลังสำรองที่พร้อมใช้งาน ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้
ในปี 2025 นี้ เมื่อมองย้อนกลับไป Armada ปี 2017 ถือเป็นบทพิสูจน์ถึงความพยายามของ Nissan ในการยกระดับผลิตภัณฑ์ในตลาดที่เน้นความแข็งแกร่งและขนาด ด้วยการนำเสนอ รถยนต์อเนกประสงค์ ที่ผสานความทนทานของ Patrol เข้ากับความสะดวกสบายที่ลูกค้าสหรัฐฯ ต้องการ แม้ว่าในปัจจุบันตลาด SUV ขนาดใหญ่จะเผชิญกับความท้าทายจากรถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติที่ก้าวหน้าไปมาก แต่อิทธิพลของ Armada ปี 2017 ในการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถยนต์กลุ่มนี้ยังคงเป็นที่จดจำ มันเป็นตัวอย่างของการปรับตัวของแบรนด์ญี่ปุ่นเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของตลาดต่างประเทศได้อย่างลงตัว
Volvo S90 ปี 2017: ซีดานหรูจากสวีเดนกับการปฏิวัติสู่พลังงานไฟฟ้า
สำหรับตลาดประเทศไทย ปี 2017 ถือเป็นปีที่ Volvo สร้างความตื่นเต้นด้วยการเปิดตัว All-New Volvo S90 ในงาน Motor Expo 2016 โดยมาพร้อมราคาเปิดตัวที่ 3.99 ล้านบาท S90 คือสุดยอดรถซีดานที่โดดเด่นด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบสแกนดิเนเวียน เรียบง่าย ทันสมัย แต่แฝงไว้ซึ่งความหรูหราสง่างามด้วยเส้นสายที่เฉียบคมรอบคัน เป็นการประกาศจุดยืนของ Volvo ในฐานะผู้นำด้าน ดีไซน์หรูหรา และ นวัตกรรมยานยนต์
ในช่วงแรก Volvo Car (ประเทศไทย) ได้นำเสนอ S90 ในรุ่น D4 Inscription ซึ่งเป็นระดับการตกแต่งที่หรูหราสูงสุด (ในขณะที่รุ่นตกแต่งพื้นฐานคือ Momentum) แต่ไม่นานหลังจากนั้น ในวันที่ 7 สิงหาคม 2560 วอลโว่ก็ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ด้วยการเพิ่มทางเลือกถึง 3 รุ่นย่อย พร้อมปรับราคาจำหน่ายใหม่ที่น่าสนใจยิ่งขึ้น โดยเริ่มเพียง 3.09 ล้านบาท สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล และขยับขึ้นไปในรุ่นเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริด T8 Twin Engine AWD ที่มีราคา 3.39 ล้านบาท และรุ่นท็อปเกรด Inscription ที่ 3.79 ล้านบาท
นายคริส เวลส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวไว้ถึงศักยภาพและการเติบโตของแบรนด์ Volvo ในประเทศไทย ด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของสวีเดน รวมถึง นวัตกรรมความปลอดภัยอัจฉริยะ ระดับโลกที่มีอยู่ในรถ Volvo รุ่นใหม่ ๆ และที่สำคัญคือวิสัยทัศน์อันมุ่งมั่นที่จะผลิตรถยนต์แห่งอนาคตเพื่อโลกอย่างแท้จริง โดย Volvo เป็นแบรนด์รถหรูรายแรกที่ประกาศว่าตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นไป รถยนต์รุ่นใหม่ของ Volvo ทุกคันจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าในรูปแบบของรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (EV) หรือไฮบริด ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก และเป็นสิ่งที่ตอกย้ำถึงความสำคัญของ ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า
ความสำเร็จของ Volvo XC90 T8 Twin Engine AWD ปลั๊กอินไฮบริด ที่มียอดขายมากกว่า 15% ทั่วโลก สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางของตลาดที่ผู้คนเริ่มหันมาให้ความนิยมกับรถพลังงานทางเลือกใหม่มากขึ้น S90 T8 Twin Engine AWD ปลั๊กอินไฮบริด จึงเป็นรถเรือธงรุ่นที่สองต่อจาก XC90 ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง และเป็นการตอกย้ำจุดยืนของ Volvo ในการส่งเสริมรถยนต์พลังงานไฟฟ้า สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลไทยอย่างจริงจัง
