ปี 2017 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในโลกอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มรถยนต์ระดับพรีเมียมและหรูหราอย่างแท้จริง เป็นปีที่แบรนด์ชั้นนำมากมายได้เปิดตัวนวัตกรรมที่น่าจับตา ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความตื่นเต้นในขณะนั้น แต่ยังวางรากฐานสำคัญและกำหนดทิศทางให้กับตลาดรถยนต์ที่เราเห็นกันอยู่ในปี 2025 นี้ ไม่ว่าจะเป็นการปรับโฉมครั้งใหญ่ของ SUV พันธุ์แกร่ง การรุกคืบของเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดในซีดานหรู การบุกเบิกตลาด SUV ของแบรนด์สปอร์ตระดับตำนาน ไปจนถึงการนิยามความหรูหราแบบ “ด้านมืด” ที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างออกไป บทความนี้จะพาทุกท่านย้อนเวลากลับไปสำรวจความสำคัญของยานยนต์เด่นๆ เหล่านี้ และพิจารณาว่ามรดกที่พวกเขาทิ้งไว้ยังคงส่งผลต่อโลกยานยนต์ในปัจจุบันอย่างไร
Nissan Armada 2017: การผงาดของ SUV ขนาดใหญ่ที่อัปเกรด DNA
ในปี 2017 ตลาดรถยนต์ Full-Size SUV ในสหรัฐอเมริกาได้ต้อนรับการกลับมาของ Nissan Armada ด้วยรูปลักษณ์และสมรรถนะที่ถูกยกระดับขึ้นอย่างก้าวกระโดด Armada 2017 ไม่ใช่เพียงการปรับโฉมธรรมดา แต่เป็นการปฏิวัติครั้งสำคัญด้วยการเปลี่ยนมาใช้แพลตฟอร์มเดียวกับ Infiniti QX80 และ Nissan Patrol ซึ่งเป็นรถ SUV หรูที่มีชื่อเสียงด้านความแข็งแกร่งและสมรรถนะอันยอดเยี่ยมในภูมิภาคตะวันออกกลาง นี่เป็นการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ของ Nissan เพื่อให้ Armada สามารถแข่งขันกับคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง Toyota Sequoia ได้อย่างเต็มตัว และยังสามารถท้าทายบัลลังก์ของ Toyota Land Cruiser ซึ่งวางตำแหน่งเป็น Full-Size Luxury SUV ที่มีราคาสูงกว่า
การตัดสินใจนำแพลตฟอร์มของ Nissan Patrol มาใช้กับ Armada ถือเป็นการเสริมความแกร่งให้กับรถคันนี้อย่างแท้จริง เพราะ Patrol นั้นเป็นสัญลักษณ์ของความทนทานและความสามารถในการลุยทุกสภาพถนนมานานหลายทศวรรษ การถ่ายทอด DNA อันแข็งแกร่งนี้ทำให้ Armada 2017 โดดเด่นด้วยโครงสร้างตัวถังแบบ Body-on-frame ที่ให้ความทนทานและพิกัดการลากจูงที่ยอดเยี่ยมเกือบ 4 ตัน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างสูงสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์ที่รองรับงานหนักและการผจญภัยในปัจจุบันปี 2025
ในแง่ของดีไซน์ แม้จะใช้พื้นฐานจาก Patrol แต่ Armada 2017 ก็ได้รับการปรับแต่งรายละเอียดปลีกย่อยให้เข้ากับรสนิยมของตลาดสหรัฐฯ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชุดกันชนหน้า ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ รวมถึงการตกแต่งภายในที่คาดการณ์ว่าจะหรูหรากว่า Armada รุ่นก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด แม้จะไม่เทียบเท่า Infiniti QX80 ที่ทำตลาดในระดับบน แต่ก็ยกระดับประสบการณ์การเดินทางให้เหนือกว่ารถ SUV ขนาดใหญ่ทั่วไปอย่างชัดเจน
