Alpine A290: จิตวิญญาณ Hot Hatch แห่งอนาคต ผสมผสานสไตล์รถแข่ง กับเทคโนโลยีไฟฟ้า
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์มาเกือบหนึ่งทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการก้าวเข้ามาของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ที่ไม่เพียงแต่เป็นเพียงทางเลือกที่รักษาสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นตัวขับเคลื่อนนวัตกรรมที่น่าตื่นเต้น และเมื่อพูดถึง Alpine แบรนด์ที่ขึ้นชื่อเรื่องสมรรถนะและความสปอร์ตระดับตำนาน การเปิดตัว Alpine A290 ในฐานะรถยนต์ไฟฟ้าสไตล์ Hot Hatch ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง
Alpine A290 ไม่ใช่แค่รถยนต์ไฟฟ้าธรรมดา แต่เป็นการผสมผสานจิตวิญญาณของรถแข่ง Formula 1 และรถสปอร์ต GT เข้ากับแพลตฟอร์ม EV อันทันสมัย โดยมีหัวใจหลักคือการวางตำแหน่งผู้ขับขี่ให้อยู่กึ่งกลางห้องโดยสาร สร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าหลงใหล เปรียบเสมือนนักแข่งรถมืออาชีพที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยท่ามกลางสนามแข่ง
แรงบันดาลใจจากสนามแข่ง สู่ดีไซน์ที่เร้าใจ
Alpine A290 ได้รับการออกแบบโดยดึงเอา DNA ของรถแข่ง Alpine มาใช้เต็มพิกัด ตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอกไปจนถึงรายละเอียดภายในห้องโดยสาร แม้ตัวรถจะมีขนาดกะทัดรัด เพียง 159.4 นิ้ว (4.05 เมตร) แต่กลับโดดเด่นด้วยล้อขนาดใหญ่ถึง 20 นิ้ว ที่ดูลงตัวกับสัดส่วนของรถ สร้างภาพลักษณ์ที่ทรงพลังและปราดเปรียว
จุดเด่นที่สะดุดตาที่สุดคือการจัดวางตำแหน่งผู้ขับขี่ให้อยู่กึ่งกลางห้องโดยสาร ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจโดยตรงจาก McLaren F1 ตำแหน่งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความแปลกใหม่ แต่ยังช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น ผู้ขับขี่จะรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถ ราวกับกำลังควบคุมเครื่องจักรสมรรถนะสูง นอกจากนี้ เบาะนั่งแบบบัคเก็ตซีทที่โอบกระชับสรีระ ก็ถูกออกแบบมาเพื่อมอบความสบายและรองรับสรีระของผู้ขับขี่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยได้แรงบันดาลใจจากเบาะนั่งของรถ Formula 1
พวงมาลัยของ A290 ก็ได้รับการถ่ายทอดดีไซน์มาจากมอเตอร์สปอร์ตเช่นกัน ด้วยรูปทรงแปดเหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมปุ่ม “Override” ที่สามารถปลดปล่อยพละกำลังสูงสุดของมอเตอร์ไฟฟ้าได้นาน 10 วินาที มอบการเร่งแซงที่เหนือกว่าใคร นอกจากนี้ พวงมาลัยยังอัดแน่นไปด้วยปุ่มควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับนักขับ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งค่าระบบ ABS ที่มีถึง 11 ระดับ, การควบคุมวิทยุ, หรือการจำกัดความเร็วในพิทเลน
เทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อสมรรถนะสูงสุด
Alpine A290 มาพร้อมโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ได้แก่ Wet, Dry, และ Full ซึ่งแต่ละโหมดจะปรับการตอบสนองของมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้าที่ติดตั้งมาให้ ปลดล็อกสมรรถนะสูงสุดตามสภาพการณ์ขับขี่ Alpine ระบุว่าปุ่ม Override ที่พวงมาลัย จะถูกส่งต่อไปยังรถที่ผลิตจริง เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสกับสมรรถนะอันเร้าใจอย่างเต็มที่
สำหรับรายละเอียดทางเทคนิคเกี่ยวกับระบบส่งกำลังและการจัดการพลังงานในรุ่นที่วางจำหน่ายจริง อาจมีการปรับปรุงเพิ่มเติมจากรุ่นต้นแบบที่จัดแสดง แต่สิ่งที่แน่นอนคือ Alpine A290 จะยังคงไว้ซึ่งหัวใจของรถยนต์ที่มอบความสนุกสนานในการขับขี่ และการตอบสนองที่เฉียบคมตามแบบฉบับของ Alpine
การก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของ Alpine