การออกแบบและภายในห้องโดยสาร: Volvo S90 ปี 2017 เป็นรถซีดานหรู 4 ประตู 5 ที่นั่ง ที่สะท้อนเอกลักษณ์แห่งรสนิยมชั้นเลิศ ภายใต้แนวคิด “Designed Around You” โดยคำนึงถึงผู้ใช้เป็นหลัก โครงสร้างตัวรถออกแบบโดย Scalable Product Architecture (SPA) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มวิศวกรรมที่ทันสมัยที่สุดของ Volvo และถูกนำมาใช้กับรถตระกูล 90 รุ่นใหม่ทั้งหมด ด้านหน้าโดดเด่นด้วยรูปทรงไฟหน้าที่จำลองแบบ “ค้อนแห่งเทพเจ้าธอร์” (Thor’s Hammer) แบบ LED ผนวกกับกระจังหน้าสวยหรูพร้อมตราโลโก้ Iron Mark รูปแบบใหม่
ภายในห้องโดยสาร คือความประณีตและใส่ใจในทุกรายละเอียด แผงหน้าปัดแสดงผลกราฟฟิกขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว (ในรุ่น T8 Twin Engine) ปุ่มปรับทิศทางช่องลมแอร์แนวตั้งที่ขัดเกลาเคลือบด้วยโลหะรูปทรงเพชร ระบบกรองอากาศ Clean Zone ที่ดักจับละอองฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้บรรยากาศภายในรถที่บริสุทธิ์สะอาด นอกจากนี้ ยังมีช่องเก็บของรอบห้องโดยสาร คอนโซลกลาง และที่วางแขนกลางเบาะหลัง พนักพิงเบาะหลังแยกพับได้ 60/40 เพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระได้อย่างอเนกประสงค์
Intellisafe: ความปลอดภัยอัจฉริยะของโลก: S90 อัดแน่นด้วยระบบความปลอดภัย Intellisafe ซึ่งควบรวมระบบความปลอดภัยทั้งเชิงป้องกันและปกป้อง ไม่ว่าจะเป็น Pilot Assist เจเนอเรชันที่ 2 ซึ่งเป็นระบบช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติ ทำงานที่ความเร็วสูงสุด 130 กม./ชม. โดยไม่ต้องอาศัยรถคันหน้าอีกต่อไป S90 ยังติดตั้งระบบความปลอดภัยอันเป็น นวัตกรรมของโลก คือ ระบบป้องกันรถยนต์วิ่งออกนอกช่องทาง (Run-Off Road Mitigation) และระบบ City Safety ที่มาพร้อมเซนเซอร์ตรวจจับสัตว์ขนาดใหญ่ (Large Animal Detection) ซึ่งเป็นการนำระบบเหล่านี้มาติดตั้งในรถยนต์นั่งซีดานเป็นครั้งแรกของโลก นับเป็นก้าวสำคัญสู่ “Vision 2020” ของ Volvo ที่จะไม่มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัสในรถ Volvo รุ่นใหม่
เทคโนโลยี Sensus Connect และระบบเสียง Bowers & Wilkins: S90 ติดตั้ง Sensus Connect ซึ่งเป็นระบบแรกของโลกที่เชื่อมต่อกับ Apple CarPlay และรองรับ Android Auto ได้อย่างราบรื่น ควบคุมผ่านปุ่มสัมผัสบนแกนพวงมาลัยและการสั่งการด้วยเสียงบนหน้าจอแสดงผลขนาด 9.0 นิ้ว นอกจากนี้ ในรุ่น Inscription ยังมาพร้อมเครื่องเสียง Premium Sound by Bowers & Wilkins สเตอริโอรอบทิศทางที่ให้คุณภาพเสียงคมชัดเป็นมิติสูงสุด ด้วยแอมพลิฟายเออร์ 1,400 วัตต์ 12-แชนเนล และลำโพง 19 ตัว เลือกฟังได้ 3 โหมด คือ Studio, Individual Stage และ Gothenburg Concert Hall มอบ ประสบการณ์การขับขี่ ที่เหนือระดับในทุกมิติ
ขุมกำลัง: S90 ปี 2017 มีให้เลือก 2 รุ่นหลัก ได้แก่:
Twin Engine Technology (Plug-in Hybrid): เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จและซูเปอร์ชาร์จ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมสูงสุด 407 แรงม้า แรงบิด 640 นิวตัน-เมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 4.8 วินาที อัตราสิ้นเปลือง 55.5 กม./ลิตร ปล่อย CO2 เพียง 41 กรัม/กม. สามารถวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียว (Pure mode) ได้ไกลถึง 52 กม. ชาร์จไฟเต็มใน 2.5 ชั่วโมง นี่คือหัวใจสำคัญของ เทคโนโลยียานยนต์อัจฉริยะ และยุทธศาสตร์ไฟฟ้าของ Volvo
เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร D4: คอมมอนเรล ทวินเทอร์โบพร้อมหัวฉีด i-Art ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 8.2 วินาที อัตราสิ้นเปลือง 20.4 กม./ลิตร ปล่อย CO2 129 กรัม/กม.
