ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่พลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมอย่างไม่เคยมีมาก่อน ปี 2025 ไม่ใช่เพียงแค่ปีในปฏิทิน แต่เป็นหมุดหมายสำคัญที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์ได้หลอมรวมเข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้คนอย่างแยกไม่ออก จากยุคที่เครื่องยนต์สันดาปภายในครองความเป็นใหญ่ เราได้ก้าวเข้าสู่ศักราชของรถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์อัจฉริยะ และการเชื่อมต่อที่ไร้ขีดจำกัด บทความนี้จะเจาะลึกถึงภูมิทัศน์ยานยนต์แห่งปี 2025 ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ที่สร้างมาตรฐานใหม่, เทรนด์การซื้อรถที่พลิกผัน, และเทคโนโลยีที่กำหนดอนาคตการขับขี่
กำหนดนิยามใหม่ของความเป็นเลิศ: การจัดอันดับแบรนด์ยานยนต์ระดับโลกปี 2025
หากย้อนกลับไปเพียงไม่กี่ปี แบรนด์น้องใหม่อย่าง Genesis เคยสร้างความประหลาดใจด้วยการทะยานขึ้นสู่อันดับสูงสุดในการจัดอันดับคุณภาพ แต่ในปี 2025 นี้ เกณฑ์การประเมินความเป็นเลิศได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ความน่าเชื่อถือและความสะดวกสบายยังคงเป็นรากฐาน ทว่าปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้แบรนด์ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำคือความเชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์, ความสามารถในการอัปเดตแบบ OTA (Over-the-Air), การบูรณาการระบบ AI สำหรับประสบการณ์ผู้ใช้ที่เหนือกว่า, และความมุ่งมั่นสู่ความยั่งยืน
รายงาน “Global Automotive Insight Report 2025” ซึ่งรวบรวมข้อมูลจากแหล่งวิเคราะห์ชั้นนำทั่วโลก ชี้ให้เห็นว่า แบรนด์ที่สามารถผสานนวัตกรรมเหล่านี้เข้ากับผลิตภัณฑ์ได้อย่างไร้รอยต่อคือผู้ชนะที่แท้จริง ในปีนี้ ไม่มีเพียงแบรนด์หรูดั้งเดิมที่รักษามาตรฐานไว้ได้ แต่ยังมีผู้เล่นหน้าใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ที่ก้าวขึ้นมาท้าทายบัลลังก์อย่างน่าจับตา
“VisionDrive,” แบรนด์ EV สัญชาติอเมริกันที่เพิ่งก่อตั้งมาไม่ถึง 5 ปี ได้สร้างปรากฏการณ์ด้วยการคว้าอันดับหนึ่งในหมวด “แบรนด์ยานยนต์แห่งอนาคต” จากการให้คะแนนของผู้บริโภค ด้วยความโดดเด่นในด้านแพลตฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง, ระบบการขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 ที่เสถียร, และการออกแบบภายในที่เน้นความเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยเทคโนโลยีใช้งานง่าย ต่างจากรถหรูบางค่ายที่ติดตั้งฟีเจอร์ซับซ้อนจนผู้ขับขี่สับสน การที่ VisionDrive ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยอัจฉริยะและประสบการณ์ผู้ใช้ที่ราบรื่น ทำให้พวกเขาเหนือกว่าคู่แข่งหลายราย
ขณะที่ยักษ์ใหญ่จากเยอรมนีอย่าง Mercedes-Benz, BMW และ Audi ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดรถยนต์หรูได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยการทุ่มงบประมาณมหาศาลในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ากลุ่ม “EQ,” “i-series,” และ “e-tron” ตามลำดับ พวกเขานำเสนอรถยนต์ที่ไม่ได้เป็นเพียงพาหนะ แต่เป็นสเตตัสซิมโบลที่มาพร้อมกับนวัตกรรมล้ำสมัย ตั้งแต่ระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่พัฒนาด้วย AI, ห้องโดยสารดิจิทัลที่ปรับแต่งได้ตามความชอบส่วนบุคคล, ไปจนถึงการใช้วัสดุรีไซเคิลและกระบวนการผลิตที่ลดการปล่อยคาร์บอน
