ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรม และก้าวเข้าสู่ปี 2025 นี้ โลกแห่งยานยนต์กำลังหมุนเร็วเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้คือการมุ่งหน้าสู่ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างเต็มรูปแบบ, เทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ ที่ก้าวล้ำ, และความตื่นตัวด้าน ความยั่งยืน ที่ไม่ใช่เพียงกระแส แต่เป็นแกนหลักของการพัฒนา ทุกวันนี้ผู้บริโภคไม่ได้มองหารถยนต์แค่พาหนะ แต่ต้องการ ยานยนต์แห่งอนาคต ที่ฉลาด ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมอบ ประสบการณ์ผู้ใช้งาน ที่ไร้รอยต่อ บทความนี้จะพาทุกท่านไปสำรวจภูมิทัศน์ยานยนต์ปี 2025 ตั้งแต่การจัดอันดับแบรนด์ชั้นนำ เทรนด์ตลาดโลก ไปจนถึงนวัตกรรมสุดขีด และภาพรวมในตลาดไทยที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด
การจัดอันดับแบรนด์ยานยนต์โลกปี 2025: เมื่อนวัตกรรมและความยั่งยืนคือคะแนนสูงสุด
Consumer Reports (หรือองค์กรผู้บริโภคอิสระชั้นนำในระดับสากล) ได้เผยผลสำรวจและจัดอันดับแบรนด์ยานยนต์ประจำปี 2025 ที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในเกณฑ์การประเมินอย่างชัดเจน ไม่ใช่แค่เรื่องของความน่าเชื่อถือและความสะดวกสบายอีกต่อไป แต่กลับให้ความสำคัญกับ เทคโนโลยีรถยนต์ 2025, ความสามารถในการขับขี่แบบไร้การปล่อยมลพิษ, และ ระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะ เป็นอันดับต้นๆ แบรนด์ที่เคยเป็น “ขาใหญ่” ในอดีตต่างต้องปรับตัวอย่างหนักเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดและคะแนนความพึงพอใจ
ในปีนี้ มีแบรนด์หน้าใหม่ที่พุ่งทะยานขึ้นมาครองอันดับหนึ่งได้อย่างน่าทึ่งคือ “Aether Auto” (ชื่อสมมติของแบรนด์ EV นวัตกรรมสูง) ซึ่งเป็นผู้ผลิต รถยนต์ไฟฟ้า ที่ผสมผสานดีไซน์ล้ำยุคเข้ากับ AI ในรถยนต์ ที่เรียนรู้พฤติกรรมผู้ขับขี่ได้อย่างชาญฉลาด Aether Auto ไม่ได้มีรถหรูที่ไว้ใจได้เท่านั้น แต่ยังมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการที่ใช้งานง่ายดายและฟีเจอร์ช่วยขับขี่ระดับ Level 3 ที่เป็นมาตรฐานในทุกรุ่น ทำให้ผู้ขับขี่มีสมาธิกับการเดินทางได้อย่างเต็มที่ ตรงกันข้ามกับรถหรูบางค่ายที่พยายามยัดเยียดเทคโนโลยีซับซ้อนจนกลายเป็นภาระ การจัดอันดับของ Consumer Reports พึ่งพาข้อมูลจากการทดสอบยานยนต์อย่างเข้มข้น การทดสอบการชน และที่สำคัญคือการสำรวจความคิดเห็นจากสมาชิกกว่าล้านคนทั่วโลกที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัญหาและข้อบกพร่องของรถยนต์
