• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N3012075 แกล งตาบอด จนได เป นแฟนประธานบร part2

admin79 by admin79
December 27, 2025
in Uncategorized
0
N3012075 แกล งตาบอด จนได เป นแฟนประธานบร part2

Toyota Yaris: การปรากฏตัวของ “ไอคอน” ใหม่ที่สั่นสะเทือนวงการรถยนต์นั่งขนาดเล็ก

ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงมากมายในตลาดรถยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็ก หรือ Sub-Compact Hatchback ที่มักเป็นด่านหน้าของการปรับตัวและนวัตกรรม วันนี้ ผมขอนำทุกท่านเจาะลึกถึง “Toyota Yaris” โฉมใหม่ ที่เปิดตัวมาพร้อมกับความท้าทายและโอกาสครั้งใหญ่ในตลาดประเทศไทย

จุดเริ่มต้นของความกังขา: ดีไซน์ที่หลายคนจับตา

ย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อน ท่ามกลางกระแสข่าวลือต่างๆ นานาเกี่ยวกับ Toyota Yaris รุ่นใหม่ มีคำพูดหนึ่งที่ยังคงก้องอยู่ในหูผม “Yaris รุ่นใหม่เหรอพี่? หน้าตา มันจะเป็นแบบเหลี่ยมๆ ดูสปอร์ตๆ กระจังหน้าเหมือน Mitsubishi RVR/ASX นะพี่” ในขณะนั้น ผมได้แต่ถอนหายใจด้วยความกังวล ยิ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง มันจะดีจริงหรือ? ประสบการณ์จาก Mitsubishi Lancer EX ก็เป็นเครื่องเตือนใจว่า รถยนต์ที่เน้นดีไซน์ดุดันเกินไป อาจไม่ตอบโจทย์ตลาดในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม Eco Car ซึ่งกว่า 30-40% ของยอดขายมาจากกลุ่มลูกค้าผู้หญิง ที่มักชื่นชอบรถยนต์ที่มีเส้นสายโค้งมน น่ารัก และดูเป็นมิตร

ภาพในจินตนาการของผม ณ เวลานั้น คือ Yaris Hatchback 5 ประตู ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เส้นสายที่ดูละม้ายคล้ายคลึงกับ Vios รุ่นใหม่ (ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีใครเคยเห็นตัวจริง) ผมเผลอหลับไปพร้อมกับความไม่แน่ใจในทิศทางของรถรุ่นนี้

การมาถึงของความเป็นจริง: Auto Shanghai 2013 และความประหลาดใจ

เช้าวันหนึ่งในเดือนเมษายน 2013 ความกังวลของผมก็กลายเป็นความจริง ภาพถ่ายจากงาน Auto Shanghai 2013 เผยให้เห็น Yaris รุ่นใหม่ ที่ด้านหน้ามีลักษณะคล้ายคลึงกับ “นายจันหนวดเขี้ยว” หรือ “อาเหล่ากง” (Mitusbishi RVR/ASX) และชุดไฟท้ายที่ดูแปลกตา จนอดเปรียบเทียบไม่ได้กับ “ก้อนน้ำมูก” ในวันที่เลือดกำเดาไหล “จบกัน…แบบนี้ ขายผู้ชายได้ แต่ขายผู้หญิงยาก” ผมคิดในใจ “มีทางเดียว คือใช้การตลาดแบบสีสัน (Colorful Marketing) เข้าช่วย พยายามหาเฉดสีตัวถังที่สวยๆ มาพ่นให้กับรถรุ่นนี้ ไม่อย่างนั้นแล้ว ผู้หญิงคงไม่เหลียวแล…”

บริบทตลาดที่ท้าทาย: หลังโครงการคืนภาษีรถคันแรก

ยิ่งไปกว่านั้น Yaris รุ่นใหม่นี้ เปิดตัวในช่วงเวลาที่โครงการคืนภาษีรถคันแรกของรัฐบาล (ปี 2011-2012) กำลังจะสิ้นสุดลง ซึ่งส่งผลให้ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยปั่นป่วน ผู้บริโภคที่ได้รับประโยชน์จากโครงการต่างปลื้มปิติ (ยกเว้นบางรายที่ผ่อนส่งไม่ไหว) แต่ผู้ผลิตทุกรายต้องเร่งเพิ่มกำลังการผลิต

เมื่อสิ้นสุดโครงการ กำลังซื้อในปี 2013 ก็หดหายอย่างรวดเร็ว รถยนต์ค้างสต็อกจอดเต็มลาน บางค่ายต้องเช่าลานจอดเพิ่มเติม และต้องออกโปรโมชั่นพิเศษเพื่อระบายสต็อกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน กลุ่มรถยนต์ B-Segment (1,500 ซีซี) และ Eco Car (1,200 ซีซี) ได้รับผลกระทบอย่างหนักที่สุด แม้จะอัดโปรโมชั่นหนักหน่วงเพียงใด ยอดขายก็ยังไม่กระเตื้องขึ้นเท่าที่ควร

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ค่ายรถยนต์ที่พยายามเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในกลุ่ม Eco Car หรือ B-Segment ในช่วงเวลานี้ จะต้องเผชิญกับความท้าทาย ยอดขายที่หดหาย และกระแสตอบรับที่ไม่เปรี้ยงปร้างเท่าที่ควร Toyota Yaris ก็ตกอยู่ในชะตากรรมนี้ ร่วมกับ “ญาติ” อย่าง Vios

กระแสในโลกออนไลน์: ความเงียบที่น่ากังวล

การเปิดตัว Yaris ในเวลานั้น ดูเหมือนเป็น “ไฟท์บังคับ” ที่ Toyota เลี่ยงไม่ได้ หากเลื่อนการเปิดตัวออกไปอีก ก็คงไม่เหลือเหตุผลที่จำเป็นใดๆ อีก และสุดท้าย เป็นไปตามคาด กระแสการพูดถึง Yaris ในสังคม Social Media บางตาอย่างผิดคาด เมื่อเทียบกับรถยนต์รุ่นใหม่ของ Toyota ในอดีต น้อยคนนักที่จะถามไถ่ถึงมัน ยิ่งเมื่อเทียบกับ Nissan Teana ที่เปิดตัวก่อนหน้าเพียงวันเดียว ก็แทบจะกลบกระแสของ Yaris ไปจนหมดสิ้น

การกลับมาของ Yaris: ความประหลาดใจที่คาดไม่ถึง

เวลาผ่านไป ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าต้องเปลี่ยนความคิดตัวเองหรือไม่ เพราะหลังจากนั้น กระแสการพูดถึง Yaris เริ่มกลับมาในโลก Social Media มากขึ้น ประกอบกับปริมาณ Yaris ใหม่ ที่เริ่มปรากฏบนท้องถนนมากขึ้นทุกวัน ชี้ให้เห็นว่า ลูกค้าเริ่มให้การยอมรับ “น้องใหม่” หน้าตาประหลาดคันนี้แล้ว

คำถามที่ยังคงค้างคาใจหลายคนก็คือ “อัตราเร่งจะอืดหรือไม่? กินน้ำมันหรือเปล่า? ประหยัดไหม? ขับดีไหม? พวงมาลัยแก้ไขแล้วหรือยัง? ช่วงล่างเป็นอย่างไรบ้าง? แล้วควรจะซื้อไหม? ถ้าซื้อ ควรเลือกรุ่นย่อยใดดี? Yaris กับ Swift ควรจะเลือกอะไรดี?” บางคนอาจถึงขั้นสงสัยว่าจะเปลี่ยนใจจาก Vios มาคบ Yaris ดีไหม?

บทความรีวิวนี้จะตอบคำถามที่คาใจเหล่านั้น แต่ผมไม่แน่ใจว่า มันจะยิ่งสร้างความกังขาให้คุณมากขึ้นหรือไม่ หากผมจะบอกว่า ตัวเลขอัตราเร่งที่ออกมานั้น “ไวพอๆ กับ Vios แถมประหยัดกว่า Vios และได้พื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างขวางกว่า Vios (เฉพาะด้านหลัง) !!”

ไม่เชื่อใช่ไหมละ? Toyota Yaris ยังคงทำตัวเป็นรถยนต์ที่สร้างความแปลกใจให้กับลูกค้าทั่วโลกในแทบทุกครั้งที่เปิดตัว เหมือนเช่นรุ่นแรกของมันเมื่อ 15 ปีก่อนหน้านี้!

จาก Vitz สู่ Yaris: วิวัฒนาการของ “ไอคอน” แห่งความประหยัดและอเนกประสงค์

Toyota ได้มีความพยายามบุกตลาดรถยนต์ขนาดเล็ก Sub-Compact Hatchback ในยุโรปมานาน ตั้งแต่สมัยปรับปรุงตระกูล Publica ให้กลายเป็น Toyota Starlet ซึ่งทำตลาดมาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่หวือหวามากนัก Starlet ดูจะกลายเป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่น่าเบื่อสำหรับชาวยุโรปและชาวญี่ปุ่นเอง

พวกเขาจึงมอบหมายให้ Sotiris Kovos นักออกแบบดาวรุ่งแห่งศูนย์ออกแบบ Toyota European Office of Creation (EPOC) ในยุโรป พัฒนารถยนต์นั่งขนาดเล็กเพื่อเอาใจชาวยุโรปโดยเฉพาะ

เดือนกันยายน 1997 Toyota ได้เปิดตัวรถยนต์ต้นแบบตระกูล Fun ครบ 3 รุ่น คือ FunTime, FunCoupe และ FunCargo ในงาน Frankfurt Motor Show เพื่อส่งสัญญาณให้โลกรู้ว่า รถยนต์ขนาดเล็กจาก Toyota นับจากนั้น จะถูกผลิตขายจริง โดยมีเส้นสายที่ถอดแบบมาจากรถยนต์ต้นแบบทั้ง 3 รุ่นนี้ และมาพร้อมกับโครงสร้างพื้นฐานวิศวกรรมใหม่ทั้งหมด ที่เรียกกันเป็นการภายในว่า NBC (New Basic Car)

ปี 1998 Toyota ได้เผยโฉม Yaris ออกมาครั้งแรก และเริ่มทำตลาดในยุโรป ปี 1999 ถือเป็นภาพลักษณ์ใหม่ที่ทำให้ชาวยุโรปหันมามองแบรนด์ Toyota กันอีกครั้งอย่างจริงจัง

ชื่อ Yaris นั้น ใช้วิธีการตั้งชื่อที่แปลก Toyota จ้างนักตั้งชื่อสินค้าชื่อดังคนหนึ่ง ให้ดูรถคันจริงในสตูดิโอออกแบบ ให้เวลาดู 5 นาที แล้วกลับไปค้นหาชื่อที่เหมาะสม เขาเลือกใช้ชื่อ Yaris ด้วยเหตุผลที่ว่า คำว่า “Ya” เป็นคำในภาษาเยอรมัน แปลว่า “Yes” หรือ “ใช่, ตกลง” ในภาษาอังกฤษ อีกคำหนึ่ง คือ “Charis” เป็นเทพแห่งความหรูหราและความงามในเทพนิยายกรีกโบราณ

และถูกนำไปเปิดตัวในตลาดญี่ปุ่นด้วยชื่อ VITZ เมื่อวันที่ 13 มกราคม 1999 ก่อนจะส่งไปเปิดตัวในตลาดออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ด้วยชื่อ ECHO ส่วนตัวถัง Sedan 2 และ 4 ประตู ขายในญี่ปุ่นชื่อ Platz ขณะที่ตลาดอื่นๆ จะใช้ชื่อ ECHO เหมือนกัน และเป็นเพียง 2 ตัวถังที่ขายไม่ค่อยดี เพราะรุ่น Hatchback ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

Yaris รุ่นแรก ประสบความสำเร็จด้านยอดขายในยุโรปและญี่ปุ่นสูงมาก แถมยังคว้ารางวัล European Car of the Year ประจำปี 2000 ทั้งที่ปกติ รางวัลนี้จะมีแต่รถยุโรปเท่านั้นที่ครองบัลลังก์อยู่ แถมในอดีต มีเพียง Nissan March รุ่นปี 1991 เท่านั้น ที่เป็นรถญี่ปุ่นรายแรกที่ได้รางวัลนี้มาครอง

รุ่นที่ 2: การปรับตัวสู่ตลาดโลก

รุ่นที่ 2 เปิดตัวในญี่ปุ่นเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2005 มีรหัสรุ่น NCP90-NCP91, NCP95 ถูกสร้างขึ้นภายใต้รหัสโครงการ 351L ภายใต้การดูแลโดย Chief Engineer ที่ชื่อ Kousuke Shibahara เวอร์ชันไทย เปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 17 มกราคม 2006 หรือเกือบ 1 ปีให้หลัง มีรหัสรุ่น NCP91R-AHPGKT ถือเป็น Yaris รุ่นแรกที่ถูกนำมาขึ้นสายการผลิตในประเทศไทย

ถึงแม้ยอดขายในตลาดโลกจะยังไปได้สวย แต่ในเมืองไทย ด้วยการตั้งราคาที่แพงกว่าความคาดหมาย เพราะอัดออพชันมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงทำให้ยอดขายช่วงแรกไม่ดีเท่าที่ควร จนถึงขั้นที่ชมรมดีลเลอร์ Toyota ในกรุงเทพมหานคร ต้องประชุม และเรียกร้องให้ Toyota Motor Thailand ออกแคมเปญมาช่วยกระตุ้นยอดขาย จึงทำให้ Yaris ขายออกไปได้ในระดับเรื่อยๆ จาก 1,000 คัน/เดือน ค่อยๆ ลดลงเหลือ 900 และ 800 คัน/เดือน

รุ่นที่ 3: การปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ สู่การเป็น Eco Car

รุ่นที่ 3 เปิดตัวในญี่ปุ่นเมื่อ 22 ธันวาคม 2010 ที่ Yokohama คราวนี้ Toyota เลือกทำตลาด Yaris รุ่นนี้ แค่ในญี่ปุ่น, ยุโรป, ออสเตรเลีย กับนิวซีแลนด์ แต่ยอดขายก็ยังไม่ค่อยเปรี้ยงปร้างนักเมื่อเทียบกับรถรุ่นก่อนทั้ง 2 รุ่น

ในตอนแรก คนไทยคาดหวังกันว่า Yaris เวอร์ชันญี่ปุ่น/ยุโรป และรุ่นที่ 3 นี่แหละ ที่จะเข้ามาประกอบขายในเมืองไทย แต่ไปๆ มาๆ ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด และทั้งหมดนั้น เป็นผลพวงมาจากการที่ Toyota ตัดสินใจร่วมเกาะขบวนผู้ผลิตรถยนต์กลุ่มแรก ที่ขอใช้สิทธิประโยชน์จากภาครัฐตามโครงการ Eco Car ของรัฐบาล ในช่วงสุดท้าย แม้จะไม่เห็นด้วยในตอนแรก

คำถามที่ตามมาคือ “คราวนี้ Toyota จะเลือกรถยนต์รุ่นใด มาทำตลาดกลุ่มนี้ดี?”

ทางออกที่ลงตัว: Yaris L สำหรับตลาดจีน และ Yaris Eco Car สำหรับไทย

จากสารพัดข้อจำกัดมากมาย จนในที่สุด ก็ลงตัวว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน” ในเมื่อข้อกำหนดของโครงการ Eco Car ในเมืองไทย ระบุไว้ชัดเจนว่า จะต้องผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ที่ยังไม่เคยผลิตออกจำหน่ายในประเทศใดมาก่อน ดังนั้น การนำ Yaris รุ่นที่ 3 ที่เตรียมจะผลิตออกขายในญี่ปุ่นและยุโรป ซึ่งทั้งโครงการเดินหน้ากันไปไกลมากแล้ว มาพัฒนาเพื่อผลิตขายในเมืองไทย จึงเป็นไปไม่ได้

ครั้นจะนำ Aygo รถยนต์ที่พัฒนาร่วมกับกลุ่ม PSA Peugeot Citroën ซึ่งก็ได้เวลาพัฒนารุ่นต่อไป มาทำ ก็ดูจะเล็กไปสำหรับตลาดเมืองไทย ซึ่งลูกค้าให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ทางสังคมมาก ไม่แพ้คุณสมบัติด้านต่างๆ ที่จะได้รับอย่างครบครันจากการซื้อรถยนต์ 1 คัน แม้ราคาจะถูกแค่ไหนก็ตาม อีกทั้งยังมีข้อตกลงกับทาง PSA ว่า ไม่สามารถผลิตออกขายที่ไหนอื่นได้อีกนอกเหนือจากโรงงานในสาธารณรัฐเช็กเท่านั้น และไม่สามารถขายในโซนอื่นนอกจากยุโรปได้อีกต่างหาก!