ทั้งสองขุมพลังส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดพร้อม Geartronic
ในมุมมองปี 2025 Volvo S90 ปี 2017 เป็นเหมือนรากฐานสำคัญที่ส่งให้ Volvo ก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้าน ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า และความปลอดภัย S90 แสดงให้เห็นว่ารถยนต์หรูไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองพลังงานเสมอไป และเทคโนโลยีไฮบริดสามารถให้ทั้งสมรรถนะและความยั่งยืนได้ มันเป็นต้นแบบที่กำหนดทิศทางของรถยนต์ Volvo รุ่นต่อ ๆ มา และเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าวิสัยทัศน์ของแบรนด์เกี่ยวกับอนาคตของยานยนต์นั้นชัดเจนและก้าวไกลเพียงใด
Jaguar F-PACE ปี 2017: การผงาดสู่โลก SUV ของเสือร้ายอังกฤษ
ในปี 2017 บริษัท อินช์เคป ประเทศไทย ได้สร้างความตื่นเต้นด้วยการแนะนำ Jaguar F-PACE สุดยอดเอสยูวีสมรรถนะสูงจากค่ายจากัวร์ ซึ่งถือเป็นรถ SUV รุ่นแรกของค่ายเสือร้ายจากอังกฤษ F-PACE 2017 ได้รับการเปิดตัวด้วยราคาเริ่มต้นที่ 4.699 ล้านบาท และมีให้เลือก 3 รุ่นย่อย นับเป็นการรุกเข้าสู่ตลาด SUV ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่ม รถยนต์พรีเมียม
อินช์เคป ประเทศไทย เป็นบริษัทในเครือของ อินช์เคป พีแอลซี ผู้นำในธุรกิจตัวแทนจำหน่ายยานยนต์พรีเมียมระดับโลก ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจำหน่ายจากัวร์-แลนด์โรเวอร์ในประเทศไทยเมื่อเดือนกรกฎาคม 2559 ด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ยาวนานในการบริหารโชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานโลก อินช์เคปจึงมั่นใจว่าจะสามารถมอบ ประสบการณ์การขับขี่ และบริการที่เป็นเลิศให้กับลูกค้าชาวไทยได้อย่างแน่นอน การมาของ F-PACE จึงเป็นการเปิดศักราชใหม่ให้กับจากัวร์ในประเทศไทย
รูปลักษณ์และดีไซน์: Jaguar F-PACE 2017 เป็น SUV สมรรถนะสูงที่แฝงด้วยดีเอ็นเอของรถสปอร์ต ได้แรงบันดาลใจจากรุ่น F-TYPE ด้วยรูปลักษณ์ที่บึกบึน เส้นสายชัดเจนจากฝากระโปรงหน้าสู่โป่งหลัง ให้มุมมองที่โดดเด่นสะกดทุกสายตา F-PACE คือนิยามใหม่ของขุมกำลัง ความแข็งแกร่ง และรูปทรงที่บริสุทธิ์หมดจด ได้รับรางวัล “2016 Car of the Year” จาก The Auto Express ของอังกฤษ และเป็นรถยนต์รุ่นที่ขายดีที่สุดของจากัวร์ในขณะนั้น แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการออกแบบและตอบโจทย์ความต้องการของตลาด
รูปลักษณ์ภายนอกแข็งแกร่งดุดันพร้อมองค์ประกอบอันเหนือระดับ เช่น กระจังหน้าลายตาข่ายเอกลักษณ์ของจากัวร์ ไฟหน้า Full LED ทรงเพรียว ล้อขนาด 22 นิ้ว และโอเว่อร์แฮงก์ด้านหน้าสั้น ที่สะท้อนภาพยนตร์ที่สร้างสรรค์จากแนวคิดดีไซน์ของ C-X17 มิติตัวรถยาว 4,731 มม. ฐานล้อ 2,874 มม. และสูง 1,677 มม. ไม่เพียงแค่ดีไซน์สวย แต่ยังคำนึงถึงค่าอากาศพลศาสตร์ ทำตัวเลขได้ดีที่ 0.34 Cd และที่น่าสนใจคือตัวถังรถมีน้ำหนักเบามาก เพราะใช้อะลูมิเนียมเป็นวัสดุมากถึง 80% ทำให้น้ำหนักรวมของรถอยู่ที่ 1,665 กก. ซึ่งมีส่วนช่วยให้ สมรรถนะสูง ขึ้น