ภายใต้ฝากระโปรง เครื่องยนต์เบนซิน V8 Direct Injection (DIG) ขนาด 5.6 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 400 แรงม้า พร้อมแรงบิด 560 นิวตันเมตร ซึ่งเป็นขุมพลังเดียวกับ Infiniti QX80 ได้รับการพิสูจน์แล้วถึงพละกำลังที่เหลือเฟือและอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ทันใจสำหรับรถยนต์ขนาดใหญ่เช่นนี้ ในปี 2025 นี้ Armada รุ่นปี 2017 ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในตลาดรถมือสองสำหรับผู้ที่มองหา SUV ขนาดใหญ่ 7 ที่นั่งที่ให้ความคุ้มค่า มีความทนทาน และยังคงให้ความรู้สึกของรถยนต์ระดับพรีเมียม ด้วยความน่าเชื่อถือของ ระบบเครื่องยนต์ ที่ได้รับการยอมรับ และ สมรรถนะการขับขี่ ที่ยังคงตอบโจทย์การใช้งานหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในเมืองหรือการ ผจญภัยออฟโรด การอัปเกรดครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ Nissan Armada สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ดีขึ้นในขณะนั้น แต่ยังสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งและยั่งยืนให้กับตระกูล Armada ในฐานะ รถยนต์อเนกประสงค์ขนาดใหญ่ ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ
Volvo S90 2017: การบุกเบิกอนาคตด้วยดีไซน์สแกนดิเนเวียและความปลอดภัยอัจฉริยะ
สำหรับตลาดประเทศไทย ปี 2017 ถือเป็นปีที่ Volvo S90 สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการรถซีดานหรู ด้วยการเปิดตัวครั้งแรกในงาน Motor Expo 2016 และการปรับกลยุทธ์ราคาในเดือนสิงหาคม 2017 ที่ทำให้ S90 กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจยิ่งขึ้น ความโดดเด่นของ S90 ไม่ได้อยู่แค่ดีไซน์ที่หรูหราสง่างามแบบสแกนดิเนเวีย แต่ยังเป็นการนำเสนอเทคโนโลยีแห่งอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบปลั๊กอินไฮบริด และมาตรฐานความปลอดภัยที่ไม่เป็นรองใคร ซึ่งในปี 2025 นี้ เราจะเห็นได้ชัดว่า Volvo S90 รุ่นปี 2017 ได้วางรากฐานสำคัญให้กับทิศทางของแบรนด์และอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน
Volvo S90 ถูกพัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์ม Scalable Product Architecture (SPA) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมยานยนต์ที่ทันสมัยที่สุดของวอลโว่ในขณะนั้น ดีไซน์ภายนอกสะท้อนความเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยรายละเอียดอันประณีต ไฟหน้า “Thor Hammer” LED กลายเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและเป็นที่จดจำ มาพร้อมกระจังหน้าหรูหราพร้อมตราโลโก้ Iron Mark รูปแบบใหม่ การออกแบบภายในห้องโดยสารนั้นถือเป็นงานศิลปะที่ผสมผสานระหว่างความหรูหราและฟังก์ชันการใช้งานอย่างลงตัว แผงหน้าปัดดิจิทัลขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ระบบกรองอากาศ Clean Zone ที่ช่วยให้อากาศภายในรถบริสุทธิ์เสมือนอยู่ในธรรมชาติของสวีเดน และการเลือกใช้วัสดุระดับพรีเมียมที่พิถีพิถันในทุกรายละเอียด สะท้อนให้เห็นถึง ความใส่ใจในคุณภาพ และ ประสบการณ์การขับขี่ ของผู้ใช้งานอย่างแท้จริง
หัวใจสำคัญที่ทำให้ S90 2017 เป็นรถที่ก้าวล้ำนำสมัยคือขุมพลัง Twin Engine Technology ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่ผสานการทำงานของเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร (เทอร์โบชาร์จและซูเปอร์ชาร์จ) กับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมสูงสุดถึง 407 แรงม้า และแรงบิด 640 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เพียง 4.8 วินาที และมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยสูงถึง 55.5 กม./ลิตร ที่สำคัญคือสามารถวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าล้วน (Pure mode) ได้ไกลถึง 52 กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจอย่างยิ่งสำหรับปี 2017 และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า Volvo ได้มองเห็นถึง อนาคตของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า มาตั้งแต่เนิ่นๆ
