ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่คร่ำหวอดในวงการยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของตลาดรถยนต์พรีเมียมในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแบรนด์ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งความหรูหรา สมรรถนะ และนวัตกรรม อย่าง BMW ประเทศไทย หากย้อนกลับไปในปี 2554 (ค.ศ. 2011) นั่นคือหมุดหมายสำคัญที่ BMW ประเทศไทย ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทาย บทความนี้จะเจาะลึกถึงปัจจัยความสำเร็จในอดีต กลยุทธ์ที่สำคัญ และวิสัยทัศน์ที่นำพา BMW ประเทศไทย ก้าวสู่การเป็นผู้นำอย่างต่อเนื่องในยุคปัจจุบันและอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่และแนวคิดด้านความยั่งยืนไปจนถึงปี 2025 และต่อยอดไปข้างหน้า
ตลาดรถยนต์พรีเมียมในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ของไทยมีการแข่งขันที่ดุเดือด แต่ BMW ประเทศไทย สามารถยืนหยัดและเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ปัจจัยเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากกลยุทธ์ที่วางแผนมาอย่างรอบคอบ การนำเสนอนวัตกรรมที่ไม่หยุดนิ่ง และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความต้องการของลูกค้าชาวไทย ที่มองหารถยนต์พรีเมียมที่เหนือกว่าแค่พาหนะ แต่คือการสะท้อนตัวตนและไลฟ์สไตล์
รากฐานแห่งความสำเร็จ: มองย้อนจากปี 2025 สู่ชัยชนะในปี 2011
หากเรามองย้อนกลับไปจากมุมมองของปี 2025 ช่วงเวลาที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด การทำความเข้าใจถึงรากฐานความสำเร็จของ BMW ประเทศไทย ในปี 2011 ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ท่ามกลางความท้าทายจากวิกฤตการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนั้น BMW ประเทศไทย กลับทำสถิติยอดขายรวมทั้งแบรนด์ BMW และ MINI สูงถึง 4,243 คัน เพิ่มขึ้นถึง 24% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ได้อย่างชัดเจน
คุณมัทเธียส พฟาลซ์ อดีตประธาน BMW ประเทศไทย ในขณะนั้น ได้กล่าวถึงความสำเร็จนี้ โดยเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของ BMW 5 Series ที่มียอดขายเติบโตกว่า 50% และมีสัดส่วนการขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การที่ BMW ประเทศไทย สามารถสร้างสถิติสูงสุดใหม่ได้ ถือเป็นการสะท้อนถึงกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่ง การบริหารจัดการวิกฤตที่ดีเยี่ยม และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ แม้ในปีนั้นตลาดจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนก็ตาม
หลักการสำคัญที่ขับเคลื่อนความสำเร็จนี้คือ “ความคุ้มค่า” (Cost of Ownership) ไม่ว่าจะเป็นในด้านการประหยัดพลังงานและการบำรุงรักษา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยี BMW EfficientDynamics ที่บีเอ็มดับเบิลยูได้ริเริ่มมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งวันนี้แนวคิดนี้ได้ถูกต่อยอดไปสู่การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ โปรแกรม BSI BMW Services Inclusive (และ MSI MINI Services Inclusive สำหรับ MINI) ที่มอบความสบายใจให้ลูกค้าด้วยการบำรุงรักษาครบวงจรตลอดระยะเวลา 5 ปี/100,000 กิโลเมตร (สำหรับ BMW) และ 3 ปี/50,000 กิโลเมตร (สำหรับ MINI) ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความแตกต่างและเสริมสร้างความมั่นใจในด้าน บริการหลังการขาย BMW ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับ รถยนต์พรีเมียม
