• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N3112063 าค ณเป นค ณค ณจะทำอย างไร part2

admin79 by admin79
December 27, 2025
in Uncategorized
0
N3112062 เพราะจนคนเลยต ดส นว าผ part2

11 รถยนต์สัญชาติอเมริกันสุดหรูและทรงคุณค่าที่สุดตลอดกาล

ในโลกแห่งยานยนต์ ประวัติศาสตร์อันยาวนานของอุตสาหกรรมรถยนต์อเมริกันได้สร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอกมากมายที่ยังคงเป็นที่ต้องการของนักสะสมและผู้ที่ชื่นชอบความหรูหรามาจนถึงปัจจุบัน ด้วยจิตวิญญาณแห่งนวัตกรรม สมรรถนะอันทรงพลัง และการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ รถยนต์สัญชาติอเมริกันเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จ แต่ยังเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงความเป็นเลิศของวิศวกรรมและศิลปะยานยนต์ บทความนี้จะพาคุณดำดิ่งสู่โลกของ รถยนต์อเมริกันราคาแพงที่สุด ซึ่งคัดสรร 11 อันดับที่น่าทึ่งที่สุด จากรถสปอร์ตระดับตำนาน รถแข่งที่คว้าชัยในสนามประลอง ไปจนถึงยานพาหนะสุดหรูที่สะท้อนถึงฐานะอันสูงส่ง

การค้นหารถยนต์สัญชาติอเมริกันที่มีมูลค่าสูงที่สุด มักจะพิจารณาจากราคาประมูลล่าสุด ซึ่งสะท้อนถึงความหายาก สภาพดั้งเดิม ประวัติความเป็นมา และความต้องการของตลาด รถยนต์อเมริกันหายาก เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงยานพาหนะ แต่เป็นงานศิลปะเคลื่อนที่ ที่นักสะสมทั่วโลกต่างหมายปอง

Ford GT40 Gulf/Mirage Lightweight Racing Car ปี 1968

Ford GT40 คันนี้ ไม่ใช่เพียงรถแข่ง แต่เป็นตำนานที่หล่อหลอมขึ้นจากความมุ่งมั่นของอเมริกาในการพิชิตวงการมอเตอร์สปอร์ตยุโรป ด้วยการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่เฉียบคม เครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.9 ลิตร ที่ให้กำลัง 440 แรงม้า และการนำเทคโนโลยีวัสดุน้ำหนักเบาอย่างคาร์บอนไฟเบอร์มาใช้ ถือเป็นนวัตกรรมล้ำสมัยในยุคนั้น Ford GT40 ราคา ประมูลที่สูงถึง 11 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 353 ล้านบาท) สะท้อนถึงคุณค่าในฐานะต้นแบบรถแข่งสไตล์อเมริกันอย่างแท้จริง

Duesenberg Model J Long Wheelbase Coupe ปี 1931

Duesenberg Model J คือนิยามของความหรูหราและสถานะทางสังคมในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ด้วยเส้นสายการออกแบบที่สง่างาม เหนือระดับเทียบเคียงรถยนต์ยุโรปชั้นนำ พร้อมฐานล้อที่ยาวเป็นพิเศษเพื่อความสะดวกสบายสูงสุด เครื่องยนต์ 8 สูบแถวเรียง ขนาด 7.0 ลิตร ให้กำลัง 256 แรงม้า พาความเร็วสูงสุดถึง 192 กม./ชม. Duesenberg Model J ราคา ประมูลล่าสุดที่ 10.34 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 329 ล้านบาท) เป็นเครื่องยืนยันว่าความงามและความแรงยังคงเป็นที่ต้องการของนักสะสมเสมอ

Shelby Daytona Cobra Coupe ปี 1965

Carroll Shelby คืออัจฉริยะแห่งวงการมอเตอร์สปอร์ต และ Shelby Daytona Cobra Coupe คือผลงานชิ้นเอกที่สร้างขึ้นเพื่อท้าชน Ferrari โดยเฉพาะ รถแข่งคันนี้กวาดรางวัลใหญ่มานับไม่ถ้วนในสนามแข่งระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Le Mans, Nürburgring, Daytona และ Sebring ส่งผลให้ Shelby คว้าแชมป์ผู้ผลิตในปี 1965 Shelby Cobra Coupe ราคา ประมูลที่ 7.68 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 244 ล้านบาท) สำหรับคันหมายเลขตัวถัง #CSX2602 ที่ผ่านการแข่งขันจริง เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงคุณค่าอันเป็นนิรันดร์

Ford GT40 Prototype ปี 1964

เป็นหนึ่งในรถ Ford GT40 รุ่นแรกๆ ที่ออกจากสายการผลิต มาพร้อมโครงสร้างและตัวถังน้ำหนักเบา เครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.7 ลิตร และเคยขึ้นโพเดียมอันดับ 3 ในการแข่งขัน Daytona Continental 2,000 km ปี 1965 Ford GT40 Prototype ราคา ที่ 7 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 223 ล้านบาท) แสดงให้เห็นถึงความสำคัญในฐานะรถต้นแบบที่ปูทางไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

Shelby Cobra 427 Super Snake ปี 1966

รถหายากรุ่นพิเศษจาก Shelby ที่ถูกสร้างขึ้นตามคำขอของ Bill Cosby เพื่อนสนิทของ Carroll Shelby โดยมีเป้าหมายเพื่อทำความเร็วทะลุ 200 ไมล์ต่อชั่วโมง (321 กม./ชม.) ยิ่งไปกว่านั้น รถคันนี้ยังเคยถูกใช้งานโดย Carroll Shelby เองอีกด้วย Shelby Cobra 427 Super Snake ราคา ที่ 5.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 175 ล้านบาท) สะท้อนถึงความปรารถนาของนักสะสมที่จะได้ครอบครองตำนานชิ้นนี้

Batmobile 1 ปี 1966

สัญลักษณ์แห่งโลกซูเปอร์ฮีโร่ Batmobile คันนี้ ไม่ใช่เพียงรถ แต่เป็นไอคอนทางวัฒนธรรมที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 1966 เพื่อใช้ในซีรีส์โทรทัศน์ Batman ดัดแปลงจาก Lincoln Futura ปี 1954 ด้วยงบประมาณการสร้างและการตกแต่งที่สูงถึง 400,000 เหรียญสหรัฐในสมัยนั้น Batmobile ราคา ประมูลที่ 4.62 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 147 ล้านบาท) เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับแฟนพันธุ์แท้

Duesenberg Model SJ Convertible Coupe ปี 1935

รถเปิดประทุนสุดหรูคันนี้โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่สะกดทุกสายตา งานประกอบอันประณีต และเครื่องยนต์ซูเปอร์ชาร์จที่สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 225 กม./ชม. ในยุคที่ความเร็ว 160 กม./ชม. ยังเป็นเรื่องยาก Duesenberg Model SJ Convertible Coupe ราคา ที่ 4.51 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 143 ล้านบาท) ทำให้มันถูกขนานนามว่าเป็น Bugatti Veyron แห่งยุค 1930

Duesenberg Model SJ Speedster “Mormon Meteor” ปี 1935

รุ่นพิเศษที่ตกแต่งอย่างสปอร์ตที่สุดในยุคนั้น ด้วยตัวถังสีครีมโดดเด่น พร้อมตัวอักษรแบรนด์สีเงินขนาดใหญ่ และท่อไอเสียสีเงินสะท้อนแสง ใช้เครื่องยนต์ V12 ที่พัฒนาจากเครื่องบิน สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 247.7 กม./ชม. Duesenberg Model SJ Speedster ราคา ที่ 4.45 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 141 ล้านบาท) แสดงถึงสมรรถนะและความล้ำสมัย

GM Futurliner ปี 1939

รถบัสขนาดเล็กที่ General Motors สร้างขึ้นเพื่อจัดแสดงในงาน New York World’s Fair ปี 1939 โดดเด่นด้วยดีไซน์ Art Deco สีแดงสด มีการผลิตเพียง 12 คัน และหลงเหลืออยู่เพียง 9 คันในปัจจุบัน GM Futurliner ราคา ประมูลสูงสุดที่ 4.32 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 137 ล้านบาท) ทำให้เป็นหนึ่งในรถยนต์ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และหายากที่สุด

Chevrolet Corvette L88 ปี 1967

สัญลักษณ์แห่งรถสปอร์ตอเมริกันระดับตำนาน มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 ขนาด 7.7 ลิตร ที่ให้กำลังกว่า 500 แรงม้า ถือเป็น Corvette ที่มีราคาขายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ Chevrolet Corvette L88 ราคา ที่ 3.85 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 122 ล้านบาท) เป็นเครื่องยืนยันถึงสมรรถนะและสถานะอันทรงเกียรติ

Gurney Eagle Mk-1 ปี 1966

ปิดท้ายด้วยรถ Formula 1 สัญชาติอเมริกันคันแรกๆ ของยุคปี 1966 ด้วยเครื่องยนต์ V12 วางกลาง ล้อเปิดโล่ง และรูปทรงปราดเปรียว เคยคว้าชัยในการแข่งขัน Belgian Grand Prix ปี 1967 Gurney Eagle Mk-1 ราคา ที่ 3.74 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 119 ล้านบาท) แม้ตัวเลขอาจดูไม่สูงเท่าคันอื่นในลิสต์ แต่ถือเป็นรถ Formula 1 ที่ราคาถูกที่สุดเท่าที่เคยมีการประมูลมา