นอกจากนี้ Volvo S90 ยังมาพร้อม ระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ (IntelliSafe) ซึ่งรวมระบบป้องกันและปกป้องที่ล้ำหน้า ไม่ว่าจะเป็น Pilot Assist เจเนอเรชั่นที่ 2 ซึ่งเป็นระบบช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติที่ทำงานได้ถึงความเร็ว 130 กม./ชม. โดยไม่ต้องพึ่งพารถคันหน้าอีกต่อไป รวมถึงระบบป้องกันรถยนต์วิ่งออกนอกช่องทาง (Run-Off Road Mitigation) และระบบ City Safety พร้อมเซ็นเซอร์ตรวจจับสัตว์ขนาดใหญ่ (Large Animal Detection) ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ไม่เคยมีในรถซีดานมาก่อน สะท้อนวิสัยทัศน์ของวอลโว่ในการมุ่งสู่เป้าหมาย “ไม่มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัสในรถวอลโว่รุ่นใหม่ภายในปี 2020” ซึ่งในปัจจุบันปี 2025 ฟังก์ชันเหล่านี้ได้กลายเป็นมาตรฐานที่รถยนต์พรีเมียมหลายรุ่นพยายามพัฒนาตาม
ในตลาดรถมือสองของปี 2025 Volvo S90 2017 โดยเฉพาะรุ่น T8 Twin Engine ยังคงเป็นที่ต้องการสำหรับผู้ที่ชื่นชอบ รถยนต์ประหยัดพลังงาน ที่มาพร้อมดีไซน์เหนือกาลเวลา ความปลอดภัยระดับโลก และ เทคโนโลยีนำสมัย ที่ยังคงใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะมีคู่แข่งในตลาด รถยนต์ไฟฟ้า และปลั๊กอินไฮบริดเพิ่มขึ้น แต่ S90 2017 ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของแบรนด์ Volvo ที่ได้เริ่มต้นเส้นทางสู่ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแท้จริง
Jaguar F-PACE 2017: เมื่อเสือกระโดดเข้าสู่สมรภูมิ SUV
การเปิดตัว Jaguar F-PACE 2017 ในประเทศไทยโดยบริษัท อินช์เคป ประเทศไทย จำกัด เมื่อปลายปี 2016 เป็นการพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ของแบรนด์ Jaguar อย่างแท้จริง เพราะนี่คือ รถยนต์ SUV สมรรถนะสูง รุ่นแรกของค่ายเสือกระโดดที่เคยมีแต่รถสปอร์ตและซีดานหรู การเข้าสู่ตลาด SUV ของ Jaguar ไม่เพียงแต่เป็นการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ แต่ยังเป็นการตอบสนองความต้องการของตลาดโลกที่หันมานิยมรถยนต์อเนกประสงค์มากขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่งในปี 2025
F-PACE ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากรถสปอร์ต F-TYPE ซึ่งสะท้อนผ่านเส้นสายที่โฉบเฉี่ยว ดุดัน และเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นสปอร์ตคาร์ ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าลายตาข่ายอันเป็นเอกลักษณ์ ไฟหน้า Full LED ทรงเพรียวบาง และสัดส่วนตัวถังที่สมบูรณ์แบบ สิ่งที่ทำให้ F-PACE โดดเด่นคือการใช้อะลูมิเนียมเป็นวัสดุหลักในการสร้างตัวถังมากถึง 80% ซึ่งส่งผลให้น้ำหนักรวมของรถเบาเพียง 1,665 กก. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่และประหยัดเชื้อเพลิง ซึ่งถือเป็น วิศวกรรมยานยนต์ ที่ล้ำสมัยในยุคนั้น และยังคงเป็นจุดเด่นที่ทำให้ F-PACE ยังคงเป็นที่ต้องการในตลาด
