ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการยานยนต์มานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นวิวัฒนาการอันน่าทึ่งของรถยนต์ ตั้งแต่การขับเคลื่อนที่มุ่งเน้นสมรรถนะดิบไปจนถึงความหรูหราที่ไร้ขีดจำกัด และในวันนี้ปี 2025 โลกยานยนต์ได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมและความคาดหวัง การมาถึงของโมเดลใหม่จากสองค่ายยักษ์ใหญ่ที่เรากำลังจะพูดถึง ไม่ใช่เพียงแค่การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่เท่านั้น แต่มันคือการประกาศนิยามใหม่ของความเป็นที่สุดในแต่ละเซกเมนต์ หนึ่งคือ “ราชันแห่งความเร็ว” ที่วิวัฒนาการไม่หยุดยั้ง และอีกหนึ่งคือ “มหานครแห่งความหรูหรา” ที่ยกระดับมาตรฐานคำว่าพรีเมียมไปอีกขั้น ผมกำลังพูดถึง Nissan GT-R โฉมใหม่ และ Mercedes-Maybach S-Class เวอร์ชั่นล่าสุด ซึ่งทั้งคู่ได้ผนวกเอาเทคโนโลยีแห่งอนาคตเข้ากับปรัชญาการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ เพื่อมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าทุกจินตนาการ
นิสสัน GT-R: ตำนานสมรรถนะที่ผสานพลังแห่งอนาคต (High-Performance EV, Future Supercar, Advanced Driving Technology)
นับตั้งแต่ GT-R ถือกำเนิดขึ้นในปี 2007 ภายใต้รหัส R35 มันได้ท้าทายทุกคำจำกัดความของ “ซูเปอร์คาร์” ด้วยสมรรถนะที่น่าทึ่งในราคาที่จับต้องได้มากกว่าคู่แข่งยุโรป และในปี 2025 นี้ GT-R ได้ก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดเดิมๆ ด้วยการวิวัฒนาการสู่ยุคใหม่ที่ผสมผสานพลังไฟฟ้าเข้ากับความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน สิ่งที่เราเห็นใน GT-R เจเนอเรชันถัดไปนี้ ไม่ใช่แค่การปรับโฉมภายนอก แต่เป็นการยกเครื่องใหม่ทั้งหมดเพื่อตอบรับกับความต้องการของโลกยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพและความยั่งยืน
การออกแบบที่สะท้อนอากาศพลศาสตร์และเทคโนโลยีวัสดุขั้นสูง
รูปลักษณ์ภายนอกของ GT-R ในปี 2025 ยังคงรักษาเอกลักษณ์ความดุดันและเส้นสายที่เฉียบคมเอาไว้ แต่ได้รับการปรับปรุงให้ลู่ลมมากยิ่งขึ้นในทุกมิติ กระจังหน้า V-Motion อันเป็นเอกลักษณ์ของนิสสันถูกขยายขนาดและปรับรูปทรงให้โฉบเฉี่ยวราวกับงานประติมากรรม ไม่ใช่แค่เพื่อความสวยงาม แต่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการไหลเวียนของอากาศสำหรับระบายความร้อนของระบบขับเคลื่อนไฮบริดหรือไฟฟ้า และยังทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบ Active Aerodynamics ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้เองตามความเร็วและสภาวะการขับขี่ วัสดุที่ใช้ในการสร้างตัวถังเป็นคาร์บอนไฟเบอร์และอลูมิเนียมอัลลอยด์น้ำหนักเบา ผสมผสานกับเทคนิคการผลิตแบบ Additive Manufacturing (3D Printing) ในบางส่วน เพื่อให้ได้โครงสร้างที่แข็งแกร่ง ทนทานต่อแรงบิด แต่เบาอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการยกระดับสมรรถนะโดยรวม
ฝากระโปรงหน้าได้รับการออกแบบใหม่ให้มีช่องดักอากาศที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ไม่เพียงเพื่อความสวยงาม แต่ยังเพื่อควบคุมการไหลของอากาศเหนือตัวรถและช่วยสร้างแรงกด (Downforce) ให้ GT-R ยึดเกาะถนนได้อย่างมั่นใจในความเร็วสูง กันชนหน้าและหลังถูกออกแบบใหม่ให้มีช่องรีดอากาศขนาดใหญ่ พร้อม Diffuser ท้ายที่ทำงานร่วมกับสปอยเลอร์หลังแบบ Adaptive เพื่อสร้างสมดุลของแรงกดและลดแรงต้านอากาศ ทำให้ GT-R เจเนอเรชันนี้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ ท่อไอเสียแบบสี่ท่อที่เคยเป็นเอกลักษณ์อาจถูกแทนที่ด้วยดีไซน์ที่ผสมผสานกับการทำงานของระบบไฟฟ้าที่เงียบสงบขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งความดุดันเมื่อต้องการปลดปล่อยพละกำลังสูงสุด ล้ออัลลอยด์ฟอร์จขนาด 21 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ล่าสุด ไม่เพียงแต่มีน้ำหนักเบา แต่ยังช่วยลดแรงหมุนเหวี่ยง และมีลายที่ออกแบบมาเพื่อเสริมการระบายความร้อนของระบบเบรกคาร์บอนเซรามิกประสิทธิภาพสูงอีกด้วย