แม้ว่ารถยนต์สัญชาติอเมริกันเหล่านี้อาจไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับรถหรูจากยุโรปได้เสมอไป แต่พวกมันก็มีเอกลักษณ์อันน่าทึ่งที่ผสมผสานระหว่างจิตวิญญาณแห่งรถแข่ง ความเป็นสปอร์ตต้นตำรับ และแม้กระทั่งบทบาทในฐานะไอคอนวัฒนธรรม เช่น Batmobile รถยนต์เหล่านี้คือเครื่องพิสูจน์ว่าอเมริกาได้สร้างสรรค์ยานยนต์อันทรงคุณค่าซึ่งจะยังคงเป็นที่ต้องการของนักสะสมไปอีกนานแสนนาน

Honda City 2014: การเดินทางที่คุ้มค่าเกินราคา

เมื่อพูดถึงรถยนต์สักคันที่มาพร้อมความคุ้มค่าสำหรับใครหลายคน มันคงเป็นโจทย์ที่ยากสำหรับการเลือกรถสักคันมาประจำการข้างกาย ทว่ารถที่คุ้มค่ามีมากมายหลายแบบ แต่มีสักกี่คันที่คุณขับแล้วจะรู้สึกว่า ราคาขายที่ตั้งมาอาจจะยังถูกไปกับสิ่งที่ได้สัมผัส

“Be Your Best” เป็นวลีที่เราน่าจะคุ้นหูในช่วงเดือนที่ผ่านมา หลังจากค่ายรถยนต์ Honda ตัดสินใจเปิดตัวรถยนต์ Honda City ใหม่ออกมาอย่างเป็นทางการ ด้วยการแนะนำโฉมที่ 4 ออกสู่ตลาดอย่างเป็นทางการ หลังจากที่สร้างความประทับใจมาแล้วอย่างต่อเนื่องมากถึง 3 รุ่นด้วยกัน

โครงการพัฒนา Honda City ใหม่ โฉมปี 2014 หรือรุ่นที่ 4 ของรถยนต์ซิตี้คาร์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดรถยนต์ใหม่ๆ แถบภูมิภาคอาเซียนนี้ ถูกจับตามองทันที หลังจากที่ญี่ปุ่นเปิดตัว Honda Fit 2014 ออกมา และแล้วหลังจากที่มีการเปิดรุ่นใหม่ออกมา ไม่นานเมื่อกลางปี 2013

ในอินเดียก็เริ่มตามมาด้วยข้อมูลที่เริ่มรั่วไหลออกมา หลังจากที่ฮอนด้าใช้อินเดียเป็นฐานใหญ่สำหรับตลาดใหม่ในการวิจัยและพัฒนารถยนต์นั่ง ก่อนที่ในไทยจะเริ่มแนะนำตัวออกสู่ตลาด เป็นประเทศที่สองรองจากอินเดียที่ตัดหน้าเราไปก่อนในงาน India Auto Expo 2014

การแนะนำ Honda City 2014 สร้างความสนใจให้กับคนไทย ตั้งแต่รู้ว่าน่าจะมาแน่ และทันทีที่สิ้นเสียง TVC พร้อมหนุ่มหน้ามลที่มารับบทบาทกัปตันหนุ่มที่หลงรักหญิงสาวแล้ว เซอร์ไพรส์เธอด้วยการขับเครื่องบินไปส่งถึงปารีส ตามสตอรี่ที่ Honda วางไว้ ซึ่งเชื่อว่าหลายคนคงจะรับรู้ได้จากโฆษณา

เจ้า Honda City ใหม่ เผยเรือนร่างที่เน้นความสง่างามมากกว่า ประทับใจทุกคนตั้งแต่แรกเห็น ด้วยการให้ความทันสมัยมากขึ้นกว่าเดิม ยังคงพุ่งสู่ความหรูหราดูดีมากขึ้น ด้านหน้าสดใสดูเยาว์วัยด้วยกระจังหน้าทรงสปอร์ตที่แอบความหรูหราด้วยดีไซน์พิเศษแบบแพลททินัม มองไกลๆ คล้ายโครเมี่ยมอยู่บ้าง แต่ไร้กังวลเรื่องการดูแลรักษาที่ง่ายกว่าเยอะ

ฝากระโปรงหน้ายังคงทรงลาดเทดูมีความสปอร์ตในการออกแบบ ส่วนโป่งล้อมีการให้รายละเอียดเส้นสายที่ดูมีกล้ามเนื้อมากกว่ารุ่นที่แล้ว พร้อมเชฟทางด้านข้างที่ดูเหมือนจะพุ่งทะยานไปข้างหน้า ในรุ่นท็อปนี้ประกบด้วยล้ออัลลอยขอบ 16 นิ้ว พร้อมยางประหยัดน้ำมันขนาด 185/55 R16 ซึ่งขัดในตัวตนเล็กน้อย

เส้นสายหลังคาลากผ่านด้านบนโค้งเน้นความสปอร์ตที่ลงตัวในพื้นที่ใช้งาน มาพร้อมครีบปลาฉลามซึ่งเป็นเสาอากาศวิทยุ ดูดีและแปลกตา รวมถึงช่วยในเรื่องของแรงต้านลมตามหลักอากาศพลศาสตร์ ก่อนจะบรรจบลงที่บั้นท้ายที่มาพร้อมความลงตัวในการออกแบบในสไตล์หรู ดูดีคล้ายยนตรกรรมจากยุโรปบางรุ่น

แต่แม้จะเหมือนมาก ทว่าเมื่อมององค์รวมที่ให้ตัวตนในขนาดที่เหมาะพอดีกับคนเมือง ด้วยความยาว 4,440 ม.ม. กว้าง 1,695 ม.ม. และสูง 1,477 ม.ม. ปรับขนาดฐานล้อเพื่อสนับสนุนในเรื่องการขับขี่และการโดยสารที่ดีขึ้น ยาว 2,600 ม.ม.

ภายในห้องโดยสาร Honda City 2014 ใหม่ เปิดมุมมองใหม่ทางด้านการออกแบบ ด้วยความทันสมัยมากขึ้น ที่จริงในรุ่นนี้ มีการแนะนำห้องโดยสาร 2 สี ตามความต้องการของลูกค้า มีทั้งสีเบจและสีดำในรุ่นท็อป อย่างที่เราขับในวันนี้

เน้นการออกแบบที่เหนือชั้นด้วยความดูดีมีระดับ รู้สึกได้ทันทีตั้งแต่เปิดประตู ด้วยชุดกุญแจนิรภัย Immobilizer ให้ความสะดวกสบาย ไม่ต้องล้วงแล้วปิ๊บ!! ให้มันยุ่งยาก มากความวุ่นวาย

เมื่อหย่อนตัวลงนั่งในห้องโดยสาร Honda City ใหม่ ต้อนรับคุณด้วยเบาะนั่งที่ออกแบบมาอย่างลงตัว ทั้งที่รองนั่งที่มีความนิ่มกำลังดี ส่วนของพนักพิงหลังเองก็มีขนาดใหญ่มากพอสมควร แต่ยังมีปีกช่วยโอบกระชับออกมาในสไตล์รู้สึกสปอร์ตนิดหน่อย ลงตัวกับตัวตน

คอนโซลหน้าออกแบบมาให้มีความทันสมัยเกินราคาค่าตัว เสียดายที่ภายในออกแบบมาถ้ามองแล้ว จะรู้สึกตันๆ ไปเล็กน้อย แต่พอเข้าใจได้ เพราะตรงกลางต้องยัดระบบความบันเทิง Advance Touch ที่ดูทันสมัยคล้ายคุณมีแท็บเล็ตขนาด 7 นิ้วติดตั้งในรถ สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์สมาร์ทโฟน และรองรับการเชื่อมต่อ AUX, HDMI รวมถึง USB แต่จะดียิ่งกว่านี้ถ้ามันถอดออกเอาพกติดตัวไปได้ จะล้ำจนลูกค้าร้องว้าว!!

