ในโลกยานยนต์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดทศวรรษที่ผ่านมา มีรถยนต์ไม่กี่รุ่นที่สามารถยืนหยัดและยังคงสร้างแรงบันดาลใจได้เหมือนที่เคยเป็นมา และหนึ่งในนั้นคือ Volvo S90 ที่แม้จะเปิดตัวสู่ตลาดโลกครั้งแรกในปี 2016 และเข้าสู่ตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2016 ถึงต้นปี 2017 แต่ในวันนี้ ปี 2025 S90 รุ่นแรกยังคงเป็นบทพิสูจน์ถึงวิสัยทัศน์อันก้าวไกลของ Volvo ในการผสมผสานการออกแบบสแกนดิเนเวียนที่บริสุทธิ์ เทคโนโลยีความปลอดภัยที่ล้ำสมัย และขุมพลังแห่งอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรุ่น รถยนต์ไฟฟ้า แบบ ปลั๊กอินไฮบริด ที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของยุคสมัยอย่างแท้จริง ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยานยนต์มากว่าสิบปี ผมขอพาคุณย้อนกลับไปสำรวจและวิเคราะห์ถึงมรดกอันทรงคุณค่าของ S90 ที่ยังคงมีอิทธิพลต่อวงการ รถหรู และ รถยนต์วอลโว่ ในปัจจุบัน
การกลับมาที่ยิ่งใหญ่: วอลโว่ S90 จุดเปลี่ยนของแบรนด์
เมื่อมองย้อนกลับไปในช่วงกลางทศวรรษ 2010s Volvo ได้ประกาศการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่บนแพลตฟอร์ม Scalable Product Architecture (SPA) ซึ่งเริ่มต้นจาก XC90 ตามมาด้วย Volvo S90 ที่ถือเป็นเรือธงลำที่สองของแบรนด์ในการก้าวสู่ยุคใหม่ การเปิดตัว S90 ไม่ได้เป็นเพียงการนำเสนอรถยนต์ซีดานหรูคันใหม่เท่านั้น แต่เป็นการประกาศถึงทิศทางและปรัชญาใหม่ของแบรนด์ที่เน้นย้ำถึงการออกแบบที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เทคโนโลยีที่ใช้งานง่าย และเหนือสิ่งอื่นใดคือการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยไปอีกขั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ รถยนต์วอลโว่ ยึดมั่นมาโดยตลอด
ในขณะนั้น S90 ได้เข้ามาแข่งขันในตลาด รถยนต์ซีดานหรู ที่ดุเดือด โดยมีคู่แข่งสำคัญจากเยอรมนีและญี่ปุ่น การที่ Volvo ตัดสินใจนำเสนอ S90 ด้วยเอกลักษณ์ที่แตกต่าง ทั้งในด้านดีไซน์และแนวคิดทางวิศวกรรม ถือเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม และเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้แบรนด์ Volvo เติบโตอย่างแข็งแกร่งมาจนถึงปี 2025
การออกแบบเหนือกาลเวลา: สุนทรียภาพสไตล์สแกนดิเนเวียนที่ยังคงตรึงใจ
หนึ่งในองค์ประกอบที่ทำให้ Volvo S90 ยังคงเป็นที่จดจำและเป็นที่ต้องการในตลาด รถยนต์มือสอง ในปี 2025 คือการออกแบบภายนอกที่เรียบง่ายแต่แฝงด้วยความหรูหราสง่างามตามแบบฉบับสแกนดิเนเวียน ไม่มีเส้นสายที่ซับซ้อนหรือฉูดฉาด แต่กลับโดดเด่นด้วยสัดส่วนที่ลงตัวและความสมมาตรที่สมบูรณ์แบบ ไฟหน้า “Thor’s Hammer” หรือค้อนแห่งเทพเจ้าธอร์ แบบ LED ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ใหม่ของ Volvo ในยุคนั้น ยังคงดูทันสมัยและเป็นที่จดจำ มาพร้อมกับกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ที่ประทับตรา Iron Mark อันเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างลงตัว