ห้องโดยสาร: จุดเชื่อมต่อระหว่างคนกับเครื่องจักรในโลกดิจิทัล (Digital Cockpit, Personalized Driving Experience)
ภายในห้องโดยสารของ GT-R ปี 2025 คือการปฏิวัติที่แท้จริง แผงหน้าปัดและคอนโซลกลางถูกออกแบบใหม่หมดภายใต้แนวคิด “Human-Machine Interface” ที่เรียบง่ายและใช้งานง่ายยิ่งขึ้น วัสดุพรีเมียมอย่างหนัง Alcantara, คาร์บอนไฟเบอร์ และโลหะถูกนำมาใช้ผสมผสานกันอย่างลงตัว ด้วยฝีมือการตัดเย็บที่ประณีตของทีมช่าง TAKUMI ที่ยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างสรรค์ห้องโดยสารของ GT-R เบาะนั่งแบบ Bucket Seat ที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ ไม่เพียงแต่โอบกระชับและรองรับสรีระของผู้ขับขี่ได้อย่างสมบูรณ์แบบในทุกสภาวะการขับขี่ แต่ยังน้ำหนักเบาและสามารถปรับแต่งให้เข้ากับผู้ขับขี่แต่ละคนได้แบบละเอียดผ่านระบบดิจิทัล
หน้าจอแสดงผลดิจิทัลขนาดใหญ่แบบโค้งไร้ขอบ (Curved Panoramic Display) ขนาด 12 นิ้ว ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่หลังพวงมาลัยไปจนถึงกึ่งกลางคอนโซลกลาง ผสานรวมระบบนำทาง ระบบความบันเทิง และการตั้งค่าสมรรถนะของรถเข้าไว้ด้วยกันอย่างราบรื่น ไอคอนขนาดใหญ่และอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายทำให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงข้อมูลและฟังก์ชันต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย ปุ่มควบคุมทางกายภาพลดลงเหลือเพียงไม่กี่ปุ่มที่จำเป็นที่สุด โดยส่วนใหญ่จะใช้ระบบสัมผัสผ่านหน้าจอหรือการสั่งการด้วยเสียงผ่าน AI Assistant ที่ชาญฉลาด พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันดีไซน์ใหม่ พร้อม Paddle Shift ที่ตอบสนองได้ฉับไว ทำให้การเปลี่ยนเกียร์เป็นเรื่องง่ายและแม่นยำยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ในโค้งหรือทางตรงยาว
ขุมพลังแห่งอนาคต: Hybrid หรือ Electric เต็มรูปแบบ? (Hybrid Powertrain, EV Battery Technology, High-Efficiency Engines)
ในปี 2025 นิสสัน GT-R น่าจะมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริดสมรรถนะสูง (High-Performance Hybrid) ผสมผสานเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบคู่ 3.8 ลิตร ที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดให้มีประสิทธิภาพและกำลังที่เหนือกว่าเดิม ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงและชุดแบตเตอรี่น้ำหนักเบา การทำงานร่วมกันนี้จะส่งผลให้กำลังรวมสูงสุดพุ่งทะลุ 700 แรงม้าอย่างง่ายดาย พร้อมแรงบิดที่มหาศาลตั้งแต่รอบต่ำ มอบอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ที่น่าจะทำได้ในเวลาน้อยกว่า 2.5 วินาที ระบบเกียร์คลัตช์คู่ 8 สปีดที่ได้รับการปรับปรุงใหม่จะส่งกำลังไปยังล้อทั้งสี่ได้อย่างนุ่มนวลและรวดเร็ว แต่ยังคงรักษาเสียงคำรามของเครื่องยนต์อันเป็นเอกลักษณ์ของ GT-R เอาไว้ผ่านระบบ Active Sound Enhancement ขั้นสูง