การเปิดตัว Alpine A290 เป็นเครื่องยืนยันถึงทิศทางในอนาคตของแบรนด์ Alpine ที่จะก้าวไปสู่ยุคแห่งยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว โดยไม่ทิ้งจิตวิญญาณแห่งรถแข่งที่สืบทอดมา การผสานเทคโนโลยี EV เข้ากับดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่ง ทำให้ A290 เป็นรถยนต์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีศักยภาพที่จะจุดประกายความสนใจให้กับผู้ที่มองหารถยนต์ไฟฟ้าที่มอบทั้งสมรรถนะ ความสนุก และสไตล์ที่แตกต่าง
ตลาดรถยนต์ลักชัวรีและซูเปอร์คาร์: ความท้าทายและโอกาสในปี 2025
ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในตลาดรถยนต์ระดับพรีเมียมและซูเปอร์คาร์ ผมมองว่าปี 2568 นี้ เป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจและเต็มไปด้วยความท้าทายสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ลักชัวรีและซูเปอร์คาร์ในประเทศไทย
แนวโน้มภาษีใหม่: การปรับตัวของตลาด
ประเด็นสำคัญที่กำลังจะส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างมีนัยสำคัญ คือแนวโน้มการปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 3.0 ลิตรขึ้นไป โดยเฉพาะเครื่องยนต์ V8 ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาของภาครัฐ แม้ว่าผลกระทบโดยตรงต่อแบรนด์อย่าง Maserati อาจจะไม่มากเท่าผู้ผลิตรายอื่น แต่การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลสะเทือนไปทั่วทั้งวงการ
มาเซราติ ประเทศไทย: มองการณ์ไกลสู่ปี 2025
คุณปิยะเทพ ศิวากาศ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ มาเซราติ ประเทศไทย ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า แม้การปรับภาษีดังกล่าวอาจไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อแบรนด์ Maserati มากนัก แต่ก็คาดว่าจะทำให้ตลาดรถยนต์ลักชัวรีคาร์และซูเปอร์คาร์ในปี 2569 ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการเร่งกำลังซื้อในปี 2568 นี้เอง
สิ่งที่น่าจับตาคือ ผู้ประกอบการที่ยังไม่มีผลิตภัณฑ์กลุ่มพลังงานไฟฟ้าในพอร์ตโฟลิโอ อาจจะต้องเผชิญกับความท้าทายที่มากกว่า เนื่องจากจำเป็นต้องมีการปรับขึ้นราคาจำหน่ายโดยประมาณ 25% เพื่อชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จากประสบการณ์ในสิงคโปร์ที่เคยใช้มาตรการภาษีลักษณะนี้ ตลาดใช้เวลาประมาณหนึ่งปีครึ่งในการปรับตัว ซึ่งในประเทศไทย เราต้องจับตาดูต่อไปว่าผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคจะเป็นเช่นไร
กลุ่มลูกค้าที่หันมาสนใจ EV มากขึ้น
สิ่งที่น่าเป็นสัญญาณที่ดีคือ การที่ลูกค้าในกลุ่มอายุ 35-45 ปี เริ่มให้ความสนใจรถยนต์ไฟฟ้า 100% มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม Maserati MC20, Gran Turismo และ Grecale ที่มีเวอร์ชันไฟฟ้าให้เลือก และได้รับความนิยมอย่างสูง สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับเทคโนโลยีใหม่และความใส่ใจในสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น
เศรษฐกิจชะลอตัว: ผลกระทบต่อตลาดรถมือสอง
อย่างไรก็ตาม สภาพเศรษฐกิจปัจจุบันยังคงเป็นปัจจัยกดดันสำคัญ ทำให้ลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อรถยนต์ใหม่ ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดรถกลุ่มนี้ขยายตัวได้ช้าลง นอกจากนี้ การนำรถคันเดิมมาขายต่อก็ค่อนข้างยาก เนื่องจากลูกค้ายังต้องการเก็บเงินสดไว้ ส่งผลให้ตลาดรถมือสองหดตัวตามไปด้วย
Maserati Gran Cabrio: นิยามใหม่ของความหรูหราและสมรรถนะ
ล่าสุด Maserati ได้เปิดตัว Gran Cabrio ใหม่ ซึ่งมีทั้งรุ่น Trofeo เครื่องยนต์ Nettuno อันทรงพลัง และรุ่น Folgore ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% ในราคาเริ่มต้น 14 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงการรุกตลาดรถยนต์หรูที่มาพร้อมทางเลือกที่หลากหลายสำหรับลูกค้า
Great Wall Motor (GWM): สู่การท้าชน Ferrari ด้วย Supercar สัญชาติจีน
ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่าการที่ GWM กำลังพัฒนารถซูเปอร์คาร์เพื่อท้าชนแบรนด์ระดับโลกอย่าง Ferrari ถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่น่าสนใจของการเติบโตในอุตสาหกรรมยานยนต์จีน
GWM Zixin Auto: ความทะเยอทะยานสู่ตลาด Hypercar
ภาพทีเซอร์รถซูเปอร์คาร์ที่ GWM เผยแพร่ในช่วงฉลองครบรอบ 35 ปีของบริษัท บ่งชี้ถึงความตั้งใจที่แน่วแน่ในการก้าวเข้าสู่ตลาดรถยนต์สมรรถนะสูงระดับสูงสุด การลงทุนในโครงการนี้บ่งบอกถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวของ GWM ที่ต้องการพิสูจน์ศักยภาพในทุกเซกเมนต์
การพัฒนาภายใต้ Ultra Luxury Vehicle Business Group
การจัดตั้ง Ultra Luxury Vehicle Business Group ภายใต้การนำของคุณ Wei Jianjun สะท้อนให้เห็นถึงความจริงจังในการพัฒนารถยนต์ระดับไฮเอนด์นี้ โดยมีการสรรหาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญทั้งในระดับนานาชาติเข้ามาเสริมศักยภาพด้านการออกแบบและวิศวกรรม
เป้าหมายสมรรถนะท้าชน Ferrari SF90
ข้อมูลที่ว่า GWM มี Ferrari SF90 เป็นเกณฑ์มาตรฐานในการพัฒนา ยิ่งตอกย้ำถึงความทะเยอทะยานของแบรนด์ โดยคาดการณ์ว่ารถรุ่นนี้จะใช้เครื่องยนต์ V8 Twin-turbo 4.0 ลิตร พร้อมระบบ Plug-in Hybrid (PHEV) ที่ให้กำลังรวมกว่า 1,000 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ต่ำกว่า 3 วินาที และความเร็วสูงสุดเกิน 350 กม./ชม. หากเป็นไปตามนี้จริง GWM จะสามารถแข่งขันกับซูเปอร์คาร์ยุโรปได้อย่างสมศักดิ์ศรี
ราคาที่เข้าถึงได้: กลยุทธ์สำคัญของ GWM
สิ่งที่น่าสนใจคือการตั้งราคาที่คาดว่าจะอยู่ในช่วง 2 ล้านหยวน หรือประมาณครึ่งหนึ่งของราคา Ferrari SF90 ในประเทศจีน นี่คือกลยุทธ์ที่ GWM ใช้มาโดยตลอด คือการนำเสนอเทคโนโลยีและสมรรถนะที่ใกล้เคียงกับแบรนด์ระดับโลก แต่ในราคาที่เข้าถึงได้มากกว่า
ก้าวสำคัญของ GWM ในตลาด Supercar
การเข้าสู่ตลาด Supercar ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทิศทางครั้งสำคัญของ GWM ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านรถ SUV และรถกระบะ นี่คือการแสดงออกถึงความพร้อมที่จะแข่งขันในทุกเซกเมนต์ของตลาด และยังสะท้อนเทรนด์ของผู้ผลิตรถยนต์จีนที่กำลังขยายขีดความสามารถไปสู่กลุ่มรถยนต์สมรรถนะสูง
Mercedes-Benz: กลยุทธ์การแบ่งเซกเมนต์เพื่อตอบสนองทุกความต้องการ
ในฐานะผู้ที่ทำงานใกล้ชิดกับตลาดรถยนต์พรีเมียม ผมเห็นว่า Mercedes-Benz กำลังดำเนินกลยุทธ์การแบ่งเซกเมนต์และสร้างแบรนด์ย่อยที่ชัดเจน เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การสร้างแบรนด์ย่อย: Mercedes-AMG, Mercedes-EQ, Mercedes-Maybach
การเปิดตัว Mercedes-AMG สำหรับตลาดรถสมรรถนะสูง, Mercedes-EQ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และล่าสุด Mercedes-Maybach สำหรับกลุ่ม Ultra Luxury ถือเป็นการจัดโครงสร้างทางการตลาดที่ชาญฉลาด การมีตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับสิทธิ์ในการทำตลาดเฉพาะกลุ่มเหล่านี้ ช่วยให้แบรนด์สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงจุด และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
Mercedes-Maybach: การเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่
การแต่งตั้งผู้จำหน่าย 4 รายสำหรับ Mercedes-Maybach โดยเฉพาะ เช่น เบนซ์บีเคเค กรุ๊ป, ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์, สตาร์แฟลก แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะผลักดันแบรนด์ Maybach ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น
Mercedes-Maybach GLS 600 4MATIC Premium และ S 580 4MATIC Premium
การเปิดตัว Mercedes-Maybach GLS 600 4MATIC Premium และ Mercedes-Maybach S 580 4MATIC Premium เป็นการตอกย้ำถึงการมุ่งเน้นที่กลุ่มลูกค้าที่ต้องการความหรูหราสูงสุด และประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ
การปรับตำแหน่งทางการตลาดของ Maybach
ผมมองว่า การปรับตำแหน่งทางการตลาดของ Maybach ให้มีราคาอยู่ระหว่าง S-Class และรถกลุ่ม Super Luxury เป็นก้าวที่สำคัญ ทำให้แบรนด์สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่ม S-Class ที่ต้องการยกระดับขึ้นมาได้ง่ายขึ้น เป็นบันไดให้ลูกค้ากลุ่มนี้สามารถขยับมาสู่แบรนด์ Maybach ได้
การผลิต Maybach ในไทย: โอกาสครั้งสำคัญ
แผนการประกอบ Mercedes-Maybach ในประเทศไทย (CKD) โดยจะเป็นหนึ่งในสองประเทศแรกของโลกที่ผลิตรุ่น Plug-in Hybrid ควบคู่ไปกับจีน นับเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่จะทำให้ลูกค้าชาวไทยสามารถเข้าถึง Maybach ได้ง่ายขึ้น ด้วยการลดภาระภาษีนำเข้า การเริ่มส่งมอบรถภายในไตรมาสแรกของปี 2566 เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ Mercedes-Benz ที่มีต่อตลาดประเทศไทย
Volvo S90: การปรับปรุงที่เน้นความหรูหราและเทคโนโลยี
การปรับโฉม (Minor Change) ครั้งที่สองของ Volvo S90 ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2017 แสดงให้เห็นถึงความพยายามของ Volvo ในการรักษาความสดใหม่และเพิ่มคุณสมบัติที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
การออกแบบภายนอก: ความสง่างามเหนือกาลเวลา
การปรับดีไซน์กระจังหน้าทรง 8 เหลี่ยมใหม่ พร้อมตราสัญลักษณ์ Iron Mark และไฟหน้า Matrix LED รูปทรง Thor’s Hammer แบบรมดำ ช่วยเพิ่มความหรูหราและทันสมัยให้กับ S90 ด้านท้ายรถยังได้รับการปรับปรุงให้มีความสง่างามยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการย้ายตำแหน่งป้ายทะเบียนมาอยู่ที่ฝาท้าย
การออกแบบภายใน: เทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อประสบการณ์ที่เหนือกว่า
ภายในห้องโดยสารได้รับการอัปเกรดอย่างเห็นได้ชัด ด้วยจอสัมผัสขนาดใหญ่ 11.2 นิ้ว พร้อม Google Built-in ที่ทำให้การใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น Google Maps, Google Assistant และ Spotify เป็นไปอย่างราบรื่น ระบบ Sensus Connect ยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ iOS และ Android
ระบบเสียง Bowers & Wilkins: มอบประสบการณ์เสียงระดับคอนเสิร์ตฮอลล์
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเสียงเพลง ระบบเครื่องเสียง Premium Sound by Bowers & Wilkins พร้อมลำโพง 19 ตัวรอบห้องโดยสาร และแอมพลิฟายเออร์ 1,400 วัตต์ 12-แชนเนล มอบประสบการณ์เสียงที่คมชัดและมิติเสียงที่สมจริง ราวกับกำลังนั่งฟังดนตรีสดในคอนเสิร์ตฮอลล์
ขุมพลัง Plug-in Hybrid T8: สมรรถนะที่เหนือกว่าพร้อมความประหยัด
หัวใจสำคัญของการปรับโฉมครั้งนี้คือขุมพลัง T8 Plug-in Hybrid AWD ซึ่งผสานเครื่องยนต์เบนซิน Twin Engine 2.0 ลิตร เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมสูงสุด 462 แรงม้า และแรงบิด 709 นิวตันเมตร สามารถวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าอย่างเดียวได้ไกลถึง 98.2 กิโลเมตร (NEDC) พร้อมอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 4.6 วินาที และอัตราประหยัดน้ำมันที่น่าประทับใจถึง 71.4 กิโลเมตรต่อลิตร
ความปลอดภัยระดับสูง: เทคโนโลยี Pilot Assist และระบบช่วยเหลือการขับขี่
Volvo S90 ยังคงไว้ซึ่งมาตรฐานความปลอดภัยอันแข็งแกร่งของ Volvo ด้วยระบบช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติ Pilot Assist, ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีรถวิ่งมาด้านข้างขณะถอยหลัง พร้อมระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ และระบบช่วงล่างแบบถุงลม Four-C Air Suspension ที่ปรับการทำงานตามโหมดการขับขี่
Lamborghini Urus SE: การปฏิวัติ Super SUV ด้วยขุมพลัง Plug-in Hybrid
การเปิดตัว Lamborghini Urus SE ถือเป็นก้าวสำคัญของ Lamborghini ในการก้าวเข้าสู่ยุคแห่งยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม Super SUV