ดังนั้น จึงเหลือทางเลือกเพียงทางเดียว นั่นคือ Toyota ต้องพัฒนา Yaris รุ่นใหม่ขึ้นมาอีก 1 ตัวถัง เพื่อเอาใจตลาดศักยภาพสูงอย่างจีน ซึ่งต้องการรถยนต์ Hatchback ขนาดเล็ก แต่มีพื้นที่ใช้สอยเยอะกว่า Yaris เวอร์ชันญี่ปุ่น/ยุโรปอย่างชัดเจน โดยใช้ Platform และโครงสร้างวิศวกรรมบางส่วนร่วมกับ Vios แต่มีการปรับปรุงให้เข้ากับข้อกำหนด กฎเกณฑ์ของโครงการนี้ไปเลยก็แล้วกัน (วะ)

TakeShi Matsuda : Chief Engineer ผู้พัฒนาทั้ง Yaris และ Vios รุ่นล่าสุด บอกว่า “ความตั้งใจของเขาตอนแรกก็คือ ทำ Yaris รุ่นนี้ให้เป็นรุ่นเปลี่ยนโฉม Full Model Change ของ Yaris สำหรับตลาดทั่วโลก ที่ไม่ใช่ในยุโรป หรือญี่ปุ่น แต่ในเมื่อตลาดเมืองไทยมีนโยบายมาว่า ให้ทำ Yaris รุ่นนี้เป็น Eco Car เขาจึงต้องหาทางออกให้กับสารพัดคำถามและข้อจำกัด ซึ่งเกิดขึ้นมากมาย และผลลัพธ์ก็ออกมาเป็น Yaris อย่างที่เห็นกันอยู่นี้”

Dear Qin: การปูทางสู่ Yaris รุ่นใหม่

1 ปีก่อนการเปิดตัวเวอร์ชันจำหน่ายจริง Toyota เลือกจะเริ่มเกริ่นให้ทั่วโลกได้รับรู้ถึงการมาถึงของ Hatchback รุ่นใหม่คันนี้ ด้วยการสร้างรถยนต์ต้นแบบคันสีเขียวในชื่อ Toyota Dear Qin Hatchback เพื่อเปิดตัวสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก ควบคู่ไปกับ Toyota Dear Qin Sedan คันสีแดงเลือดหมู ในงานแสดงรถยนต์ Beijing Automotive Show ครั้งที่ 12 เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2012

Dear Qin ทั้ง 2 คัน เผยให้เห็นถึงแนวโน้มเส้นสายของ Vios และ Hatchback 5 ประตูรุ่นต่อไปสำหรับตลาดโลก ว่าจะแตกต่างไปจากรถยนต์รุ่นเดิมที่ทุกคนเคยเห็นกันมาก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง การเผยโฉม Dear Qin คันสีเขียว อันเป็นตัวแทนของ Yaris ใหม่ ที่จะต้องเปิดตัวในอีก 1 ปีหลังจากนั้น เป็นการสื่อสารให้โลกรู้ว่า รถคันนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเอาใจลูกค้าชาวจีน ในฐานะตลาดเป้าหมายหลักของรถคันนี้ นั่นเอง!

เปิดตัว Yaris L ที่เซี่ยงไฮ้ และ Yaris Eco Car ที่ไทย

เมื่อเป้าหมายในการพัฒนารถยนต์คันนี้ อยู่ที่การเอาใจลูกค้าชาวจีน ดังนั้น พวกเขาก็เลยเลือกเปิดตัว Yaris รุ่นประหลาดนี้เป็นครั้งแรกในโลกกันที่งาน Auto Shanghai (หรือชื่อเต็มคือ Shanghai Automobile Industry Exhibition ครั้งที่ 15) ณ เมืองเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2013 แต่กว่าจะพร้อมออกสู่ตลาดเมืองจีนกันจริงๆ GAC-Toyota บริษัทร่วมทุนของ Toyota กับชาวจีน ที่จะรับหน้าที่ผลิตและจำหน่าย Yaris ต้องรอถึงวันที่ 26 สิงหาคม 2013 จึงจะเริ่มปล่อยข้อมูลตัวรถทั้งหมดออกมา และเริ่มส่งรถยนต์ขึ้นโชว์รูมทั่วเมืองจีนแผ่นดินใหญ่ได้ ในชื่อ Yaris-L เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2013 ที่ผ่านมา

ไทย ถือเป็นประเทศลำดับ 2 ของโลก ที่ Toyota เผยโฉม Yaris ใหม่รุ่นนี้ งานเปิดตัว มีขึ้นเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2013 ณ ห้างสรรพสินค้า Central World สี่แยกราชประสงค์

TakeShi Matsuda : Chief Engineer ผู้รับผิดชอบโครงการพัฒนา Vios และ Yaris สำหรับตลาดกลุ่มเอเชีย บอกว่า ในตอนแรก เขาตั้งใจสร้างรถคันนี้ให้เป็น B-Segment Hatchback ในฐานะรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันของ Yaris เพื่อตลาดเอเชีย โดย “ไม่ได้ตั้งใจทำรถคันนี้ให้เป็น Eco Car มาตั้งแต่แรก”

ทว่า เมื่อนโยบายของผู้บริหาร กำหนดว่า สำหรับตลาดเมืองไทย รถคันนี้ต้องเข้ามาทำตลาดในฐานะ Eco Car ดังนั้น มันจึงเกิดข้อจำกัดต่างๆ มากมาย เขาและทีมงานจึงพยายามที่จะเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้นอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

Matsuda-san จึงเลือกที่จะไม่ประนีประนอมกับประเด็นเรื่องเส้นสายของตัวรถ เขาให้ความสำคัญกับการออกแบบภายนอกและภายใน ซึ่งต้องนั่งสบาย ไม่เบียดเสียดกัน ขณะเดียวกัน ต้องยกระดับความประหยัดน้ำมันให้เพิ่มมากขึ้น ยกระดับความเงียบในห้องโดยสาร รวมถึงการเกาะถนน ชนิดที่ว่าถ้าเทียบกับรุ่นก่อนแล้ว ต้องเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน

มิติใหม่ของ Yaris: ความยาวที่เพิ่มขึ้น ประโยชน์ใช้สอยที่เหนือกว่า

Toyota Yaris ใหม่ มีตัวถังยาว 4,115 มิลลิเมตร กว้าง 1,700 มิลลิเมตร สูง 1,475 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,550 มิลลิเมตร

เมื่อเปรียบเทียบกับ Yaris รุ่นก่อน ซึ่งมีตัวถังยาว 3,800 มิลลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตร สูง 1,520 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,460 มิลลิเมตร จะพบว่า Yaris ใหม่ ยาวขึ้นกว่าเดิมถึง 315 มิลลิเมตร กว้างขึ้นแค่ 5 มิลลิเมตร แต่เตี้ยลง 45 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาวขึ้น 90 มิลลิเมตร

สิ่งที่เพิ่มขึ้นตามมาก็คือ มิติในด้านต่างๆ ของตัวรถที่จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นระยะห่างระหว่างผู้โดยสารตอนหน้าและหลังเพิ่มขึ้นเป็น 912 มิลลิเมตร (มากกว่าเดิม 46 มิลลิเมตร) พื้นที่วางเท้าสำหรับผู้โดยสารด้านหลังมีความยาวถึง 663 มิลลิเมตร (ยาวกว่าเดิม 77 มิลลิเมตร) แผงพนักพิงเบาะหลังกว้างขวางขึ้นขนาด 1,310 มิลลิเมตร (มากกว่ารุ่นเดิม 10 มิลลิเมตร) ระยะห่างจากจุดกึ่งกลางล้อหลัง – กันชนหลัง มีความยาวเพิ่มขึ้นเป็น 690 มิลลิเมตร (ยาวกว่ารุ่นเดิม 110 มิลลิเมตร) ทำให้ห้องเก็บสัมภาระท้ายรถมีความยาวถึง 734 มิลลิเมตร (ยาวกว่ารุ่นเดิม 140 มิลลิเมตร) จนมีปริมาตรความจุถึง 326 ลิตร

การออกแบบภายนอก: ความเฉียบคมที่ยังคงเอกลักษณ์

เส้นสายภายนอก มาในสไตล์เฉียบคม เน้นเหลี่ยมสัน พร้อมกระจังหน้าที่ดูคล้ายกับ Mitsubishi RVR/ASX หรือ Lancer EX เสียด้วยซ้ำ แต่เพิ่มความแตกต่างด้วยแถบสีเงินแบบหนวดปลาดุก จนผมแทบอยากจะตั้งฉายารถคันนี้ว่า “Yaris รุ่นลุงหนวด!”

กระจังหน้าในรุ่น G กับ E จะเป็นหนวดสีเงิน ส่วนรุ่น J และ J ECO เป็นหนวดสีดำ มือจับประตูด้านข้างรุ่น G จะเป็นโครเมียม ส่วนรุ่นอื่นๆ จะเป็นสีเดียวกับตัวถัง

ชุดไฟหน้ารุ่น G จะเป็นโคมไฟแบบโปรเจคเตอร์ ส่วนรุ่นอื่นๆที่เหลือ จะเป็นไฟหน้าแบบ Multi Reflector ธรรมดา

กระจกมองข้างรุ่น G, E และ J จะเป็นสีเดียวกับตัวถัง ส่วนรุ่น J ECO จะเป็นสีดำ เฉพาะรุ่น G จะมีไฟเลี้ยวติดตั้งมาให้ด้วย

รายละเอียดภายนอกบางชิ้น สามารถใช้ร่วมกับ Vios ได้ ตัวอย่างเช่น ครีบรีดอากาศที่เสาขอบประตู ใกล้กับกระจกมองข้าง หรือมือจับประตูทั้ง 4 ชิ้น กระจกหน้าต่างคู่หน้า ก็สามารถใช้ทดแทนร่วมกันได้กับ Vios กระจกบังลมหน้า ในรุ่น G ก็ยังเป็นแบบ Acoustic Glass เสริมฟิล์มสอดแทรกเป็นไส้กลาง ช่วยลดเสียงรบกวนขณะขับขี่

ส่วนบั้นท้ายนั้น ด้วยเหตุที่ทีมออกแบบน่าจะอยากสร้างความต่อเนื่องของเส้นสายจากหน้าต่างประตูคู่หลัง จรดกระจกบังลมหลัง จึงต้องมีแผงพลาสติกสีดำ Glossy มาแปะไว้ เชื่อมต่อไม่ให้เส้นสายสะดุด แล้วทำชุดไฟท้ายให้มีกรอบทรงประหลาดๆ โดยใช้กรอบท่อนล่างของ Vios ลากเส้นขึ้นไปให้ยาว ในแบบที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครอยากเหมือน

เข้าใจละว่า อยากทำไฟท้ายให้ฉีกแนว ล้ำอวกาศ เหมือนในรถต้นแบบ Dear Qin แต่พอออกมาจริงๆ นอกจากจะไปละม้ายคล้ายคลึงกับไฟท้ายของ Peugeot 208 รุ่นใหม่กันแล้ว มันยิ่งไปทำลายความลงตัวของงานออกแบบฝาประตูคู่หลังและบานประตูคู่หลัง จนทำให้บั้นท้ายดูแปลกๆ ประดักประเดิดในเส้นสายอย่างน่าเสียดายยิ่ง เหมือนมีใครเอาก้อนเลือดกำเดาไหลไปแปะอยู่กับไฟท้ายของ Vios ยังไงยังงั้น!

ทุกรุ่นติดตั้งใบปัดน้ำฝนพร้อมที่ฉีดน้ำล้างกระจกบังลมหลังมาให้ เช่นเดียวกับทับทิมสะท้อนแสงมุมกันชนด้านล่าง รวมถึงมีสปอยเลอร์เหนือกระจกบานหลังมาให้แทบทุกรุ่น

ส่วนแถบประดับเหนือช่องใส่ป้ายทะเบียนหลัง ในรุ่น G จะเป็นแถบโครเมียม รุ่น E เป็นสีเดียวกับตัวถัง ส่วนรุ่น J จะเป็นสีดำ

รุ่น G จะให้ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้วพร้อมยาง ขนาด 185/60 R15 ขณะที่รุ่น E จะได้ล้อกระทะ 15 นิ้วพร้อมฝาครอบล้อแทนล้ออัลลอย แต่ถ้าเป็นรุ่น J จะได้ล้อกระทะ 14 นิ้วพร้อมฝาครอบล้อที่สวมยางขนาด 175/65 R14 แต่รุ่นถูกสุด J Eco จะไม่มีแม้แต่ฝาครอบล้อมาให้เลย เป็นเพียงล้อกระทะเหล็กสีดำพร้อมยางขนาดเดียวกันกับรุ่น J คือ 175/65 R14 ธรรมดา บ้านๆ โล้นๆ

ภายในห้องโดยสาร: ความคุ้นเคยจาก Vios สู่มิติที่กว้างขวาง

ระบบกุญแจในรุ่น G จะเป็นรีโมทกุญแจแบบ Keyless-Entry หากพกรีโมทไว้กับตัว ก็สามารถเดินเข้ามากดปุ่มสีดำที่มือจับเพื่อเปิดประตูรถ และกดปุ่มสีดำเพื่อสั่งล็อก หากปิดประตูเพื่อออกจากตัวรถ ติดเครื่องยนต์ด้วยการกดปุ่ม Push Start ซึ่งติดตั้งอยู่ฝั่งขวา ตำแหน่งเดียวกันกับ Vios พร้อมระบบกันขโมยนิรภัย Immobilizer และระบบเตือนการโจรกรรม TDS (Theft Deterrent System) มาให้ ส่วนรุ่น E จะเป็นกุญแจรีโมทแบบไข แต่ในรุ่นอื่นๆ จะเป็นกุญแจแบบมาตรฐานสหกรณ์ของ Toyota ตามปกติ โดยเฉพาะรุ่น J กับ J ECO นั้น หน้าตาของกุญแจ ชวนให้นึกถึงดอกกุญแจของ Toyota Hilux Mighty-X รุ่นปี 1990 กันเลยทีเดียว!