นอกจากนี้ นิสสันอาจเสนอทางเลือกเป็น GT-R เวอร์ชั่นไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (Full EV GT-R) สำหรับผู้ที่ต้องการสมรรถนะสูงสุดและความเงียบสงบ ระบบแบตเตอรี่ Solid-State Technology ที่ล้ำสมัยจะมอบระยะทางขับขี่ที่ไกลขึ้นและลดเวลาการชาร์จลงอย่างมาก มอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงทั้งสี่ล้อ (Quad-Motor Setup) จะช่วยให้การควบคุมแรงบิดในแต่ละล้อเป็นไปอย่างอิสระและแม่นยำยิ่งขึ้น (Torque Vectoring) ทำให้ GT-R EV สามารถเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงได้อย่างเหนือชั้นกว่าที่เคย
การควบคุมที่เหนือกว่า: AI และช่วงล่างอัจฉริยะ (AI-Enhanced Handling, Adaptive Suspension)
GT-R ปี 2025 ยังคงเป็นผู้นำด้านการบังคับควบคุม โครงสร้างตัวถังที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ผนวกกับระบบช่วงล่างแบบ Adaptive Damper Control ที่ทำงานร่วมกับ AI ที่สามารถเรียนรู้พฤติกรรมการขับขี่และปรับการตั้งค่าช่วงล่างให้เหมาะสมกับสไตล์การขับขี่และสภาพถนนแบบเรียลไทม์ ทำให้การเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงเป็นไปอย่างมั่นใจและแม่นยำ ล้ออัลลอยด์ Forged Aluminum ขนาด 21 นิ้วที่ออกแบบใหม่หุ้มด้วยยางสมรรถนะสูงที่พัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับ GT-R โดยเฉพาะ ช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนนให้ถึงขีดสุด
นายมาโมรุ อาโอกิ ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของนิสสันเคยกล่าวไว้ว่า “GT-R ไม่เคยหยุดนิ่ง” และในรุ่นปี 2025 นี้ มันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านวัตกรรมและการแสวงหาสมรรถนะขั้นสูงสุดคือหัวใจของรถคันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความเร้าใจในด้านรูปลักษณ์ หรือการยกระดับสมรรถนะด้วยเทคโนโลยีพลังงานทางเลือก GT-R ก็ยังคงเป็น “ก็อดซิลล่า” ที่พร้อมจะขย้ำทุกสถิติและสร้างประสบการณ์ขับขี่ที่น่าจดจำ
เมอร์เซเดส-มายบัค S-Class: นิยามใหม่ของความหรูหราเหนือระดับในโลกแห่งอนาคต (Luxury EV, Autonomous Driving Technology, First-Class Comfort, Smart Cabin, Luxury Interior Design)
หาก GT-R คือสุดยอดแห่งสมรรถนะ Mercedes-Maybach S-Class คือสุดยอดแห่งความหรูหราสง่างาม ที่ยกระดับคำว่า “First Class” บนพื้นดินไปอีกขั้น ในปี 2025 Maybach S-Class ได้ก้าวข้ามจากการเป็นแค่รถยนต์หรูไปสู่การเป็น “ประสบการณ์เคลื่อนที่ส่วนตัว” ที่ตอบสนองทุกความต้องการของผู้โดยสารระดับสูง ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ดีไซน์ที่ประณีต และความใส่ใจในทุกรายละเอียดที่ไม่มีใครเทียบได้
ดีไซน์ภายนอก: ความสง่างามที่ไร้กาลเวลา (Elegant Design, Premium Exterior)
Maybach S-Class ปี 2025 ยังคงไว้ซึ่งสัดส่วนที่สง่างามและคลาสสิกของ S-Class แต่ได้รับการตกแต่งเพิ่มเติมด้วยรายละเอียดที่บ่งบอกถึงความพิเศษเฉพาะตัวอย่างชัดเจน กระจังหน้าโครเมียมขนาดใหญ่ที่ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีลวดลายที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น พร้อมโลโก้ Maybach ที่ประดับอย่างโดดเด่น เสริมด้วยเส้นสายโครเมียมรอบคันที่สะท้อนแสงระยิบระยับ ไฟหน้า MULTIBEAM LED ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Digital Light ซึ่งสามารถฉายสัญลักษณ์เตือนหรือข้อความบนพื้นถนนได้ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์