สำหรับ 5 อันดับแรกของปี 2025 โดยเรียงตามจำนวนรุ่นที่องค์กรแนะนำ ได้แก่ Aether Auto, Lucid Motors, Mercedes-EQ, BMW i และ Tesla ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการก้าวขึ้นมาของแบรนด์ที่เน้น รถหรู EV และ แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง อย่างเต็มตัว ขณะที่แบรนด์ดั้งเดิมอย่าง Toyota และ Honda ยังคงติดอยู่ใน 10 อันดับแรก ด้วยการปรับตัวสู่เทคโนโลยีไฮบริดและ EV ได้อย่างรวดเร็ว โดย Toyota ยังคงครองแชมป์ในกลุ่ม รถยนต์ประหยัดพลังงาน และ รถ SUV ไฟฟ้า ขนาดกลางที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม แบรนด์ที่ยังคงรั้งท้ายอันดับก็มักจะเป็นผู้ที่ปรับตัวช้าต่อกระแส EV และเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังยึดติดกับเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบดั้งเดิม
พลวัตตลาด: จากซีดานสู่ Smart Mobility และความรุ่งเรืองของ EV SUV ในปี 2025
ทิศทางของตลาด รถยนต์ 2025 ทั่วโลกยังคงเดินหน้าไปในแนวทางที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อหลายปีก่อน นั่นคือการลดลงอย่างต่อเนื่องของรถซีดานแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะในตลาดใหญ่เช่นสหรัฐอเมริกา ผู้บริโภคส่วนใหญ่หันไปให้ความสนใจกับ รถ SUV ไฟฟ้า และครอสโอเวอร์ไฟฟ้าที่มอบความอเนกประสงค์ พื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า และประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่เหนือกว่า อย่างไรก็ตาม รถซีดานไม่ได้หายไปจากตลาดโดยสิ้นเชิง แต่ได้ปรับบทบาทไปสู่เซกเมนต์พรีเมียมและ รถยนต์สมรรถนะสูง ที่เป็นไฟฟ้าเกือบทั้งหมด โดยเน้นที่การออกแบบที่โฉบเฉี่ยว ระบบขับขี่อัจฉริยะ และ ความยั่งยืน
ตัวอย่างเช่น ในปี 2025 รถยนต์ซีดานไฟฟ้าบางรุ่นยังคงทำยอดขายได้ดีเยี่ยม แม้ว่าตัวเลขรวมจะลดลงเมื่อเทียบกับทศวรรษที่แล้ว เนื่องจากผู้คนนิยม รถยนต์ไฟฟ้า ในรูปแบบ SUV และครอสโอเวอร์มากขึ้น แต่สำหรับผู้ที่ยังคงหลงใหลในความปราดเปรียวและภาพลักษณ์ของซีดาน รุ่นอย่าง Tesla Model 3 Long Range หรือ Hyundai IONIQ 6 กลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ด้วยนวัตกรรมแบตเตอรี่ที่ให้ระยะทางขับขี่เกิน 600 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และ เทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ ระดับสูงที่ช่วยให้การเดินทางบนทางหลวงเป็นไปอย่างผ่อนคลาย
ในส่วนของตลาด รถหรู EV ทั่วโลกนั้น Mercedes-Benz ยังคงเป็นผู้นำอย่างแข็งแกร่งด้วยยอดขายสะสมที่ทะลุ 3 ล้านคันในปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 12% โดยตลาดหลักยังคงอยู่ที่จีน เยอรมนี และอเมริกาเหนือ Mercedes-EQ และ BMW i Series ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหอกสำคัญในการขับเคลื่อนยอดขาย ด้วยรถยนต์ไฟฟ้าที่ผสานความหรูหราเข้ากับประสิทธิภาพการขับขี่อันเป็นเลิศ โดยเฉพาะรุ่นอย่าง Mercedes-Benz EQS SUV และ BMW iX ที่ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามในทุกภูมิภาค ส่วนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยอดขาย รถยนต์พรีเมียม มีการเติบโตอย่างน่าประทับใจ โดยจีนยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดและมีอัตราการเติบโตของ รถยนต์ไฟฟ้า สูงเป็นประวัติการณ์
การจัดอันดับแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก (Global BrandZ) ในปี 2025 ยังคงบ่งชี้ถึงแนวโน้มที่ชัดเจน Toyota ยังคงรักษาตำแหน่งแบรนด์ยานยนต์ที่มีมูลค่าสูงสุดในอุตสาหกรรมได้อย่างน่าทึ่งเป็นปีที่ 18 จาก 20 ปีที่มีการจัดอันดับมา ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งในด้านคุณภาพและความทนทาน รวมถึงการปรับตัวสู่เทคโนโลยีไฮบริดและ EV ที่เข้าถึงได้ง่าย ในขณะที่ Tesla ยังคงเป็นแบรนด์ที่น่าจับตามองที่สุด ด้วยการเติบโตของมูลค่าแบรนด์ที่พุ่งสูงขึ้นกว่า 40% ในปีเดียว แซงหน้าคู่แข่งอย่าง BMW และ Mercedes-Benz ในแง่ของ “วิสัยทัศน์แห่งอนาคต” ที่นำเสนอไม่เพียงแค่รถยนต์ แต่เป็นระบบนิเวศการเดินทางที่ครบวงจร ประกอบด้วย โครงสร้างพื้นฐาน EV ระบบพลังงานสะอาด และ เทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ ที่ล้ำสมัย Walshe ผู้อำนวยการ Global BrandZ ระบุว่า Tesla เป็นผู้สร้างปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในการสร้างแบรนด์ โดยเน้นที่อนาคตและประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ซึ่งส่งผลต่อมุมมองของผู้บริโภคที่ไม่ได้เป็นเจ้าของ Tesla เช่นกัน โดยรวมแล้ว มูลค่าของแบรนด์ยานยนต์ชั้นนำกำลังผูกติดกับความสามารถในการสร้างสรรค์ นวัตกรรมยานยนต์ และการตอบโจทย์ด้าน ความยั่งยืน มากขึ้นเรื่อยๆ
สุดขีดแห่งสมรรถนะ: ไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้าและนวัตกรรมไร้ขีดจำกัดแห่งปี 2025
โลกของ ไฮเปอร์คาร์ ในปี 2025 ได้พลิกโฉมไปสู่ยุคไฟฟ้าอย่างเต็มตัว ราคาของยานยนต์เหล่านี้พุ่งทะยานสู่ระดับที่น่าตกใจ สะท้อนถึงเทคโนโลยีขั้นสูงสุด วัสดุเอ็กซ์โซติก และการผลิตที่จำกัดยิ่งกว่าเคย การเป็นเจ้าของ ไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้า สักคันจึงไม่ใช่แค่เรื่องของความร่ำรวย แต่เป็นสัญลักษณ์ของความล้ำหน้าและรสนิยมที่ไม่เหมือนใคร
อันดับที่ 10: McLaren P2 (Concept Name) – ราคาประมาณ 150 ล้านบาท (4.5 ล้านดอลลาร์)
รถยนต์ไฟฟ้าล้วน 100% ที่เป็นผลผลิตจากวิศวกรรมฟอร์มูลา 1 ของ McLaren โดดเด่นด้วยตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาและ แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง ที่ให้กำลังขับเคลื่อนกว่า 1,500 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ต่ำกว่า 2 วินาที พร้อมระบบแอโรไดนามิกส์แบบแอคทีฟที่ปรับเปลี่ยนรูปทรงได้อัตโนมัติเพื่อให้ยึดเกาะถนนได้สูงสุดในทุกความเร็ว
อันดับที่ 9: Rimac Nevera X (Enhanced Model) – ราคาประมาณ 175 ล้านบาท (5 ล้านดอลลาร์)