ภายในห้องโดยสารของ F-PACE 2017 ได้รับการออกแบบให้มีความหรูหราสะดวกสบาย รองรับผู้โดยสาร 5 ที่นั่ง พร้อมการตกแต่งระดับพรีเมียม เบาะหลังสามารถพับได้แบบ 40:20:40 เพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระได้สูงสุดถึง 1,598 ลิตร หนึ่งในนวัตกรรมที่น่าสนใจคือ ระบบสาระบันเทิง InControl Touch Pro พร้อมจอแสดงผลความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว และหน่วยความจำภายใน 60 GB รวมถึงกุญแจแบบ Activity Key ซึ่งเป็นสายรัดข้อมือกันน้ำที่ช่วยให้เจ้าของสามารถล็อคกุญแจรถไว้ในรถได้อย่างปลอดภัย และสามารถเปิดรถได้ด้วยการแตะที่ประตู เป็นฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่งและยังคงสร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้งานในปัจจุบัน
ในด้านขุมพลัง F-PACE 2017 ในไทยมาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 เทอร์โบชาร์จ ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า แรงบิด 430 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ให้ สมรรถนะการขับขี่ ที่ดีเยี่ยมทั้งบนถนนเรียบและเส้นทางทุรกันดาร การที่ Jaguar กล้าเปิดตัว SUV รุ่นแรกด้วย เครื่องยนต์ดีเซลประหยัดพลังงาน สะท้อนถึงการเข้าใจตลาดและความต้องการของลูกค้าในขณะนั้น
ปัจจุบันปี 2025 Jaguar F-PACE 2017 ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในตลาด รถยนต์มือสองพรีเมียม สำหรับผู้ที่ต้องการ SUV ที่มีดีไซน์โดดเด่นไม่เหมือนใคร สมรรถนะการขับขี่แบบสปอร์ต และภาพลักษณ์ของแบรนด์หรูที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน การบุกเบิกตลาด SUV ของ F-PACE ได้เปิดประตูให้ Jaguar สร้างสรรค์รถยนต์อเนกประสงค์รุ่นอื่นๆ ตามมา และพิสูจน์ให้เห็นว่า แม้จะเป็นแบรนด์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสปอร์ต แต่ก็สามารถปรับตัวเข้ากับกระแสความนิยมของโลกได้อย่างสวยงาม
Rolls-Royce Dawn Black Badge 2017: ปลดปล่อยความหรูหราด้านมืดที่น่าค้นหา
จาก Goodwood Festival of Speed 2017 สู่ท้องถนนโลก และก้าวมาถึงปี 2025 Rolls-Royce Dawn Black Badge ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของ ความหรูหราเหนือระดับ ที่มาพร้อมกับเสน่ห์อันลึกลับน่าค้นหา การเปิดตัว Black Badge Series สำหรับ Dawn ซึ่งเป็นรถเปิดประทุนแบบ 2 ประตู 4 ที่นั่ง ถือเป็นการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าเศรษฐีรุ่นใหม่ที่ต้องการความแตกต่าง ความโดดเด่น และความรู้สึกที่ “ขบถ” เล็กน้อยจากความหรูหราแบบดั้งเดิมของ Rolls-Royce
Rolls-Royce Dawn Black Badge 2017 ยังคงยึดมั่นในธีมสีดำเป็นหลัก แต่ไม่ใช่สีดำธรรมดา กระบวนการพ่นสีตัวถังแบบ Multi-layer พร้อมการขัดเงาด้วยมือหลายชั้น ทำให้ได้สีดำที่เข้ม ลึก และเงางามเป็นพิเศษ ราวกับดูดกลืนแสงโดยรอบ กระจังหน้า Spirit of Ecstasy และองค์ประกอบที่เป็นโลหะรอบคันล้วนถูกเคลือบด้วยโลหะสีดำเงา (High-gloss black chrome) สร้างความรู้สึกที่ทรงพลังและลึกลับมากยิ่งขึ้น หลังคาผ้าใบสีดำสนิทยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ “ด้านมืด” ของรถคันนี้
ภายในห้องโดยสารคือพื้นที่ที่ Rolls-Royce แสดงออกถึงงานฝีมือและการสั่งผลิตพิเศษ (Bespoke) ได้อย่างเต็มที่ เบาะนั่งหนังสีดำตัดกับแถบหนังสีส้มแมนดารินอันเจิดจ้า ราวกับแสงแรกของรุ่งอรุณที่สาดส่องผ่านความมืดมิด วัสดุตกแต่งบริเวณแผงหน้าปัดทำจากโลหะที่ถักทอจากคาร์บอนไฟเบอร์และเส้นใยอะลูมิเนียมเกรดอากาศยาน ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าเส้นผม ก่อนจะเคลือบด้วยแล็กเกอร์ 6 ชั้น และขัดเงาด้วยมืออย่างพิถีพิถัน สะท้อนถึง ความใส่ใจในรายละเอียด และ งานฝีมือระดับโลก