ภายในห้องโดยสารและเทคโนโลยี: Jaguar F-PACE 2017 มี 5 ที่นั่ง ให้ความสะดวกสบายสูงสุด ด้วยการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างวัสดุและการตกแต่งระดับพรีเมียม ความพิถีพิถันในรายละเอียด และความหรูหรา เช่น เบาะหลังปรับเอนด้วยไฟฟ้า เบาะสามารถพับปรับได้อย่างอเนกประสงค์ในรูปแบบ 40:20:40 ที่เก็บสัมภาระอยู่ที่ 508 ลิตร และขยายได้สูงสุดถึง 1,598 ลิตร เมื่อพับเบาะ
ระบบอินโฟเทนเมนต์ InControl Touch Pro พร้อมแผงคอนโซลจอแสดงผลความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว มีเมมโมรี่ภายในให้ 60 GB สำหรับเก็บไฟล์เพลงหรือภาพยนตร์ ระบบเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนที่สามารถสั่งสตาร์ทรถรอ หรือเปิดแอร์ก่อนเข้าตัวรถได้ และที่แปลกใหม่คือดีไซน์คันเกียร์ที่เป็นแบบปุ่มหมุน นอกจากนี้ ยังมีกุญแจแบบ Activity Key ซึ่งเป็นครั้งแรกของโลกในรูปแบบสายรัดข้อมือที่มีคุณสมบัติกันน้ำ รองรับ เทคโนโลยียานยนต์อัจฉริยะ เพื่อไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่ง ช่วยให้สามารถล็อกกุญแจรถไว้ภายในรถได้อย่างปลอดภัย
ขุมพลัง: Jaguar F-PACE 2017 ที่เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยมีขุมพลังเดียวคือ เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 เทอร์โบชาร์จ ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำเพียง 129 กรัม/กม. ซึ่งแสดงถึง ประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน ที่น่าพอใจสำหรับรถยนต์ประเภทนี้
เมื่อมองจากมุมมองของปี 2025 Jaguar F-PACE ปี 2017 เป็นรถยนต์ที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับจากัวร์ มันพิสูจน์ให้เห็นว่าแบรนด์ที่เคยเน้นรถสปอร์ตและซีดานหรูก็สามารถสร้างสรรค์ SUV ที่ประสบความสำเร็จได้ การเข้ามาของ F-PACE เป็นการขยายฐานลูกค้าและเปิดประตูให้จากัวร์เข้าสู่ ตลาดรถ SUV ระดับพรีเมียมได้อย่างเต็มตัว และยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับรถยนต์จากัวร์รุ่นใหม่ ๆ ที่จะตามมา โดยเฉพาะในยุคที่จากัวร์กำลังก้าวไปสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบในอนาคตอันใกล้
Rolls-Royce Dawn Black Badge 2017: การปลดปล่อยความหรูหราด้านมืด