ใต้ล่างเครื่องเสียงเป็นระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ออกแบบมาได้ดูดีลงตัว โชคร้ายนิดหน่อยที่เราดันพบว่าการตกแต่งตรงกลางด้วยเปียโนแบล็ค พร้อมระบบสัมผัสอาจจะเจอปัญหาเมื่อน้ำยาเคลือบเงาภายในแว็กซี่ทิ้งคราบไว้ให้ดูต่างหน้า ส่วนตรงหน้าคนขับมาพร้อมมาตรวัดแบบสปอร์ต พร้อมพวงมาลัย 3 ก้าน เต็มเหนี่ยวด้วยปุ่มควบคุมเครื่องเสียง รับ-วางโทรศัพท์ รวมถึงระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ส่วนทางด้านขวามีระบบ Econ สีเขียวรักสิ่งแวดล้อม พร้อมที่ปรับกระจกมองข้าง

ลองไปนั่งตอนหลังดูก่อนออกเดินทาง คนตัวใหญ่นั่งสบาย คนตัวเล็กยิ่งดีกว่าเดิม แม้เบาะหลังจะถอยสุด ส่วนการขึ้นลงถือว่าโอเคขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ ดูๆ แล้ว ที่วางตอนหลังนี้สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุดถึง 3 คน ตัวใหญ่ แถมยังปรับเป็นโหมดขนของด้วยการพับเบาะอัตรา 60/40 ได้ถ้าต้องการ หากห้องสัมภาระที่มีความจุว่า 536 ลิตร ซึ่งพอจะยัดกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ได้ 2 ใบ ไม่สามารถตอบสนองได้ ทว่าที่ถูกใจสุดคงเป็นช่องเก็บของที่ล้นเหลือ สำหรับบรรดานักขนตัวยง

ปุ่มสตาร์ทดูเหมือนจะอยู่ผิดที่ผิดทางไปหน่อย เพราะมันอยู่ทางซ้ายล่างข้างระบบปรับอากาศ ไม่เป็นที่สังเกตดี แต่ในอีกแง่ถ้าคุณขับรถ Honda City 2014 ครั้งแรกๆ อาจจะใช้เวลาในการมองหาสักหน่อย เพราะวงพวงมาลัยบังปุ่มสตาร์ทอย่างพอเหมาะพอเจาะ

กดสตาร์ท เครื่องยนต์ ขุมพลัง 4 สูบแถวเรียง ขนาด 1.5 ลิตร เริ่มต้นทำงานอย่างนิ่มนวล เข็มหน้าชี้รอบเดินเบาบอกถึงการพร้อมเดินทาง ที่จริง น่าเสียดายที่ Honda ตัดสินใจในการลดแรงม้าลงมาเหลือเพียง 117 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงสุด 146 นิวตันเมตรที่ 4,700 รอบต่อนาที งวดนี้ดีขึ้นด้วยการปรับให้รองรับพลังงานทางเลือก E85 เป็นรุ่นที่สอง รองจากค่ายอเมริกันรายหนึ่งที่แนะนำไปเมื่อปีกลายในเซกเมนต์นี้ แต่เป็นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร บล็อกแรกในบ้านเราที่รองรับพลังงานทางเลือก

น่าเสียดายที่ E85 ยังไม่ใช่โจทย์สำหรับการทดสอบวันนี้ เพราะเราต้องการรู้สมรรถนะในภาพรวมของรถ Honda City ใหม่ ก่อนหลังจากที่พลาดท่าไม่ได้ไปขับในการทดสอบกลุ่ม แต่เมื่อมันมาอยู่ในเมืองเราก็ได้เวลาจัดเต็ม

สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนตัวตน Honda City ใหม่ ทันทีที่เริ่มเคลื่อนตัวสู่ถนนสุขุมวิท ตะลุยเมืองหลวง กทม. คงไม่มีอะไรอื่นนอกจากระบบส่งกำลังที่เป็นชุดเกียร์แบบ CVT ที่จริงแล้วในตลาดไทยเริ่มคุ้นเคย CVT มากขึ้นหลังจากนำมาติดตั้งในอีโคคาร์และค่ายญี่ปุ่นบางเจ้าก็จัด CVT เป็นระบบส่งกำลังหลัก หลังจากพวกเขาประสบความสำเร็จเรื่อยมา

สำหรับ Honda แล้ว การติดตั้งระบบเกียร์ CVT เป็นสิ่งที่ถูกจับตามอง เพราะกาลครั้งหนึ่งเคยมาแล้วแต่ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร แต่เมื่อยุคสมัยบ้านเมืองไทยใจเปิดกว้างมากขึ้น แม้เครื่องยนต์จะลดแรงม้าลงแต่ก็มีระบบส่งกำลังที่ดีขึ้น ด้วยชุดเกียร์ CVT 7 สปีด แถมยังเป็นเกียร์ที่ได้รับการพัฒนาภายใต้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด Honda Earth Dreams ด้วย

การเปลี่ยนแปลงระบบส่งกำลังใหม่นี้ ทำให้ Honda City มีบุคลิกที่แตกต่างออกไป อย่าหวังเรื่องความกระฉับกระเฉง เหยียบแล้วพุ่ง ลากยาวๆ ให้มันตัดรอบ เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่ชุดเกียร์ CVT จะทำได้

ระบบเกียร์ใหม่นี้เน้นในการขับขี่สะดวกสบาย ง่าย และที่สำคัญไม่ต้องกังวลเรื่องคันเร่งมากนัก ทำให้มันออกมาในสไตล์รถที่ขับในลุคแบบผู้ดีมากกว่า แต่ด้วยเครื่องยนต์ที่มีขนาด 1.5 ลิตร เมื่อจับคู่กับชุดเกียร์ CVT ที่สามารถแปรตำแหน่งได้ถึง 7 อัตราทด ตั้งแต่ 2.526-0.408 ปั่นลงเฟืองท้าย 4.992 ทำให้ความรู้สึกหนักแน่นเรื่องอัตราเร่งดีพอสมควร

เมื่อเหยียบคันเร่ง รถจะพุ่งออกอย่างรวดเร็วทันใจ แต่นิสัยของ CVT คือจะปรับอัตราทดเอง ซึ่งหมายความว่าคุณต้องรู้ใจระบบเกียร์ด้วย ถ้าเหยียบคันเร่งแช่พื้นยาวๆ รับรองว่าไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน แต่จุดหนึ่งที่ทำให้เราไม่ชอบใจทุกครั้งที่เข้าเกียร์ใน Honda City มันไม่ใช่อะไรไกลนอกจากคันเกียร์ การวางตำแหน่ง S ไว้ด้านล่างสุด ทำให้หลายครั้งเราเผลอที่จะลากคันเกียร์ลงไปสุด แล้วก็ลากยาวๆ แบบนั้นไปตลอดการเดินทาง ซึ่งถ้าไม่สังเกตตัวบอกตำแหน่งที่หน้าปัด ก็จะไม่รู้ว่าคุณอยู่เกียร์ S หรือโหมด Sport ที่เน้นความเร้าใจให้คุณลากชน 6,000 รอบต่อนาที เอาแรงม้ามาใช้ตลอดเวลาที่ต้องการ

แน่นอนว่า Honda City เกิดมาเพื่อคนเมือง ทำให้เราต้องจัดหนักเล็กน้อยในการซอกแซกไปตามถนนหนทาง ซึ่งต้องยอมรับว่ามันมีความคล่องตัวมากกว่าที่คิดเสียอีก โดยเฉพาะที่ถูกใจอีกอย่างใน Honda City เป็นพวงมาลัยที่ออกแบบวงพวงมาลัยมาพอดี น้ำหนักค่อนไปทางเบา หมุนง่าย ในช่วงความเร็วต่ำ ด้วยพวงมาลัยเพาเวอร์พร้อมผ่อนแรงไฟฟ้า หรือ EPS

ลักษณะการควบคุมไม่มีระยะฟรีมากนัก อาจจะต้องการออกมาในรูปความสปอร์ตขับสนุก แต่มันกลายเป็นข้อดีสำหรับเรื่องความแม่นยำในการเปลี่ยนเลน เมื่อกวาดพวงมาลัยไปมา พร้อมเหยียบคันเร่งผ่านชุดเกียร์ CVT พร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร ที่จี๊ดจ๊าดดีผ่านระบบส่งกำลัง ซึ่งสามารถสอดผสานในการขับขี่ในเขตเมืองอย่างลงตัว

ไม่ว่าคุณจะไปในซอยแคบ ไปในห้างสุดหินเรื่องที่จอดรถ หรือจะถอยจอดซื้อก๋วยเตี๋ยวข้างทาง Honda City ลงตัวมากในเรื่องการออกแบบรถให้เหมาะต่อชีวิตคนเมือง

แม้ว่าทุกอย่างดูท่าว่าจะดี เราสนุกในเมืองกับการพา Honda City ไปมามากพอสมควร แต่ท้ายสุดเรื่องที่เราไม่เคยลืม โดยเฉพาะกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย Honda City ที่มองเรื่องประหยัดน้ำมัน การเดินทางของเราในเมืองตลอดวัน ทั้งขึ้นห้าง และเจอรถติดบนถนนสุขุมวิทช่วงกลางวัน จบที่การเติมน้ำมัน แก๊สโซฮอล์ 91 คืนถัง แล้วเมื่อดีดตัวเลขอัตราประหยัดออกมาได้ที่ 10.6 กม./ลิตร จากหน้าปัดที่โชว์ค่าอัตราประหยัดเฉลี่ยไม่แตกต่างเป็นนัยยะ 10.9 กม./ลิตร

อัตราประหยัดที่ดูไม่ค่อยประหยัดเท่าไรนี้ ดูเหมือนจะมีปัจจัยสำคัญสองประการ คือ อัตราทดเฟืองท้ายที่ค่อนข้างมาแนวจัดจ้านพอสมควร และอาจจะเกินพอดีไปสักนิดกับชีวิตคนเมือง ที่ 4.992 อาจจะเป็นเพราะชุดเกียร์ CVT มีอัตราทดเกียร์แรกที่ค่อนข้างต่ำ ที่ 2.526 ทางวิศวกร Honda จึงอาจจะเกรงว่า Honda City จะถูกเผาว่าเป็นรถที่ออกตัวอืดไม่ทันใจวัยรุ่น ซึ่งยังเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญของรถคันนี้