ส่วน Toyota ยังคงแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในด้านความน่าเชื่อถือและคุณค่าที่ส่งมอบให้กับผู้บริโภค ด้วยกลยุทธ์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าตระกูล bZ ที่เข้าถึงง่าย แม้จะไม่ได้หวือหวาเท่าคู่แข่งกลุ่มพรีเมียม แต่คะแนนความพึงพอใจของลูกค้าในระยะยาวและความทนทานยังคงเป็นจุดแข็งที่ไม่อาจมองข้าม ในการจัดอันดับรุ่นรถยนต์ยอดนิยมแห่งปี 2025 Toyota สามารถคว้าตำแหน่ง “Top Pick” ในหลายเซ็กเมนต์ โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ครอสโอเวอร์ไฟฟ้าขนาดกลางและรถกระบะไฮบริด ที่ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายและคุ้มค่าในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม บางแบรนด์ที่เคยประสบปัญหาในอดีต เช่น Land Rover และ Jeep ก็ได้พยายามอย่างหนักในการปรับตัวสู่ยุค EV ด้วยการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดรุ่นใหม่ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ก้าวหน้าและประสิทธิภาพที่ได้รับการปรับปรุงอย่างก้าวกระโดด แต่ก็ยังคงต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
ภูมิทัศน์การขับขี่ที่พลิกผัน: จากซีดานสู่ยานยนต์แห่งอนาคต
ปี 2017 ตลาดสหรัฐฯ เผชิญกับกระแสความนิยมที่ลดลงของรถซีดาน ผู้คนหันไปหารถกระบะและ SUV มากขึ้นอย่างชัดเจน ในปี 2025 แนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป แต่ด้วยบริบทที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง การลดลงของยอดขายซีดานเครื่องยนต์สันดาปถูกชดเชยด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วของกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าที่หลากหลาย โดยเฉพาะ “รถยนต์ครอสโอเวอร์ไฟฟ้า (Electric Crossover)” และ “รถยนต์ SUV ไฟฟ้า (Electric SUV)” ที่ยังคงครองตำแหน่งยานยนต์ยอดนิยมอันดับต้นๆ ด้วยการผสมผสานพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางเข้ากับสมรรถนะการขับขี่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีการเชื่อมต่อที่ล้ำสมัย
อย่างไรก็ตาม เรากำลังเห็นสัญญาณของการกลับมาของ “รถยนต์ซีดานไฟฟ้า (Electric Sedan)” ในรูปแบบใหม่ โดยเน้นที่การออกแบบแอโรไดนามิกส์ที่เหนือกว่าเพื่อเพิ่มระยะทางขับขี่, ความสามารถในการชาร์จที่รวดเร็วเป็นพิเศษ, และการบูรณาการระบบ AI ในห้องโดยสารที่ให้ประสบการณ์การขับขี่ที่เงียบสงบและชาญฉลาด แบรนด์อย่าง Tesla ยังคงเป็นผู้นำในกลุ่มนี้ด้วย Model 3 และ Model S ที่ยังคงเป็นตัวเลือกยอดนิยม ขณะที่ผู้ผลิตดั้งเดิมก็ได้ส่งซีดาน EV ระดับพรีเมียมเข้าสู่ตลาดอย่างเต็มตัว เช่น Mercedes-Benz EQS, BMW i5 และ Hyundai IONIQ 6 ที่นำเสนอทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหายานยนต์ขนาดกะทัดรัดแต่เปี่ยมด้วยนวัตกรรมและประสิทธิภาพ
สำหรับตลาดประเทศไทยเอง เทรนด์ยานยนต์ 2025 ชัดเจนว่าผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ “รถยนต์ไฟฟ้า” มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากปัจจัยด้านราคาน้ำมัน, นโยบายรัฐบาลที่สนับสนุนการใช้ EV (ทั้งเงินอุดหนุนและภาษี), รวมถึงความก้าวหน้าของโครงสร้างพื้นฐานอย่างสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุมมากขึ้น รถยนต์ EV ที่มีระยะทางขับขี่ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งเกิน 500 กิโลเมตร และรองรับการชาร์จเร็วระดับ 300kW+ กำลังเป็นที่ต้องการอย่างมาก
นอกจากนี้ “รถกระบะไฟฟ้า (Electric Pickup)” ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทในตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการและผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้ง แบรนด์อย่าง Ford F-150 Lightning และ Tesla Cybertruck (แม้จะยังไม่เข้ามาเต็มตัวในไทย) แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของยานยนต์ประเภทนี้ที่สามารถทำงานหนักได้โดยไม่ปล่อยมลพิษ