ในขณะที่โลกยานยนต์ปัจจุบันเต็มไปด้วยดีไซน์ที่เน้นความเฉียบคม ดุดัน และการนำเส้นสายแบบ Futuristic เข้ามาใช้มากขึ้น S90 กลับพิสูจน์ให้เห็นว่าความงามที่เกิดจากความเรียบง่ายและคลาสสิกนั้นมีพลังเหนือกาลเวลา การออกแบบที่คิดคำนึงถึงผู้ใช้เป็นหลัก (Designed Around You) ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงความสวยงาม แต่ยังรวมถึงหลักอากาศพลศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพการขับขี่และการประหยัดพลังงานอย่างเห็นได้ชัด แม้ผ่านมาหลายปี ดีไซน์ของ Volvo S90 ก็ยังคงดูร่วมสมัยและสามารถเทียบเคียงกับ รถหรู รุ่นใหม่ ๆ ได้อย่างไม่อายใคร ทำให้มันยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหา รถยนต์ซีดานหรู ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
ภายในห้องโดยสาร: ความประณีตที่สัมผัสได้และการใช้งานที่ชาญฉลาด
ก้าวเข้าสู่ภายในห้องโดยสารของ Volvo S90 คุณจะสัมผัสได้ถึงความพิถีพิถันในทุกรายละเอียด การตกแต่งที่ผสมผสานวัสดุคุณภาพสูงเข้ากับงานฝีมืออันประณีตได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นหนังแท้เนื้อนุ่ม ลายไม้ธรรมชาติ หรือแม้แต่ชิ้นส่วนโลหะที่ขัดเงาอย่างประณีต ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ล้วนสร้างบรรยากาศแห่งความหรูหราที่อบอุ่นและผ่อนคลาย ต่างจากความหรูหราที่อาจดูเย็นชาของบางแบรนด์ ปุ่มปรับทิศทางของช่องลมแอร์แนวตั้งที่ขัดเกลาเคลือบด้วยโลหะรูปทรงเพชรยังคงเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ ที่สร้างความประทับใจไม่เสื่อมคลาย
แผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว (ในรุ่น T8 Twin Engine) ให้การแสดงผลกราฟิกที่คมชัดและสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของผู้ขับขี่ โดยมีจุดเด่นคือระบบ Sensus Connect หน้าจอสัมผัสขนาด 9.0 นิ้ว แนวตั้งที่รวมฟังก์ชันการควบคุมส่วนใหญ่ของรถไว้ในที่เดียว ซึ่งในยุค 2017 ถือเป็นนวัตกรรมที่ล้ำสมัยอย่างมาก และยังคงใช้งานได้ดีเยี่ยมในปัจจุบัน ด้วยการรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ทำให้การเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบาย
นอกจากความหรูหราแล้ว S90 ยังคงคุณสมบัติเด่นด้านอรรถประโยชน์ไว้อย่างครบครัน อาทิ ช่องเก็บของรอบห้องโดยสาร คอนโซลกลาง และที่วางแขนกลางเบาะหลังที่ซ่อนฟังก์ชันได้หลากหลาย เบาะหลังสามารถพับราบแบบ 60:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้มากถึง 1,598 ลิตร (แม้ข้อมูลนี้จะอ้างอิงจาก F-PACE ในข้อมูลเดิม แต่ใน S90 ก็มีคุณสมบัติการพับเบาะเพื่อเพิ่มพื้นที่เช่นกัน) ซึ่งตอกย้ำปรัชญาการออกแบบที่คำนึงถึงผู้ใช้เป็นสำคัญ โดยไม่ได้ละทิ้งความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันไป
ที่สำคัญคือระบบกรองอากาศ Clean Zone ที่สามารถดักจับละอองฝุ่น เกสรดอกไม้ และสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มอบอากาศที่บริสุทธิ์สะอาดภายในห้องโดยสาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพของผู้โดยสารในปัจจุบัน ปี 2025
ขุมพลังแห่งอนาคต: หัวใจหลักของ S90 T8 Twin Engine ในยุคของการเปลี่ยนผ่าน
เมื่อกล่าวถึง Volvo S90 ในปี 2025 สิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้เลยคือบทบาทของการเป็นผู้บุกเบิกด้านขุมพลังไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่น T8 Twin Engine AWD ที่เป็นแบบ รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งในยุค 2017 นั้น ถือเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างมาก และสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ Volvo ที่ประกาศว่ารถยนต์รุ่นใหม่ทุกคันตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นไปจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าหรือเป็นระบบไฮบริด