เวอร์ชันพิเศษของ Nevera ที่ได้รับการอัปเกรดทั้งในด้านมอเตอร์ไฟฟ้าสี่ตัวที่ให้กำลังรวมเกือบ 2,000 แรงม้า และเทคโนโลยีแบตเตอรี่ Solid-State ที่เพิ่มความจุและลดน้ำหนักอย่างมีนัยสำคัญ ตัวถังเสริมด้วยกราฟีนเพื่อความแข็งแกร่งและเบาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มาพร้อมระบบ Torque Vectoring ที่ควบคุมแรงบิดในแต่ละล้อได้อย่างอิสระ ให้การควบคุมที่เหนือชั้น
อันดับที่ 8: Lotus Evija R (Track-Focused) – ราคาประมาณ 200 ล้านบาท (5.75 ล้านดอลลาร์)
รถไฟฟ้าล้วนจาก Lotus ที่ได้รับการปรับแต่งเพื่อสนามแข่งโดยเฉพาะ แต่ยังคงสามารถขับขี่บนถนนได้ตามกฎหมาย ให้กำลังมากกว่า 2,000 แรงม้าจากมอเตอร์ไฟฟ้าสี่ตัว พร้อมด้วยระบบทำความเย็นแบตเตอรี่ขั้นสูงที่ช่วยรักษาประสิทธิภาพแม้ในการขับขี่ที่รุนแรง การออกแบบที่เน้นแอโรไดนามิกส์ขั้นสุดและการลดน้ำหนักที่ไม่ประนีประนอม
อันดับที่ 7: Pininfarina Battista Leggera (Lightweight Edition) – ราคาประมาณ 220 ล้านบาท (6.3 ล้านดอลลาร์)
งานศิลปะแห่งวิศวกรรมจากอิตาลี ที่ผสานความสง่างามเข้ากับพลังงานไฟฟ้า มอเตอร์สี่ตัวให้กำลัง 1,900 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 1.8 วินาที จุดเด่นอยู่ที่การใช้วัสดุรีไซเคิลและวัสดุชีวภาพในห้องโดยสาร เพื่อตอบโจทย์ ความยั่งยืน โดยไม่ลดทอนความหรูหราและสมรรถนะ
อันดับที่ 6: Bugatti Tourbillon (Hypothetical Next-Gen) – ราคาประมาณ 250 ล้านบาท (7.2 ล้านดอลลาร์)
Bugatti ยังคงเป็นราชาแห่งความเร็ว แต่ในปี 2025 พวกเขาได้เปิดตัวไฮเปอร์คาร์ไฮบริดที่ผสมผสานเครื่องยนต์ W16 อันเป็นเอกลักษณ์เข้ากับระบบมอเตอร์ไฟฟ้าอันทรงพลัง เพื่อสร้างกำลังขับเคลื่อนที่เกิน 2,000 แรงม้า พร้อมความเร็วสูงสุดที่ถูกจำกัดไว้ที่ 440 กม./ชม. การออกแบบยังคงความหรูหราและยิ่งใหญ่ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Bugatti
อันดับที่ 5: Ferrari Purosangue EV (Limited Edition Hyper-SUV) – ราคาประมาณ 280 ล้านบาท (8 ล้านดอลลาร์)
แม้ Purosangue จะเปิดตัวเป็น SUV แบบ ICE แต่ในปี 2025 Ferrari ได้สร้างรุ่นพิเศษ “Purosangue EV” ซึ่งเป็นไฮเปอร์-SUV ไฟฟ้าล้วนที่ผลิตจำนวนจำกัด ให้กำลังมหาศาล และนำเสนอประสบการณ์การขับขี่แบบ Ferrari ที่ผสมผสานความหรูหราเข้ากับความสามารถรอบด้านที่เหนือชั้น
อันดับที่ 4: Koenigsegg Regera Pro (Special Edition) – ราคาประมาณ 300 ล้านบาท (8.6 ล้านดอลลาร์)
เวอร์ชันปรับปรุงของ Regera ที่ยังคงความเป็น “เมกะคาร์” ด้วยระบบไฮบริดที่ให้กำลังมากกว่า 1,500 แรงม้า พร้อมเทคโนโลยี Direct Drive ที่เป็นเอกลักษณ์ และการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์และไทเทเนียมในทุกจุดเพื่อลดน้ำหนักและเพิ่มประสิทธิภาพ
อันดับที่ 3: Aston Martin Valhalla EV (Track-Oriented) – ราคาประมาณ 350 ล้านบาท (10 ล้านดอลลาร์)