หลังจากที่ Rolls-Royce ได้นำเสนอ “ศาสตร์มืด” สำหรับ Rolls-Royce Ghost Black Badge 2016 และ Rolls-Royce Wraith Black Badge 2016 ไปแล้ว ในปี 2017 ก็ถึงเวลาของ Rolls-Royce Dawn รถเปิดประทุนอรุณรุ่งแบบ 2 ประตู 4 ที่นั่ง ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหรูหราทุกกระเบียดนิ้วจากแบรนด์อังกฤษ ได้เผยเสน่ห์ด้านมืดด้วยรุ่น Black Badge เป็นครั้งแรกในงาน Goodwood Festival of Speed 2017 การสร้างสรรค์รุ่น Black Badge ขึ้นมานี้ มีเป้าหมายเพื่อมัดใจเหล่าบรรดาเศรษฐีหนุ่มสาวกระเป๋าหนักที่ต้องการความอ่อนเยาว์และดูโดดเด่นน่าค้นหาเป็นพิเศษ มันคือการนำเสนอความพิเศษในแบบสั่งผลิตเฉพาะ (Bespoke) ที่จะทำให้ “รุ่งเช้าของวันใหม่” น่าจดจำและประทับใจยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา และแน่นอนว่า ราคาจำหน่ายรถยนต์ ของรุ่นพิเศษย่อมไม่ธรรมดาตามไปด้วย
Rolls-Royce Dawn Black Badge 2017 ยังคงใช้ความโดดเด่นของสีดำเป็นธีมหลักเหมือนกับสองรุ่นก่อนหน้า ขั้นตอนการพ่นสีตัวถังเป็นไปตามหลักปฏิบัติของ Rolls-Royce ที่มีมาช้านาน นั่นคือการพ่นสีรวมถึงแล็กเกอร์ทับกันหลายชั้น และขัดให้ขึ้นเงาด้วยมือ เพื่อให้ได้สีที่ดำสนิทและดำลึกกว่ารถยนต์ทั่วไปมาก ส่วนหลังคาผ้าใบนั้นทาง Rolls-Royce ระบุว่าจะใช้เป็นสีดำเท่านั้น เพื่อความกลมกลืนกับธีม “Black Badge”
กระจังหน้าทรงประตูวิหารแพนธีออนอันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมตุ๊กตานางฟ้า Spirit of Ecstasy ที่ยืนสง่างามอยู่ด้านบน ได้รับการเคลือบโลหะสีดำเงาระดับ High-gloss รวมถึงจุดอื่น ๆ ที่เป็นโลหะรอบตัวรถก็ตกแต่งในสไตล์เดียวกันเกือบทั้งหมด ซึ่งเป็นการเพิ่มความลึกลับและน่าค้นหาให้กับ ดีไซน์หรูหรา ที่เป็นซิกเนเจอร์ของ Rolls-Royce
ขณะที่ภายในห้องโดยสารของ Rolls-Royce Dawn Black Badge 2017 ไม่ได้มีไว้แค่ให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารประทับใจ แต่ยังต้องโดดเด่นและเปล่งประกายอวดสายตาผู้ที่พบเห็นรอบ ๆ ยามลดหลังคาลง เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังสีดำเข้ากับธีม ตัดกับแถบหนังสีส้มแมนดาริน ให้ดูราวกับว่าเป็นแสงที่เริ่มสาดส่องของดวงอาทิตย์ผ่านความมืดมิดช่วงใกล้รุ่ง แถบประดับบริเวณแผงหน้าปัดเป็นโลหะที่เกิดจากการถักทอของคาร์บอนไฟเบอร์และเส้นใยอะลูมิเนียมเกรดอากาศยานที่มีขนาดเล็กกว่าเส้นผมเสียอีก จากนั้นทำการเคลือบผิวหน้าด้วยแล็กเกอร์ 6 ชั้น และทิ้งไว้ 3 วัน ก่อนช่างฝีมือจะเริ่มขัดให้ขึ้นเงาด้วยมือ ซึ่งแสดงถึงความประณีตในงานฝีมือในแบบฉบับของ Rolls-Royce
อีกหนึ่งจุดที่ Rolls-Royce ตั้งใจนำมาใส่ไว้ตรงที่เท้าแขนกลางระหว่างเบาะนั่งด้านหลังคือสัญลักษณ์ Infinity ซึ่งนำมาจากข้างเรือไฮโดรเพลน Bluebird K7 ของบุคคลในตำนานอย่างมัลคอล์ม แคมป์เบล ชาวอังกฤษผู้โด่งดังจากการเป็นทั้งนักแข่งกรังด์ปรีซ์และนักขับรถ-เรือทำลายสถิติความเร็ว ซึ่งเป็นลูกค้าคนสำคัญของ Rolls-Royce เพราะความเป็นมัลคอล์มนั้นสามารถถ่ายทอดนิยามหรือบุคลิกลูกค้าในอุดมคติสำหรับ Black Badge Series ได้เป็นอย่างดี นี่คือการเชื่อมโยงกับมรดกอันยาวนานของแบรนด์ พร้อมกับการสร้างเรื่องราวใหม่ที่น่าสนใจให้กับลูกค้าที่ต้องการความแตกต่าง