ในเมื่อเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar, กรอบช่องประตูคู่หน้า และเสาหลังคาคู่กลาง B-Pillar ยกชุดมาจาก Vios ดังนั้น ถ้านำ Vios ใหม่ และ Yaris ใหม่ มาจอดขนาบข้างเคียงคู่กัน ถ้าคุณพบว่าการลุกเข้า-ออก จากเบาะนั่งคู่หน้าของทั้ง 2 รุ่น มันเหมือนกันเป๊ะ! ไม่ต้องแปลกใจครับ มันก็จะเป็นไปตามที่คุณคิดเอาไว้เป๊ะเลยนั่นแหละ! ถ้ามันต่างกันเนี่ยสิ แสดงว่าประสาทสัมผัสของคุณต้องมีปัญหาแล้วแหงๆ

การเข้า-ออก ขึ้นลงจากบานประตูคู่หน้า อาจต้องใช้ความระมัดระวังสักเล็กน้อย เนื่องจากเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ค่อนข้างลาดเอียง แนะนำว่าสำหรับคนตัวสูงหรือศีรษะใหญ่โต ควรปรับตำแหน่งเบาะคนขับให้ต่ำที่สุดก่อน เพื่อช่วยลดโอกาสที่ศีรษะจะไปโขกกับเสาหลังคาคู่หน้า

แผงประตูด้านข้าง ออกแบบให้ตำแหน่งวางแขนอยู่ในระดับที่เหมาะสม เหมือนใน Vios รุ่น G ที่ทดลองขับนี้ ตกแต่งด้วยวัสดุพลาสติกสีเงิน Metallic ประดับเข้ากับพลาสติกสีดำ กัดลายขึ้นรูปเป็นลายฝีเข็มหลอกๆ เหมือนแผงหน้าปัด

มือจับประตูด้านข้าง ออกแบบเป็นช่องวางโทรศัพท์มือถือชั่วคราวได้ในตัว ช่องวางของด้านล่างของแผงประตู ใส่ขวดน้ำขนาด 7 บาท ได้สบายๆ และยังพอมีพื้นที่เหลือพอให้เสียบสมุดโน้ตเล่มเล็กๆ ได้อยู่ มือจับเปิดประตูด้านในรถ ของรุ่น G เป็นพลาสติกชุบโครเมียม ทั้ง 4 จุด

เบาะนั่งคู่หน้า เป็นไปตามคาดครับ ยกเบาะผ้าสีดำจาก Vios ใหม่มาติดตั้งให้ใช้กันยกชุด! เปลี่ยนแค่ลายผ้าเบาะตรงกลางจากสีน้ำเงินมาเป็นสีส้ม พร้อมตะเข็บเย็บเชื่อมผ้าหุ้มเบาะสีส้ม เพื่อเพิ่มบุคลิก Sport ให้แตกต่างจาก Vios อีกเพียงนิดเดียว แน่นอนว่า สัมผัสจากแผ่นหลังของผมที่พบเจอ จึงไม่ต่างจากเบาะของ Vios ใหม่เลย

โครงสร้างเบาะนั่งคู่หน้า สามารถปรับเลื่อนขึ้นหน้า-ถอยหลัง ได้มากขึ้น จากเดิม 240 มิลลิเมตร เป็น 260 มิลลิเมตร และซอยจังหวะในการเลื่อนให้ถี่ขึ้น จาก 16 เป็น 26 จังหวะ ส่วนเบาะคนขับสามารถปรับระดับสูง-ต่ำ ได้ด้วยก้านโยก เพิ่มขึ้นจาก 45 เป็น 60 มิลลิเมตร

นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบด้านหลังเบาะให้มีส่วนเว้าเพิ่มขึ้น 38 มิลลิเมตร เพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างหัวเข่าผู้โดยสารด้านหลังกับเบาะหน้า เพิ่มขึ้นเป็น 48 มิลลิเมตร

พนักพิงศีรษะของเบาะหน้า ออกแบบมาให้รองรับได้สบายกำลังดี ขณะที่พนักพิงหลัง ถูกออกแบบให้เว้าลึกเข้าไป โอบกระชับสรีระมากขึ้น อีกทั้งยังรองรับช่วงหัวไหล่และสะโพกดีขึ้นกว่าเดิมชัดเจน ถือว่าแก้ปัญหาเบาะนั่งไม่สบายใน Yaris รุ่นเดิม ได้จนเกือบจะจบ เพราะเบาะรุ่นเดิมนั้น ทำเอาแผ่นหลังของผมเกิดอาการปวดหลังได้เพียง 15 นาที ที่ขึ้นไปนั่งขับ แต่เบาะของ Vios/Yaris ใหม่ ผมต้องใช้เวลานานกว่านั้น ราวๆ เกือบชั่วโมง จึงจะเริ่มมีอาการเมื่อยปรากฏขึ้นมา

แต่สิ่งที่ยังแก้ไม่จบ และควรปรับปรุงกันต่อไป นั่นคือ เบาะรองนั่งยังคงสั้นไปหน่อย ถ้าเพิ่มความยาวมากกว่านี้อีกราวๆ 10 มิลลิเมตร น่าจะช่วยให้การรองรับต้นขา ขณะขับขี่ทางไกล สบายขึ้นกว่านี้อีกนิดนึง

อีกประเด็นที่น่าตำหนิเป็นที่สุด นั่นคือ เข็มขัดนิรภัยแบบ ELR 3 จุดนั้น ปรับระดับสูง-ต่ำไม่ได้ ที่พบเจอใน Vios ยังโผล่มาให้เห็นใน Yaris อีกด้วย ถือว่าเป็นการลดต้นทุนอย่างน่าเกลียดมาก ทีถุงลมนิรภัยยังใส่มาให้ตั้ง 2 ใบ แล้วทำไมอุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐาน อย่างระบบปรับระดับความสูง-ต่ำของเข็มขัดนิรภัยคู่หน้า ทำไมจึงไม่ใส่มาให้?

นอกจากนี้ ยังไม่มีที่วางแขนสำหรับคนขับมาให้เลยแม้แต่รุ่นเดียว น่าเสียดายจริงๆ

ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะ ก็ไม่ต่างไปจาก Vios ใหม่เลย สัมผัสได้ชัดเจนว่ามีพื้นที่โปร่งโล่งสบายกว่า Yaris รุ่นก่อน ชัดเจนแบบไม่ต้องสืบ แค่ลองสลับกันนั่งระหว่างรถรุ่นเก่ากับรถรุ่นใหม่ คุณก็จะรู้เอง

พื้นที่ด้านหลัง: ความสบายที่เหนือกว่า

การลุกเข้า-ออก จากประตูคู่หลังนั้น แม้ว่าช่องทางเข้าจะกว้างขึ้นกว่า Yaris รุ่นเดิม แต่ อย่าชะล่าใจเชียวละ! เพราะผมต้องก้มหัวลงเพิ่มจากระดับปกติอีกพอสมควร ไม่เช่นนั้น หัวของผมจะโขกเข้ากับด้านบนของกรอบทางเข้าไปเต็มๆ สภาพแบบนี้ ไม่ต่างจากที่เจอมาใน Vios ใหม่กันเลยแม้แต่น้อย

กระจกหน้าต่างไฟฟ้าคู่หลัง สามารถเลื่อนเปิดลงมาได้จนสุดขอบราง แผงประตูคู่หลัง มีพื้นที่วางแขนในระดับพอใช้งานได้ ข้อศอกเกือบจะวางลงไปได้ (แต่ถ้าเป็นเด็กตัวเล็กๆ หรือสูงน้อยกว่าผม คาดว่าน่าจะวางข้อศอกลงไปได้พอดีๆ แต่ไม่มีการบุหนังหรือวัสดุอ่อนนุ่มใดๆ และไม่มีช่องใส่ของด้านข้างมาให้เลยทั้งสิ้น)

จุดขายสำคัญของ Yaris ใหม่ อยู่ที่เบาะหลัง ซึ่งมีพื้นที่กว้างใหญ่และโอ่โถงที่สุด เบาะหลัง มีพนักพิงที่รองรับแผ่นหลังรวมทั้งช่วงหัวไหล่พอสบายใช้ได้ ฟองน้ำแน่นกำลังดี ไม่แข็งและไม่นิ่มจนเกินไป

พนักศีรษะทั้ง 2 ฝั่ง ออกแบบให้ใช้งานได้จริง รองรับศีรษะได้สบาย เว้นเสียแต่พนักศีรษะตรงกลางรูปตัว L คว่ำ ซึ่งจะต้องยกขึ้นใช้งาน จึงจะไม่ทิ่มตำต้นคอ และถ้าเป็นไปได้ จะถอดออกแล้วเก็บไว้ในบ้านก็คงไม่เสียหายอะไรด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ไม่มีที่วางแขนแบบพับเก็บได้ และไม่มีช่องวางแก้วสำหรับผู้โดยสารด้านหลังมาให้เลย ซึ่งจะว่าไป ก็ไม่ต่างไปจาก Eco Car ตัวถัง Hatchback 5 ประตูคันอื่นๆ ในตลาดกันนักหรอก

เบาะรองนั่ง ออกแบบมาได้กำลังดี แต่สั้นไปหน่อย กระนั้น ถ้าจะให้ยาวกว่านี้ ก็คงทำได้แค่นิดเดียว มิฉะนั้น อาจต้องมานั่งปาดขอบเบาะ เพื่อให้พอจะเหลือพื้นที่เหวี่ยงขา ขณะลุกเข้า-ออก จากประตูคู่หลัง ซึ่งคงไม่ดีแน่ ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนั้น

พื้นที่เหนือศีรษะ สำหรับคนตัวสูง 171 เซนติเมตร อย่างผม จะเหลือให้สามารถสอดนิ้ว 3 นิ้วในแนวนอน แทรกกลางระหว่างปลายเส้นผมกับเพดานหลังคาด้านบนได้พอดีๆ ผมละนึกเสียดาย เพราะอยากได้พื้นที่เหนือศีรษะแบบนี้ใน Vios ใหม่ชะมัด แต่ดูเหมือน Toyota จะไม่สามารถทำตามข้อเรียกร้องนี้ได้ใน Vios รุ่นปัจจุบันนี้

ส่วนพื้นที่วางขานั้น ใหญ่สะใจ สมกับที่ถูกออกแบบมาให้เป็นรถยนต์ B-Segment Hatchback ตั้งแต่แรก เพราะคนตัวใหญ่อย่างผม ยังสามารถนั่งไขว่ห้างได้อย่างสบาย ทั้งที่ได้ปรับเบาะคนขับให้อยู่ในระดับที่ขับใช้งานตามปกติด้วยซ้ำ!

ดังนั้น ผมจึงยืนยันให้ตรงนี้เลยว่า พื้นที่นั่งโดยสารของ Yaris ใหม่ ใหญ่โต โอ่อ่าโอลั่นล้า เป็นที่สุด ในบรรดา Eco Car ทุกคันที่ผลิตขายในประเทศไทย จนถึงปี 2016!

ความปลอดภัย: มาตรฐานที่ควรมีมากกว่านี้

เหนือบานประตูทั้ง 4 บาน มีมือจับยึดเหนี่ยวจิตใจ (ศาสดา) มาให้ครบทั้ง 4 ตำแหน่ง…เนี่ย ที่ของแบบนี้มีมาให้ครบ ทีเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าปรับระดับสูง-ต่ำได้ เห็นถอดออกกันไปหน้าตาเฉยเลยเนี่ยนะ?

เข็มขัดนิรภัยสำหรับเบาะแถวหลังนั้น มีมาให้เป็นแบบ ELR 3 จุดทุกที่นั่ง แต่สำหรับผู้โดยสารตรงกลางนั้น ถูกติดตั้งไว้กับเสาหลังคาด้านหลังสุด C-Pillar ฝั่งซ้ายของตัวรถ แล้วลากสายโยงเชื่อมจุดยึดมาที่กึ่งกลางเพดานหลังคา ก่อนจะลากเชื่อมลงมาให้ได้ใช้งานกัน

Matsuda-san บอกว่า ในช่วงพัฒนา มีการถกเถียงถึงประเด็นนี้เยอะมาก เพราะเขาและทีมงานตั้งใจจะออกแบบให้มีเข็มขัดนิรภัย 3 จุดสำหรับผู้โดยสารตรงกลางอยู่แล้ว แต่ราคาก็ต้องถูกพอที่ลูกค้าจะจ่ายได้ แถมยังต้องออกแบบไม่ให้บดบังทัศนวิสัยในขณะถอยหลังเข้าจอดอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย

ถ้าจะพับม้วนเก็บให้เรียบร้อย ต้องออกแบบให้สายเข็มขัดวางพาดผ่านหัวไหล่ของผู้โดยสารตรงกลาง แต่ถ้าเช่นนั้น อาจถึงขั้นต้องออกแบบโครงสร้างของชุดเข็มขัดฝังรั้งตรึงไว้ในชุดเบาะหลัง ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนให้มากขึ้นไปอีก ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่ว่า ทำไมเข็มขัดนิรภัย 3 จุดสำหรับผู้โดยสารตรงกลางบนเบาะหลัง ถึงต้องออกแบบให้เป็นอย่างนี้

ส่วนเข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารฝั่งซ้ายและขวา มีสายล็อกป้องกันไม่ให้สายเข็มขัดเคลื่อนตำแหน่ง มาในแบบใช้สายผ้าติดกระดุมแป๊ก เหมือนกับที่พบได้บนบ่าข้างของเบาะคู่หน้าใน Toyota 86 และมีร่องสำหรับเสียบยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็กมาตรฐาน ISOFIX มาให้

พนักพิงเบาะนั่งด้านหลัง ในรุ่น G กับ E จะแบ่งพับแยกฝั่งซ้าย-ขวาได้ในอัตราส่วน 60:40 แต่ถ้าเป็นรุ่น J กับ J ECO เบาะหลังพับได้จริงอยู่ แต่ต้องพับพนักพิงทั้งแผงลงมาเป็นก้อนเดียวกันไปเลย เหมือนบรรดา Eco Car Hatchback รุ่นปี 2010-2011 ทั่วๆไป

ตำแหน่งของก้านปลดล็อกพนักพิงเบาะกับตัวถังนั้น ไม่ได้ติดตั้งที่หัวไหล่ของพนักพิง หาแต่ติดตั้งอยู่ที่ฝานังด้านข้างทั้ง 2 ฝั่ง เป็นปุ่มกดลงไปเพื่อปลดล็อกแล้วพับพนักพิงลงมาได้ทันที

พื้นที่เก็บสัมภาระ: กว้างขวางเกินคาด

ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง ใช้ระบบกลอนไฟฟ้า เชื่อมต่อสัญญาณกับรีโมทกุญแจ Keyless Entry แต่บางกรณี ถ้ายังติดเครื่องยนต์อยู่ ก็อาจไม่ยอมปลดล็อกให้บ้างเหมือนกัน จำเป็นต้องดับเครื่องยนต์ก่อน แล้วค่อยเดินมาเปิดฝาประตูหลังกันอีกรอบ ให้หน่ายจิต เปลืองอุรา

รอบกรอบช่องทางเข้าห้องเก็บของด้านหลัง บุพลาสติกมาให้เรียบร้อยครบถ้วน ต่างจาก Eco Car หลายๆ รุ่น ที่ยังปล่อยเปลือยให้เห็นผิวของเนื้อเหล็กสีตัวถังรถกันอยู่ ฝาประตูค้ำยันด้วยช็อกอัพไฮโดรลิค 2 ต้น มีแผงบังสัมภาระ ที่สามารถปล่อยวางอยู่กับที่ หรือยกขึ้นพร้อมกับฝาประตูหลังได้ เพียงแค่เกี่ยวห่วงที่สายเชือกเล็กๆ ทั้ง 2 ฝั่งเข้ากับขอเกี่ยวยึดบริเวณติดกับขอบกระจกบังลมหลังด้านใน

แต่บานประตูห้องเก็บของด้านหลังนั้น ไม่มีการบุพลาสติกใดๆมาให้ มีเพียงแค่บุผนังด้านใน และออกแบบช่องมือจับสำหรับดึงฝาประตู ปิดลงมาบริเวณฝั่งขวาของกลอนประตูแค่นั้น

ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง มีความยาว 734 มิลลิเมตร เพิ่มขึ้นจาก Yaris รุ่นเดิมถึง 140 มิลลิเมตร มีปริมาตรความจุ 326 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA เยอรมันี สามารถบรรจุกระเป๋าเดินทางขนาดกลาง แบบ Hard Case ได้ 3 ใบ พร้อมกระเป๋าเดินทางแบบสะพายไหล่ อีก 1-2 ใบ ถือว่ามีความจุเยอะสุดในบรรดา Eco Car ตัวถัง Hatchback ทุกคันในบ้านเราตอนนี้

ผนังด้านข้างฝั่งซ้าย มีไฟส่องสว่างในห้องเก็บของ เปิด-ปิดได้ด้วยสวิตช์ที่ฝังมาในตัว และเมื่อยกพื้นห้องเก็บของขึ้นมา จะพบยางอะไหล่ Dunlop SP10 ขนาด 175/65 R14 อันเป็นขนาดยางมาตรฐานของรุ่น E, รุ่น J และ J ECO มาให้ พร้อมเครื่องมือและแม่แรงประจำรถจากโรงงาน

แผงหน้าปัดและระบบความบันเทิง: ความคุ้นเคยจาก Vios

แผงหน้าปัด หน้าตาคุ้นๆ ก็ไม่ต้องงงหรอกครับ ยกชุดมาจาก Vios ใหม่ทั้งดุ้น เหมือนกันอย่างกับแกะ มากันครบ ไม่เว้นแม้กระทั่งแนวตะเข็บเส้นด้าย หรือ Stitch ซึ่งเป็นลายตะเข็บแบบหลอกๆ ด้วยวิธีปั๊มชิ้นส่วนพลาสติกขึ้นรูปให้มีลวดลายแบบที่เห็นอยู่นี้ เพื่อเพิ่มความหรูให้กับตัวรถ ก็ยังเหมือนกันชนิดที่เรียกได้ว่า พิมพ์เขียวลงประทับตรา สำเนาถูกต้อง!