และอีกปัจจัยนั้น จากการขับมาทั้งวันของการทดสอบบอกได้เลยว่าตำแหน่งเกียร์ S นั่น ดูเหมือนจะอยู่ผิดที่ผิดทาง จนลากเครื่องสนุกไปหลายครั้งเช่นกัน ที่จริงไม่ผิดที่พวกเขาอาจจะคิดว่า S ควรอยู่ใต้ล่าง D เพื่อเสริมในโหมดการขับขี่พิเศษ แต่ด้วยนิสัยการขับขี่ของคน ซึ่งมักจะไม่มองคันเกียร์หรือหน้าปัด หลายคนใช้ความรู้สึกในการเข้าเกียร์ พวกเขาจึงมักจะเลื่อนลงมาสุดล่างเพื่อเริ่มต้นเดินทาง แต่เมื่อต้องการใช้วิชามารโหมด S น่าจะชินการดันตำแหน่งขึ้นมากกว่าลากลงล่างไปอีก…

นอกเมือง Honda City ใหม่ เป็นเหมือนรถคนละคันหนังคนละม้วนกับในเมือง แม้ในแง่ความจริงคือมันควรจะต้องเป็นรถที่เน้นความประหยัดในเมืองมากกว่า แต่ อานิสงส์ของระบบเกียร์ CVT 7 สปีด ก็ทำให้การขับขี่ลื่นไหลจากอัตราทดที่มีจำนวนมากกว่า และยังมีค่าที่ต่ำกว่าด้วยเมื่อเทียบกับเกียร์ธรรมดา

การมีอัตราทดมากกว่า ทำให้การทำงานเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร มีรอบที่ต่ำมากเมื่อใช้อัตราทดสูงสุดที่ความเร็ว 90 กม./ชม Honda City ใหม่ ตอบสนองด้วยรอบเครื่องยนต์เพียง 1,600 รอบต่อนาที และถ้าต้องการความเร็วขึ้นโดยที่พี่เสื้อสีกากีไม่ดักคุณข้างหน้าที่ 120 กม./ชม. นั้น ก็ยังเดินทางด้วยรอบต่ำมากเพียง 2,200 รอบต่อนาที โดยในรอบช่วงตั้งแต่ 2,000-3,000 รอบ สามารถเหยียบคันเร่งได้ถึง 140 กม./ชม. เลยทีเดียว ถ้าคุณต้องเดินทางไปงานบวชกลับมาแต่ง หรือธุระปะปังที่ต้องใช้ความเร็ว

ในการเดินทางนอกเมือง รอบเครื่องที่ตอบสนองในสุนทรีย์ทางด้านการขับขี่ ห้องโดยสารจึงค่อนข้างเงียบ แต่เมื่อใช้ความเร็วเกิน 130 กม./ชม. จะเริ่มมีเสียงลมเล็ดลอดจากเสา A ทันที ยังดีที่ใน Honda City ใหม่ ให้ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติมาด้วย ตอบสนองได้ดี แต่ต้องจำไว้ว่าถ้าคุณกดโหมด Econ หรือโหมดประหยัดนั้น มันจะเร่งช้าเมื่อคุณรีเซ็ตความเร็วสู่ค่าความเร็วที่ตั้งไว้ จนรถคันหลังอาจจะด่าพ่อล่อแม่ได้ ถ้าคุณอยู่ในเลนขวา แต่เมื่อปลด Econ มันก็จะเร่งเร็วปกติเหมือนเดิม

เมื่อแช่ Cruise ความเร็วที่ 120 กม./ชม. อัตราประหยัดบนหน้าปัดก็จะดีขึ้นอย่างชัดเจน เรามีโอกาสเห็นอัตราประหยัดบนหน้าปัดสูงสุดถึง 16.0 กม./ลิตร แม้จะขับยิงยาวที่ความเร็วสูงสุดตามกฎหมายกำหนด

ส่วนเรื่องระบบกันสะเทือนก็ให้ความมั่นใจพอสมควร ตามธรรมเนียมเดิมกับระบบกันสะเทือนแม็คเฟอร์สันสตรัททางด้านหน้า พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านท้ายเลือกใช้ทอร์ชั่นบีม H shape ตามปกติของซิตี้คาร์ในโลกวันนี้ แต่การเซ็ตติ้งช่วงล่างของ Honda City ค่อนข้างมาทางสปอร์ตมากขึ้นอย่างชัดเจน

มันไม่หยาบกระด้างเหมือนรถในสนาม แต่แน่นหนึบพอตัว ด้วยการใช้โช้คที่มีช่วงสั้น ทำให้สามารถยืดและยุบตัวเร็ว สามารถรู้สึกได้ถ้าผ่านช่วงที่กรมทางหลวงไม่เหลียวแลผิวถนน หรือจะเป็นช่วงรอยต่อถนน ส่วนสปริงมีความแข็งพอตัว แต่ก็ไม่มากไปจนคนนั่งจะรู้สึกว่ามันเป็นดั่งม้าพยศเกินไปนัก

แต่แม้ทุกอย่างจะดูดี รวมถึงน้ำหนักพวงมาลัยที่แปรเปลี่ยนตามพฤติกรรมการขับขี่คุณว่าใช้ความเร็วสูงหรือไม่นั้น Honda City กลับมาตกม้าตายอย่างน่าเสียดายในเรื่องของยางที่ติดมากับตัวรถ ซึ่งดูเหมือนว่าจะใช้ยางประหยัดน้ำมันเข้ามาเสริมเรื่องความประหยัดมากขึ้น ข้อดีของมันคือทำให้มีความประหยัดน้ำมันมากขึ้น แต่อย่าแปลกใจถ้าคุณหวดโค้งที่ความเร็ว 80 กม./ชม. แล้วยางออกอาการร้องโหยหวนและสะบัดสะบิ้งราวกับมันไม่อยากจะไปตามโค้ง แต่ก็ไม่มีอาการหน้าดื้อหรือท้ายไหลให้ต้องกังวลใจในการควบคุม ด้วยระบบช่วยควบคุมในการทรงตัวผู้ช่วยหลักในการขับขี่

อย่างไรก็ดี ที่หลายคนกังขาหนักกว่านั้น ก็เป็นเรื่องของระบบเบรกที่ปรับจากดิสก์ล้อในรุ่นท็อป มาเป็นหน้าดิสก์หลังดรัม ไม่ต้องถามว่าทำไม ก็คงอาจจะเป็นเรื่องของต้นทุน ซึ่งในความเป็นจริง Honda City ก็ไม่ได้จำเป็นมากถึงขนาดต้องใช้ดิสก์ล้อ เพราะรถไม่ได้ใช้ความเร็วสูงมากนักในการขับขี่จริง ยิ่งอยู่ในเมืองเป็นสำคัญ นี่ขับได้ 90 กม./ชม. ก็แทบบุญหัว

แต่ในช่วงใช้ความเร็วสูงก็ไม่ได้เป็นปัญหาอย่างที่คิด ที่จริงระบบเบรกหน้าดิสก์หลังดรัมนี้ กลับให้ความรู้สึกดีกว่าเดิมในการสั่งลดความเร็วหรือสั่งหยุด ดูเหมือนมีการปรับการกระจายน้ำหนักมาค่อนข้างดี และเข้าใจว่าเบรกหน้าน่าจะมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม จนมากพอที่จะปราบความเร็วได้มากพอตัว

สรุป: คุ้มค่าเกินตัว ได้ใจจนน่าซื้อไว้ใช้เอง

มาถึงปลายทางวันนี้ ลงจากรถ Honda City 2014 พร้อมใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มว่า มันยังเป็นรถยนต์ที่ดีดั่งที่ใจคาดหวังเอาไว้ เหมือนเช่นที่ผ่านมา

จุดเด่นของรถคือการออกแบบ ซึ่งดูดีมีความสปอร์ตทางด้านหน้า ด้านท้ายมาพร้อมความหรูหราลงตัวเหมือนรถยุโรปบางรุ่น ทำให้มีตัวตนที่ภูมิฐานเปลี่ยนไป และประทับใจทุกคนที่ได้เห็น ยิ่งเจ้าสีพิเศษ น้ำเงินบริลเลี่ยน สปอร์ตตี้ ที่ดูดีมากและมีเฉพาะรุ่นท็อปของ Honda City นี้ เป็นสีที่มีความสง่าทั้งกลางวันและยามกลางคืน

และการออกแบบรถที่ดีขึ้น จนบางคนเพื่อนผู้เขียนที่เห็นแล้วแปลงร่างเป็นกัปตันขับร่อนไปมา ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันดูดีกว่าพี่ชายกลาง Honda Civic เสียอีก เพราะจอดคู่กับคฤหาสน์หลังโตก็ไม่ดูเคอะเขิน

แถมห้องโดยสารเองก็กว้างพอที่จะนั่ง 5 คนได้สบาย ผู้โดยสารไม่มีบ่น ส่วนผู้ขับและคนนั่งข้างหน้าก็มีของถูกใจ ทั้งลุคที่สปอร์ตในการขับขี่ หรือของเล่นระบบไฮเทคต่างๆ ซึ่งอาจจะดูไม่สวยในระยะยาวถ้าใช้แว็กซี่ขัดเคลือบชิ้นส่วนภายใน ตรงนี้ควรต้องระวังให้มาก ใช้ผ้าสะอาดก็น่าจะพอแล้ว