สำหรับขุมพลัง Rolls-Royce Dawn Black Badge 2017 ยังคงใช้เครื่องยนต์เบนซิน V12 ทวินเทอร์โบ ขนาด 6.6 ลิตร จาก BMW แต่ได้รับการปรับแต่งให้มีพละกำลังเพิ่มขึ้นอีก 30 แรงม้า จากเดิม 563 แรงม้า เป็น 593 แรงม้า และเพิ่มแรงบิดอีก 20 นิวตันเมตร ทำให้มีแรงบิดสูงสุดถึง 840 นิวตันเมตร ที่รอบต่ำเพียง 1,500 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ 8 สปีด สำหรับการขับขี่ทางไกลและการแช่ที่ความเร็วสูงได้อย่างสบาย ๆ นอกจากนี้ ยังมีการปรับการตอบสนองของพวงมาลัยให้ว่องไวขึ้น เพื่อเพิ่ม ประสบการณ์การขับขี่ ให้เร้าใจกว่ารุ่นปกติอีกด้วย เป็นการผสมผสานระหว่างความหรูหราขั้นสุดกับ สมรรถนะสูง อย่างลงตัว
ในบริบทของปี 2025 Rolls-Royce Dawn Black Badge ปี 2017 ถือเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่ตอกย้ำความแข็งแกร่งของ Rolls-Royce ในการสร้างสรรค์ยนตรกรรมเฉพาะบุคคล การนำเสนอ “ด้านมืด” ของความหรูหราผ่านซีรีส์ Black Badge เป็นการขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จและต้องการแสดงออกถึงตัวตนที่แตกต่างจากความหรูหราแบบดั้งเดิม Dawn Black Badge ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราที่ท้าทายกรอบเดิม ๆ และยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับการออกแบบและเทคโนโลยีใน ตลาดรถยนต์ ระดับอัลตร้าลักซ์ชัวรี่ในปัจจุบัน การปรับแต่งในแบบ Bespoke ที่ไร้ขีดจำกัดยังคงเป็นหัวใจสำคัญของ Rolls-Royce ที่สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้
สรุป: มรดกแห่งยนตรกรรมปี 2017 สู่ปี 2025
การเดินทางผ่านยนตรกรรมเด่นแห่งปี 2017 ไม่ว่าจะเป็น Nissan Armada, Volvo S90, Jaguar F-PACE หรือ Rolls-Royce Dawn Black Badge ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงพลวัตของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง รถยนต์เหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นพาหนะ แต่ยังเป็นตัวแทนของนวัตกรรม ดีไซน์ และวิสัยทัศน์ของแต่ละแบรนด์ ในปี 2025 นี้ เราได้เห็นว่าหลายแนวคิดที่ถูกนำเสนอในปี 2017 ได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ หรือเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปอีกขั้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้แพลตฟอร์มร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การเร่งพัฒนา ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า และไฮบริด ความมุ่งมั่นใน ความปลอดภัยขั้นสูง หรือการนำเสนอความหรูหราในรูปแบบที่หลากหลายและเฉพาะตัวมากขึ้น
รถยนต์เหล่านี้ได้สร้างมรดกอันทรงคุณค่า และยังคงเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับอนาคตของยานยนต์ ที่จะยังคงขับเคลื่อนด้วยการผสมผสานระหว่างนวัตกรรม ความยั่งยืน และความปรารถนาที่จะมอบ ประสบการณ์การขับขี่ ที่เหนือกว่าแก่ผู้คนทั่วโลก