เพียงแต่วัสดุการตกแต่ง แตกต่างกันเล็กน้อย ไปตามแต่ละรุ่นย่อย แถมวัสดุประดับบริเวณกรอบนอกของชุดเครื่องเสียง ก็ยังเป็นพลาสติกพื้นผิวเรียบๆ มิได้มีพื้นผิว Texture พิเศษ แบบหน้ากากชุดเครื่องเสียงแต่อย่างใด

แถบโค้งต่อเนื่องจากช่องแอร์ด้านข้างทั้ง 2 ฝั่ง เข้าหาแผงควบคุมกลาง จะเป็นพลาสติกสีดำปกติ ไม่ได้ประดับด้วย Trim ดำเงา หรือสีเงิน อย่างใน Vios ใหม่ แต่อย่างใดทั้งสิ้น

ทว่า ฐานคันเกียร์, แผงมือจับประตูทั้ง 4 บาน และกรอบของช่องวางโทรศัพท์มือถือ ใน Yaris รุ่น G ประดับด้วย Trim สีเงินแทน…ช่างดูให้ชวนงุนงงจริงๆ

มองขึ้นไปด้านบน จะพบวัสดุบุเพดานหลังคาแบบ Recycle เป็นสีดำตามปกติ แต่มีแผงบังแดดพร้อมกระจกแต่งหน้า แบบมีฝาปิดมาให้ทั้งฝั่งคนขับและฝั่งโดยสาร แต่ไม่ยักมีไฟแต่งหน้ามาให้ คงคิดว่าใช้ไฟส่องสว่างในเก๋ง พร้อมไฟส่องอ่านแผนที่แยกกดเปิด-ปิดในตัว น่าจะเพียงพอแล้ว…ซึ่งความจริงแสงแค่นั้นมันจะไปพออะไร!

จากฝั่งขวามาทางซ้ายของแผงหน้าปัด ยังคงยกชุดสลับสับเปลี่ยนกับ Vios ได้แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้าทั้ง 4 บาน แบบมีสวิตช์ Auto One-Touch กดเลื่อนลง หรือดึงเลื่อนขึ้นจนสุดเพียงจังหวะเดียว พร้อมสวิตช์ล็อกกระจกหน้าต่างฝั่งผู้โดยสารทั้ง 3 บาน และ Central Lock บนแผงประตูฝั่งคนขับ สวิตช์กระจกมองข้างปรับและพับด้วยระบบไฟฟ้า กับสวิตช์ติดเครื่องยนต์ Push Start ใต้ช่องแอร์ฝั่งคนขับ ช่องวางแก้วแบบเลื่อนเปิด-ปิดได้ ใต้ช่องแอร์ฝั่งคนขับและผู้โดยสารด้านซ้ายสุด

พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน พร้อมสวิตช์ Multi Function ควบคุมชุดเครื่องเสียงบนก้านพวงมาลัยฝั่งซ้าย ยกมาจาก Vios มี Grip ที่จับถนัดมือ แต่มีระยะห่างจากขอบด้านบนสุดของมาตรวัดน้อยมาก เท่ากันกับ Vios ไม่มีผิด ภาพรวมดูแล้วรู้ได้เลยว่า จงใจออกแบบให้เน้นต้นทุนการผลิตที่ต่ำที่สุด ยังดีที่ในรุ่น G พวงมาลัยยังหุ้มหนังมาให้ด้วย

อยากบอกเลยว่า พวงมาลัยคือสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มความรู้สึกดีๆ ให้ผู้คนอยากขับรถคันนั้นๆ ถ้าออกแบบให้มันดูสวยไม่ได้ เพราะมานั่งคำนึงว่าต้นทุนจะแพงไปนั้น ผมว่าเลิกทำรถขาย แล้วกลับไปอยู่บ้านเลี้ยงลูกเมียยังดีซะกว่า! งกไม่เข้าเรื่อง ในเรื่องไร้สาระแบบนี้เนี่ยนะ??

บนก้านสวิตช์เปิดไฟหน้า, ไฟเลี้ยว และไฟสูงบนคอพวงมาลัยฝั่งขวา ไม่ต้องคลำหาสวิตช์ไฟตัดหมอกหน้านะครับ เพราะ Yaris ใหม่ ไม่มีไฟตัดหมอกหน้ามาให้เลยแม้แต่รุ่นเดียว

ส่วนก้านสวิตช์ใบปัดน้ำฝนพร้อมที่ฉีดน้ำด้านหน้า มีระบบหน่วงเวลา และสามารถตั้งเวลาในการหน่วงให้ปัดเร็ว-ช้าได้ เฉพาะรุ่น G และ E

ชุดมาตรวัด เป็นแบบ 3 วงกลมเหมือนกัน ตำแหน่งสัญญาณไฟเตือนต่างๆ ก็เหมือนกัน ตอนกลางคืน ก็เรืองแสงสีขาวเป็นหลักเหมือนกัน แม้กระทั่ง Font ตัวเลขที่อ่านง่าย แบ่งขีดความเร็วชัดเจน และดูคล้ายยกมาจากตัวเลขในป้ายโฆษณาของห้าง TESCO Lotus ก็ยังคงเหมือนกันกับ Vios รุ่น Top 1.5 S เพียงแต่ว่า ลวดลาย Graphic บนพื้นหลัง ถูกออกแบบให้ใช้โทนสีแดงเป็นหลัก นัยว่าเพิ่มบุคลิก Sport ให้มากขึ้น

เฉพาะรุ่น G จอแสดงข้อมูลตรงกลาง เปลี่ยนมาเป็นสีส้ม ตัวเลข Digital สีดำ บอกตำแหน่งเกียร์, มาตรวัดระยะทางรวมทั้งหมดตั้งแต่รถเริ่มผลิต Odometer, มาตรวัด Trip Meter A และ B, อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย, ความเร็วเฉลี่ย และระยะทางที่น้ำมันในถังยังเหลือพอให้รถแล่นต่อไปได้อีกกี่กิโลเมตร

แต่ที่ยังคงต้องตำหนิกันตามเดิมก็คือ ลายกราฟฟิคบนพื้นหลังของมาตรวัดยังคงเป็นพื้นเรียบๆ แบนๆ ไร้มิติ แบบเดียวกับที่เด็กประถมเขาลองหัดเล่น โปรแกรม Paintbrush ใน Windows 98 แล้วพิมพ์ออกมาผ่านทาง Printer แบบ Dot Matrix เก่าๆ ที่เอาไว้ใช้พิมพ์บิลหรือใบเสร็จ ก่อนจะมาตัดเป็นวงกลมเพื่อแปะเป็นพื้นหลังของมาตรวัด….

ช่วยออกแบบให้ดูดีมีมิติชัดตื้นลึกกว่านี้ และดูจงใจลดต้นทุนน้อยกว่านี้ได้ไหม?

ชุดเครื่องเสียง เป็นวิทยุ AM/FM พร้อมช่องใส่แผ่น CD/MP3/WMA ได้ 1 แผ่น และมีช่องเสียบ USB และ AUX มาให้ ถ้าเป็นรุ่น G กับ E จะมีลำโพงมาให้ 4 ชิ้น แต่ถ้าเป็นรุ่น J กับ J ECO จะมีเพียงแค่ 2 ชิ้นเท่านั้น

คุณภาพเสียง ก็ไม่ต่างจากใน Vios นั่นละครับ คือไม่ใช่ขั้นเทพ พอฟังได้ รับคลื่นชัด หน้าจอสีส้ม บอกภาษาได้ทั้ง อังกฤษ, ไทย, ญี่ปุ่น แม้แต่ภาษาจีน! International กันดีเลยทีเดียว! อีกหน่อย จะอ่านภาษาฮิบรูได้ด้วยเลยก็ดีนะ!

ส่วนสวิตช์เครื่องปรับอากาศ ในรุ่น G เป็นแบบมีหน้าจอ Digital มาให้ ยกชุดจาก Vios เช่นกัน ให้ความเย็นสะใจตามสไตล์ DENSO แต่การใช้งานยังคงสร้างความสับสนได้ โดยเฉพาะสวิตช์ฝั่งซ้ายสุด ที่เลือกจะรวมการหมุนเลือกความแรงพัดลม, ทิศทางลมจากช่องแอร์ และตัวเลขอุณหภูมิไว้ในสวิตช์หมุนชุดเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกกดปุ่ม Mode ใด บางทีถ้าไม่ละสายตาจากถนนข้างหน้า ลงมาเปลี่ยน Mode เอง ก็อาจสับสนได้

ชวนให้นึกถึงสวิตช์แบบมือบิดวงกลม 3 วงในรุ่น E, J และ J ECO ขึ้นมาชะมัด! ใช้งานง่ายสะดวกสบาย คลำหาก็จำได้ว่าต้องหมุนต้องเปลี่ยนอะไร แต่ดันออกแบบมาไม่สวย…เฮ้อ…!

ช่องวางโทรศัพท์มือถือ ใต้สวิตช์เครื่องปรับอากาศ ด้านหลังคันเกียร์ ที่ผมเคยบ่นด่ามาแล้วในบทความรีวิว Vios ว่าจะทำมาให้วางมือถือกันแบบนี้ ทำไม ก็ยังคงปรากฏตัวให้เห็นใน Yaris กันอีกด้วย ผมมองว่าเป็นการออกแบบที่พยายามเอาใจลูกค้า แต่ไม่ค่อยสอดคล้องกับสภาพการใช้งานจริง เพราะถ้าเจอถนนขรุขระ หรือเลี้ยวซ้ายแรงไปหน่อย โอกาสที่โทรศัพท์จะหล่นลงมาอยู่บนพื้นที่วางขาฝั่งคนขับมีอยู่เหมือนกัน และนั่นไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ในแง่ความปลอดภัย

สู้ทำเป็นช่องใส่ของลึกๆ ตามเดิมไว้ให้เจ้าของรถเขาเลือกเอาเองว่าจะวางข้าวของอะไรตามอำเภอใจไปเลยจะดีกว่า ทำแบบนี้!

กล่องเก็บของบนแผงหน้าปัดฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า Glove Compartment ยกมาจาก Vios เช่นกัน ดูจากฝาภายนอกเหมือนจะใหญ่ แต่เอาเข้าจริง แค่ใส่คู่มือผู้ใช้รถ, สมุดรับประกัน และเอกสารประกันภัย ก็ล่อเข้าไปครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทั้งหมดแล้ว แถมยังคงกั้นพื้นที่กล่องเก็บของฝั่งขวาไว้อย่างที่เห็นในภาพ สงสัยว่าขนาดของเครื่องปรับอากาศมันใหญ่จนต้องงอกออกมาทางด้านข้างเลยหรือ? เปลืองพื้นที่กล่องใส่ของโดยไม่จำเป็นจริงๆ

มองลงต่ำมานิดหน่อย ในขณะที่ Vios ให้กล่องเก็บของขนาดเล็กพร้อมฝาเปิดที่พยายามจะเป็นที่วางแขนในตัว แต่ Yaris กลับไม่มีอะไรให้มาเกินไปกว่าเบรกมือ 1 จุด, ช่องวางแก้วน้ำสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง 1 ตำแหน่ง, ช่องเสียบกล่อง CD ที่ใช้งานไม่ได้จริง เพราะใส่กล่อง CD ลงไปกล่องเดียวเนี่ยหลวม แต่พอใส่กล่อง 2 เข้าไปก็เบียดเสียดกันเกินไป แถมขับรถอยู่ดีๆ กล่อง CD ก็จะเลื่อนไหลหล่นไปอยู่บนพื้นที่วางขาของคนขับเสียอย่างนั้น

อย่างกและดูแต่คู่แข่งเลยครับ แค่ใส่กล่องวางของเพิ่มให้ก็ได้ใจลูกค้าแล้ว!

ทัศนวิสัย: โปร่งสบายกว่าเดิม

ทัศนวิสัยด้านหน้า ไม่ได้แตกต่างไปจาก Vios เลย แม้แต่กะพริบเดียว ไม่ว่าคุณจะมองไปทางฝากระโปรงหน้า, มองไปทางกระจกมองข้างฝั่งขวา หรือฝั่งซ้าย มุมมองจะไม่แตกต่างไปจากภาพที่คุณจะได้เห็น เมื่อนั่งอยู่หลังพวงมาลัยของ Vios ใหม่

แต่ถ้าเทียบกับ Yaris รุ่นเดิมแล้ว ทัศนวิสัยด้านหน้าดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมจนสัมผัสได้เลย!

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา นั้น มีการบดบังรถที่แล่นสวนมาบนทางโค้งของถนนสวนกันเลนเดียว น้อยลงไปจาก Yaris รุ่นเดิมมาก กระจกมองข้าง แม้จะให้การมองเห็นรถที่แล่นมาจากด้านหลังได้ดี แต่พื้นที่กรอบพลาสติกด้านใน ยังแอบกินพื้นที่เข้ามายังขอบล่างฝั่งขวาของบานกระจกมองข้างอยู่บ้างนิดนึง แต่ก็ไม่มีการบดบังใดๆ มากเท่ารถรุ่นเดิม

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย ยังแอบมีการบดบังรถที่แล่นสวนทางมาขณะเลี้ยวกลับอยู่บ้างในบางรูปแบบของจุดกลับรถ แต่จะพบปัญหานี้ได้ถ้าเกาะกลางถนน หรือคูน้ำกลางถนนค่อนข้างกว้าง นอกนั้น จะไม่มีปัญหามากนัก ถือว่าโปร่งขึ้นกว่า Yaris เดิม

กระจกมองข้างฝั่งซ้าย ก็ยังมองเห็นรถคันที่แล่นตามมาได้ดี เพียงแต่ขอบกระจกด้านล่างฝั่งซ้าย อาจถูกกรอบด้านในกระจกบดบังพื้นที่เข้ามาบ้าง กระนั้นก็ยังไม่มากนัก

แต่สำหรับทัศนวิสัยด้านหลังนั้น ในเมื่อเสาหลังคาคู่หลังมีขนาดใหญ่พอจะทำให้ นึกถึงเสาหลังคาคู่หลังของ Nissan Tiida Hatchback 5 ประตู ก็ต้องทำใจว่า อาจมีการบดบังจักรยานยนต์ที่แล่นตามมาจากด้านหลังฝั่งซ้ายของรถได้อยู่บ้าง ถ้าคิดจะเปลี่ยนช่องทางเข้าเลนคู่ขนาน ควรเพิ่มความระมัดระวังสักหน่อย และอย่าพึ่งพากระจกมองข้างฝั่งซ้ายเพียงอย่างเดียว

สมรรถนะ: เครื่องยนต์ Eco Car ที่เร่งแรงเกินคาด

เมื่อ Toyota ตัดสินใจให้ Yaris ใหม่ เปลี่ยนกลุ่มตลาด จากเดิมที่เป็น B-Segment Hatchback 1,500 ซีซี ให้ลงมาฟัดเหวี่ยงกับกลุ่ม B-Segment Eco Car Hatchback 1,200 ซีซี ทำให้ Toyota จำเป็นต้องลดขนาดเครื่องยนต์ลงมาจากเดิม เลิกใช้บริการเครื่องยนต์เก่า รหัส 1NZ-FE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,497 ซีซี หัวฉีด EFI พร้อมระบบแปรผันวาล์วเฉพาะหัวแคมชาฟต์ฝั่งไอดี VVT-i 109 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตันเมตร (14.36 กก.-ม.) ที่ 4,200 รอบ/นาที พร้อมเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ECT-i ที่เคยใช้พ่วงร่วมกันกับ Vios เดิม ทิ้งไป

แล้วแทนที่ด้วย เครื่องยนต์ 3NR-FE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ความจุกระบอกสูบเหลือแค่ 1,197 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 72.5 x 72.5 มิลลิเมตร (ห้องเผาไหม้แบบ Square สี่เหลี่ยมจตุรัส) กำลังอัด 11.5:1 หัวฉีด EFI มาพร้อมระบบแปรผันวาล์วที่หัวแคมชาฟต์ทั้งฝั่งวาล์วไอดี และไอเสีย Dual VVT-i มีระบบปรับตั้งระยะห่างของวาล์วอัตโนมัติ และมีระบบปรับความตึงของสายพานขับอัตโนมัติ กำลังสูงสุด 86 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 108 นิวตันเมตร (11.0 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที

เครื่องยนต์รุ่นนี้ ผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน Eco Car โดยใช้น้ำมันเครื่องที่มีค่าความหนืด 0W20 แต่สามารถใช้น้ำมันเครื่องที่มีค่าความหนืด 5W-20, 5W-30, 5W-40 และ 10W-30 หรือเกรด API SL “Energy-Conserving”, SM “Energy-Conserving”, SN “Resource-Conserving” หรือ ILSAC 15W-40 และ 20W-50 โดยการเปลี่ยนถ่ายแต่ละครั้ง ถ้าเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องด้วย จะต้องใช้ปริมาณ 3.4 ลิตร แต่ถ้าไม่เปลี่ยนไส้กรอง ก็จะเหลือ 3.2 ลิตร