ความหรูหราที่ถูกรังสรรค์ใหม่: การครองตลาดของแบรนด์พรีเมียมในยุค EV
ปี 2025 คือยุคที่คำว่า “รถยนต์หรู” ได้รับการตีความใหม่ ไม่ใช่แค่เรื่องของวัสดุชั้นเลิศหรือสมรรถนะอันทรงพลังอีกต่อไป แต่คือการผสมผสานเทคโนโลยีสุดล้ำ, ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม, และประสบการณ์ส่วนบุคคลที่ไร้รอยต่อ แบรนด์พรีเมียมระดับโลกต่างแข่งขันกันนำเสนอยานยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ได้เป็นเพียงพาหนะ แต่เป็น “พื้นที่ส่วนตัวเคลื่อนที่” ที่เชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้อย่างชาญฉลาด
Mercedes-Benz ยังคงเป็นผู้เล่นหลักที่นำทัพในตลาดรถยนต์หรู ด้วยยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดสำคัญอย่างจีนและยุโรป รถยนต์ไฟฟ้าในตระกูล EQ อาทิ EQS Sedan และ EQE SUV ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราแห่งอนาคต ด้วยห้องโดยสาร Hyperscreen ขนาดใหญ่, ระบบขับขี่อัตโนมัติที่ให้ความผ่อนคลาย, และการใช้วัสดุภายในที่เน้นความยั่งยืน แบรนด์ย่อยอย่าง Mercedes-AMG ก็ได้ปรับทัพสู่ยานยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง โดยเน้นที่พลังงานไฟฟ้าที่ส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจยิ่งขึ้น
BMW ไม่น้อยหน้าด้วยรถยนต์ไฟฟ้า i-series อย่าง i7 และ iX ที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถยนต์หรูหรา ด้วยการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์, ระบบอินโฟเทนเมนต์ล้ำสมัย, และสมรรถนะการขับขี่ที่เป็นเลิศอันเป็นเอกลักษณ์ของ BMW เช่นเดียวกับ Audi ที่ใช้แพลตฟอร์ม e-tron ในการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าที่ผสมผสานความสปอร์ตและความสง่างามได้อย่างลงตัว โดยมี e-tron GT เป็นเรือธงที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของแบรนด์
Tesla แม้จะเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้น แต่ยังคงเป็นผู้กำหนดทิศทางในตลาด EV ด้วยนวัตกรรมซอฟต์แวร์และการอัปเดตแบบ Over-the-Air ที่ไม่มีใครเทียบได้ การที่ Tesla ไม่ได้ขายแค่รถยนต์ แต่ขาย “อนาคต” และ “ประสบการณ์” ยังคงเป็นจุดแข็งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างและยังคงดึงดูดใจผู้บริโภคกลุ่มใหม่ๆ ที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีเป็นอันดับแรก
นอกจากนี้ แบรนด์หรูจากเอเชียอย่าง Lexus ก็กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุค EV อย่างรวดเร็ว ด้วยรถยนต์ไฟฟ้าที่ยังคงรักษาปรัชญา “ความประณีตแบบญี่ปุ่น” พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ตอบสนองการขับขี่และระบบความปลอดภัยที่เหนือชั้น การเติบโตของ “แบรนด์หรูสัญชาติจีน” ก็เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่อาจมองข้ามได้ แบรนด์อย่าง Nio, Xpeng และ Zeekr ได้นำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมที่มีเทคโนโลยีและฟีเจอร์ที่ทัดเทียมกับคู่แข่งตะวันตกในราคาที่เข้าถึงได้มากกว่า ซึ่งกำลังเข้ามามีบทบาทในตลาดโลกอย่างชัดเจน
มูลค่าของแบรนด์ในปี 2025 ไม่ได้วัดกันที่ยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึง “ความผูกพันทางอารมณ์” ที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์, “ภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืน”, และ “ความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรม” ที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของโลก การลงทุนมหาศาลของผู้ผลิตรถยนต์ในด้านการพัฒนาแพลตฟอร์ม EV, เทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ, และการเชื่อมต่อในรถยนต์ คือการเดิมพันครั้งสำคัญเพื่อตำแหน่งผู้นำในตลาดแห่งอนาคต