ตัวถังที่ยาวเป็นพิเศษ (ประมาณ 5,500 มม.) และระยะฐานล้อที่ยาวกว่า S-Class ทั่วไป (ประมาณ 3,400 มม.) ทำให้ Maybach S-Class มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางเป็นพิเศษ เพื่อมอบความสะดวกสบายสูงสุดให้กับผู้โดยสารด้านหลัง ล้ออัลลอยด์ Forged ขนาด 22 นิ้ว ดีไซน์เฉพาะสำหรับ Maybach หรูหราและเงางาม หลังคา Panoramic Sunroof ขนาดใหญ่พร้อมฟังก์ชัน MAGIC SKY CONTROL ที่สามารถปรับความทึบแสงได้ด้วยระบบไฟฟ้า และแน่นอนว่า โลโก้ “Maybach” อันเป็นเอกลักษณ์จะประดับอยู่บนฝากระโปรงท้ายอย่างภาคภูมิ เพื่อยืนยันถึงสถานะที่เหนือกว่า
ห้องโดยสาร: วิมานส่วนตัวที่เคลื่อนที่ได้ (Smart Cabin, Bespoke Interior, Health & Wellness Features)
การก้าวเข้ามาในห้องโดยสารของ Maybach S-Class ปี 2025 คือการเข้าสู่โลกอีกใบที่เต็มไปด้วยความหรูหรา สะดวกสบาย และเทคโนโลยีแห่งอนาคต วัสดุที่ใช้ในการตกแต่งภายในคือที่สุดของความประณีต ไม่ว่าจะเป็นหนัง Nappa Semi-Aniline เกรดสูงสุดที่ถูกตัดเย็บด้วยลวดลาย Diamond Design สุดหรู แผงหน้าปัดและแผงประตูที่หุ้มด้วยหนัง Designo Exclusive พร้อมการประดับด้วยไม้จริงคุณภาพเยี่ยมหรือคาร์บอนไฟเบอร์สั่งทำพิเศษ และผ้าหลังคา DINAMICA Microfibre ที่ให้สัมผัสที่นุ่มนวล นาฬิกาอนาล็อก IWC ที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษยังคงเป็นส่วนหนึ่งของความคลาสสิกที่ผสานกับความทันสมัย
เบาะนั่ง “First Class” สำหรับผู้โดยสารด้านหลังคือหัวใจสำคัญของ Maybach S-Class เบาะนั่งแบบ Multi-Contour ที่สามารถปรับเอนได้เกือบราบ พร้อมที่พักขาไฟฟ้า ระบบนวด ENERGIZING Comfort Control ที่ได้รับการพัฒนาไปอีกขั้น นอกจากการนวดด้วยหินร้อนแบบเดิม ยังมีโปรแกรมนวดที่จำลองการกดจุดแบบไทย (Thai Massage Simulation) หรือการนวดผ่อนคลายด้วยคลื่นเสียง (Sound Wave Massage) เพื่อลดความเมื่อยล้าและเพิ่มความสดชื่นตลอดการเดินทาง ระบบควบคุมอุณหภูมิ THERMOTRONIC แบบ 4-ZONE พร้อมฟังก์ชันปรับสมดุลอากาศภายในห้องโดยสาร (AIR BALANCE Package) ที่สามารถเลือกกลิ่นหอมเฉพาะของ Maybach ได้หลากหลายกลิ่น พร้อมระบบฟอกอากาศ HEPA Filter ที่รับประกันว่าอากาศภายในห้องโดยสารจะบริสุทธิ์ที่สุดในโลก
ระบบมัลติมีเดียภายในห้องโดยสารก้าวไปอีกขั้นด้วยหน้าจอ OLED ขนาดใหญ่ 2 จอสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง แต่ละจอเป็นแบบสัมผัสและรองรับการสั่งงานด้วยท่าทาง (Gesture Control) ระบบ COMAND Online เวอร์ชั่นล่าสุดพร้อม AI Assistant “Hey Mercedes” ที่สามารถเรียนรู้และตอบสนองความต้องการของผู้โดยสารได้อย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็นการปรับแสงไฟ Ambient Lighting 256 สี การเลือกเพลง การจองโรงแรม หรือแม้กระทั่งการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ระบบเสียง Burmester® High-End 4D Surround Sound System ที่ให้คุณภาพเสียงคมชัดและมีมิติสมจริงราวกับอยู่ในคอนเสิร์ตฮอลล์ส่วนตัว และระบบชาร์จโทรศัพท์ไร้สายสำหรับทุกที่นั่ง
ระบบขับเคลื่อนและเทคโนโลยีความปลอดภัย (Luxury EV Powertrain, Intelligent Safety Systems, Level 3 Autonomous Driving)