น้ำมันเชื้อเพลิง เติมได้ทั้งเบนซินไร้สารตะกั่วทั่วไป ออกเทน 91 กับ 95 หรือแก๊สโซฮอลล์ 91 กับ 95 (เฉพาะ E10 และ E20 เท่านั้น) หม้อน้ำ ใช้น้ำหล่อเย็น 4.2 ลิตร หัวเทียนเป็นของ DENSO รุ่น SC16HR11 ระยะห่างระหว่างเขี้ยวของหัวเทียน 1.1 มิลลิเมตร

เกียร์ Super CVT-i: ทางเลือกเดียวที่น่าเสียดาย

เครื่องยนต์ลูกนี้ จะส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยทางเลือกที่มีเพียงแค่เกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน Super CVT-i แบบเดียวเท่านั้น โดยไร้เงาของเกียร์ธรรมดาอย่างที่ควรเป็น

อัตราทดเกียร์เดินหน้าอยู่ที่ 2.386 – 0.426:1 อัตราทดเกียร์ถอยหลังอยู่ที่ 2.505 – 1.736:1 ส่วนอัตราทดเฟืองท้ายสูงถึง 5.833:1

น้ำมันเกียร์ ต้องใช้ของ Toyota Genuine CVT Fluid FE เท่านั้น และไม่สามารถใช้ร่วมกับน้ำมันเกียร์ CVT ของ Corolla Altis ได้! ปริมาณในการเปลี่ยนถ่ายทั้งระบบ อยู่ที่ 6.4 ลิตร

เหตุผลที่ Yaris ใหม่ มีให้เลือกแค่เกียร์อัตโนมัติ CVT ไม่มีรุ่นเกียร์ธรรมดา Toyota อ้างว่าจากการสำรวจวิจัยตลาดในเมืองไทย พบว่าตลาดรถยนต์นั่งกลุ่ม Eco Car นั้นมีความต้องการเกียร์ธรรมดาไม่ถึง 5% จากยอดขายรวม ดังนั้นพวกเขาจึงมองว่าเกียร์ CVT น่าจะเป็นทางเลือกเดียวสำหรับลูกค้าชาวไทยไปเลยดีกว่า

อย่างไรก็ตาม มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างลอยมาว่า ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการที่ Yaris ใหม่ รุ่นเกียร์ธรรมดา อาจไม่ผ่านการทดสอบด้านมลพิษ คืออาจปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ออกมามากกว่ารุ่น CVT ไปจนเกินกว่าค่ากำหนดของรัฐบาล ที่อ้างอิงมาตรฐานมลพิษจาก UNECE ว่าต้องปล่อยก๊าซ CO2 ไม่เกิน 120 กรัม/กิโลเมตร จึงทำให้ไม่อาจวางจำหน่ายในไทยได้

เรื่องนี้เป็นเพียงอีกเสียงหนึ่งที่ได้ยินมา แต่จะเป็นจริงหรือเปล่านั้น ไม่มีใครกล้ายืนยัน จึงต้องขอบันทึกเอาไว้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีการพูดถึงเรื่องนี้ในลักษณะนี้เกิดขึ้นด้วย แค่นั้น…

Toyota บอกว่าเกียร์รุ่นนี้ มีปุ่ม Shift Lock สำหรับกดล็อกเพื่อปลดเกียร์ P ให้เลื่อนลงมาอยู่ในเกียร์ว่าง (N) เพื่อเลื่อนเข็นรถได้ นอกจากนี้ยังเคลมว่าเกียร์ CVT ลูกนี้ถูกออกแบบมาให้ใช้น้ำมันเกียร์ CVT ของตนโดยเฉพาะ และเป็นคนละเกรดกับที่ใส่ให้ในเกียร์ CVT ของ Corolla Altis MY 2010 ถึง 2013 อีกทั้งเกียร์ CVT ลูกนี้จะมีท่อหายใจยกไว้สูง จากเดิมที่เมื่อก่อนมักอยู่ด้านหลังของเกียร์ ก็เพื่อรองรับปัญหาน้ำท่วม ดังนั้นโอกาสที่เกียร์เกิดความเสียหายจากการลุยน้ำแบบไม่ตั้งใจจะลดน้อยลงจากเดิม

ขณะติดเครื่องยนต์ ในรถบางคันอาจเห็นว่าเข็มวัดรอบค่อนข้างต่ำ บางครั้งอาจมีอาการสั่นกระพรือเล็กๆ เกิดขึ้นได้ Toyota ชี้แจงว่าพวกเขาพยายามตั้งค่ารอบเดินเบาให้ต่ำที่สุด อยู่ที่ 600 รอบ/นาที เพราะออกแบบรถคันนี้มาให้ใช้งานในเมือง ดังนั้นเครื่องยนต์ต้องทำงานในรอบเดินเบาช่วงการจราจรติดขัดบ่อยมาก จึงอยากให้ประหยัดเชื้อเพลิง แต่เมื่อคลัตช์คอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศทำงาน รอบเครื่องยนต์ก็จะเพิ่มขึ้นไปเป็น 800 รอบ/นาที (รถยนต์ทั่วไปอยู่ที่ 850-900 รอบ/นาที)

ตัวเลขสมรรถนะจากโรงงาน ระบุว่า จากการทดสอบอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงตามมาตรฐาน UNECE Reg.101 Rev.1 ของ UN (สหประชาชาติ) โดยนำรถยนต์มาวิ่งบนลูกกลิ้งของ Chassis Dynamo Meter ในห้อง Lab ได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในเมือง (Urban Condition) 6.0 ลิตร/100 กิโลเมตร, อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนอกเมือง (Extra-Urban Condition) 4.5 ลิตร/100 กิโลเมตร, เฉลี่ย 5.0 ลิตร/100 กิโลเมตร, ปล่อยก๊าซ CO2 ในเมือง (Urban Condition) 140 กรัม/กิโลเมตร, นอกเมือง (Extra-Urban Condition) 106 กรัม/กิโลเมตร, เฉลี่ยได้ 118 กรัม/กิโลเมตร

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 12.4 วินาที!

สมรรถนะจะเป็นอย่างไรนั้น เราทำการจับเวลากันตามมาตรฐานเดิม คือทดลองในเวลากลางคืน เปิดแอร์ และนั่ง 2 คน น้ำหนักรวมผู้ขับขี่และผู้จับเวลาไม่เกิน 170-180 กิโลกรัม ตัวเลขที่ออกมา เมื่อเทียบกับคู่แข่งในพิกัด Eco Car รวมถึง Toyota Vios 1.5 ลิตร รุ่นใหม่ และ Toyota Yaris รุ่นก่อน มีดังนี้:

Toyota Yaris 1.2L CVT: 0-100 กม./ชม. ใน 12.4 วินาที, 80-120 กม./ชม. ใน 7.6 วินาที
Toyota Vios 1.5L 4AT: 0-100 กม./ชม. ใน 12.4 วินาที, 80-120 กม./ชม. ใน 7.9 วินาที
Toyota Yaris รุ่นก่อน 1.5L 4AT: 0-100 กม./ชม. ใน 13.5 วินาที, 80-120 กม./ชม. ใน 8.4 วินาที

เป็นไงครับ…เหวอไหม? นาฬิกาไม่เคยโกหก และตัวเลขที่ออกมาก็ทำให้ผมและน้องผู้ช่วยจับเวลาถึงขั้นอ้าปากหวอ ล่อแมลงวันกันเลยทีเดียว!

ผมไม่อยากเชื่อครับ คุณผู้อ่าน! ตัวเลขอัตราเร่งในเกมจับเวลา ทั้ง 0-100 และ 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ออกมาพอกันกับ Toyota Vios พี่น้องร่วมตระกูล Platform ที่ใช้เครื่องยนต์ 1,500 ซีซี และเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ อีกต่างหาก!

เราแทบไม่ต้องไปมองคู่แข่งในพิกัดเดียวกันคันอื่นๆ เลย เพราะจากตัวเลขนี้ แสดงให้พวกเราได้ประจักษ์กันแล้วว่า Yaris 1.2 ลิตร CVT คือรถยนต์นั่งขนาดเล็ก พิกัด Eco Car ประกอบในเมืองไทย ที่ทำตัวเลขอัตราเร่งได้เร็วและแรงมากที่สุดในตลาดบ้านเราตอนนี้!!! ทาบรัศมี Vios ญาติผู้พี่ รุ่น 4AT กันชัดๆ!

มันเกิดอะไรขึ้น?

จากการสันนิษฐาน ทำให้ผมเชื่อว่า สาเหตุที่ตัวเลขของ Yaris ออกมาได้ดีมากกว่าชาวบ้านเขาไปไกลขนาดนี้ เป็นผลมาจาก…

อุณหภูมิ: ในคืนที่เราทดลองจับเวลากัน อยู่ที่ 22-23 องศาเซลเซียส ซึ่งถ้าเทียบกับอุณหภูมิช่วงกลางคืนที่เราใช้ในการทดลองตามปกติ มักอยู่แถวๆ 27-31 องศาเซลเซียส เป็นเรื่องธรรมดาที่ว่า ถ้าอากาศยิ่งเย็น มวลของอากาศยิ่งมาก ก็จะยิ่งช่วยให้เครื่องยนต์ไม่ร้อนมาก จุดระเบิดเผาไหม้ได้ดีขึ้น แต่ในความเป็นจริง ผมมองว่าอากาศที่เย็นขึ้นกว่ากันนั้น ถ้าต่างกันแค่ไม่เกิน 5 องศาเซลเซียส ตัวเลขอัตราเร่งจะแทบไม่ค่อยมีผลอะไรเลย เพราะปกติเราเองก็จับเวลาในช่วงกลางคืนอยู่แล้ว ต่อให้ร้อนขึ้นกว่านี้ ตัวเลขที่เราคาดการณ์กันก็คือ 13 วินาทีต้นๆ ซึ่งก็จะยังเร็วกว่าชาวบ้านเขาทั้งหมดทั้งสิ้นอยู่ดี!

อัตราทดเกียร์และเฟืองท้าย: ดูตัวเลขแล้วตกใจ Toyota ทดเฟืองท้ายให้ Yaris ใหม่ ตั้ง 5.833:1 จะสูงจะจัดกันไปไหนครับพี่ เซ็ตมาซะราวกับกลัวว่ารถมันจะวิ่งไม่ออกอย่างงั้นแหละ! เป็นไงละ สมดังใจปองเลยทีนี้ รถทั่วไปเขาเซ็ตกัน 3.8-3.9:1 หรือไม่ก็ 4-4.5:1 นี่ล่อเข้าไป 5.8 เลย มิน่าละ ช่วงออกตัว ถ้าไม่นับช่วงที่เกียร์เพิ่งเริ่มรู้ตัวว่าต้องทำงานหนัก (ซึ่งก็ไม่เกินเสี้ยววินาที) ช่วงไต่ขึ้นไปจาก 0-40 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น ยังธรรมดา แต่พอตั้งแต่ 40 กวาดขึ้นไปถึง 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น ไหลลื่นต่อเนื่องไม่ต่างจากรถยนต์ 1,500 ซีซี ที่แรงสุดในตลาดเลย!

น้ำมัน: ในวันที่เราเดินทางจากภูเก็ตขึ้นมากระบี่ ในทริป Yaris ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนั้น ทราบมาว่าทางทีมงาน Toyota เติมน้ำมันเตรียมไว้ให้เป็นแก๊สโซฮอล์ 95 ของ ปตท. (ซึ่งปกติเราไม่ใช้น้ำมันตัวนี้ในการทดลองของเราอยู่แล้ว) แต่ในความเป็นจริง ผมไม่แน่ใจว่าเขาเติมอะไรมาให้เรากันแน่ แต่ นั่นก็ไม่มีทางทำให้ตัวเลขแตกต่างกันถึง 2 วินาทีเต็มๆ สุด อาจเป็นแค่ 1 วินาทีแค่นั้น

ส่วนความเร็วสูงสุดนั้น หลังจาก 5,000 รอบ/นาที ขึ้นไปแล้ว เครื่องยนต์จะไต่ความเร็วต่อขึ้นไปค่อนข้างช้าครับ ผมต้องใช้แรงส่งจากเนินช่วยดันให้รถพุ่งต่อเนื่องไปข้างหน้า เพื่อย่นเวลาและระยะทาง กว่าจะได้ตัวเลขนี้ คันเร่งถูกเหยียบมิดชนิดแทบทะลุไปห้องเครื่องยนต์ ยาวไปพอสมควรในช่วงดึกๆ ปราศจากผู้คนสัญจรโดยสิ้นเชิง เพื่อให้มั่นใจว่าเข็มวัดความเร็ว มันไปได้สุดเพียงแค่นี้ ก่อนจะถอนเท้ากลับมาขับความเร็วปกติ

ย้ำกันอีกทีนะครับ เราไม่สนับสนุนให้ใครมาทดลองทำความเร็วสูงสุดเหมือนเช่นที่เราทำให้ดูนี้ เพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมายจราจร เราทำให้ดูกันด้วยเหตุผลของการให้ความรู้เพื่อการศึกษา ไม่ได้กดแช่กันยาว หรือมุดกันจนเสี่ยงอันตรายต่อผู้ใช้เส้นทาง เราให้ความสำคัญและระมัดระวังกับเรื่องนี้มากๆ และเราไม่อยากเห็นใครต้องเสี่ยงชีวิตมาทำตัวเลขแบบนี้กันเอาเอง ดังนั้น อย่าทำตามเป็นอันขาด เพราะถ้าพลาดพลั้งขึ้นมา อันตรายถึงชีวิตคุณเองและเพื่อนร่วมทาง เราจะไม่รับผิดชอบในความปลอดภัยของคุณแต่อย่างใดทั้งสิ้น!

ในการขับขี่ใช้งานจริง ถ้าคุณเข้าใจไว้ตลอดว่านี่คือรถยนต์ที่วางขุมพลัง 1,200 ซีซี และไม่ได้คาดหวังอะไรมาก่อน บอกเลยว่าอัตราเร่งที่มีมาให้ถือว่าเพียงพอ และแรงเกินความคาดหมายของแทบทุกคนไปมาก เพราะไม่ใช่แค่ตัวเลขเท่านั้นที่ออกมาคล้ายคลึงกับรถยนต์ขนาด 1,500 ซีซี แต่การไต่ความเร็วขึ้นไปก็ให้แรงดึงและความว่องไวพอๆ กันกับ Vios ใหม่ 1,500 ซีซีเสียด้วยซ้ำ!