จุดสูงสุดของวิศวกรรมยานยนต์: ไฮเปอร์คาร์แห่งทศวรรษใหม่
สำหรับผู้ที่ไม่ได้เพียงแค่รวย แต่คือผู้ที่ต้องการครอบครองสุดยอดวิศวกรรมและงานศิลปะแห่งความเร็ว ปี 2025 คือยุคทองของ “ไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้า (Electric Hypercar)” และ “ไฮเปอร์คาร์ไฮบริด” ที่ผลักดันขีดจำกัดของสมรรถนะไปไกลเกินกว่าที่เคยเป็นมา การแข่งขันไม่ได้อยู่ที่กำลังม้าอีกต่อไป แต่อยู่ที่การส่งผ่านพละกำลังมหาศาลลงสู่พื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ, แอโรไดนามิกส์ที่ซับซ้อนราวกับรถแข่ง F1, และประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่มีใครเหมือน
Rimac Nevera ได้สร้างมาตรฐานใหม่ด้วยการเป็นไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้าที่เร็วที่สุดในโลก สามารถทำความเร็ว 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาไม่ถึง 2 วินาที ด้วยกำลังขับเคลื่อนระดับเมกะวัตต์จากมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งสี่ล้อ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพลังงานไฟฟ้าคืออนาคตของความเร็วสูงสุดอย่างแท้จริง
แบรนด์ระดับตำนานอย่าง Ferrari, Lamborghini, McLaren, Aston Martin และ Bugatti ไม่ได้หยุดนิ่ง แต่ได้ปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อนำเสนอไฮเปอร์คาร์รุ่นใหม่ที่ผสานเทคโนโลยีไฟฟ้าเข้ากับมรดกอันยาวนานของแบรนด์ Ferrari LaFerrari Aperta EV ที่เป็นเวอร์ชันเปิดประทุนของไฮเปอร์คาร์ระดับตำนาน ได้ถูกปรับปรุงด้วยระบบขับเคลื่อนไฮบริดที่ให้สมรรถนะสูงสุดและยังคงเสียงเครื่องยนต์อันเป็นเอกลักษณ์ไว้ ในขณะที่ McLaren P1 LM Electric ก็ได้ถูกนำกลับมาตีความใหม่ในฐานะรถแข่งถนนที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ โดย Lazante Motorsport ที่เน้นการลดน้ำหนักและการปรับแต่งแอโรไดนามิกส์ขั้นสุด
Aston Martin Valkyrie ที่เคยเป็นโปรโตไทป์ในชื่อ AM-RB 001 ได้ถูกพัฒนาจนกลายเป็นไฮเปอร์คาร์ที่แทบจะเป็นรถแข่ง F1 ที่วิ่งบนถนนได้จริง ด้วยเครื่องยนต์ V12 ที่ทำงานร่วมกับระบบไฮบริด, แอโรไดนามิกส์ที่สร้างแรงกดมหาศาลผ่านการจัดการกระแสลมใต้ท้องรถอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน, และอัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักที่ใกล้เคียง 1:1
แม้แต่ Bugatti ก็กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ด้วยไฮเปอร์คาร์ที่ใช้พลังงานทางเลือก ซึ่งอาจไม่ใช่ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ แต่เป็นเครื่องยนต์ไฮบริดที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของเครื่องยนต์ 16 สูบอันทรงพลังไว้ การร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีและวิศวกรรมการแข่งรถยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างสรรค์สุดยอดยานยนต์เหล่านี้ ซึ่งแต่ละคันล้วนผลิตขึ้นในจำนวนจำกัดมาก เป็นงานฝีมือที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่แสวงหา “ความพิเศษ” และ “ความเหนือชั้น” ที่ไม่เหมือนใคร
ชีพจรยานยนต์ไทย: Motor Show 2025 และพลวัตตลาดท้องถิ่น
งาน Bangkok International Motor Show ในปี 2025 ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปอย่างมาก เพื่อสะท้อนถึงภูมิทัศน์ยานยนต์ที่เปลี่ยนไป จากการเป็นเพียงเวทีจัดแสดงรถยนต์ งานนี้ได้กลายเป็น “มหกรรมแห่งการขับเคลื่อนแห่งอนาคต” ที่มุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ผู้บริโภคโดยตรง ด้วยโซนทดลองขับรถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายรุ่น ที่มีทั้งการทดสอบอัตราเร่ง, การขับขี่ในเมืองจำลอง, และการสาธิตระบบขับขี่อัตโนมัติ ผู้เข้าชมงานกว่า 1.8 ล้านคนในปีนี้ ไม่เพียงมาเพื่อจองรถ แต่เพื่อสัมผัสกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่กำลังจะเปลี่ยนชีวิต