จุดเด่นอีกอย่างที่ Rolls-Royce ตั้งใจใส่ไว้คือสัญลักษณ์ Infinity บริเวณที่เท้าแขนกลางระหว่างเบาะนั่งด้านหลัง ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากเรือไฮโดรเพลน Bluebird K7 ของ Malcolm Campbell นักแข่งผู้โด่งดังและลูกค้าคนสำคัญของ Rolls-Royce สัญลักษณ์นี้สะท้อนถึงจิตวิญญาณของผู้ที่แสวงหาความท้าทายและไม่หยุดนิ่ง ซึ่งเป็นบุคลิกที่ Rolls-Royce ต้องการสื่อถึงกลุ่มลูกค้า Black Badge
สำหรับขุมพลัง Dawn Black Badge 2017 ใช้เครื่องยนต์เบนซิน V12 ทวินเทอร์โบ ขนาด 6.6 ลิตร แต่ได้รับการปรับจูนเพิ่มพละกำลังจาก 563 แรงม้า เป็น 593 แรงม้า และเพิ่มแรงบิดเป็น 840 นิวตันเมตร ที่รอบต่ำเพียง 1,500 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ 8 สปีด พร้อมการปรับการตอบสนองของพวงมาลัยให้ว่องไวขึ้น เพื่อมอบ ประสบการณ์ขับขี่ ที่เร้าใจยิ่งขึ้นกว่ารุ่นปกติ ซึ่งในรถยนต์ระดับ Ultra-luxury เช่นนี้ การเพิ่มสมรรถนะเพียงเล็กน้อยก็ถือเป็นความพิเศษอย่างยิ่ง
ในปี 2025 Rolls-Royce Dawn Black Badge 2017 ยังคงเป็น รถยนต์สะสม ที่ทรงคุณค่าและเป็นที่ต้องการสำหรับนักสะสมรถยนต์หรู การผสมผสานระหว่างความหรูหราแบบดั้งเดิมเข้ากับความทันสมัยที่กล้าหาญ ทำให้รถคันนี้เป็นมากกว่ายานพาหนะ มันคือผลงานศิลปะที่เคลื่อนที่ได้ เป็นเครื่องหมายของสถานะ และเป็นนิยามของ การสั่งผลิตพิเศษ ที่ไร้ขีดจำกัด สะท้อนให้เห็นว่าแบรนด์ระดับตำนานอย่าง Rolls-Royce ก็สามารถปรับตัวและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคสมัยที่เปลี่ยนไปได้อย่างน่าทึ่ง
บทสรุป: มรดกแห่งนวัตกรรมสู่ปี 2025
ปี 2017 ไม่ใช่แค่ปีที่รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาด แต่เป็นปีที่ยานยนต์หลายรุ่นได้กำหนดทิศทางและสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมในอนาคต เมื่อเรามองย้อนกลับไปจากปี 2025 จะเห็นได้ว่า Nissan Armada 2017 ได้พิสูจน์ถึงความสำคัญของ แพลตฟอร์มรถยนต์ ที่แข็งแกร่งและสมรรถนะอันเป็นเลิศ ในขณะที่ Volvo S90 2017 คือผู้บุกเบิก รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด และ ระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ ที่เป็นรากฐานสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน Jaguar F-PACE 2017 แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญของแบรนด์สปอร์ตในการบุกเบิกตลาด SUV ด้วย ดีไซน์รถยนต์ ที่เป็นเอกลักษณ์และ สมรรถนะสูง ส่วน Rolls-Royce Dawn Black Badge 2017 ตอกย้ำนิยามของ ความหรูหรา ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ผ่าน การสั่งผลิตพิเศษ และการเติมเต็มจินตนาการของลูกค้าอย่างแท้จริง
รถยนต์เหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นเพียงพาหนะ แต่เป็นสัญลักษณ์ของยุคสมัยที่เต็มไปด้วย นวัตกรรมยานยนต์ และ เทคโนโลยีรถยนต์ ที่ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง พวกเขาคือผู้เล่นสำคัญที่ช่วยหล่อหลอมโลกยานยนต์ที่เราสัมผัสได้ในทุกวันนี้ และยังคงเป็นที่จดจำในฐานะยานยนต์ที่นำเสนอ ประสบการณ์ขับขี่ อันเป็นเลิศ พร้อมทั้งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงและความต้องการของตลาดในแต่ละเซ็กเมนต์ได้อย่างชัดเจนที่สุด