ถ้าต้องการให้รถพุ่งออกไปทันอกทันใจ คุณก็ควรจะเหยียบคันเร่งลงไปจมมิดแต่แรก เพื่อให้ Torque Converter ได้รับรู้ว่าคุณต้องการอัตราเร่งอย่างรีบร้อน รถจะพุ่งทะยานออกไปอย่างว่องไว เช่นเดียวกันในตอนเร่งแซง ถ้าเหยียบคันเร่งจมมิด เครื่องยนต์และเกียร์จะตอบสนองอย่างทันอกทันใจคนใจร้อนอย่างคุณใช้ได้เลย

คันเกียร์ในตำแหน่ง S จะช่วยเครื่องยนต์เตรียมพร้อมรับการตอกฝ่าเท้าขยี้ลงไปบนคันเร่งได้ในแทบจะทันที เรียกอัตราเร่งแซงมาได้อย่างทันใจ โดยไม่ต้องเหยียบคันเร่งให้จมมิดเหมือนเช่นในตำแหน่งเกียร์ D ส่วนเกียร์ B มีไว้เพื่อใช้ในการช่วยขึ้นและลงเขา เหมือนเป็นเกียร์ 1 และ 2 ในรถยนต์ทั่วๆไป

แต่ถ้าคุณแตะคันเร่งลงไปอย่างแผ่วเบา หรือเหยียบคันเร่งในช่วงออกตัวไม่เกิน 30% ของระยะเหยียบคันเร่งทั้งหมด รถก็จะค่อยๆออกตัวเป็นคุณแม่บ้านผู้ว่องไวตามปกติ

และถ้าคุณกำลังขับอยู่ที่ความเร็วราวๆ 80 หรือ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ต้องการเพิ่มความเร็วขึ้นอีกนิดหน่อย การเพิ่มน้ำหนักเท้าลงบนคันเร่งลงไปอย่างช้าๆ จะให้ผลได้ไม่ดีเท่าการเหยียบคันเร่งลงไปในทันที อาจไม่ต้องถึงกับจมมิด แต่ต้องเกินกว่า 60-70% ของระยะเหยียบของแป้นคันเร่ง

เพราะถ้าคิดจะเร่งแซงรถคันข้างหน้า, รถสิบล้อ หรือรถพ่วง บนถนนแบบสวนกันสองเลน ถ้า รถคันข้างหน้าว่างพอ ขอแนะนำให้เหยียบคันเร่งจนจมมิด ลากรอบขึ้นไป จะดีกว่า เพราะถ้าคุณตัดสินใจช้าไปเพียงเสี้ยววินาที คุณอาจต้องลุ้นกับการเร่งแซงมากกว่าปกติ การเค้นพละกำลังให้รอบเครื่องเกินกว่าระดับ 3,000-4,000 รอบ/นาทีขึ้นไป จะทำให้รถพุ่งไปข้างหน้าได้ทันอกทันใจ และพาคุณเร่งแซงได้อย่างสบายใจกว่า

อย่างไรก็ตาม ขณะที่คุณเค้นพละกำลังจากรถอยู่ เมื่อถอนเท้าจากคันเร่ง อาจมีกลิ่นจากการทำงานของเครื่องฟอกไอเสีย Catalytic Converter ซึ่งจะมีกลิ่นคล้ายแอมโมเนียฉุนๆ จมูก (แบบเดียวกับที่คนใช้ Mazda 2 หรือ Ford Fiesta รุ่นก่อนปรับโฉมพร้อมใจกันเคยเจอมานั่นแหละ) ลอดเข้ามาให้ได้กลิ่นกัน “เต็มเหนี่ยว” ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็ไม่ควรจะมีกลิ่นแบบนี้เข้ามา

การเก็บเสียง: ดีเกินคาด

การเก็บเสียงในห้องโดยสารถือว่าทำได้ดีกว่าที่คิด ในช่วงความเร็วเดินทาง 100-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ผมแทบไม่ต้องเพิ่มเสียงพูดของตนเองเลยแม้แต่น้อย และผมมองว่า Yaris อาจเก็บเสียงดีกว่า Vios นิดนึงด้วยซ้ำ! แต่หลังจากนั้น เสียงกระแสลมที่ไหลผ่านตัวรถจะเริ่มดังขึ้นมาเรื่อยเป็นปกติ

พวงมาลัย EPS: ปรับปรุงแต่ยังขาดชีวิตชีวา

พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering) ปรับน้ำหนักของพวงมาลัยตามความเร็วรถ ใช้แร็คชุดเดียวกันกับ Vios ก็จริง แต่ทีมวิศวกรได้ปรับปรุงระยะรอบของมอเตอร์ให้เพิ่มขึ้น เพื่อให้พวงมาลัยหน่วงมือมากขึ้นกว่าเดิม ตึงมือมากขึ้น หวังสร้างความมั่นใจในการขับขี่ทางตรงดีขึ้น

หลายๆคนเป็นห่วงว่าพวงมาลัยจะดีขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ ผมตอบได้ครับว่า ถึงแม้จะยังคงไร้ชีวิตชีวาในแบบพวงมาลัยไฟฟ้าที่ผลิตโดย Robocop เหมือนๆกับพวงมาลัยของ Vios นั่นละ แต่ในรายละเอียดปลีกย่อยแล้ว มันดีขึ้นกว่าเดิม กระนั้นถ้าถามว่าแค่ไหน? นั่นขึ้นอยู่กับว่าคุณมองและเปรียบเทียบกับอะไร?

ถ้าเปรียบเทียบกับ Yaris เดิม แน่นอนครับ พวงมาลัยของ Yaris ใหม่ดีขึ้นชัดเจนมาก นิ่งขึ้น ตอบสนองได้คล่องแคล่ว แต่ตึงมือ แอบหน่วงนิดๆ และยังหลงเหลือบุคลิกของพวงมาลัยที่ใช้เพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้ากันอยู่

แต่ถ้าเทียบกับพวงมาลัยของ Vios ใหม่แล้ว แม้จะใช้ชุดแร็คเหมือนกัน แต่การปรับเซ็ตใหม่ก็ช่วยให้เห็นความแตกต่างจากกัน ถึงไม่มากนัก แต่ก็ชัดเจน หากสังเกตให้ดีๆ

อธิบายกันนิดนึงนะครับว่า ถ้าคุณหมุนพวงมาลัยในรถยนต์ทั่วไปนั้น ตามปกติแล้ว วงพวงมาลัยก็จะต้องหมุนอยู่ในระดับเดียวกัน นั่นคือพวงมาลัยตั้งอยู่ในตำแหน่งจุดศูนย์กลางพอดีเป๊ะ แต่พวงมาลัยของ Vios และ Yaris ใหม่ มาในสไตล์คล้ายกับพวงมาลัยของ Mercedes-Benz ทั่วๆไป คือถ้าคุณหมุนพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายหรือขวา เวลาที่วงพวงมาลัยหมุนรอบตัวมันเองอยู่นั้น ดูเหมือนว่าวงพวงมาลัยจะขยับขึ้นๆลงๆ ตามการหมุนของคุณไปด้วย

นี่คือลักษณะของพวงมาลัยแบบแกนเยื้องศูนย์ คือจุดหมุนไม่ได้อยู่ตรงกลางพวงมาลัยแบบรถยนต์ทั่วไป หากแต่พวงมาลัยจะถูกออกแบบให้จุดศูนย์กลางการหมุนเลื่อนลงไปอยู่ข้างล่างนิดนึง ทำให้ตำแหน่งของพวงมาลัย เมื่อมองจากสายตาผู้ขับแล้ว จะเลื่อนขึ้นไปข้างบนจากระดับปกติทั่วไปนิดนึง

เหตุผลที่ทำเช่นนี้ ก็เพราะว่าเวลาที่คุณถือพวงมาลัยตรงๆ มันจะให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าพวงมาลัยหนืดขึ้นนิดๆ พอมีอาการขืนมือให้ได้สัมผัสอยู่บ้าง ว่าพวงมาลัยไม่ได้เบาโหวงเกินไป การออกแบบให้จุดศูนย์กลางเยื้องจากปกติแบบนี้ ทำให้การหมุนพวงมาลัยในช่วงหนึ่งนิ้วแรก (ซ้ายและขวา) จะมีอาการขืนมือกว่าปกติ หมุนยากกว่าปกติเพียงเล็กน้อย แต่หลังจากจุดนั้นไป จะหมุนได้ง่ายเป็นปกติ

เจตนาของการออกแบบพวงมาลัยลักษณะนี้ เพื่อช่วยให้การประคองพวงมาลัยในความเร็วสูง เป็นไปด้วยความแม่นยำขึ้น

นั่นทำให้พวงมาลัยของ Vios และ Yaris ใหม่ ตอบสนองเหมือนๆกัน ในย่านความเร็วต่ำ เบาแรง หมุนได้คล่อง แต่ไม่เบาโหวงไปเสียทีเดียว พอมีอาการขืนมือปรากฏอยู่บ้างไม่มากนัก แต่ไม่ขืนมือเท่าพวงมาลัยของ Honda City รุ่นปัจจุบัน อุปนิสัยทั้งหมดนี้ ถือว่าเซ็ตมาได้กำลังดี เมื่อคิดรวมว่ารถคันนี้ต้องเอาใจทั้งคนที่ชอบขับรถ และคนที่ไม่คุ้นเคยกับการขับรถ และทั้งคู่ต่างต้องการถอยรถเข้าจอดอย่างรวดเร็วในเวลาและสถานที่อันจำกัด

แต่ในการขับขี่ด้วยความเร็วเดินทางปกติ จนถึงช่วงความเร็วสูง สังเกตได้ว่าขณะขับขี่ทางตรงยาวๆ พวงมาลัยของ Yaris จะนิ่ง และให้การบังคับควบคุมไว้ใจได้กว่าใน Vios ไม่ต้องเลี้ยงซ้ายเลี้ยงขวากันตลอดแบบใน Vios ถือว่ามีการปรับปรุงให้ดีขึ้น

ส่วนการบังคับรถขณะเข้าโค้งนั้น ตอบสนองได้ในระดับที่ดีอย่างควรเป็น คือมีน้ำหนักขืนพอประมาณ เลี้ยงพวงมาลัยในโค้งให้นิ่งๆ ทำได้ไม่ยาก บังคับควบคุมรถในทางโค้งได้นิ่งขึ้น จนสงสัยว่าทำไมถึงไม่ยอมนำ Setting แบบนี้ไปใส่ใน Vios ใหม่ตั้งแต่แรกกันเลยละเนี่ย?

ข้อที่ควรปรับปรุงก็คือ Toyota น่าจะใส่ชุดปรับระยะใกล้-ห่างจากพวงมาลัย มาให้เพิ่มเติมจากเดิมที่ปรับระดับได้แค่สูง-ต่ำกันเสียที เพราะระยะห่างของพวงมาลัยจากขอบด้านบนของชุดมาตรวัดใน Vios และ Yaris ใหม่ น้อยไป

ช่วงล่าง: สมดุลที่น่าประทับใจ

ระบบกันสะเทือนหน้า เป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบทอร์ชันบีมพร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ยกชุดจาก Vios แต่ทางวิศวกรของ Toyota บอกว่า มีการปรับปรุงให้เน้นความนุ่มนวลในการดูดซับแรงสั่นสะเทือนจากพื้นถนนแบบขรุขระ และเพิ่มเสถียรภาพขณะขับขี่ด้วยความเร็วเดินทาง

ในช่วงความเร็วต่ำ ช่วงล่างของ Yaris ใหม่ แข็งกระด้างกว่าที่คิดอยู่นิดหน่อย แต่ไม่หนีไปจากช่วงล่างของ Suzuki Swift มากนัก การซับแรงสะเทือนตามหลุมบ่อต่างๆ ทำได้ไม่ถึงกับดีนัก แต่ถ้าเจอลูกระนาดและใช้ความเร็วต่ำๆ จะพบการ Rebound ของโช้คอัพและสปริงให้พอรู้สึกได้ว่า จริงๆแล้วมันยังหาความนุ่มได้อยู่ แม้เพียงเศษเสี้ยวก็ตาม

ในความเร็วเดินทาง ช่วง 40-140 กิโลเมตร/ชั่วโมง การทรงตัวถือว่าทำได้ดี และมาในสไตล์เดียวกับ Vios รุ่น E กับ G คือวิ่งตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ ได้สบายๆ รื่นรมย์ ลดความเหนื่อยล้าในการขับขี่และโดยสารทางไกลลงได้ นุ่มหน่อยๆ ไม่มาก อยู่ในเกณฑ์กำลังดี ไม่แข็งเกินไปแบบ Vios รุ่น S

แต่เมื่อพ้นจากความเร็ว 140 กิโลเมตร/ชั่วโมงไปแล้ว จนถึงช่วงความเร็วสูงสุด อาการหน้ารถดิ้นไปตามกระแสลม จะเกิดขึ้น อันเป็นปัญหาปกติที่รถยนต์ขนาดเล็กต้องเจอกันแทบทุกคัน

แต่ตั้งข้อสังเกตว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้น มีไม่มากนัก และด้วยการเซ็ตพวงมาลัยให้ On center feeling นิ่ง ตั้งตรงมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ทำให้การควบคุมรถขณะเกิดอาการดังกล่าว ทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ และหวาดเสี้ยวน้อยกว่าที่คิด มีเสถียรภาพในการทรงตัวย่านความเร็วสูง ดีกว่าเพื่อนร่วมพิกัดอย่าง March และ Mirage

ส่วนการเข้าโค้งนั้น Yaris ใหม่ ทำได้ดีกว่าที่คาดคิด ผมยังสามารถพารถเข้าโค้งรูปเคียวบนทางด่วนชั้นที่ 2 เหนือย่านมักกะสัน และต่อเนื่องไปถึงโค้งซ้ายตรงข้ามโรงแรมเมอเคียว เชื่อมเข้ากับทางด่วนขั้นที่ 1 ได้สบายๆ ด้วยความเร็ว 95 และ 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง เลี้ยงนิ่งๆ ในโค้ง นี่เป็นเรื่องที่ผมประหลาดใจเล็กน้อยว่า Yaris ถูกยกระดับเรื่องช่วงล่างขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้เลยทีเดียว เพราะความเร็วในระดับดังกล่าว ส่วนใหญ่ต้องเป็นรถญี่ปุ่นขนาดกลางขึ้นไป หรือรถยุโรป Premium ขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะใช้ความเร็วระดับดังกล่าว เข้าโค้งทั้ง 2 จุดต่อเนื่องกันอย่างนี้ได้อย่างนิ่ง สบาย ปลอดภัย ไร้อาการขัดขืนจากตัวรถ Yaris ใหม่จึงกลายเป็นรถยนต์บ้านๆ พะแบรนด์ Toyota อีกคันหนึ่ง ที่พาคุณสาดเข้าโค้ง เล่นกับมันได้อย่างมั่นใจ

ยอมรับเลยว่า คราวนี้ Toyota ตั้งใจทำการบ้านเรื่องการปรับเซ็ตพวงมาลัยและช่วงล่าง แต่ก็ไม่แปลกอะไรถ้า Yaris ได้อานิสงส์การ Set ค่าความหนืดของโช้คอัพและสปริงจาก Vios รุ่น G กับ E มาอย่างชัดเจน

จริงอยู่ว่า ผมชื่นชอบในช่วงล่างชุดนี้ของ Yaris และมันสามารถเทียบเคียงกับ Suzuki Swift ได้ และยังมีอาการกระเด้งกระดอนของช่วงล่างด้านหลังขณะแบกผู้โดยสาร 4 คน น้อยกว่า Swift ชัดเจน (ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากระยะฐานล้อที่ยาวกว่า) ช่วงล่าง Yaris คือสิ่งที่ผมถือเป็นจุดเด่นของรถคันนี้ไปแล้ว มันเทียบเคียงได้กับ Swift สมดังความตั้งใจของคนใน Toyota ที่อยากให้มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ!

แต่มันขาดความสนุกในการขับขี่อย่างที่ Swift จะให้คุณได้ พวงมาลัยของ Swift ทำตัวเป็นธรรมชาติมากกว่า และการเซ็ตช่วงล่างของ Swift ก็เอื้อให้คุณพามันมุดลัดเลาะไปตามถนนแคบๆ หรือแทรกตัวไปบนทางด่วนได้อย่างคล่องแคล่วและเป็นธรรมชาติกว่ากันนิดหน่อยอยู่ดี

ระบบห้ามล้อ: ตอบสนองฉับไว

ระบบห้ามล้อเป็นแบบหน้าดิสก์-หลังดรัม ทุกรุ่นจะติดตั้งระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Braking System), ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake force distribution) และระบบเสริมแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน (Brake Assist)

ตัวเลขจากโรงงานระบุว่า ระยะห่างแป้นเบรกจากพื้นรถต่ำสุด เมื่อเหยียบด้วยแรง 300 นิวตัน หรือ 31 กิโลกรัม หรือ 64 ปอนด์ เครื่องยนต์ทำงานทุกรุ่นจะอยู่ที่ 67 มิลลิเมตร (2.64 นิ้ว) เท่า Vios รุ่นที่ใช้ดรัมเบรกหลังแบบมี ABS/EBD ระยะฟรีของแป้นเบรกทุกรุ่น อยู่ที่ 1-6 มิลลิเมตร ระยะเลื่อนคันเบรกมือ 8-11 คลิก ใช้น้ำมันเบรกแบบ DOT 3 เหมือน Vios

นอกจากนี้ยังมีระบบ Brake Override เช่นเดียวกับ Vios เป็นระบบที่ช่วยป้องกันปัญหาคันเร่งค้าง ถ้าคุณเหยียบคันเร่งอยู่ แล้วเกิดเหยียบแป้นเบรกไปด้วยพร้อมกัน ระบบคอมพิวเตอร์จะเข้าใจว่าคุณเจอปัญหาคันเร่งค้าง ECU จะรีบสั่งให้เครื่องยนต์ชะลอความเร็วลงมา ให้รถค่อยๆหยุดนิ่งเข้าข้างทางได้ (แต่ถ้าปล่อยเบรกกับคันเร่งเมื่อไหร่ รถก็จะเคลื่อนตัวต่อไป)

การตอบสนองของเบรก มาในสไตล์เดียวกับ Vios คือเบรกจิกๆ ดี หรือจะเบรกให้นุ่มนวลก็ได้ ทำผ้าเบรกจับจานเบรกไว แป้นเบรกค่อนข้างตื้น ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ทำงานกำลังดี แต่ต้องกะน้ำหนักเท้ากันสักหน่อย