ส่วนเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร มีดีพอในเรื่องการขับขี่ ถามหาสมรรถนะในอัตราเร่งเร้าใจ 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาดีสุด 12.92 วินาทีในโหมด D แต่เมื่อปรับสู่โหมด S ซึ่งน่าจะวางตำแหน่งคันเกียร์ก่อน D หลังจาก N กลับใช้เวลาได้เท่ารถสปอร์ตบางรุ่นที่ 8.97 วินาที และ 80-120 ทำเวลาดีสุดที่ 6.2 วินาที แถมยังทำความเร็วสูงสุดได้สูงถึง 180 กม./ชม. ได้สบายหายห่วง แต่ยังไม่มีโอกาสที่จะลองมากกว่านั้นว่าสุดแท้แล้ว 4 สูบ 1500 ซีซี พร้อมเกียร์ CVT 7 สปีดนี้ จะเร้าใจสุดเพียงใดกัน แต่ท้ายสุดก่อนจากต้องขอบอกว่าอัตราประหยัดนอกเมืองได้ 14.9 กม./ลิตรเลยทีเดียว

ถึงแม้ว่าวันนี้การทดสอบ Honda City จะยังขาดในเรื่องของพลังงานทางเลือก E85 ซึ่งก็คาดว่าคงจะรบกวน Honda อีกครั้งในเร็วๆ นี้ แต่ในภาพรวม Honda City ใหม่ ใกล้จะเป็นรถที่สมบูรณ์แบบในราคาที่จับต้องได้ขึ้นทุกที ถ้าคุณต้องการลุคที่ดูดี สมรรถนะที่พอไปวัดไปวา เร้าใจในแบบเครื่อง NA และช่วงล่างที่วางใจได้… ก็คงไม่น่าแปลกใจที่คุณจะมอง Honda City 2014 เพราะมันดีเกินราคาจำหน่ายจริงๆ

สรุปความแตกต่างระหว่างรุ่น SV และ SV+:

Honda City SV: ราคาจำหน่าย 734,000 บาท
Honda City SV+: ราคาจำหน่าย 749,000 บาท

รายละเอียดทั้งหมดเหมือนกันทุกประการ แต่รุ่น SV+ จะมีความปลอดภัยมากกว่า ได้แก่ เสียงเตือนให้คาดเข็มขัดสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า มาพร้อมมือจับ 4 จุด และที่แตกต่างเลยจริงๆ คือเพิ่มม่านถุงลมนิรภัยทางด้านข้าง และถุงลมด้านข้างคู่หน้าอัจฉริยะ ซึ่งสำหรับบางคนอาจจะมองว่ามันไม่จำเป็น แต่ถ้ายามที่คุณประสบอุบัติเหตุ อะไรๆ ก็เป็นไปได้

รถยนต์ที่น่าสนใจในปี 2014: บทสรุปจากประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญ

เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามปีนี้ ในแง่ของสีสันรถยนต์กลับสวนทางกับตลาด มีทั้งกิจกรรม และรถใหม่ หรือปรับโฉมใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง

และใน Test Hot Drive ตลอดปีที่ผ่านมา มีรถมากมายหลายรุ่นที่ผ่านคอลัมน์นี้ และหากต้องการให้เลือกออกมาเป็นรถตัวเด่น หรือรถที่ชอบ ประทับใจ ผมตอบได้เลยว่าคงทำไม่ได้ เพราะแต่ละคันก็มีส่วนที่ชอบแตกต่างกันไป มีจุดดี จุดเด่น จุดด้อย ที่แตกต่างกันไป

แต่จะทำอย่างไร หากจะหยิบยกรถบางคันขึ้นมาสรุปรวมเล่าสู่กันฟัง ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปฉลองเทศกาลปีใหม่ และกลับมาพบกันอีกครั้งปีหน้า

เอาเป็นว่าผมขอเลือกรถที่มีคนพูดถึงถามถึง ซึ่งอาจจะไม่จำเป็นต้องดีที่สุด แต่ตรงกับความต้องการมากที่สุด ซึ่งความต้องการก็มาจากหลายองค์ประกอบ เช่น ราคาที่เหมาะสม รายละเอียดในการใช้งาน รูปทรง หรือความชอบส่วนตัว หรือรถที่มีการถามไถ่ด้วยความอยากรู้ แม้จะยังไม่ตัดสินใจซื้อก็ตาม

ต้นๆ ปี รถที่คนสนใจอย่างมากคันหนึ่งคือ Nissan Juke หลังจากที่นิสสันตัดสินใจนำเข้ามาทำตลาดเองตั้งแต่ช่วงปลายปี 2556 ทำให้ราคาลดต่ำลงเกือบครึ่งเมื่อเทียบกับตอนขายโดยเกรย์มาร์เก็ต ด้วยชื่อที่คนรู้จักมาก่อนหน้ากับรูปทรงที่สะดุดตา ทำให้มันได้รับความสนใจอย่างมาก

Juke ให้ความสำคัญกับแนวคิดในการออกแบบเต็มที่ ให้ความสำคัญกับเส้นสาย รูปทรงมากกว่าความสะดวกสบาย ทำให้เบาะนั่งเบาะหลังคับแคบเล็กน้อย จากรูปทรงของหลังคาที่ลาดลง แต่ก็มีลูกเล่นเข้ามาหลายอย่าง เช่น จอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว กับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เชื่อมต่อ Wi-Fi ได้ และถอดออกไปเล่นนอกรถเหมือนแท็บเล็ตตัวหนึ่งได้ หรืออุปกรณ์ควบคุมระบบปรับอากาศกับควบคุมระบบการขับขี่ใช้ชุดเดียวกัน ปุ่มหมุนก็ปุ่มเดียวกัน เพียงแต่กดปุ่มเล็กๆ 2 ปุ่ม ว่าจะควบคุมอะไร ระหว่าง CLIMATE กับ D-MODE

ถือเป็นรถที่ขับได้ดี เครื่องยนต์ตอบสนองใช้ได้ ช่วงล่างก็ไว้ใจได้เช่นกัน

Ford EcoBoost โดดเด่นกับเทคโนโลยีเครื่องยนต์ขนาดเล็ก 1 ลิตร 3 สูบ แต่ให้กำลัง 125 แรงม้า แรงบิด 170 นิวตันเมตร ซึ่งจุดเด่นหลักก็คือเครื่องยนต์ที่จัดจ้าน ออกตัวดี อัตราเร่งดี เมื่อบวกกับตัวถังขนาดกะทัดรัด ช่วยให้การขับขี่ในเมืองมีความคล่องตัวสูง และเมื่อออกนอกเมือง คำว่า “เล็กพริกขี้หนู” นำมาใช้ได้กับ EcoBoost ความเร็วระดับการเดินทาง 120-130 เป็นเรื่องธรรมดาๆ แต่ถ้าเผลอออกคันเร่งลงไประดับ 150-160 มาได้แบบไม่ต้องรอ

ช่วงต้นปี ลูกค้ารถหรูสิ้นสุดการรอคอย เมื่อ Mercedes-Benz เปิดตัว C-Class ใหม่ ซึ่งแน่นอนเรื่องความหรูหราไม่ต้องถามให้เสียเวลา อุปกรณ์ต่างๆ ใส่มาเต็มที่ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปของ C-Class เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม ก็คือ อารมณ์สปอร์ตที่เติมเข้ามาอย่างชัดเจน ทำให้มันได้ทั้งอารมณ์หรู นุ่มนั่งสบาย ตามแบบฉบับที่ลูกค้าตราดาวชื่นชอบ และเติมสปอร์ต เพื่อจับกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ตามแผนการขยายฐานลูกค้าในตลาดโลก

มันมีตัวถังใหญ่ขึ้น เพื่อเอาใจลูกค้าอารมณ์เดิม แต่การใช้อะลูมิเนียมมากขึ้น ทำให้ลดน้ำหนักลงได้ 100 กก. ก็ช่วยเพิ่มอารมณ์สปอร์ตได้อีกทาง

หลังจากที่ Mazda บุกเบิกเทคโนโลยี Skyactiv กับ CX-5 จนได้รับการยอมรับ รถที่จะสร้างยอดขายในเชิงปริมาณก็ตามมา นั่นคือ Mazda 3

มันเป็นรถที่สร้างขึ้นมาใหม่ ด้วยแนวคิดใหม่ ไม่ได้ต่อยอดจากรุ่นเดิม ซึ่งเป็นการเปลี่ยนยุคการออกแบบมาเป็นยุคที่เรียกว่า Kodo

จุดเด่นคือเครื่องยนต์ที่ตอบสนองดี และประหยัด กับช่วงล่างที่ไม่เสียชื่อชั้น Mazda คือ นิ่ง และสนุกในทางโค้ง

คันนี้ ด้านการตลาดดูจะเงียบๆ ไปสักหน่อย แต่ช่วงที่เปิดตัวก็เป็นรถที่ได้รับการสอบถามถึงไม่น้อย สำหรับ Suzuki Celerio อีโคคาร์ที่ตัดใจขยับมาใช้เครื่องเล็ก 1 ลิตร แต่จริงๆ แล้วสมรรถนะไม่ได้เล็กตาม แม้แรงม้าจะไม่สูงนัก อยู่ที่ 68 แรงม้า ก็ตาม แต่ไม่น่าเชื่อว่าการตอบสนอง อัตราเร่งทำได้ดี ขณะที่ช่วงล่างก็ทำได้เกินคาดหมายเช่นกัน