ยอดจองรถยนต์ในงาน Motor Show 2025 ยังคงเป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญของตลาด โดยมี “รถยนต์ไฟฟ้า” เป็นดาวเด่นอย่างไม่ต้องสงสัย คิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของยอดจองทั้งหมด นโยบายสนับสนุน EV ของรัฐบาลไทย ทั้งเงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี ได้ส่งผลให้ราคา “รถยนต์ EV” เข้าถึงได้ง่ายขึ้น และผู้บริโภคก็มีความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีแบตเตอรี่และโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จมากขึ้น
แบรนด์รถยนต์ญี่ปุ่น ยังคงเป็นผู้นำด้านยอดจองในภาพรวม ด้วยกลยุทธ์การนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดที่หลากหลายและราคาที่แข่งขันได้ โดยเฉพาะ Toyota และ Honda ที่ได้เปิดตัวรถยนต์ EV รุ่นใหม่ที่เน้นตลาดมวลชน ส่วน แบรนด์รถยนต์จีน ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในตลาดไทยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แบรนด์อย่าง BYD, MG, GWM และ NETA ได้นำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาเข้าถึงได้ง่าย, เทคโนโลยีล้ำสมัย, และระยะทางขับขี่ที่น่าประทับใจ ทำให้ยอดจองทะลุเป้าหมายอย่างน่าทึ่ง และเป็นผู้เล่นสำคัญที่เข้ามาเขย่าบัลลังก์ของแบรนด์ดั้งเดิม
ในกลุ่ม “รถยนต์หรู” Mercedes-Benz และ BMW ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดที่สำคัญ ด้วยการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมรุ่นล่าสุดที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ AI และการเชื่อมต่อขั้นสูง ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่มองหาความเหนือระดับและนวัตกรรม สิ่งที่น่าสนใจคือการเติบโตของ “รถไฟฟ้าขนาดเล็กเพื่อการพาณิชย์” ที่มียอดจองเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของธุรกิจ SME ไทยที่หันมาใช้ EV สำหรับการขนส่งระยะใกล้ เพื่อลดต้นทุนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
งาน Motor Show ในปีนี้ยังได้เน้นย้ำถึงบทบาทของประเทศไทยในการเป็น “ฐานการผลิต EV ระดับภูมิภาค” โดยผู้ผลิตหลายรายได้ประกาศแผนการลงทุนในการตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่และรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในอนาคต
อนาคตที่เรากำหนดเอง
ปี 2025 คือยุคที่เราไม่เพียงขับเคลื่อนรถยนต์ แต่เราขับเคลื่อนไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน ชาญฉลาด และเชื่อมต่อกัน ยานยนต์ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องจักร แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตดิจิทัลที่เราสร้างขึ้น ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า, AI, และระบบขับขี่อัตโนมัติ ประสบการณ์การเดินทางของเรากำลังถูกพลิกโฉมไปตลอดกาล ในฐานะผู้ใช้งานและผู้ที่สนใจในนวัตกรรมยานยนต์ เราอยู่ในช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุด
อย่าพลาดโอกาสในการสัมผัสอนาคตนี้ด้วยตัวคุณเอง! เยี่ยมชมโชว์รูมยานยนต์ชั้นนำ หรือเข้าร่วมงานแสดงนวัตกรรมยานยนต์ครั้งต่อไป เพื่อพบกับรถยนต์ที่จะกำหนดนิยามของการขับขี่แห่งทศวรรษใหม่ แล้วคุณจะเห็นว่ายานยนต์ปี 2025 ไม่ได้เป็นแค่ความฝันอีกต่อไป แต่เป็นความจริงที่อยู่ตรงหน้าคุณ.