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ แนวคิดเรื่อง “Cost of Ownership” ได้ถูกพัฒนาไปอีกขั้น ครอบคลุมถึงมูลค่าการขายต่อรถยนต์ BMW มือสองที่ยังคงอยู่ในระดับดี การเข้าถึง ศูนย์บริการ BMW ทั่วประเทศ และความหลากหลายของ ประกันรถยนต์ BMW ที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า ทำให้ การลงทุนรถยนต์ BMW ยังคงเป็นที่น่าสนใจเสมอมา
การขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม: มองย้อนผลิตภัณฑ์หลัก สู่เทคโนโลยีแห่งอนาคต (2025)
ปี 2012 เป็นอีกหนึ่งปีที่ BMW ประเทศไทย ได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมอันล้ำสมัย ซึ่งถือเป็นการปูทางสู่เทคโนโลยียานยนต์ในปัจจุบันและอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ ผมขอนำพาทุกท่านไปสำรวจความสำคัญของรถยนต์รุ่นต่าง ๆ ที่เปิดตัวในช่วงนั้นและผลกระทบที่ยั่งยืนมาจนถึงปี 2025
BMW 5 Series พร้อมเครื่องยนต์ TwinPower Turbo ใหม่: จุดเปลี่ยนของสมรรถนะและความประหยัด
การเปิดตัว BMW 5 Series (รหัสตัวถัง F10) รุ่น 520i และ 528i Sport พร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ จากเดิมที่เคยเน้นเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ขึ้น ในยุคนี้บีเอ็มดับเบิลยูได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเครื่องยนต์ขนาดเล็กลงแต่ยังคงมอบสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมควบคู่ไปกับอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่น่าประทับใจ (520i เฉลี่ย 15.6 กม./ลิตร, 528i เฉลี่ย 15.4 กม./ลิตร)
เทคโนโลยี TwinPower Turbo ไม่เพียงแค่เพิ่มแรงม้าแรงบิด แต่ยังลดมลพิษและลด ค่าบำรุงรักษารถยนต์ ซึ่งเป็นแกนหลักของแนวคิด ประสิทธิภาพเชิงพลวัต (EfficientDynamics) ที่ BMW ประเทศไทย ได้นำเสนอมาอย่างต่อเนื่องใน ตลาดรถยนต์ไทย ณ ปัจจุบัน เทคโนโลยีดังกล่าวได้พัฒนาไปสู่เครื่องยนต์ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นในรุ่น PHEV และ EV ที่มอบสมรรถนะเหนือชั้นพร้อมการเป็น รถยนต์ประหยัดพลังงาน อย่างแท้จริง ฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด, ฟังก์ชัน Auto Start-Stop, และ Driving Experience Control ที่ให้ผู้ขับเลือกโหมดการขับขี่ได้ทั้ง Comfort, Sport, และ Eco Pro ล้วนเป็นสิ่งที่กลายเป็นมาตรฐานใน รถยนต์ BMW รุ่นใหม่ ๆ ในปี 2025
สำหรับรุ่น 528i Sport ยังมาพร้อม M Sport Package, ล้อ M Alloy Wheel 18 นิ้ว, และ Integral Active Steering ที่ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ ซึ่งถือเป็นการนำเสนอทางเลือกที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ที่ต้องการทั้งความหรูหราและสมรรถนะการขับขี่สไตล์สปอร์ต
BMW ActiveHybrid 5: ผู้บุกเบิกรถยนต์ไฮบริดในประเทศไทย
การเปิดตัว BMW ActiveHybrid 5 ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ถือเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ของ BMW ประเทศไทย ในการนำเสนอ รถยนต์ไฮบริด สู่ตลาดตั้งแต่ช่วงต้น เทคโนโลยีนี้ผสมผสานเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ 3.0 ลิตร TwinPower Turbo เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน มอบกำลังสูงสุดรวม 340 แรงม้า และแรงบิด 450 นิวตันเมตร ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งในยุคนั้น