Super SUV Plug-in Hybrid รุ่นแรกของ Lamborghini
Urus SE คือ Super SUV Plug-in Hybrid รุ่นแรกของ Lamborghini ที่ผสานขุมพลังเครื่องยนต์ V8 Twin-turbo 4.0 ลิตร เข้ากับระบบส่งกำลังไฟฟ้า มอบกำลังรวมสูงสุดถึง 800 CV และแรงบิด 950 Nm โดดเด่นด้วยระยะทางวิ่งโหมดไฟฟ้า (EV Mode) ได้ไกลกว่า 60 กม. และลดการปล่อยไอเสียสู่ชั้นบรรยากาศได้มากถึง 80%
สมรรถนะเหนือระดับ: ประสบการณ์การขับขี่ที่ไร้คู่แข่ง
Urus SE มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้น ด้วยระบบเวคเตอร์แรงบิดไฟฟ้าตามแนวยาวรูปแบบใหม่ และระบบเฟืองท้ายไฟฟ้าที่ทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาด เพื่อกระจายแรงบิดได้อย่างเหมาะสมในทุกสถานการณ์ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.4 วินาที และความเร็วสูงสุด 312 กม./ชม. ยืนยันถึงสมรรถนะที่แท้จริงของ Lamborghini
การออกแบบที่เน้นพลศาสตร์และสุนทรียศาสตร์
ดีไซน์ของ Urus SE ได้รับการปรับปรุงให้เน้นพลศาสตร์มากขึ้น ด้วยเส้นสายที่โฉบเฉี่ยวสะท้อนความเป็นรถสปอร์ต และองค์ประกอบที่ช่วยเพิ่มแรงกดดาวน์ฟอร์ซ เช่น สปอยเลอร์หลังที่ทำงานร่วมกับดิฟฟิวเซอร์หลัง การออกแบบส่วนท้ายยังได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่น Gallardo เพื่อความลงตัวและความสง่างาม
เทคโนโลยีล้ำสมัยภายในห้องโดยสาร
ภายในห้องโดยสารยังคงไว้ซึ่งปรัชญา “Feel like a pilot” ด้วยการผสมผสานการตกแต่งหรูหราเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย จอสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว ระบบ Lamborghini Infotainment System (LIS) และระบบวัดระยะสำหรับรุ่น SE ช่วยเพิ่มปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ขับขี่กับตัวรถ
โหมดการขับขี่ที่หลากหลาย: ตอบสนองทุกสไตล์
Urus SE มาพร้อมโหมดการขับขี่ที่หลากหลาย ทั้ง Strada, Sport, Corsa (สำหรับท้องถนนและสนามแข่ง) รวมถึง Neve, Sabbia และ Terra (สำหรับพื้นผิวที่แตกต่างกัน) ผสานการทำงานร่วมกับระบบ EV Drive, Hybrid, Performance และ Recharge เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ
ZEEKR: แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียม-ลักชัวรี ที่พร้อมบุกตลาดไทย
ZEEKR แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียม-ลักชัวรีจากประเทศจีน กำลังเตรียมพร้อมที่จะเข้ามาสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในตลาดประเทศไทย ด้วยการนำเสนอยานยนต์ไฟฟ้าสุดล้ำในงาน Bangkok International Motor Show 2025
การจัดแสดงยานยนต์ไฮไลท์
ZEEKR จะนำทัพยานยนต์ไฟฟ้าที่น่าสนใจมาจัดแสดงในงาน ได้แก่ ZEEKR X (Premium Compact SUV), ZEEKR 009 (Luxury MPV EV) ในรุ่น 6 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง, ZEEKR 001 FR (Shooting Brake สมรรถนะสูง) และ Concept Car ภายใต้ชื่อ ZEEKR Group
เปิดรับจองสิทธิ์รุ่นใหม่: ZEEKR 7X และ ZEEKR 009 รุ่นมอเตอร์เดี่ยว 7 ที่นั่ง
ไฮไลท์สำคัญคือการเปิดรับจองสิทธิ์สำหรับ ZEEKR 7X (Luxury SUV) และ ZEEKR 009 รุ่นมอเตอร์เดี่ยว 7 ที่นั่ง (Luxury MPV) ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของตลาดไทยที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้าที่มอบทั้งความหรูหรา ประสิทธิภาพ และความปลอดภัย
กลยุทธ์ “Imagine Beyond”: สู่การขับเคลื่อนที่ยั่งยืน
ZEEKR มุ่งมั่นที่จะสร้างอนาคตแห่งการขับขี่ที่ยั่งยืน ด้วยแนวคิด “Imagine Beyond” ที่ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่เทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ยังให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย
โปรโมชั่นสุดพิเศษ: ดึงดูดใจลูกค้า
เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้า ZEEKR ยังได้มอบโปรโมชั่นพิเศษสำหรับผู้ที่จองรถยนต์ภายในงาน ซึ่งรวมถึงการรับฟรี Wallbox, สายชาร์จฉุกเฉิน, ประกันภัยชั้นหนึ่ง, ค่าจดทะเบียน, บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน, ค่าอะไหล่และค่าแรงบำรุงรักษา และการรับประกันตัวรถและแบตเตอรี่
Denza Z: การก้าวสู่โลกซูเปอร์คาร์ไฟฟ้าของ BYD
Denza แบรนด์ในเครือ BYD กำลังเตรียมพร้อมที่จะเปิดตัว Denza Z ซึ่งคาดว่าจะเป็นรถสปอร์ตไฟฟ้าระดับพรีเมียมรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาท้าชนกับซูเปอร์คาร์จากยุโรป
เทคโนโลยี Steer-by-Wire และ DiSus-M
Denza Z จะมาพร้อมเทคโนโลยี Steer-by-Wire ที่ทำให้พวงมาลัยสามารถพับเก็บได้ และระบบช่วงล่าง DiSus-M ซึ่งเป็นการควบคุมช่วงล่างแม่เหล็กไฟฟ้าที่พัฒนาโดย BYD เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้น
ดีไซน์ได้รับแรงบันดาลใจจาก Lamborghini และ McLaren
การออกแบบของ Denza Z ได้รับแรงบันดาลใจจากเส้นสายอันเป็นเอกลักษณ์ของ Lamborghini และ McLaren เพื่อสร้างรูปลักษณ์ที่สปอร์ต ดุดัน และน่าดึงดูด
การเปิดตัวในตลาดออสเตรเลียและแผนการผลิต
BYD ยืนยันการเปิดตัวแบรนด์ Denza ในตลาดออสเตรเลีย โดยจะเน้นทำตลาด SUV แบบ Plug-in Hybrid ก่อน ส่วน Denza Z คาดว่าจะเข้าสู่สายการผลิตจริงในปี 2026
MG IM6: ยนตรกรรมไฟฟ้าอัจฉริยะ พร้อมบุกตลาดไทยในเดือนมีนาคม 2568
MG ประเทศไทย เตรียมสร้างความฮือฮาในตลาดรถยนต์ไทย ด้วยการเปิดตัว NEW MG IM6 ยนตรกรรมไฟฟ้าอัจฉริยะระดับพรีเมียม ที่พร้อมจะเข้ามาเปลี่ยนโฉมวงการยานยนต์ไทย
ความร่วมมือ 3 ยักษ์ใหญ่: SAIC MOTOR, Zhangjiang Hi-Tech, และ Alibaba Group
IM6 ถือเป็นผลผลิตจากความร่วมมือของ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ ซึ่งรวมเอาความเชี่ยวชาญด้านการผลิตรถยนต์ เทคโนโลยีขั้นสูง และความเป็นผู้นำด้านดิจิทัล เข้าไว้ด้วยกัน
แนวคิด “Intelligence in Motion”: ยกระดับประสบการณ์การขับขี่
ภายใต้แนวคิด “Intelligence in Motion” IM6 มุ่งมั่นที่จะปฏิวัติประสบการณ์การขับขี่ด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย โดยวางรากฐานการพัฒนาบน 3 เสาหลัก คือ Intelligent Driving Experience, Futuristic Safety Technology, และ Advanced Electrification
รางวัลการันตีความเป็นเลิศด้านการออกแบบและความปลอดภัย
IM6 ได้รับรางวัล Red Dot Design Award และ Product Design Award จากการออกแบบที่โดดเด่น และยังได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว จาก C-NCAP ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงคุณภาพและความปลอดภัย
ความสำเร็จในตลาดจีน: ยอดขายทะลุ 70,000 คัน
IM6 ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามในตลาดจีน ด้วยยอดขายสะสมกว่า 70,000 คัน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อรถ e-SUV ไฟฟ้าขนาดกลางถึงใหญ่รุ่นนี้
MG IM6: ทางเลือกใหม่สำหรับผู้บริโภคชาวไทย
การเปิดตัว NEW MG IM6 ในประเทศไทย จะเป็นการยกระดับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมให้ทัดเทียมกับอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลก และมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ล้ำสมัยให้กับผู้บริโภคชาวไทย
Avatr 11 รุ่นปรับโฉมใหม่: SUV อัจฉริยะระดับหรู พร้อมเทคโนโลยีจาก Huawei
Avatr แบรนด์รถยนต์อัจฉริยะภายใต้ความร่วมมือระหว่าง Changan Automobile, CATL และ Huawei เปิดตัว Avatr 11 รุ่นปรับโฉมใหม่อย่างเป็นทางการในประเทศจีน พร้อมด้วยรุ่นพิเศษ Dark Knight ที่เน้นสมรรถนะ
เทคโนโลยีช่วยขับขี่อัจฉริยะจาก Huawei: Qiankun ADS
Avatr 11 มาพร้อมระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ Qiankun ADS จาก Huawei ที่ใช้ LiDAR 3 จุด ช่วยให้รถสามารถนำทางแบบอัตโนมัติจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ
รุ่น Max: อุปกรณ์มาตรฐานระดับพรีเมียม