ในช่วงความเร็วต่ำ ขณะขับคลานๆ ในเมือง เบรกตอบสนองไว หน้ารถจิก และหน่วงความเร็วได้มาก มั่นใจได้เลยว่าถ้ารถคันข้างหน้าเกิดมีเหตุให้ต้องเบรกกระทันหัน แล้วคุณเป็นคนที่ไวต่อการตอบสนอง ชนิดเหยียบแป้นเบรกลงไปในเสี้ยววินาทีถัดมา หากใช้ความเร็วไม่มากนัก และไม่ใช่คนชอบขับจี้ตูดชาวบ้านเขา โอกาสจะทิ่มบั้นท้ายทักทายรถคันข้างหน้าแทบจะน้อยมากๆ จนเกือบจะไม่มีเลย เพราะขณะที่เหยียบเบรกลงไปครึ่งหนึ่ง สมองกลเกียร์จะสั่งปรับอัตราทดเฟืองพูเลย์ตามไปด้วย เพื่อช่วยหน่วงความเร็วลงมาให้อีก ดังนั้น ในบางครั้ง ถ้าเหยียบแป้นเบรกเพื่อชะลอตามรถคันข้างหน้ามากถึงครึ่งหนึ่งของระยะเหยียบทั้งหมด รถอาจจะหน่วงความเร็วลงมาจนหยุดเกือบสนิท เหลือราวๆ 5-10 กิโลเมตร/ชั่วโมง และนั่นอาจทำให้คุณจำเป็นต้องมองกระจกมองหลัง เพื่อตัดสินใจปล่อยรถให้ไหลต่อไป หรือเร่งเพิ่มขึ้นไปชิดคันข้างหน้า มิให้รถคันที่ตามมาชนท้ายคุณได้

แต่หลายคนอาจไม่ชอบสไตล์เบรกแบบจิกๆ ของ Toyota อย่างนี้ก็มี

ในช่วงความเร็วเดินทาง หรือความเร็วสูง การหน่วงความเร็วยังทำได้ดีอย่างที่หลายๆคนคาดหวังได้จากรถยนต์นั่งขนาดเล็กสักคัน เพียงแต่ว่าถ้าต้องการชะลอรถลงมาแบบไม่รีบร้อนนัก การเหยียบคันเบรกเข้าไปประมาณไม่เกิน 30% จากระยะเหยียบทั้งหมด อาจทำให้รถชะลอลงมาไม่มากนัก แต่ยังพอจับอาการได้ว่าเริ่มหน่วงความเร็วลงมาให้แล้ว ถ้าต้องการให้เห็นผลจริงๆ ควรเหยียบคันเร่งลงไปในระดับประมาณ 40% ของระยะเหยียบทั้งหมด คราวนี้ผลจะชัดเจนมาก รถจะหน่วงความเร็วลงมาให้มากขึ้น

โครงสร้างตัวถังและความปลอดภัย: มาตรฐานที่คุ้นเคย

ด้านโครงสร้างตัวถัง ยังคงใช้เทคโนโลยีการออกแบบให้ดูดซับแรงปะทะจากการชน GOA เหมือนเช่นเดิม และมีการออกแบบชิ้นส่วนตัวถังให้ใช้ร่วมกันได้กับ Vios ใหม่ ดังนั้น รายละเอียดด้านงานวิศวกรรมตัวถังจึงแตกต่างจาก Vios อยู่เพียงแค่บริเวณครึ่งคันด้านหลังเท่านั้น น่าเสียดายที่ Toyota เองไม่ได้เปิดเผยข้อมูลในประเด็นนี้มากมายเท่าใดนัก

รู้แต่เพียงว่า กว่า 50% ขึ้นไปของเหล็กที่ใช้ขึ้นรูปโครงสร้างตัวถังและพื้นแชสซีทั้งหมด (Chassis คือ พื้นตัวถัง หรือ Platform ทั้งหมด ทั้งคัน ในที่นี่ มิได้หมายถึง Frame Chassis ของรถกระบะแต่อย่างใด) ใช้เหล็กรีดร้อน High Strength Steel ด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่สัดส่วนของการใช้เหล็กประเภทนี้ ไม่เป็นที่เปิดเผยว่ามีจำนวนมากน้อยเท่ากับ Vios หรือไม่

ส่วนอุปกรณ์ความปลอดภัย ถุงลมนิรภัยคู่หน้า SRS มีมาให้ครบตั้งแต่รุ่น J ECO, พนักศีรษะคู่หน้าแบบ WIL (Whiplash Injury Lessening) ลดการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอเมื่อเกิดการชนจากด้านหลังของรถ, เข็มขัดนิรภัยเป็นแบบ ELR 3 จุด ครบทั้ง 5 ตำแหน่ง พร้อมระบบดึงกลับอัตโนมัติ แต่ยังคงปรับระดับสูง-ต่ำไม่ได้ เหมือน Vios ไม่มีผิด!! และมีจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็กมาตรฐาน ISOFIX มาให้ที่เบาะหลัง

อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง: ประหยัดน้ำมันตามสไตล์ Eco Car

ไม่ต้องทายก็เดาได้เลยว่า หนึ่งในประเด็นที่คุณผู้อ่านอยากรู้เกี่ยวกับ Yaris ใหม่ คือ รถยนต์รุ่นใหม่นี้จะประหยัดน้ำมัน ดีกว่า เท่ากัน หรือด้อยกว่ารุ่นเดิมมากน้อยเพียงใด

เราจึงนำ Yaris ไปเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex ริมถนนพหลโยธิน ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ ในช่วงกลางคืน

เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานดั้งเดิม ในเมื่อรถรุ่นนี้เป็นรถยนต์ที่คุณผู้อ่านอยากรู้เรื่องอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และซีเรียสกับตัวเลขมากพอกันกับกลุ่มรถยนต์นั่งผลิตในไทย เครื่องยนต์ไม่เกิน 2,000 ซีซี และค่าตัวต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท หรือพิกัด Eco-Car รวมถึง B-Segment กับ C-Segment และรถกระบะทุกรุ่นทุกแบบ ดังนั้น เราจึงเติมน้ำมันกันแบบเขย่ารถ จนกระทั่งน้ำมันจะเอ่อขึ้นมาถึงปากคอถังแบบนี้

ผู้ร่วมทดลองและสักขีพยาน ยังคงเป็นน้องโจ๊ก V10ThLnD หนุ่มแว่นเงียบๆ จอมกวนแห่งกลุ่ม The Coup Team ของเราตามเคย

เมื่อเติมน้ำมันลงไปจนเต็มถังขนาด 42 ลิตร (ไม่รวมคอถังอีกพอสมควร) เราก็เริ่มต้นการทดลองขับ คาดเข็มขัดนิรภัย ติดเครื่องยนต์ เปิดเครื่องปรับอากาศที่ระดับพัดลมแอร์เบอร์ 1 อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส

เราออกจากปั้ม Caltex เลี้ยวกลับบนถนนพหลโยธิน หน้าปากซอยอารีย์สัมพันธ์ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยอารีย์ ลัดเลาะไปออกปากซอยโรงเรียนเรวดี ถึงถนนพระราม 6 จากนั้นเลี้ยวขวาขึ้นไปบนทางด่วนสายอุดรรัถยา ขับมุ่งหน้าตรงไปยังปลายสุดทางด่วน ด่านบางปะอิน แล้วเลี้ยวกลับมาขึ้นทางด่วนอีกรอบ รักษาความเร็วตามมาตรฐานเดิม คือแล่นไม่เกิน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดเครื่องปรับอากาศ เปิดไฟหน้ารถ และนั่ง 2 คน

เมื่อลงทางด่วนที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เราเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนพหลโยธิน เลี้ยวกลับรถที่ใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex อีกครั้ง เพื่อเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron ให้เต็มอีกครั้ง

พอหัวจ่ายตัด เราก็เริ่มเขย่ารถ เหมือนเช่นในช่วงเริ่มต้นทำการทดลอง เพื่ออัดกรอกน้ำมันลงไปให้ได้เยอะมากที่สุด ให้น้ำมันเข้าไปอยู่ในถังแทนที่อากาศในถัง ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อลดความเสี่ยงในตัวแปรเรื่องปริมาณน้ำมันที่เติมเข้าไป ซึ่งอาจมีผลให้การทดลองผิดเพี้ยนไปไกลกว่าที่รถควรจะทำตัวเลขออกมา

ในที่สุด ผลลัพธ์ที่ได้ ของ Yaris 1.2 L CVT มีดังนี้:

ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด Trip Meter: 92.2 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ: 5.54 ลิตร
คำนวณแล้ว ได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย: 16.64 กิโลเมตร/ลิตร

ตัวเลขที่ออกมานี้ ถือว่าทำได้ดี เป็นไปตามที่ผมคาดการณ์ไว้ เพราะเราต้องไม่ลืมว่า Yaris คือรถยนต์นั่ง B-Segment Hatchback ที่ติดตั้งเครื่องยนต์แค่ 1,200 ซีซี เพื่อลงมาสู้ในพิกัด Eco Car จากนี้ ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเปรียบเทียบอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่เห็นอยู่นี้กับใคร?

ถ้าคุณเปรียบเทียบกับกลุ่ม Eco Car ด้วยกัน แน่นอนครับ Yaris ทำตัวเลขออกมาในระดับเดียวกันกับ Honda Brio CVT (ต่างกันแค่ 0.05 กิโลเมตร/ลิตร) และยังไม่ใช่ตัวเลขที่แย่สุดในกลุ่ม (แต่ก็รั้งปลายแถวแล้วนะ) เพราะตัวเลขแย่สุดคือ Brio เกียร์ธรรมดา ถ้าอยากหาความประหยัดน้ำมัน อาจต้องมองไปทางคู่แข่ง ซึ่งก็จะทำตัวเลขได้ดีกว่ากันไม่เกิน 1-2 กิโลเมตร/ลิตร

แต่ถ้าคุณเปรียบเทียบกับรถยนต์นั่งกลุ่ม B-Segment อย่าง Vios ละก็ เครื่องยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบน้อยกว่า ตามหลักการแล้ว มันควรจะประหยัดน้ำมันมากกว่า และตัวเลขที่ออกมาก็เป็นไปตามหลักการดังกล่าว Yaris ใหม่ ทำตัวเลขสมรรถนะได้เท่าๆ กับ Vios 4AT แถมยังประหยัดน้ำมันกว่า ทั้งที่แรงม้า แรงบิดก็น้อยกว่า

ยิ่งถ้าเทียบกับรถยนต์กลุ่ม B-Segment ทั้งหมดแล้ว มีเพียง Ford Fiesta 1.6 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ เท่านั้น ที่ทำตัวเลขออกมาได้พอกัน คือ 16.4 กิโลเมตร/ลิตร ที่เหลือ Yaris ทำตัวเลขออกมาได้ดีกว่าชาวบ้านเขาหมดตามความคาดหมาย

สรุป: Vios 5 ประตู เครื่องเล็กกว่า เกียร์ CVT แต่แรงเท่ากัน แถมประหยัดกว่า

Toyota เป็นบริษัทขนาดยักษ์ ที่มักเน้นสร้างรถยนต์เพื่อมวลมหาประชาชน เพื่อทำยอดขายและรายได้ให้เป็นกอบเป็นกำก็จริง แต่ผลงานของพวกเขาก็มักเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกมาได้อย่างแตกต่างสุดขั้วอยู่เนืองๆ

คิดดูแล้วกันครับ บริษัทที่ทำรถยนต์บ้านๆ น่าเบื่ออย่าง Corolla และรถกระบะที่ยุให้คนขับเกิดนิสัยบ้าพลังโดยไม่จำเป็นอย่าง Hilux Vigo จะลุกขึ้นมาสร้างรถสปอร์ตขับสนุกๆ อย่าง Toyota 86 หรือ Supra แม้กระทั่งทำรถยนต์หรูอย่าง Lexus LS หรือ Toyota Century ชนิดที่ชาวเยอรมันยังต้องค้อนขวับ!

Yaris อาจไม่ใช่ผลงานที่ดีเด่นมากมายนัก และเป็นผลงานที่ออกมาภายใต้การประนีประนอมข้อจำกัดต่างๆ มากมาย จนออกมาเป็น Hatchback คันเล็ก วางเครื่องยนต์ 1,200 ซีซี Eco Car ทั้งที่วิศวกรเขาก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้นในตอนแรก แต่กลับทำอัตราเร่งออกมาได้ดีเกินคาด จน Vios 1,500 ซีซี เองถึงขั้นอ้าปากหวอว่า “น้องสาวตูทำได้ขนาดนี้เลย!?”

ช่วงล่างดีเทียบเท่ากับ Suzuki Swift เทพประจำในพิกัด Eco Car แถมบางด้านยังแอบดีกว่าเสียด้วย เช่นอาการเด้งที่เกิดขึ้นเมื่อแบกคนเยอะ, ช่วงจัมพ์คอสะพานก็น้อยกว่ากันมาก, เข้าโค้งต่อเนื่องยาวๆ ได้เนียนและนิ่งกว่าที่ทุกคนคิด, เบรกก็จิกดี, ประหยัดน้ำมันใช้ได้, ภายในห้องโดยสารก็มีพื้นที่ด้านหลังให้นั่งไขว่ห้างได้ แถมพื้นที่ศีรษะยังเยอะกว่า Vios ผู้พี่ด้วยซ้ำ…

ไม่แปลกใจถ้า Toyota จะบอกว่าพวกเขาดู Swift ไว้ แล้วพยายามจะเอาชนะรถคันนี้ให้ได้ การเซ็ตรถออกมาแบบนี้ ก็เท่ากับว่าเขาได้ทำในทิศทางเดียวกับที่ผมอยากเห็น

จุดเด่นของ Yaris อยู่ที่สมรรถนะภาพรวมเหนือความคาดหมายเล็กๆ และมีพื้นที่ห้องโดยสารโอ่โถง จะนั่งหรือจะวางของก็ได้ดีกว่าคู่แข่งทุกคันในพิกัด Eco Car

แต่ข้อที่ควรปรับปรุงก็ยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น การปรับเซ็ตพวงมาลัยที่นอกจากจะต้องมีชุดปรับระยะใกล้-ห่างจากตัวคนขับกันเสียทีแล้ว ยังต้องลดอุปนิสัยไร้ชีวิตชีวาเหมือน Robocop อย่างที่ผู้การแพน Commander CHENG ของเราแซวไว้กันเสียที เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าก็ควรจะปรับระดับสูง-ต่ำมาให้ได้แล้ว มัวเอาต้นทุนไปทำชิ้นส่วนประดับตัวถังบั้นท้ายให้มันแพงขึ้นโดยไม่จำเป็นกันทำไมก็ไม่รู้ รวมทั้งการเซ็ตออพชันบางอย่างที่น่าจะให้มาคุ้มค่ากับค่าตัวได้แล้ว

ไปจนถึงการปรับปรุงในรายละเอียดการออกแบบและตกแต่งห้องโดยสาร ซึ่งก็คงจะไม่ต่างจากความคิดเห็นเดิมๆ ที่ผมเคยบอกไปก่อนหน้านี้แล้วในบทความรีวิว Vios ถ้าแก้ไขได้ทั้งหมดตามนี้ (ซึ่งมันก็มีหลายข้ออยู่) ทั้งคู่จะเป็น 2 ศรีพี่น้อง ที่เอาชนะใจของลูกค้าชาวไทยได้มากกว่าที่เป็นอยู่นี้ขึ้นไปอีก

ทางเลือกที่คุ้มค่า: Yaris vs Vios vs คู่แข่ง

มาถึงตรงนี้ ถ้าคุณกำลังชั่งใจอย่างหนักว่า จะเลือก Yaris ดีไหม? นอกจากจะสำรวจเงินในกระเป๋าตัวเองดูแล้ว ผมอยากให้ลองเมียงมองไปยังทางเลือกอื่นๆ เพิ่มเติมกันให้รอบคอบสักหน่อย ว่าคู่แข่งของ Yaris ตอนนี้มีอะไรบ้าง?