จุดเด่นของ ActiveHybrid 5 คือระบบ Intelligent Energy Management ที่ใช้ข้อมูลจากระบบ Navigation มาคำนวณเส้นทางล่วงหน้า เพื่อจัดการการใช้พลังงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงระบบเบรกที่แปลงพลังงานจลน์กลับเป็นพลังงานไฟฟ้าสะสมในแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ ประสิทธิภาพเชิงพลวัต และปัจจุบันได้ถูกพัฒนาต่อยอดในรถยนต์ Plug-in Hybrid และ Electric Vehicle (EV) ของ BMW ประเทศไทย ในปี 2025 ที่สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ไกลขึ้น และเป็น รถยนต์ไฟฟ้าหรู ที่ตอบโจทย์การใช้งานในเมืองอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ActiveHybrid 5 ยังมาพร้อมระบบ Head-Up Display ที่แสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่วันนี้กลายเป็นส่วนสำคัญของ เทคโนโลยีขับขี่อัจฉริยะ ใน รถยนต์ BMW รุ่นใหม่ๆ
The New BMW 3 Series: การตีความใหม่ของสปอร์ตซีดานและโลกออนไลน์
BMW 3 Series (รหัสตัวถัง F30) โฉมใหม่ที่เปิดตัวในปี 2012 ได้รับการออกแบบให้มีมิติตัวถังที่ยาวขึ้น ฐานล้อกว้างขึ้น เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารโดยไม่ทิ้งคาแรกเตอร์สปอร์ตอันเป็นเอกลักษณ์ การนำเสนอ “Design Lines” ได้แก่ Sport Line, Modern Line, และ Luxury Line ในตอนนั้น ถือเป็นการเปิดประตูสู่การปรับแต่งรถยนต์ให้เข้ากับรสนิยมส่วนบุคคล ซึ่งวันนี้ได้พัฒนาไปสู่การปรับแต่งที่ละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น
สิ่งที่โดดเด่นใน 3 Series ใหม่ คือการติดตั้งเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะรุ่นล่าสุดพร้อมระบบ Auto Start/Stop และโหมด ECO PRO ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการเดินทางไกลที่เน้นความผ่อนคลาย แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือการนำเทคโนโลยี BMW ConnectedDrive มาใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการเชื่อมต่อ iPhone เข้ากับระบบข้อมูลของรถยนต์ เพื่อใช้งานแอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น Facebook, Twitter และปฏิทินนัดหมายบนหน้าจอ onboard monitor พร้อมฟังก์ชันอ่านข้อความอัตโนมัติ ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่พลาดการติดต่อกับโลกโซเชียล โดยไม่ต้องละสายตาจากถนน นี่คือวิสัยทัศน์ของ ConnectedDrive ที่วันนี้ได้พัฒนาไปสู่การเป็นระบบ Infotainment และ เทคโนโลยีเชื่อมต่ออัจฉริยะ ที่ครอบคลุมทุกมิติของการใช้ชีวิตและเดินทาง
รุ่นแรกที่เปิดตัวคือ BMW 320d CBU นำเข้าสำเร็จรูปทั้งคัน มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร TwinPower Turbo ที่ให้กำลัง 184 แรงม้า และแรงบิด 380 นิวตันเมตร พร้อมอัตราสิ้นเปลืองที่โดดเด่นถึง 22.2 กิโลเมตร/ลิตร ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านประสิทธิภาพเชื้อเพลิงใน ตลาดรถยนต์ไทย สำหรับ รถยนต์ BMW
MINI Roadster: นิยามใหม่ของความเร้าใจในแบบเปิดประทุน
MINI Roadster คือสมาชิกใหม่ลำดับที่ 6 ของตระกูล MINI ที่เข้ามาสร้างสีสันและนิยามใหม่ให้กับรถสปอร์ต 2 ที่นั่งแบบเปิดประทุน ด้วยดีไซน์เฉพาะตัวอย่างโรลบาร์มันวาวและสปอยเลอร์หลังแบบแอคทีฟที่ทำงานอัตโนมัติ ฟีเจอร์ด้านสมรรถนะใน MINI Cooper S Roadster ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ Twin-Scroll Turbo และระบบวาล์วแปรผัน VALVETRONIC แสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีการออกแบบเครื่องยนต์ที่ซับซ้อน เพื่อให้ได้กำลังอัดอากาศสูงอย่างต่อเนื่องและตอบสนองการขับขี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด นับเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ของ MINI ในฐานะ รถยนต์พรีเมียม ที่มอบความสนุกและเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