Aston Martin ได้พัฒนา Valhalla สู่รุ่น EV ที่เน้นการขับขี่ในสนามแข่งเป็นหลัก ผสมผสานเทคโนโลยีจาก F1 เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงและแบตเตอรี่เจเนอเรชันใหม่ ให้กำลังขับเคลื่อนที่เหนือกว่า 1,800 แรงม้า พร้อมระบบแอโรไดนามิกส์ที่ซับซ้อนและโครงสร้างที่เบาเป็นพิเศษ
อันดับที่ 2: Mercedes-AMG ONE (Track-Focused Hybrid) – ราคาประมาณ 400 ล้านบาท (11.5 ล้านดอลลาร์)
แม้จะเปิดตัวมาก่อนหน้านี้ แต่ในปี 2025 Mercedes-AMG ONE ยังคงเป็นหนึ่งในไฮเปอร์คาร์ที่แพงที่สุดในโลก ด้วยการนำเทคโนโลยีเครื่องยนต์ฟอร์มูลา 1 มาไว้บนถนนอย่างแท้จริง มอบกำลังมากกว่า 1,000 แรงม้าจากระบบไฮบริดที่ซับซ้อน และประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่มีใครเทียบได้
อันดับที่ 1: Lucid Air Sapphire (Special Edition Hypercar) – ราคาประมาณ 450 ล้านบาท (13 ล้านดอลลาร์)
ในปี 2025 Lucid Motors ได้เปิดตัว Air Sapphire รุ่นพิเศษที่ได้รับการปรับแต่งให้เป็น ไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้า อย่างแท้จริง ด้วยมอเตอร์สามตัวที่ให้กำลังรวมกว่า 1,200 แรงม้า และระยะทางขับขี่ที่น่าทึ่ง การออกแบบที่เรียบหรูแต่แฝงไว้ด้วยสมรรถนะอันดุดัน และห้องโดยสารที่หรูหราล้ำสมัย ทำให้เป็นที่ต้องการอย่างมากในหมู่มหาเศรษฐี
ตลาดรถยนต์ไทยปี 2025: มอเตอร์โชว์คึกคัก จุดเปลี่ยนสู่ EV และการเติบโตของนวัตกรรม
งาน Bangkok International Motor Show 2025 (หรือเทียบเท่า) ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย ภาพรวมของงานเต็มไปด้วย รถยนต์ไฟฟ้า หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่รถยนต์ส่วนบุคคลไปจนถึงรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็กไฟฟ้า และยานยนต์แนวคิดล้ำยุค ยอดผู้เข้าชมงานทะลุ 2 ล้านคน และยอดจองรถภายในงานรวมกว่า 50,000 คัน แสดงให้เห็นถึงความตื่นตัวและการยอมรับเทคโนโลยี พลังงานสะอาด ของผู้บริโภคชาวไทย
ยอดจองในปีนี้สะท้อนเทรนด์ที่ชัดเจน: รถยนต์ไฟฟ้า ครองส่วนแบ่งสูงสุด โดยเฉพาะกลุ่ม รถ SUV ไฟฟ้า และครอสโอเวอร์ไฟฟ้าขนาดกลางที่ตอบโจทย์การใช้งานของครอบครัวยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กสำหรับการเดินทางในเมือง และรถกระบะไฟฟ้าที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในตลาดเชิงพาณิชย์ แม้ว่าความท้าทายด้าน โครงสร้างพื้นฐาน EV เช่นสถานีชาร์จจะยังคงมีอยู่ แต่การลงทุนของภาครัฐและเอกชนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจมากขึ้น
แบรนด์ที่ทำยอดจองได้สูงสุดในตลาดรถยนต์ทั่วไปยังคงเป็นผู้เล่นหลักที่ปรับตัวสู่ EV ได้อย่างรวดเร็ว เช่น BYD, Tesla, GWM Ora, MG และ VinFast ซึ่งได้เข้ามากุมส่วนแบ่งตลาด รถยนต์ไฟฟ้า ในประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ แบรนด์ญี่ปุ่นอย่าง Toyota และ Honda ที่นำเสนอรถยนต์ไฮบริดและ EV รุ่นใหม่ๆ ก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ตลาด รถหรู EV นั้น Mercedes-EQ และ BMW i Series ยังคงเป็นผู้นำ ตามมาด้วย Audi e-tron และ Lexus RZ โดยผู้บริโภคกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับ เทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ ระดับสูง, การออกแบบที่หรูหรา, และ ความยั่งยืน ของแบรนด์
สำหรับรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ก็มียอดจองที่น่าประทับใจ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเติบโตของธุรกิจ SME ที่หันมาใช้ รถยนต์ไฟฟ้า ในการขนส่งระยะใกล้ เพื่อลดต้นทุนเชื้อเพลิงและสร้างภาพลักษณ์องค์กรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนจากภาครัฐที่ชัดเจนยิ่งขึ้นสำหรับยานยนต์ไฟฟ้ายังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้น ตลาดรถยนต์ไทย ให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2025
เจาะลึก Mercedes-Benz EQA 2025: นิยามใหม่แห่ง Compact Luxury EV
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมขอยกให้ Mercedes-Benz EQA 2025 เป็นหนึ่งในดาวเด่นที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ ยานยนต์แห่งอนาคต ได้อย่างชัดเจน โดยรุ่นนี้เป็นวิวัฒนาการที่สมบูรณ์แบบจาก GLA เดิม ที่ก้าวสู่ความเป็น รถ SUV ไฟฟ้า ขนาดกะทัดรัดอย่างเต็มตัว ด้วยการออกแบบที่เน้น ความยั่งยืน และเทคโนโลยีล้ำสมัย
รูปลักษณ์ภายนอกของ EQA 2025 ยังคงความโฉบเฉี่ยวสไตล์ครอสโอเวอร์ แต่ได้รับการปรับปรุงให้ลู่ลมยิ่งขึ้น ด้วยเส้นสายที่พลิ้วไหว ไฟหน้า Digital Light อันเป็นเอกลักษณ์ที่มาพร้อมฟังก์ชันฉายภาพและสัญลักษณ์บนพื้นถนน ระบบไฟท้ายแบบเชื่อมต่อกันตลอดแนว และการใช้กระจังหน้าแบบ Black Panel ที่ผสานเซ็นเซอร์ต่างๆ ไว้อย่างลงตัว ตัวถังสูงขึ้นเล็กน้อยเพื่อมอบทัศนวิสัยที่ดีและการขับขี่แบบ ออฟโร้ด เบาๆ ได้ มาพร้อมล้ออัลลอยด์ดีไซน์แอโรไดนามิกส์ขนาด 20 นิ้ว และการใช้สีตัวถังที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ภายในห้องโดยสารคือพื้นที่แห่งนวัตกรรมและความหรูหราที่ยั่งยืน EQA 2025 โดดเด่นด้วยระบบ MBUX เวอร์ชัน 3.0 ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในรถยนต์ ซึ่งสามารถเรียนรู้และปรับแต่งประสบการณ์ผู้ใช้งานได้อย่างชาญฉลาด หน้าจอ Hyperscreen ขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกันตลอดแผงคอนโซล มอบการแสดงผลแบบ Augmented Reality และการควบคุมที่ใช้งานง่าย วัสดุตกแต่งภายในเลือกใช้หนังสังเคราะห์ ARTICO, DINAMICA microfibre ที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล และไม้จากป่าปลูกอย่างยั่งยืน เบาะนั่งโอบกระชับและปรับด้วยไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชันนวดและระบายอากาศ ให้ความสบายสูงสุด ระบบปรับอากาศ THERMOTRONIC แบบหลายโซนที่ใช้สารทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และระบบฟอกอากาศในห้องโดยสาร