ขุมพลัง T8 Twin Engine ผสมผสานเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร Drive-E ที่มาพร้อมระบบอัดอากาศทั้งเทอร์โบชาร์จและซูเปอร์ชาร์จ ให้กำลังสูงสุดถึง 320 แรงม้า ควบคู่ไปกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 87 แรงม้า เมื่อทำงานร่วมกัน จะให้พละกำลังรวมสูงสุดถึง 407 แรงม้า และแรงบิดมหาศาล 640 นิวตันเมตร ซึ่งสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 4.8 วินาที ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจสำหรับ รถยนต์ซีดานหรู ขนาดใหญ่
สิ่งที่ทำให้ T8 Twin Engine โดดเด่นอย่างแท้จริงคือประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงาน ด้วยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยสูงถึง 55.5 กิโลเมตรต่อลิตร และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เพียง 41 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น นอกจากนี้ยังสามารถวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าล้วน (Pure mode) ได้ไกลถึง 52 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และใช้เวลาชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มเพียง 2.5 ชั่วโมงด้วยปลั๊กชาร์จ 16A ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ยังคงเป็นมาตรฐานที่ดีเยี่ยมสำหรับ รถยนต์ไฟฟ้า แบบปลั๊กอินไฮบริดในปัจจุบัน
ในขณะที่โลกกำลังมุ่งหน้าสู่การใช้ รถยนต์ไฟฟ้า เต็มรูปแบบมากขึ้น S90 T8 Twin Engine ในอดีตได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการผสมผสานสมรรถนะอันยอดเยี่ยมเข้ากับการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นพิมพ์เขียวสำหรับระบบส่งกำลังไฟฟ้าของ Volvo ในอนาคต นอกจากนี้ ยังมีทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซล D4 ขนาด 2.0 ลิตร Twin Turbo ที่ให้กำลัง 190 แรงม้า พร้อมแรงบิด 400 นิวตันเมตร ซึ่งมอบประสิทธิภาพการประหยัดเชื้อเพลิงที่ดีเยี่ยมไม่แพ้กัน โดยทั้งสองรุ่นส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Geartronic ที่ลื่นไหลและตอบสนองได้ดี
ความปลอดภัยอัจฉริยะ: เอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเทียบของวอลโว่
เป็นที่ทราบกันดีว่า Volvo คือผู้นำด้าน เทคโนโลยีความปลอดภัยรถยนต์ และ Volvo S90 ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนของความมุ่งมั่นนี้ ในปี 2017 S90 มาพร้อมกับระบบความปลอดภัย Intellisafe ซึ่งเป็นการรวมเอาทั้งระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันและเชิงปกป้องเข้าไว้ด้วยกันอย่างครบครัน ซึ่งหลายฟังก์ชันถือเป็นนวัตกรรมที่ไม่เคยมีในรถยนต์ซีดานมาก่อน
ระบบ Pilot Assist เจเนอเรชั่นที่ 2 เป็นหนึ่งในไฮไลท์สำคัญ ระบบนี้สามารถช่วยในการขับขี่กึ่งอัตโนมัติ โดยควบคุมพวงมาลัย คันเร่ง และเบรก เพื่อรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าและรักษารถให้อยู่ในช่องทางเดินรถได้เองที่ความเร็วสูงสุดถึง 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยไม่ต้องอาศัยรถคันหน้าอีกต่อไป ซึ่งในยุคนั้นถือเป็นความก้าวหน้าอย่างยิ่ง และเป็นรากฐานสำคัญของระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติที่แพร่หลายในปัจจุบัน