BMW Motorrad: บุกเบิกตลาดบิ๊กไบค์พรีเมียม
กลุ่มรถจักรยานยนต์ของ BMW ประเทศไทย หรือ BMW Motorrad ก็ได้เปิดตัวรุ่นเด่นในปี 2012 ที่สะท้อนถึงนวัตกรรมและสมรรถนะอันเป็นเลิศ
BMW K1600 GT: เจ้าของรางวัล “International Bike of the Year 2011” รถทัวร์ริ่งระดับพรีเมียมคันนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง 1.6 ลิตร ให้กำลัง 160 แรงม้า ด้วยเทคโนโลยี Lightweight Engineering ที่ทำให้เครื่องยนต์มีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษแต่แข็งแกร่ง พร้อมระบบ Multi-Controller และจอ Color TFT แสดงผลข้อมูล Infotainment รวมถึงระบบความปลอดภัยขั้นสูง เช่น Traction Control, Electronic Suspension, Adaptive Headlight และ ABS ที่ทำให้การขับขี่ทางไกลเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยที่สุด นี่คือมาตรฐานที่ BMW Motorrad ได้ตั้งไว้สำหรับ มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ ระดับโลก และต่อยอดสู่ มอเตอร์ไซค์พรีเมียม ในวันนี้
BMW S1000 RR: รหัสความแรงที่มาพร้อมให้สัมผัสบนสังเวียนทางเรียบ มอเตอร์ไซค์ซูเปอร์ไบค์คันนี้ออกแบบมาเพื่อความเป็นสปอร์ตและความว่องไว ด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบ 1.0 ลิตร 193 แรงม้า พร้อมระบบวาล์วไทเทเนียมและตัวถังเฟรมอะลูมิเนียมน้ำหนักเบา ที่สำคัญคือระบบความปลอดภัยอย่าง Race ABS และ Dynamic Traction Control (DTC) ที่ปรับเลือกโหมดการขับขี่ได้หลากหลายตามสภาพถนนและสนามแข่ง (Rain, Sport, Race, Slick) ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่วันนี้กลายเป็นหัวใจสำคัญของ เทคโนโลยีความปลอดภัย ใน มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ สมัยใหม่
ภูมิทัศน์การแข่งขันและอนาคตสำหรับ BMW ประเทศไทย (2025 และหลังจากนั้น)
ตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา BMW ประเทศไทย ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์พรีเมียมอย่างต่อเนื่อง จากการวางรากฐานอันแข็งแกร่งในปี 2011 ด้วยยอดขายที่โดดเด่นและกลยุทธ์ที่เน้นความคุ้มค่าและนวัตกรรม สู่การนำเสนอเทคโนโลยีไฮบริดและระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะในยุคแรกเริ่ม
ในปัจจุบันปี 2025 ภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง โดยมี 3 เทรนด์หลักที่ BMW ประเทศไทย ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง:
การขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electrification): จาก ActiveHybrid 5 ในอดีต สู่กลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และ Plug-in Hybrid (PHEV) ที่หลากหลายและครอบคลุมทุกเซกเมนต์ในปัจจุบัน BMW ประเทศไทย มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในกลุ่ม รถยนต์ไฟฟ้าหรู ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ล้ำสมัย ระยะทางขับขี่ที่ยาวนาน และเครือข่าย สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าใน กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
การเชื่อมต่อและการขับขี่อัจฉริยะ (Connectivity & Intelligent Driving): ระบบ BMW ConnectedDrive ที่เคยเชื่อมต่อกับ iPhone เพื่อ Facebook ได้พัฒนาไปสู่แพลตฟอร์มดิจิทัลที่ครบวงจรยิ่งขึ้น ด้วยระบบปฏิบัติการ iDrive รุ่นล่าสุด, ระบบสั่งการด้วยเสียง, การอัปเดตซอฟต์แวร์แบบ Over-the-Air (OTA) และ เทคโนโลยีขับขี่อัจฉริยะ ที่ช่วยให้การเดินทางปลอดภัยและสะดวกสบายยิ่งขึ้น เช่น ระบบช่วยเหลือการขับขี่ (ADAS) ขั้นสูง ที่เป็นรากฐานสำคัญของระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติในอนาคต ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ โซลูชันการขับเคลื่อน แห่งอนาคต