จากการสำรวจพฤติกรรมของลูกค้าในช่วงนี้แบบคร่าวๆ ผมพบความจริงว่าคนที่คิดจะซื้อ Yaris นั้น น่าแปลกมากว่าส่วนใหญ่ ไม่ได้มอง Eco Car ตัวถัง Hatchback 1.2 ลิตร ซึ่งเป็นคู่แข่งในพิกัดเดียวกันเท่าใดนักเลย

Nissan March ถูกมองข้ามไปเพราะขาดความสดใหม่ ตัวรถมีขนาดเล็ก และเมื่อมีตัวเลือกในตลาดมากขึ้น ลำพังตัวรถเองยังดึงดูดใจไม่พอ แถมสมรรถนะรุ่นเกียร์ CVT ก็จัดว่าอืด, พวงมาลัยไร้ชีวิตชีวา

Mitsubishi Mirage ถูกมองข้ามไป ทั้งที่เด่นด้วยเครื่องยนต์ 3 สูบ ยังคงแรงและประหยัดน้ำมันมากที่สุดในกลุ่ม Eco Car แต่ทั้งหมดนั้นต้องแลกมาด้วยขนาดตัวถังที่เล็กกว่านิดหน่อย แถมพวงมาลัยยังตอบสนองไม่เป็นธรรมชาติเท่าที่ควร แถมช่วงล่างยังย้วยเกินไปจนน่าสะพรึงกลัวเมื่อใช้ความเร็วแถวๆ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง หรือเกินจากนั้น

ส่วน Honda Brio ที่หลายคนร้องยี้ไปแล้ว กลับกลายเป็นว่ายังพอหาที่ยืนในตลาดได้อยู่ เพราะบรรดาวัยรุ่นขาซิ่งจำนวนมาก กำลังตามหาโชว์รูมที่มีสต็อกรุ่นเกียร์ธรรมดาไว้เยอะ เพราะพวกเขาตั้งใจซื้อไปทำรถแข่งคันเล็กๆ ไว้วิ่งเล่นสนุกๆ ตามสนามแข่งต่างๆ ในวันหยุด

มีเพียง Suzuki Swift เท่านั้นที่ลูกค้ากลุ่มซึ่งมองหา Yaris อยู่ เลือกจะเปรียบเทียบกันด้วย นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะ Toyota เองก็วางให้ Swift เป็นเป้าหมายสำคัญที่พวกเขาต้องการแย่งชิงหัวใจลูกค้ากลุ่มที่เน้นในด้านสมรรถนะการควบคุมรถมากกว่าปกติ อยู่แล้ว กระนั้นลูกค้าที่ซื้อ Swift จะเป็นคนกลุ่มที่ “ทะเลาะกับพ่อแม่เพื่อจะซื้อรถ” ด้วยเหตุผลประมาณว่า “ฉันของของฉัน อย่างนี้ ขอให้ฉันได้เลือกรถคันนี้เป็นคันแรกเป็นของขวัญให้ชีวิตตัวเองด้วยเถอะ” ลูกค้ากลุ่มนี้ มักเป็นคนโสด มีรสนิยมชอบงานศิลปะ เข้าใจดีว่าตนเองต้องการอะไร และชอบการขับรถลัดเลาะไปตามสภาพการจราจรที่ติดขัด ชอบความสนุกในการขับขี่

ถึงแม้ Swift จะเคยเป็นเทพด้าน Handling ของกลุ่ม Eco Car และ Yaris ใหม่ก็ทำได้ดีกว่าในด้านการเซ็ตช่วงล่างด้านหลังที่ไม่เด้งไม่เท่า Swift ทว่าในภาพรวมแล้ว Swift จะยังเอาใจคนรักความสนุกในการขับขี่ได้ดีกว่า Yaris อยู่นิดนึง ที่เหลือคือเรื่องความคุ้มค่า Swift รุ่นท็อปให้อุปกรณ์มาพอกันกับ Yaris รุ่นท็อปในราคาที่ถูกกว่ากันราวๆ 40,000 บาท แต่คงต้องยอมแลกกับพื้นที่ห้องโดยสารของ Yaris ที่กว้างใหญ่และมีเบาะหลังนั่งสบายกว่า แถมมีพื้นที่วางของด้านหลังรถเยอะกว่าชัดเจน

ถ้าเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่ตรงพิกัด นั่นคงจะมีแค่นี้ แต่เรื่องแปลกสำหรับ Yaris ใหม่ก็คือ มีลูกค้าจำนวนไม่น้อยที่นำมันไปเทียบกับ Toyota Vios Sedan 1.5 ลิตรกันเต็มๆ และมีจำนวนน้อยมากที่จะเปรียบเทียบกับ B-Segment Eco Car Sedan 1.2 ลิตรอย่าง Nissan Almera และ Mitsubishi Attrage กันไปเลย

เหอ?

ราคา: ทางเลือกที่ทับซ้อน

ไม่เชื่อก็ลองดูราคาขายปลีกหน้าโชว์รูมสิครับ

Toyota Yaris ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ดังนี้:
1.2J ECO เกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i 469,000 บาท
1.2J เกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i 519,000 บาท
1.2E เกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i 549,000 บาท
1.2G เกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i 599,000 บาท

แล้วลองมาดูราคาของ Vios ใหม่กันสักหน่อยดีกว่า:
1.5 J 5MT เกียร์ธรรมดา 559,000 บาท
1.5 J 4AT เกียร์อัตโนมัติ 589,000 บาท
1.5 E 5MT เกียร์ธรรมดา 614,000 บาท
1.5 E 4AT เกียร์อัตโนมัติ 649,000 บาท
1.5 G 4AT เกียร์อัตโนมัติ 699,000 บาท
1.5 S 4AT เกียร์อัตโนมัติ 734,000 บาท

ดูไปดูมา Yaris นี่สงสัยว่าจะเกิดมาเพื่อฆ่าพี่ชายตัวเอง (Vios) ตายโดยทางอ้อมเหมือนกันนะ ไม่แปลกหรอกที่มีคนเอามันไปเทียบกับ Vios มากพอๆ กับที่เอาไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งในเซกเมนต์เดียวกัน

ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น..?

ก็ดูราคาขายสิครับ มันเหลื่อมล้ำทับซ้อนกันอยู่ 3 รุ่นย่อยรวด!

ง่ายๆครับ ถ้าเรามองแบบคนที่ยังมีภาพเก่าของ Yaris รุ่นเดิมอยู่ในหัว พวกเขาก็จะนึกว่า Yaris ใหม่นี้ ก็ยังเป็น B-Segment คู่แฝดกับ Vios เหมือนรุ่นที่แล้วนั่นล่ะ อันที่จริงมันก็เป็นไปตามที่เขาเข้าใจส่วนหนึ่ง เพราะระยะฐานล้อ ความกว้างตัวถัง และแพลทฟอร์มที่ใช้ก็ยกมาจาก Vios แม้แต่หน้าปัดกับแผงประตูก็มีดีไซน์ที่เหมือนกันเป๊ะ แต่วางเครื่องยนต์ขนาดเล็กลงจากเดิมเหลือ 1,200 ซีซี แล้วพ่วงเกียร์ CVT ก็แค่นั้น

เมื่อมองการใช้งานของลูกค้าส่วนใหญ่ ที่ไม่ได้เน้นสมรรถนะ หรืออัตราเร่งเป็นหลัก ก็จะพบว่า Yaris แม้จะดูแพงกว่า Eco Car ตัวถัง Hatchback รุ่นอื่นๆ ทั้งหมด แต่ในทางกลับกัน สำหรับคนที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องรถยนต์มากนัก Yaris จะกลายเป็น “Vios ที่ถูกลงมาก” จนกลายเป็นทางเลือกอันสมเหตุสมผล ถ้าคุณไม่แคร์ว่าบั้นท้ายรถเป็น Hatchback ท้ายตัด เพราะอัตราเร่งก็พอๆ กัน ในช่วงฤดูหนาว และน่าจะด้อยกว่ากันนิดหน่อยแบบไม่เลวร้าย ในช่วงฤดูร้อน (จาก 12.4 วินาที น่าจะลดเหลือไม่แย่ไปกว่า 13.4 วินาที ในเกมจับเวลา 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง) แถมช่วงล่างก็ยังยก Setting มาจาก Vios รุ่น G กับ E ที่เน้นความสบายในการเดินทางไกล แต่ยังคงเข้าโค้งต่อเนื่องด้วยความเร็วสูงกว่าปกติได้สบายๆ แม้จะสะเทือนกว่านิดหน่อยในช่วงความเร็วต่ำ แต่ยังสบายกว่า Vios 1.5 S ที่พยายามจะทำช่วงล่างให้สปอร์ต แต่ยังไม่ดีพอ แถมพื้นที่โดยสารด้านหลังของ Yaris ก็กว้างขวางและนั่งได้สบายกว่า Vios เห็นๆ!

ยิ่งเปรียบเทียบราคากับอุปกรณ์ของ Yaris และ Vios ในแต่ละรุ่นย่อยแล้ว จะยิ่งพบประเด็นให้ประหลาดใจ เชื่อไหมว่า ถ้าคุณเลือก Yaris 1.2 G ตัวท็อป คุณจะจ่ายเงินถูกกว่าการซื้อ Vios ถึง 100,000 บาท พอดี แต่ Yaris ใส่อุปกรณ์มาให้คุณมากกว่า 2 รายการ คือมือจับเปิดประตูภายนอกเป็นโครเมียม และระบบ Push Start/Smart Entry นอกนั้นอุปกรณ์แทบจะเท่ากัน ไม่เว้นแม้แต่เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ ที่ใช้ยากไปหน่อย, ถุงลม 2 ใบ และระบบ ABS/EBD กับพวงมาลัย Multi Function เท่ากับว่าถ้าไม่แคร์อัตราเร่ง ไม่แคร์บุคลิกของรถท้ายตัด แต่สนใจค่าน้ำมันต่อเดือน แล้วเลือก Yaris คุณจ่ายน้อยกว่า แต่ได้ข้าวของเกือบเหมือนกันเลย!

ดังนั้น ใครที่มอง Vios รุ่น 1.5J A/T ไว้ ก็ต้องตั้งคำถามกับตัวเองแล้วล่ะว่า:

คุณชอบรถมีท้ายเพราะจะติดแก๊สแล้วมีที่เหลือเพื่อสบายใจงั้นใช่มั้ย? หรือคุณจำเป็นต้องใช้รถเก๋ง Sedan 4 ประตูมีท้ายจริงๆ หรือเปล่า?
หรือว่าคุณมี DNA แห่งความเป็น Minimalism สูง ชอบรถยนต์ที่ “สละแล้วซึ่งอุปกรณ์ต่างๆ” ออพชันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ขอให้มีแค่กระจกหน้าต่างไฟฟ้า กับพวงมาลัยเพาเวอร์ แอร์ และวิทยุมาให้ก็พอ?
คุณเกลียดเกียร์ CVT ยิ่งกว่าเกลียดขี้หน้าคนข้างบ้านรั้วติดกัน? คุณไม่ชอบมันมากๆ! และยังไงก็คิดว่ารถเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะคันเร่งได้ง่ายกว่า หรือทนทานกว่าเมื่อใช้ไปนานๆ?

เพราะถ้าคุณไม่ได้คิดอะไรแบบ 3 ข้อนี้ ผมก็จะบอกว่า Vios J 4AT ราคา 589,000 บาท มันถูกกว่า Yaris ตัว 1.2G แค่ 10,000 บาทเท่านั้นเอง หากเปลี่ยนเป็น Yaris ยอมลดความแรงลงมานิดนึง จาก 1,500 เหลือ 1,200 ซีซี (อัตราเร่งด้อยกว่ากันนิดเดียว แต่ประหยัดน้ำมันขึ้นชัดเจน) คุณจะได้อุปกรณ์ของเล่นต่างๆ มากมาย มีตั้งแต่ล้ออัลลอย, เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ, Push Start/Smart Entry, จอ MID, มีพวงมาลัย Multi Function แถมไม่ต้องวานคนนั่งข้างให้ช่วยปรับกระจกซ้ายอีกต่อไป คุณมีที่ปัดน้ำฝนที่ปัดเป็นจังหวะได้ และมีเบรก ABS/EBD เพิ่มมาให้..น่าสนเหมือนกันนะ

แต่ถ้าถาม J!MMY แล้ว ว่าถ้าเป็นส่วนตัวคุณ J!MMY จะซื้อ Yaris ใหม่หรือไม่? ขอย้ำว่า “นี่คือความเห็นส่วนตัว หลังจากที่วิเคราะห์กันอย่างเป็นกลางตามเนื้อผ้ามาตลอดทั้งบทความข้างต้นแล้ว”

ตอบได้ทันทีเลยครับว่า “ไม่”!

ทำไมละ?

ผมรับไม่ได้กับการที่ต้องซื้อรถยนต์ที่เต็มไปด้วยการติดตั้งชิ้นส่วนหลายชิ้นซึ่งไม่มีความจำเป็น แปะมาให้กับตัวรถ แล้วทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น แต่พวกเขากลับไม่ยอมหาทางตัดทอนชิ้นส่วนเหล่านั้นลง เพื่อนำต้นทุนส่วนเกินนี้ไปเพิ่มให้อุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานกับลูกค้า

ผมรับไม่ได้กับรถยนต์ที่ไม่มีเข็มขัดนิรภัยปรับสูง-ต่ำมาให้ ผมอยากได้พวงมาลัยปรับระยะไกล-ห่างจากตัวคนขับได้ (ซึ่งสำหรับผมตอนนี้จำเป็นมาก ตำแหน่งเบาะกับพวงมาลัยที่ไม่สัมพันธ์กัน มันทำให้ผมเริ่มปวดหลังได้เร็วขึ้น)

และผมไม่อยากซื้อรถที่มีงานออกแบบด้านหน้า ชวนให้ผมนึกถึงวีรบุรุษบางระจัน อย่างนายจันหนวดเขี้ยว หรืออากงหนวดเฟิ้ม และมีไฟท้ายที่ดูคล้ายก้อนเลือดกำเดาไหลเปรอแก้มของเด็กประถม 2

ถ้า Toyota จะไปแก้ไขปรับปรุงใน 3 ย่อหน้าข้างบนนี้ได้ครบกันเมื่อไหร่ วันนั้นแหละ ผมอาจจะเปลี่ยนใจยอมซื้อ Yaris มาจอดอยู่ในบ้าน

ถึงเวลาตัดสินใจ: Toyota Yaris โฉมใหม่ คือคำตอบของคุณหรือไม่?

Toyota Yaris รุ่นใหม่นี้ คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า Toyota พร้อมที่จะก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป จากรถยนต์ที่เน้นความประหยัดและการใช้งานในชีวิตประจำวัน Yaris ได้ก้าวเข้ามาสู่ยุคใหม่ ที่มาพร้อมสมรรถนะที่เหนือความคาดหมาย การออกแบบที่เริ่มมีความกล้าหาญมากขึ้น และพื้นที่ภายในที่กว้างขวางจนน่าประทับใจ

แม้จะมีจุดที่ควรได้รับการปรับปรุงอีกหลายประการ แต่โดยรวมแล้ว Toyota Yaris ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งในตลาด Eco Car ของไทย ที่สำคัญคือ การที่ Yaris รุ่น Top มีราคาใกล้เคียงกับ Vios รุ่นรองลงมา ทำให้เกิดการเปรียบเทียบที่น่าสนใจ และอาจทำให้ลูกค้าหลายคนต้องทบทวนความต้องการที่แท้จริงของตนเอง

หากคุณกำลังมองหารถยนต์นั่งขนาดเล็ก ที่มีความประหยัดน้ำมันที่ดี อัตราเร่งที่เพียงพอต่อการใช้งานในเมืองและนอกเมือง พื้นที่ภายในที่กว้างขวาง และช่วงล่างที่ให้ความมั่นใจในการขับขี่ Toyota Yaris รุ่นใหม่นี้ ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง

เชิญทดลองขับ Toyota Yaris รุ่นใหม่ ได้แล้ววันนี้ที่โชว์รูม Toyota ทั่วประเทศ เพื่อสัมผัสประสบการณ์จริง และหาคำตอบว่า Yaris คันนี้ คือ “ไอคอน” ใหม่ ที่จะพาคุณไปสู่การเดินทางที่ใช่ ในสไตล์ของคุณ!

Previous Post

N2912049 คนเห นแก อย ไหนก าร งเก ยจ part2

Next Post

N3012069 แม แจอล กสาวท ตามหามา 3ป (เศร ามาก) part2

Next Post
N3012069 แม แจอล กสาวท ตามหามา 3ป (เศร ามาก) part2

N3012069 แม แจอล กสาวท ตามหามา 3ป (เศร ามาก) part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N3112064 เพ อนท เขาไม ทำก บเพ อนแบบน part2
  • N3112072 เธอถอดบsาต อหน แต มไปว าเค ามอง(ไม )เห part2
  • N3112076_กผอ. ไม พอใจท กภารโรงใส ดว ายน ำเหม อนเขา_part2
  • N3112074 ทำนาอย ๆม คนมาขอความช วยเหล part2
  • N3112069 อให แฟนไม แต แม แฟนร กส ดห วใจ part2

Recent Comments

No comments to show.

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.