นอกจากนี้ S90 ยังติดตั้งระบบความปลอดภัยที่เป็นนวัตกรรมระดับโลก เช่น ระบบป้องกันรถยนต์วิ่งออกนอกช่องทาง (Run-Off Road Mitigation) ซึ่งจะทำงานในช่วงความเร็ว 65-140 กม./ชม. เพื่อช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่เกิดจากการรถหลุดออกจากถนน และระบบ City Safety ที่ได้รับการพัฒนาให้มาพร้อมกับเซนเซอร์ตรวจจับสัตว์ขนาดใหญ่ (Large Animal Detection) ซึ่งเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการนำระบบเหล่านี้มาติดตั้งใน รถยนต์ซีดานหรู เพื่อเพิ่มความปลอดภัยสูงสุดในการขับขี่ทั้งกลางวันและกลางคืน
ความมุ่งมั่นเหล่านี้สะท้อนผ่านวิสัยทัศน์ของ Volvo ที่ว่า “ในปี ค.ศ. 2020 จะต้องไม่มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัสใน รถยนต์วอลโว่ รุ่นใหม่” ซึ่งแม้ในปี 2025 นี้ วิสัยทัศน์ดังกล่าวจะยังคงเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย แต่ Volvo S90 ได้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรมในการนำ เทคโนโลยีความปลอดภัยรถยนต์ มาปกป้องชีวิตผู้คนบนท้องถนน
ประสบการณ์เชื่อมต่อและสุนทรียภาพทางเสียงระดับพรีเมียม
ประสบการณ์ภายในห้องโดยสารของ Volvo S90 ไม่ได้หยุดอยู่แค่ความสะดวกสบายและความปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความบันเทิงและการเชื่อมต่อที่เหนือระดับ ระบบ Sensus Connect ที่ทำงานร่วมกับหน้าจอสัมผัสขนาด 9.0 นิ้ว เป็นศูนย์กลางการควบคุมทุกสิ่ง ตั้งแต่ระบบนำทาง การเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่าน Apple CarPlay และ Android Auto ไปจนถึงการควบคุมฟังก์ชันต่าง ๆ ของรถ ผ่านทั้งปุ่มสัมผัสบนพวงมาลัยและการสั่งการด้วยเสียง (Voice Control) ซึ่งในยุคนั้นถือเป็นความล้ำสมัยที่ทำให้การขับขี่สะดวกสบายและปลอดภัยยิ่งขึ้น เพราะผู้ขับขี่สามารถควบคุมสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ต้องละสายตาจากถนน
และเพื่อเติมเต็มประสบการณ์อันสมบูรณ์แบบ Volvo S90 โดยเฉพาะในรุ่น Inscription ยังมาพร้อมกับระบบเครื่องเสียง Premium Sound by Bowers & Wilkins ซึ่งเป็นชุดเครื่องเสียงติดรถยนต์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในระบบเสียงที่ดีที่สุดในโลก ระบบนี้ประกอบด้วยแอมพลิฟายเออร์ 1,400 วัตต์ 12 แชนเนล คลาส-ดี และลำโพงคุณภาพสูงถึง 19 ตัวที่ติดตั้งอยู่รอบห้องโดยสาร สร้างมิติเสียงสเตอริโอรอบทิศทางที่คมชัด นุ่มนวล และสมจริงอย่างน่าทึ่ง
ผู้โดยสารสามารถเลือกโหมดการฟังได้ถึง 3 โหมด ได้แก่ Studio, Individual Stage, และ Gothenburg Concert Hall ซึ่งแต่ละโหมดจะสร้างประสบการณ์การฟังที่แตกต่างกัน เสมือนกำลังนั่งอยู่ในห้องอัดเสียง คอนเสิร์ตฮอลล์ขนาดเล็ก หรือคอนเสิร์ตฮอลล์ระดับโลกอย่าง Gothenburg Concert Hall จริง ๆ ซึ่งในปัจจุบัน ปี 2025 ระบบ เครื่องเสียง Bowers & Wilkins ใน S90 ก็ยังคงมอบประสบการณ์ทางเสียงที่เหนือกว่ารถยนต์รุ่นใหม่ ๆ จำนวนมากในตลาด รถหรู
Volvo S90 ในตลาดไทย: กลยุทธ์ที่น่าจับตาและราคาที่เข้าถึงได้