ความยั่งยืนและการเป็นกลางทางคาร์บอน (Sustainability & Carbon Neutrality): นอกเหนือจากการเป็น รถยนต์ประหยัดพลังงาน แล้ว BMW ประเทศไทย ยังให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน การใช้วัสดุรีไซเคิล และการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดห่วงโซ่อุปทาน นี่คือพันธกิจที่สอดคล้องกับแนวคิด ยานยนต์ยั่งยืน ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายระดับโลกของ BMW Group
คู่แข่งในตลาด รถยนต์พรีเมียม มีทั้งแบรนด์ยุโรปและแบรนด์เกิดใหม่จากเอเชีย โดยเฉพาะจากจีนที่กำลังรุกเข้ามาในตลาด รถยนต์ไฟฟ้าหรูในไทย อย่างดุเดือด แต่ BMW ประเทศไทย ยังคงมีจุดแข็งที่สำคัญคือ:
แบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์และชื่อเสียง: เป็นที่ยอมรับในด้านสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้น (Sheer Driving Pleasure) และดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์
นวัตกรรมที่ล้ำหน้า: การลงทุนวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
ประสบการณ์ลูกค้าแบบองค์รวม: ตั้งแต่การเลือกชม รถยนต์ BMW ที่ โชว์รูม BMW การได้รับคำแนะนำจาก ดีลเลอร์ BMW ผู้เชี่ยวชาญ ไปจนถึง บริการหลังการขาย BMW และการเป็นเจ้าของที่ไร้กังวลด้วย BSI/MSI
ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์: ไม่ว่าจะเป็นซีดานหรู, SUV สมรรถนะสูง, รถสปอร์ต หรือ มอเตอร์ไซค์พรีเมียม BMW Motorrad ก็มีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ รวมถึงตัวเลือก เช่าซื้อรถยนต์หรู ที่หลากหลาย
สรุป: วิสัยทัศน์สู่การเป็นผู้นำอย่างยั่งยืน
จากจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในปี 2011 ที่ BMW ประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและวิสัยทัศน์ในการนำเสนอนวัตกรรม ควบคู่ไปกับการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ทว่าในอีก 10 ปีต่อมา ณ ปี 2025 สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล แต่ปรัชญาหลักของแบรนด์ยังคงแข็งแกร่ง และวิวัฒนาการไปตามยุคสมัย จากการนำเสนอ รถยนต์ไฮบริด สู่การเป็นผู้นำในตลาด รถยนต์ไฟฟ้าหรู จาก ConnectedDrive รุ่นบุกเบิก สู่ระบบดิจิทัลที่เชื่อมโยงทุกมิติของการเดินทาง และจาก EfficientDynamics สู่พันธกิจเพื่อ ยานยนต์ยั่งยืน อย่างแท้จริง
BMW ประเทศไทย ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับความสำเร็จในอดีต แต่ยังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอ นวัตกรรมยานยนต์ ที่ล้ำสมัย สร้างสรรค์ประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ และเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคมไทยไปสู่การเดินทางที่ยั่งยืนและชาญฉลาดยิ่งขึ้นในอนาคต ตลาด รถยนต์พรีเมียม ของไทยยังคงเต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย และด้วยกลยุทธ์ที่เฉียบคมเช่นนี้ ผมเชื่อมั่นว่า BMW ประเทศไทย จะยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำไว้ได้อย่างแน่นอน
เพื่อสัมผัสประสบการณ์แห่งอนาคตและนวัตกรรมยานยนต์จาก BMW ประเทศไทย ด้วยตัวคุณเอง ผมขอเชิญชวนทุกท่านเยี่ยมชมโชว์รูมและสัมผัสรถยนต์รุ่นล่าสุดที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฮบริด หรือ มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ ที่รอให้คุณมาเปิดโลกทัศน์ใหม่ของการขับขี่ เพราะการเดินทางที่แท้จริงเริ่มต้นขึ้นเมื่อคุณอยู่หลังพวงมาลัย BMW เท่านั้น