แต่การที่ยอดไม่เดินเท่าที่ควร น่าจะเป็นผลมาจากเรื่องของขนาดตัวถังที่เล็กกว่า และอาจจะมีปัจจัยทัศนคติผู้บริโภคที่ยังไม่ค่อยเชื่อใจเครื่องเล็กมากนัก

ผู้มาใหม่ MG พยายามสอดแทรกเข้าสู่ตลาดรถยนต์เมืองไทย โดยชูจุดขายการเป็นรถอังกฤษ แต่ปัญหาของ MG ก็คือ ฟังก์ชันการใช้งานของรถที่ดูจะตามหลังคู่แข่งจากญี่ปุ่นอยู่พอสมควร ซึ่งเป็นสิ่งที่ MG บอกว่าจะต้องแก้ไขในการ Minor Change ต่อไป

จริงๆ แล้ว MG 6 ถือว่าเป็นรถที่ขับดี ในรูปแบบนิ่งๆ เหมือนผู้ใหญ่ ไม่มีอารมณ์เกรี้ยวกราดเหมือนวัยรุ่น ขับทางไกลดี นิ่ง แต่อาจจะรู้สึกกระด้างไปบ้าง

ผ่านครึ่งปีไม่นาน ผมได้สัมผัสกับรถหรูในสนามแข่ง นั่นคือฝูง Aston Martin หลายรุ่น ทั้ง DB9, Vantage S Coupe และ Vantage มันเป็นรถที่ขับสนุก ทั้งเครื่องยนต์ ช่วงล่างมาพร้อม และผมสรุปนิยามสั้นๆ ว่า เป็นซูเปอร์คาร์ ที่สามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ได้ซื้อมาจอดเฉยๆ ครับ

Mini ปรับโฉมใหม่ เจเนอเรชั่นที่ 3 กับรหัสใหม่ F56 การเปลี่ยนแปลงสำคัญของมันก็คือ ตัวถังใหญ่ขึ้นทุกมิติ เพื่อตอบสนองการใช้งานมากขึ้น ทั้งการนั่ง หรือการบรรทุกสัมภาระเดินทาง ช่วงล่างที่ไม่ได้ดิบเหมือนกับรุ่นแรก ลูกเล่นภายในที่เพิ่มเติมเข้ามามากมาย ทั้งแสงสีเสียง

แต่อารมณ์กระชากกระชั้น จี๊ดจ๊าด ยังคงอยู่เช่นเดิม

BMW 420d ผมให้นิยามว่าเป็นรถของคนชอบขับ มีบุคลิกเฉพาะตัว ขับสนุกตามรูปแบบ BMW คล่องตัวสูงทั้งในกรุงเทพ และเดินทางไกล ที่สำคัญแม้จะใช้ความเร็วตลอดเส้นทาง แต่มันกินน้ำมันไปนิดเดียวเท่านั้น

แม้ว่าตอนนี้ น้ำมันจะมีราคาลดลง CNG เพิ่มขึ้น แต่ผู้บริโภคคิดคำนวณแล้วก็ยังเห็นว่าใช้ก๊าซประหยัดกว่า เห็นได้จากงานมหกรรมยานยนต์ที่ผ่านมา Honda City CNG มียอดจองที่สูงมาก

City โฉมปัจจุบัน พัฒนาขึ้นจากตัวเดิมชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องของช่วงล่างและการควบคุมรถ

และในโฉมของ CNG จุดเด่นคือ คอมพิวเตอร์ควบคุมการทำงานที่ทำให้การทำงานของเครื่องยนต์ลื่นไหล ไม่ว่าจะใช้เชื้อเพลิงน้ำมัน หรือ CNG ก็ตาม

Mazda 2 เป็นอีโคคาร์ตัวแรกที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล แม้จะยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการรวมถึงราคา จนกว่าจะถึงเดือน ม.ค. ปีหน้า แต่ขณะนี้ยอดจองก็มีเข้ามาไม่น้อยทีเดียว

ประสบการณ์ในการขับในสนามแข่ง Bonanza ทำให้รู้ว่าเครื่องยนต์จะเป็นจุดขายหลักของมัน ควบคู่ไปกับช่วงล่างที่ปรับปรุงดีขึ้นจากรุ่นเดิมชัดเจน การใช้ความเร็วในโค้ง รถนิ่ง ไม่มีอาการสะบัดเหมือนโฉมที่ผ่านมา

ปิดท้ายด้วย Honda HR-V รถที่ขับง่าย นุ่มนวลนั่งสบาย ชนิดที่เชื่อว่าลูกค้า Honda ชอบแน่ และเติมอารมณ์สปอร์ตเข้าไปให้มัน ไม่ว่าจะเป็นช่วงล่างที่ดีขึ้น พวงมาลัยมีน้ำหนักมากขึ้น ช่วยให้ควบคุมรถได้ง่ายขึ้น หรือจะเทียบง่ายๆ ก็คือ มันขับดีกว่า Civic ครับ

Rolls-Royce Goodwood Plant: สัมผัสเบื้องหลังยนตรกรรมแห่งความสมบูรณ์แบบ

เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้เยี่ยมชมโรงงาน Rolls-Royce Goodwood Plant ที่ Chichester ประเทศอังกฤษครับ ซึ่งปกติแล้ว โรงงานแห่งนี้ไม่ได้เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าเยี่ยมชม จึงอยากเอามาเล่าสู่กันฟังถึงความสุดยอดของโรงงานที่ขึ้นชื่อว่าได้สร้างสรรค์ยนตรกรรมสุดหรูออกมาสู่สายตาชาวโลกกันครับ

อย่างที่หลายคนรู้กันว่ารถยนต์ยี่ห้อ Rolls-Royce เป็นสุดยอดยนตรกรรมแห่งความหรูหรา และเป็นที่สุดแห่งความสมบูรณ์แบบ ที่หลายคนอาจจะเอื้อมไม่ถึง มีเพียงมหาเศรษฐีจากทั่วทุกมุมโลกที่จะได้มีโอกาสจับจองเป็นเจ้าของ ซึ่งหลังจากที่ผมได้เข้าชมโรงงาน Rolls-Royce ครั้งนี้ ก็ไม่แปลกใจเลยจริงๆ ว่าทำไม Rolls-Royce ถึงเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มหาเศรษฐีใฝ่ฝันอยากครอบครอง และไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงมีราคาค่าตัวที่แพงระยับขนาดนั้น

Rolls-Royce เป็นแบรนด์รถยนต์อังกฤษที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาตั้งแต่ปี 1904 ก่อตั้งโดย Charles Rolls และ Henry Royce ที่ต่างก็มีความสนใจในวิศวกรรมเครื่องกล และอุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งคู่ จนร่วมกันทำแบรนด์ Rolls-Royce ขึ้นมา และจดทะเบียนในนาม Rolls-Royce Limited ผลิตรถยนต์ที่มีความหรูหราหลากหลายรุ่นเข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะรุ่นที่มีชื่อเสียงอย่าง Phantom V ที่มีลูกค้าเป็น Queen Elizabeth และบุคคลที่มีชื่อเสียงมากมาย นอกจากนี้ Rolls-Royce Limited ยังมีสายการผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินที่ยังครองตลาดมาได้จนถึงปัจจุบันอีกด้วย

ในปี 1998 BMW Group ได้เข้าซื้อกิจการในส่วนของรถยนต์ Rolls-Royce ตั้งขึ้นมาใหม่ในชื่อ Rolls-Royce Motor Cars Limited โดยได้สิทธิ์ในแบรนด์รถยนต์ Rolls-Royce ทั้งหมด รวมถึงโลโก้, Spirit of Ecstasy, และสิทธิบัตรต่างๆ ที่ใช้กับรถยนต์ Rolls-Royce ซึ่งทาง BMW Group เองก็มีความมุ่งมั่นอย่างมากในการปั้นแบรนด์ Rolls-Royce ขึ้นมาเป็นรถยนต์ระดับ Super Luxury จนมีการลงทุนทำโรงงาน Goodwood เพื่อผลิตและประกอบรถยนต์ Rolls-Royce ตั้งแต่ปี 2003 และโรงงานแห่งนี้แหละ ที่ผมจะพาทุกท่านเข้าไปเยี่ยมชมในวันนี้

โรงงาน Rolls-Royce Goodwood Plant ตั้งอยู่ที่เมือง Chichester ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศอังกฤษ เรียกได้ว่าค่อนข้างจะบ้านนอกเลยแหละครับ โรงงานแห่งนี้ นอกจากที่จะเป็นโรงงาน Rolls-Royce แห่งเดียวในโลกแล้ว ยังเป็นสำนักงานใหญ่ของ Rolls-Royce Motor Cars อีกด้วย