ด้าน ระบบความปลอดภัย EQA 2025 มาพร้อม Driving Assistance Package Plus ที่ครบครัน รวมถึง เทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ ระดับ Level 2+ ที่ช่วยประคองรถและรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอัตโนมัติ พร้อมฟังก์ชันเปลี่ยนเลนอัตโนมัติบนทางหลวง และ Parking Pilot 3.0 ที่ช่วยจอดรถได้อย่างสมบูรณ์แบบ แบตเตอรี่ความจุสูง 80 kWh (Net) ให้ระยะทางขับขี่ตามมาตรฐาน WLTP กว่า 650 กิโลเมตร รองรับการชาร์จเร็ว DC สูงสุด 200 kW สามารถชาร์จจาก 10% ถึง 80% ได้ในเวลาเพียง 25 นาที และมีระบบ Plug & Charge ที่ช่วยให้การชาร์จเป็นไปอย่างราบรื่น
สำหรับรุ่นสมรรถนะสูงอย่าง Mercedes-AMG EQA 45 4MATIC 2025 นั้นยิ่งไปไกลกว่า ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ที่ให้กำลังรวมกว่า 500 แรงม้า แรงบิดมหาศาล และอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.8 วินาที ระบบช่วงล่าง Adaptive Damping System ที่ปรับการทำงานได้อัตโนมัติ พร้อมโหมดการขับขี่ AMG DYNAMIC SELECT ที่หลากหลายตั้งแต่ Comfort ไปจนถึง Race และระบบเบรก AMG High-Performance ที่ให้ความมั่นใจสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมืองหรือบนเส้นทางที่ท้าทาย Mercedes-AMG EQA 45 4MATIC คือการผสมผสานของ รถยนต์สมรรถนะสูง เข้ากับ พลังงานสะอาด ได้อย่างลงตัว
Mercedes-Benz EQA 200 Urban ราคา 2,290,000 บาท
Mercedes-Benz EQA 250 AMG Dynamic ราคา 2,590,000 บาท
Mercedes-AMG EQA 45 4MATIC ราคา 5,290,000 บาท
อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมรออยู่!
ปี 2025 คือช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดสำหรับวงการยานยนต์ เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เทคโนโลยี แต่ครอบคลุมถึงแนวคิดด้าน ความยั่งยืน และการตอบสนองต่อความต้องการของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป จาก รถยนต์ไฟฟ้า ที่กลายเป็นกระแสหลักไปจนถึง ไฮเปอร์คาร์ ที่ล้ำสมัย แต่ละแบรนด์ต่างแข่งขันกันนำเสนอ นวัตกรรมยานยนต์ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปลอดภัย และเชื่อมโยงชีวิตของผู้คนเข้าด้วยกัน
นี่คือยุคที่คุณจะได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ยุคที่รถยนต์คือส่วนหนึ่งของระบบนิเวศการเดินทางที่ชาญฉลาดและยั่งยืน อย่าพลาดโอกาสที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้! หากคุณพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่โลกของ ยานยนต์แห่งอนาคต และสัมผัสกับนวัตกรรมเหล่านี้ด้วยตัวคุณเอง ไม่ว่าจะเป็น รถ SUV ไฟฟ้า ที่ตอบโจทย์ครอบครัว หรือ รถหรู EV ที่นำหน้าทุกเทรนด์ โปรดเยี่ยมชมโชว์รูมของผู้จำหน่ายชั้นนำวันนี้ เพื่อค้นหารถยนต์ที่ใช่สำหรับคุณ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนอนาคตที่ยั่งยืนไปด้วยกัน!