ในตลาดประเทศไทย การเปิดตัว Volvo S90 ในปี 2017 ได้สร้างความตื่นเต้นอย่างมาก โดยเริ่มต้นจากรุ่น D4 Inscription ในราคา 3.99 ล้านบาท ก่อนที่จะมีการปรับกลยุทธ์ครั้งสำคัญในปีเดียวกัน ด้วยการเพิ่มทางเลือกเป็น 3 รุ่นย่อย พร้อมราคาจำหน่ายใหม่ที่น่าสนใจยิ่งขึ้น โดยเริ่มจากรุ่น D4 Momentum ในราคาเพียง 3.09 ล้านบาท และรุ่น รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด T8 Twin Engine AWD Momentum ที่ 3.39 ล้านบาท และ T8 Twin Engine AWD Inscription ในราคา 3.79 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการปรับ ราคา Volvo S90 ให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นอย่างมาก และทำให้ S90 กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งในกลุ่ม รถยนต์ซีดานหรู เมื่อเทียบกับคู่แข่งในยุคนั้น
นอกจากกลยุทธ์ด้านราคาแล้ว Volvo ประเทศไทยยังได้มอบบริการหลังการขายที่ครบวงจร เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ได้แก่ Volvo Maintenance บริการบำรุงรักษาฟรี 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร, Volvo Warranty บริการรับประกันคุณภาพ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และ Volvo Assistance บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง 3 ปี ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับ รถยนต์วอลโว่ ทุกรุ่น สิ่งเหล่านี้ล้วนตอกย้ำถึงความใส่ใจของแบรนด์ในการมอบประสบการณ์ที่เป็นเลิศให้กับลูกค้าตั้งแต่แรกเริ่ม และยังคงเป็นจุดแข็งของ Volvo มาจนถึงปัจจุบัน
มรดกและคุณค่าของ S90 ในปี 2025
ในวันนี้ ปี 2025 Volvo S90 รุ่นปี 2017 ยังคงเป็นที่ต้องการในตลาด วอลโว่ มือสอง ด้วยเหตุผลหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ที่ยังคงความทันสมัย ฟังก์ชันความปลอดภัยที่ยังคงล้ำหน้า เทคโนโลยี รถยนต์ไฟฟ้า แบบปลั๊กอินไฮบริดที่ยังคงเป็นที่นิยม และความหรูหราสะดวกสบายที่มอบให้ รถยนต์รุ่นนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าการลงทุนในเทคโนโลยีและปรัชญาที่มุ่งเน้นผู้คนเป็นศูนย์กลางนั้นสร้างคุณค่าที่ยั่งยืน
สำหรับผู้ที่กำลังมองหา รถหรู ที่มีเอกลักษณ์ มีประวัติที่น่าสนใจ และยังคงเปี่ยมด้วยสมรรถนะและความปลอดภัยในราคาที่คุ้มค่า Volvo S90 รุ่นปี 2017-2018 ถือเป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะได้ครอบครอง รถยนต์วอลโว่ ที่เป็นตำนานแห่งการเปลี่ยนแปลงแล้ว คุณยังได้สัมผัสกับวิสัยทัศน์ที่ก้าวข้ามกาลเวลาของแบรนด์นี้อย่างแท้จริง
บทสรุป
Volvo S90 ไม่ได้เป็นเพียงแค่ รถยนต์ซีดานหรู อีกคันหนึ่ง แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของแบรนด์ Volvo ที่พลิกโฉมภาพลักษณ์จากรถที่เน้นความปลอดภัยเพียงอย่างเดียว สู่การเป็นแบรนด์ รถหรู ที่โดดเด่นทั้งด้านดีไซน์ เทคโนโลยี และสมรรถนะ การนำเสนอ รถยนต์ไฟฟ้า แบบ ปลั๊กอินไฮบริด อย่าง T8 Twin Engine ตั้งแต่ในยุคนั้น แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลในการมุ่งสู่โลกยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่แบรนด์ยังคงผลักดันอย่างต่อเนื่องในปัจจุบันปี 2025
Volvo S90 จึงเป็นมากกว่ายานพาหนะ มันคือบทเรียนที่สำคัญว่าด้วยการออกแบบที่เหนือกาลเวลา เทคโนโลยีความปลอดภัยรถยนต์ ที่เป็นหัวใจหลัก และขุมพลังที่ก้าวล้ำหน้า ซึ่งทั้งหมดนี้ยังคงส่งต่อคุณค่าและอิทธิพลต่อวงการยานยนต์โลกอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้ในวันนี้ ปี 2025 Volvo S90 ยังคงเป็น รถยนต์วอลโว่ ที่ควรค่าแก่การจดจำและสัมผัสประสบการณ์ ไม่ว่าจะในฐานะรถใหม่ในความทรงจำ หรือในฐานะ วอลโว่ มือสอง ที่ยังคงทรงคุณค่าในตลาด