ด้านหน้าโรงงาน ก็ได้เจอกับสุดยอดยนตรกรรม Rolls-Royce จอดต้อนรับอยู่ ครบทั้ง 3 โมเดลหลักในตลาดตอนนี้ ประกอบไปด้วย Phantom (ถือเป็นรุ่นที่แพงที่สุด มีขนาดใหญ่ที่สุด), Ghost (โมเดลที่ขายดีที่สุด เอาใจวัยรุ่น ขนาดเล็กลงมา จนหลายคนเรียกว่า “Baby Rolls-Royce”) และ Wraith (สองประตู ทรงสปอร์ต เอาใจขาซิ่ง)

เดินเข้าโรงงาน Rolls-Royce มา จะเจอข้อความของผู้ก่อตั้ง “Take the best that exists and make it better” ชัดเจนถึงความเป็น Perfectionist ของแบรนด์ และเป็นปรัชญาที่ Rolls-Royce ยึดถือมาอย่างยาวนาน บริเวณล็อบบี้ต้อนรับ ที่มีความเงียบสงบ ประดับตกแต่งด้วยความเรียบง่าย แต่ดูหรูหราไปทุกส่วน วันนั้นผมได้รับบรีฟจากวิศวกรและเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมสายการผลิตในโรงงานถึงขั้นตอนการผลิตรถยนต์ Rolls-Royce ด้วยตัวเองอย่างละเอียด ก่อนที่จะพาเดินชมสายการผลิตจริง ซึ่งต้องใส่เสื้อคลุมสีครีมของโรงงานทับอีกชั้น

เสน่ห์ของโรงงาน Rolls-Royce ที่แตกต่างจากทุกโรงงานรถยนต์ที่ผมได้ไปเยี่ยมชมมาก็คือ รถยนต์ทุกคันที่นี่ประกอบด้วยมือทุกขั้นตอน ทำให้ไม่ต้องใส่ที่อุดหู ไม่ต้องใส่แว่นนิรภัยใดๆ ทั้งสิ้น บรรยากาศของการประกอบรถยนต์ Rolls-Royce ดูเหมือนทุกคนกำลังทำงานศิลปะ ไม่มีความเร่งรีบ และมีความปราณีตเป็นอย่างมาก โดยความพิเศษของการเยี่ยมชมในวันนี้คือทาง Rolls-Royce อนุญาตให้ถ่ายภาพได้แทบจะทุกส่วนในโรงงานเลย

หนึ่งในจุดเด่นของ Rolls-Royce ที่หลายคนชื่นชอบ คือมันเป็นรถยนต์ที่สามารถ Customize ได้สูงมากทุกชิ้นส่วน เพื่อเอาใจมหาเศรษฐีที่ต้องการตกแต่งและออกแบบรถยนต์ของตัวเองให้มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำแบบใคร (แหม เศรษฐีที่ไหนจะอยากมีของที่ซ้ำกับคนอื่นกันล่ะ) โดยที่ Rolls-Royce ถึงกับออกปากว่า “ไม่มีรถยนต์ Rolls-Royce คันไหนในโลกที่เหมือนกัน 100%” วัสดุทุกชิ้นส่วนสามารถเลือกตกแต่งได้อย่างอิสระ และแทบจะไม่มีขีดจำกัด จนมีเรื่องเล่าว่า เคยมีลูกค้า Rolls-Royce ที่ให้โจทย์มา ว่าต้องการใช้ต้นไม้ในสวนหลังบ้านของตัวเอง มาทำเป็นลายไม้ในรถยนต์ Rolls-Royce ที่ตัวเองสั่งซื้อเอาไว้ ซึ่งทาง Rolls-Royce ก็จัดการเอาทีมงานไปยกต้นไม้มาทำให้อย่างไม่เป็นปัญหา หรือลูกค้าอีกท่านหนึ่ง ต้องการให้รูปหุ่น Spirit of Ecstasy หน้ารถ ทำมาจากทองคำแท้ ก็สามารถทำได้เช่นกัน

แม้กระทั่งสีของตัวถัง ที่โดยปกติทาง Rolls-Royce ก็มีสีให้เลือกเยอะมากๆ อยู่แล้ว แต่ก็มีมหาเศรษฐีหลายคนต้องการสีที่ไม่ซ้ำแบบใคร จึงสั่งให้ทาง Rolls-Royce ผสมสีตามโทนที่ตนต้องการ และจ่ายเงินเพิ่มเล็กน้อย เพื่อกันไม่ให้คนอื่นใช้สีนี้กับรถยนต์ Rolls-Royce คันอื่นๆ ในโลก (คือจะยึดสีนั้นไว้ใช้เองคนเดียวนั่นแหละครับ) แถมยังสามารถตั้งชื่อสีเป็นของตัวเองได้เลยด้วย เห็นในกรอบกระจกใสๆ กลางรูปไหมครับ นั่นคือลิปสติกสีชมพูที่เป็นสีโปรดของลูกค้าท่านหนึ่ง ก็ถูกนำมาผลิตเป็นสีของ Rolls-Royce ไปแล้ว และห้ามคนอื่นใช้ตามด้วย

ผมเองมีโอกาสได้ดูโรงงานประกอบรถยนต์มาหลายยี่ห้อ จนมาเจอ Rolls-Royce นี่แหละครับ ที่มีแผนก ‘Woodshop’ อยู่ภายในโรงงาน โดยแผนกนี้รับผิดชอบทุกอย่างที่เกี่ยวกับงานไม้ในตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนของไม้ ลายไม้ ชนิดของต้นไม้ที่จะเอามาใช้ตามส่วนต่างๆ ของตัวรถ ก็ถูกคัดสรรอย่างปราณีตมากๆ ชนิดที่น่าตกใจ เช่นลายไม้ที่ใช้ในตัวรถ ของแผงประตูซ้ายและขวา ต้องเป็นลายเดียวกัน และสมมาตรกันเสมอ รวมถึงต้นไม้ที่ใช้กับลายไม้ในรถ 1 คัน ต้องเป็นไม้ที่มาจากต้นไม้ต้นเดียวกันเท่านั้น ไม่มีการปะปนชิ้นส่วนให้เกิดความแตกต่างโดยเด็ดขาด ซึ่งรายละเอียดยิบย่อยขนาดนี้ ก็คงจะมีแค่ที่นี่เท่านั้นแหละครับ ที่ให้ความใส่ใจได้มากขนาดนี้

นอกจากนี้ แผนก Woodshop ยังทำการเก็บตัวอย่างลายไม้ที่ใช้ในรถยนต์ Rolls-Royce ที่ทำการส่งมอบไปแล้วเอาไว้ด้วย ในกรณีที่รถเกิดความเสียหายขึ้น จะได้สามารถอ้างอิงเพื่อขึ้นชิ้นส่วนลายไม้อันใหม่ ไปใช้ทดแทนชิ้นส่วนที่เสียหายไปได้เหมือนเดิม ผมว่ามหาเศรษฐีได้ฟังแบบนี้ ก็คงจะสบายใจที่จะจ่ายเงินเพิ่มสักเล็กน้อย เพื่อลายไม้อันสวยงามในรถยนต์ Rolls-Royce แล้ว

ถัดจากงานไม้ ก็มาดูกันที่งานหนังครับ หนังทุกชิ้นที่ใช้ในรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นเบาะ แผงคอนโซล พวงมาลัย แผงประตูต่างๆ ของรถ Rolls-Royce มาจากหนังกระทิงทั้งหมด (ยกเว้นมีการสั่งออเดอร์พิเศษ) ซึ่งกระทิงที่ใช้ ก็เป็นกระทิงที่เลี้ยงมาเพื่อเอาหนังโดยเฉพาะ มีการควบคุมไม่ให้กระทิงถูกยุงกัด และไม่ให้เกิดบาดแผลใดๆ บนตัวกระทิง เพื่อความสมบูรณ์ของแผ่นหนังที่จะเอามาใช้ โดยรถยนต์ Rolls-Royce 1 คัน ใช้หนังกระทิงประมาณ 11-13 ตัวเป็นอย่างน้อย (เยอะอย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ)

ในขั้นตอนนี้ พนักงานได้โชว์แผ่นหนังชิ้นที่มี Reject หรือไม่ผ่านการตรวจคุณภาพมาให้ผมดู และได้เอาชอล์กวงในส่วนที่มีปัญหาเอาไว้ ซึ่งผมดูในวงนั้นแล้ว จ้องอยู่นาน ก็ยังดูไม่ออกเลยว่ามันมีปัญหาอะไร หรือมันมีรอยอะไร แต่ทาง Rolls-Royce บอกว่าความไม่สมบูรณ์เพียงเล็กน้อย ก็ยอมรับไม่ได้กับการนำมาใช้ในรถ Rolls-Royce

แผ่นหนังแต่ละชิ้น จะผ่านกระบวนการพิเศษในการฟอกย้อมสี ให้ใช้ในการประดับตกแต่งรถยนต์แต่ละคันตามที่ลูกค้าสั่ง มีชื่อสีของแผ่นหนังให้เลือกมากมาย และเป็นงานที่ใช้แรงงานคนอย่างมากในการเย็บชิ้นส่วนต่างๆ ซึ่งการเย็บชิ้นส่วนหนังของรถยนต์ Rolls-Royce รวมถึงการหุ้มแผ่นหนังเข้ากับแผงคอนโซลแต่ละคัน ก็ใช้เวลาเป็นสิบวันเข้าไปแล้ว