รุ่น Max มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานระดับพรีเมียม เช่น ระบบเสียง Bowers & Wilkins, สปอยเลอร์หลังแบบแอคทีฟ, ประตูดูดไฟฟ้า และเบาะหน้า Zero-gravity
รุ่นพิเศษ Dark Knight: ช่วงล่าง KONI สมรรถนะสูง
รุ่นพิเศษ Dark Knight โดดเด่นด้วยช่วงล่างสมรรถนะสูงจาก KONI ที่ปกติจะพบได้ในรถหรูระดับซูเปอร์ลักชัวรี ช่วยเพิ่มประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ
Mercedes-Maybach S 580 e: ความหรูหราประกอบในประเทศ พร้อมทางเลือก Plug-in Hybrid
Mercedes-Maybach S 580 e รุ่นประกอบในประเทศ (CKD) เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของ Mercedes-Benz ในการขยายตลาดรถยนต์ระดับ Ultra Luxury ในประเทศไทย
ขุมพลัง Plug-in Hybrid: ประสิทธิภาพและยั่งยืน
S 580 e ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง Plug-in Hybrid ที่ผสานเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ เทอร์โบ กับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมสูงสุด 510 แรงม้า สามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนได้ไกลกว่า 100 กิโลเมตร (WLTP)
การออกแบบที่สะท้อนความหรูหราเหนือกาลเวลา
การออกแบบภายนอกยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของ Maybach ด้วยกระจังหน้าโครเมียม, ไฟหน้า Digital Light และไฟท้าย LED พิเศษ ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพสูง พร้อมฟังก์ชันอำนวยความสะดวกครบครัน
การปรับตำแหน่งทางการตลาด: ขยายฐานลูกค้า
การปรับตำแหน่งทางการตลาดของ Maybach ให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ช่วยขยายฐานลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มองค์กรที่ต้องการรถประจำตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง
Volvo S90: การปรับปรุงที่เน้นความหรูหราและเทคโนโลยี
การปรับโฉม (Minor Change) ครั้งที่สองของ Volvo S90 ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2017 แสดงให้เห็นถึงความพยายามของ Volvo ในการรักษาความสดใหม่และเพิ่มคุณสมบัติที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
การออกแบบภายนอก: ความสง่างามเหนือกาลเวลา
การปรับดีไซน์กระจังหน้าทรง 8 เหลี่ยมใหม่ พร้อมตราสัญลักษณ์ Iron Mark และไฟหน้า Matrix LED รูปทรง Thor’s Hammer แบบรมดำ ช่วยเพิ่มความหรูหราและทันสมัยให้กับ S90 ด้านท้ายรถยังได้รับการปรับปรุงให้มีความสง่างามยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการย้ายตำแหน่งป้ายทะเบียนมาอยู่ที่ฝาท้าย
การออกแบบภายใน: เทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อประสบการณ์ที่เหนือกว่า
ภายในห้องโดยสารได้รับการอัปเกรดอย่างเห็นได้ชัด ด้วยจอสัมผัสขนาดใหญ่ 11.2 นิ้ว พร้อม Google Built-in ที่ทำให้การใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น Google Maps, Google Assistant และ Spotify เป็นไปอย่างราบรื่น ระบบ Sensus Connect ยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ iOS และ Android
ระบบเสียง Bowers & Wilkins: มอบประสบการณ์เสียงระดับคอนเสิร์ตฮอลล์
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเสียงเพลง ระบบเครื่องเสียง Premium Sound by Bowers & Wilkins พร้อมลำโพง 19 ตัวรอบห้องโดยสาร และแอมพลิฟายเออร์ 1,400 วัตต์ 12-แชนเนล มอบประสบการณ์เสียงที่คมชัดและมิติเสียงที่สมจริง ราวกับกำลังนั่งฟังดนตรีสดในคอนเสิร์ตฮอลล์
ขุมพลัง Plug-in Hybrid T8: สมรรถนะที่เหนือกว่าพร้อมความประหยัด
หัวใจสำคัญของการปรับโฉมครั้งนี้คือขุมพลัง T8 Plug-in Hybrid AWD ซึ่งผสานเครื่องยนต์เบนซิน Twin Engine 2.0 ลิตร เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมสูงสุด 462 แรงม้า และแรงบิด 709 นิวตันเมตร สามารถวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าอย่างเดียวได้ไกลถึง 98.2 กิโลเมตร (NEDC) พร้อมอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 4.6 วินาที และอัตราประหยัดน้ำมันที่น่าประทับใจถึง 71.4 กิโลเมตรต่อลิตร