Maybach S-Class ปี 2025 คาดว่าจะขับเคลื่อนด้วยขุมพลังไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (Full Electric Powertrain) ที่พัฒนามาจากแพลตฟอร์ม EQS Maybach โดยเฉพาะ มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงที่ให้พละกำลังรวมมากกว่า 600 แรงม้า พร้อมแรงบิดมหาศาล มอบอัตราเร่งที่นุ่มนวลและเงียบสงบอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แบตเตอรี่รุ่นใหม่จะให้ระยะทางขับขี่ที่มากกว่า 700 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง พร้อมรองรับการชาร์จเร็วพิเศษ (Ultra-Fast Charging) ที่สามารถเติมพลังงานได้ถึง 80% ในเวลาไม่ถึง 20 นาที ระบบช่วงล่างแบบ MAGIC BODY CONTROL ที่ได้รับการพัฒนาให้ทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์และกล้องขั้นสูง ช่วยให้รถลอยตัวอยู่เหนือพื้นผิวถนนได้อย่างนุ่มนวลที่สุด โดยสามารถอ่านสภาพถนนล่วงหน้าและปรับการทำงานของช่วงล่างได้ทันที
ด้านความปลอดภัย Maybach S-Class มาพร้อมกับระบบช่วยเหลือการขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 (Level 3 Autonomous Driving) ที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้งานบนท้องถนนในบางประเทศแล้ว ทำให้รถสามารถขับขี่ด้วยตัวเองได้ในบางสภาวะ ผู้โดยสารสามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ในขณะที่รถจัดการเรื่องการขับขี่ทั้งหมด ระบบ PRE-SAFE® Impulse Side, PRE-SAFE® Rear System พร้อมเข็มขัดนิรภัยแบบถุงลม และถุงลมนิรภัยรอบคันสำหรับผู้โดยสารทุกตำแหน่ง รวมถึงระบบ Car-to-X Communication ที่ช่วยให้รถสื่อสารกับโครงสร้างพื้นฐานและรถคันอื่นๆ เพื่อเตือนภัยล่วงหน้า ทำให้ Maybach S-Class เป็นหนึ่งในรถยนต์ที่ปลอดภัยที่สุดในโลก
อนาคตยานยนต์ที่เหนือจินตนาการ: การผสานรวมที่ไร้รอยต่อ (Automotive Innovation 2025, Sustainable Mobility, Personalized Experiences)
ทั้ง Nissan GT-R และ Mercedes-Maybach S-Class ในปี 2025 สะท้อนให้เห็นถึงสองขั้วที่แตกต่าง แต่ล้วนขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน GT-R แสดงให้เห็นว่าสมรรถนะที่เร้าใจและเทคโนโลยีพลังงานสะอาดสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว ในขณะที่ Maybach S-Class ยืนยันว่าความหรูหราที่แท้จริงคือการผสมผสานระหว่างความสะดวกสบายส่วนตัว เทคโนโลยีที่ใช้งานง่าย และความยั่งยืนเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมเชื่อว่ารถยนต์ทั้งสองคันนี้ไม่ได้เป็นเพียงยานพาหนะ แต่เป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าทางวิศวกรรมและดีไซน์ที่โลกยานยนต์ในปี 2025 ได้มาถึง ยุคที่รถยนต์สามารถเป็นได้ทั้งเครื่องจักรแห่งความเร็วที่ไร้ขีดจำกัด และห้องรับรองส่วนตัวที่เคลื่อนที่ได้ เทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ เทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า และระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะได้เข้ามาเปลี่ยนวิธีการที่เรามองและสัมผัสประสบการณ์ยานยนต์ไปอย่างสิ้นเชิง
เชิญสัมผัสประสบการณ์แห่งอนาคตวันนี้! (Call-to-Action)
โลกยานยนต์แห่งปี 2025 ไม่ใช่เรื่องของอนาคตอันไกลโพ้นอีกต่อไป แต่คือความจริงที่อยู่ตรงหน้าคุณแล้ว หากคุณพร้อมที่จะสัมผัสกับนิยามใหม่ของสมรรถนะอันเร้าใจที่มาพร้อมกับความยั่งยืนใน Nissan GT-R โฉมใหม่ หรือดำดิ่งสู่ห้วงแห่งความหรูหราเหนือระดับกับเทคโนโลยีสุดล้ำใน Mercedes-Maybach S-Class เวอร์ชั่นล่าสุด อย่ารอช้า! เชิญเยี่ยมชมและสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษเหล่านี้ได้ที่ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของนิสสันและเมอร์เซเดส-เบนซ์ทั่วประเทศ โอกาสที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ยานยนต์กำลังรอคุณอยู่ มาร่วมขับเคลื่อนสู่อนาคตที่เหนือกว่าไปพร้อมกัน!