ความปลอดภัยระดับสูง: เทคโนโลยี Pilot Assist และระบบช่วยเหลือการขับขี่
Volvo S90 ยังคงไว้ซึ่งมาตรฐานความปลอดภัยอันแข็งแกร่งของ Volvo ด้วยระบบช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติ Pilot Assist, ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีรถวิ่งมาด้านข้างขณะถอยหลัง พร้อมระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ และระบบช่วงล่างแบบถุงลม Four-C Air Suspension ที่ปรับการทำงานตามโหมดการขับขี่
Lamborghini Urus SE: การปฏิวัติ Super SUV ด้วยขุมพลัง Plug-in Hybrid
การเปิดตัว Lamborghini Urus SE ถือเป็นก้าวสำคัญของ Lamborghini ในการก้าวเข้าสู่ยุคแห่งยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม Super SUV
Super SUV Plug-in Hybrid รุ่นแรกของ Lamborghini
Urus SE คือ Super SUV Plug-in Hybrid รุ่นแรกของ Lamborghini ที่ผสานขุมพลังเครื่องยนต์ V8 Twin-turbo 4.0 ลิตร เข้ากับระบบส่งกำลังไฟฟ้า มอบกำลังรวมสูงสุดถึง 800 CV และแรงบิด 950 Nm โดดเด่นด้วยระยะทางวิ่งโหมดไฟฟ้า (EV Mode) ได้ไกลกว่า 60 กม. และลดการปล่อยไอเสียสู่ชั้นบรรยากาศได้มากถึง 80%
สมรรถนะเหนือระดับ: ประสบการณ์การขับขี่ที่ไร้คู่แข่ง
Urus SE มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้น ด้วยระบบเวคเตอร์แรงบิดไฟฟ้าตามแนวยาวรูปแบบใหม่ และระบบเฟืองท้ายไฟฟ้าที่ทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาด เพื่อกระจายแรงบิดได้อย่างเหมาะสมในทุกสถานการณ์ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.4 วินาที และความเร็วสูงสุด 312 กม./ชม. ยืนยันถึงสมรรถนะที่แท้จริงของ Lamborghini
การออกแบบที่เน้นพลศาสตร์และสุนทรียศาสตร์
ดีไซน์ของ Urus SE ได้รับการปรับปรุงให้เน้นพลศาสตร์มากขึ้น ด้วยเส้นสายที่โฉบเฉี่ยวสะท้อนความเป็นรถสปอร์ต และองค์ประกอบที่ช่วยเพิ่มแรงกดดาวน์ฟอร์ซ เช่น สปอยเลอร์หลังที่ทำงานร่วมกับดิฟฟิวเซอร์หลัง การออกแบบส่วนท้ายยังได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่น Gallardo เพื่อความลงตัวและความสง่างาม
เทคโนโลยีล้ำสมัยภายในห้องโดยสาร
ภายในห้องโดยสารยังคงไว้ซึ่งปรัชญา “Feel like a pilot” ด้วยการผสมผสานการตกแต่งหรูหราเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย จอสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว ระบบ Lamborghini Infotainment System (LIS) และระบบวัดระยะสำหรับรุ่น SE ช่วยเพิ่มปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ขับขี่กับตัวรถ
โหมดการขับขี่ที่หลากหลาย: ตอบสนองทุกสไตล์
Urus SE มาพร้อมโหมดการขับขี่ที่หลากหลาย ทั้ง Strada, Sport, Corsa (สำหรับท้องถนนและสนามแข่ง) รวมถึง Neve, Sabbia และ Terra (สำหรับพื้นผิวที่แตกต่างกัน) ผสานการทำงานร่วมกับระบบ EV Drive, Hybrid, Performance และ Recharge เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ
บทสรุป
ปี 2568 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวในอุตสาหกรรมยานยนต์ การมาถึงของรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงอย่าง Alpine A290, การรุกตลาดซูเปอร์คาร์ของ GWM, การปรับกลยุทธ์ของ Mercedes-Benz, การพัฒนาเทคโนโลยีของ Volvo, และการก้าวสู่ยุคใหม่ของ Lamborghini และ ZEEKR ล้วนเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงอนาคตที่น่าตื่นเต้นของวงการยานยนต์โลกและประเทศไทย
หากคุณคือหนึ่งในผู้ที่หลงใหลในนวัตกรรมยานยนต์ และมองหาประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่าใคร การติดตามความเคลื่อนไหวของแบรนด์เหล่านี้อย่างใกล้ชิด จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับคุณในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้!