ชิ้นส่วนหนังที่หลายคนชื่นชอบคือบริเวณหมอนรองศีรษะ ที่ลูกค้า Rolls-Royce มักจะเลือกลายปักหรือเย็บขึ้นมาเป็นโลโก้ประจำตัวของตัวเอง หรือตัวอักษรประจำตัว ซึ่งแน่นอนว่าทาง Rolls-Royce ก็สามารถจัดได้อย่างไม่มีปัญหา ไม่ว่าโลโก้นั้นจะซับซ้อนแค่ไหน หรือจะมีสีหลายสีแค่ไหนก็ตาม ขอเพียงแค่สั่งมา และเพิ่มเงิน (เล็กน้อย) เท่านั้น

ส่วนลายเส้นที่เป็นการเพนต์สี ไม่ว่าจะเป็นลายเส้นนอกตัวรถ หรือบริเวณคอนโซล ก็สามารถสั่งเพนต์ตามลายที่ชื่นชอบได้อิสระเช่นกัน ด้วยการจ่ายเงินเพิ่ม (อีกเล็กน้อย) ซึ่งขั้นตอนการเพนต์ทั้งหมด ไม่ว่าเส้นนั้นจะตรง เรียบ หรือซับซ้อนแค่ไหนก็ตาม เป็นการเพนต์ด้วยมือทั้งหมดแบบไม่มีตัวช่วย ช่างผู้ชำนาญการเพนต์จะกะด้วยสายตา และอาจใช้เวลาเพนต์เป็นวันต่อรถ Rolls-Royce หนึ่งคัน… ดังนั้นเงินที่จ่ายเพิ่มเล็กน้อย ก็ต้องคิดรวมเอาค่าฝีมือช่าง กับค่าแรงหนึ่งวันเต็มๆ นี้รวมเข้าไปด้วยนะ (แต่ยอมรับว่าฝีมือเขาดีมากจริงๆ)

ถัดมา ก็ได้มาเจอแผนกที่มีหน้าที่เนรมิตความฝันของลูกค้า Rolls-Royce ให้เกิดขึ้นจริงอย่างแผนก Bespoke ครับ แผนกนี้จะทำหน้าที่พูดคุยกับลูกค้าที่มีการสั่งออเดอร์พิเศษ เช่น การเลือกวัสดุพิเศษ การใช้โลโก้ประจำตัวในจุดต่างๆ ของตัวรถ การปรับเปลี่ยนสี หรือออปชันต่างๆ ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด ซึ่งแผนกนี้แหละครับ ที่มีโอกาสได้พูดคุยและเข้าถึงบรรดาลูกค้า Super VIP ทั้งดารา นักแสดง เซเลบริตี้ นักฟุตบอลชื่อดัง หรือเชื้อพระวงศ์ของประเทศต่างๆ โดยตรง เพราะลูกค้ากลุ่มนี้มักจะมีออเดอร์หรือโจทย์พิเศษมาให้แผนก Bespoke ได้แสดงฝีไม้ลายมืออยู่ตลอดเวลา

ถ้าใครได้ติดตามฟีเจอร์ของรถยนต์ Rolls-Royce น่าจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่า Starlight Roof หรือดวงดาวจำลองบนแผงหลังคาของตัวรถครับ ฟีเจอร์นี้สร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้โดยสารรถ Rolls-Royce มีความรู้สึกเหมือนกับนั่งอยู่ใต้แสงดาว เป็นดวงไฟระยิบระยับ ที่เปี่ยมไปด้วยความหรูหรา ซึ่งตอนแรกที่ผมรู้จักฟีเจอร์นี้ ก็ดูแล้วไม่น่าจะทำยากอะไร แต่พอได้มาเห็นขั้นตอนการทำแล้ว บอกเลยว่าไม่ง่ายซะแล้ว

Rolls-Royce ถึงกับจัดส่วนหนึ่งของโรงงาน ตั้งโต๊ะให้พนักงานทำการร้อยหลอดไฟเบอร์ทีละหลอด เข้ากับแผงหลังคาที่มีการเจาะรูเป็นแผนผังดวงดาวเอาไว้ เป็นงานที่ใช้ฝีมือคนอย่างหนักมาก เพราะแต่ละหลอดจะต้องมีการร้อยเข้าไปด้วยความยาวที่พอดิบพอดี สามารถประกบเข้ากับหลังคาได้อย่างสมบูรณ์ ที่ไม่สามารถใช้เครื่องจักรสามารถมาทดแทนได้ โดยแผงหลังคาแต่ละแผง ใช้เวลาในการร้อยหลอดไฟเบอร์นานถึง 2 วัน

อีกด้านหนึ่งของโรงงาน Rolls-Royce มีส่วนที่ Rolls-Royce เรียกอย่างเก๋ไก๋ว่า Supermarket ครับ ส่วนนี้คือส่วนที่โรงงานได้รวมเอาอะไหล่ชิ้นส่วนจำนวนมากใส่ชั้น และแยกหมายเลข หมวดหมู่ต่างๆ ไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้พนักงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการประกอบรถยนต์แต่ละคัน เข้ามาหยิบอะไหล่ตามชิ้นส่วนที่รถคันนั้นต้องการจะใช้ เนื่องจากรถแต่ละคันมีการใช้วัสดุชิ้นส่วนที่แตกต่างกันอย่างมาก แม้ว่าจะเป็นรถยนต์รุ่นเดียวกันก็ตาม ดังนั้น แผนกนี้จึงดูเหมือนกับการ Shopping เลือกชิ้นส่วนไปประกอบรถแต่ละคันเลยทีเดียว

รถ Rolls-Royce ทุกคันที่ประกอบเสร็จแล้ว จะต้องผ่านการทดสอบทุกฟังก์ชันการใช้งาน และวิ่งทดสอบจริง บนถนนรอบโรงงาน Goodwood แห่งนี้ เพื่อความสมบูรณ์แบบของการประกอบ มีการผ่านขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพอย่างเข้มข้น ทั้งในห้องทดสอบหลายขั้นตอน แบบไม่มีการสุ่มตรวจ ซึ่งรถทุกคันก่อนส่งมอบถึงมือลูกค้า ต้องผ่านการทดสอบเต็มรูปแบบทั้งหมด ไม่มีข้อยกเว้น (เพราะลูกค้าคงจะรับไม่ได้แน่ ถ้ารถยนต์ราคา 30-40 ล้านบาท จะมีความบกพร่องให้เห็น)

Rolls-Royce บอกกับผมว่า ชอบมีลูกค้าที่สั่งซื้อรถยนต์ไว้ บินมาดูรถของตัวเองขณะที่อยู่ในขั้นตอนการประกอบที่โรงงานแห่งนี้เป็นประจำ และลูกค้าจำนวนไม่น้อย ที่เมื่อได้ชมสายการผลิตรถยนต์ Rolls-Royce ครบอย่างที่ผมได้ดูวันนี้แล้ว ตัดสินใจเพิ่มออปชันให้กับรถของตัวเองให้มีความซับซ้อนกว่าเดิม หรือแพงกว่าเดิม เพราะได้รับข้อมูลใหม่ๆ ถึงขีดจำกัดของการ Customize ของโรงงานแห่งนี้มากขึ้น รวมถึงมีความมั่นใจมากขึ้นกับคุณภาพการผลิตรถยนต์ Rolls-Royce

ปัจจุบัน กำลังการผลิตรถยนต์ Rolls-Royce ทำได้ไม่เกินวันละ 10 คันเท่านั้น ทุกขั้นตอนไม่รีบร้อน แต่เน้นที่ความสมบูรณ์แบบและความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญ ได้เห็นทุกขั้นตอนแบบนี้แล้ว มหาเศรษฐีคนไหนเกิดอาการลังเล อยากได้ Rolls-Royce สักคัน ก็น่าจะตัดสินใจซื้อได้ไม่ยาก และ Rolls-Royce ก็น่าจะเป็นรถในฝันของใครหลายๆ คนไปอีกนานแสนนานครับ

หากคุณกำลังมองหารถยนต์ที่สะท้อนถึงรสนิยมอันเหนือระดับ ความเป็นเลิศทางวิศวกรรม และการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ การสัมผัสกับโลกของ รถยนต์สัญชาติอเมริกันราคาแพง หรือแม้แต่การสำรวจความพิถีพิถันของแบรนด์หรูอย่าง Rolls-Royce อาจเป็นก้าวต่อไปที่น่าสนใจสำหรับคุณ

ค้นหารถยนต์ในฝันของคุณวันนี้! หากคุณหลงใหลในความงามเหนือกาลเวลา สมรรถนะที่เร้าใจ หรือความหรูหราที่ไม่มีใครเทียบได้ อย่ารอช้า เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ยานยนต์อันยิ่งใหญ่ สัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่าใคร และสร้างมรดกอันล้ำค่าสำหรับคนรุ่นต่อไป ติดต่อผู้เชี่ยวชาญของเราเพื่อรับคำปรึกษา และเริ่มต้นการเดินทางสู่การเป็นเจ้าของรถยนต์ในฝันของคุณวันนี้!

Previous Post

N3112062 เพราะจนคนเลยต ดส นว าผ part2

Next Post

N3112057 งโบราณเขาว นแล วไม แคล วก งแม จะเข าผ ดห องก ตาม part2

Next Post
N3112057 งโบราณเขาว นแล วไม แคล วก งแม จะเข าผ ดห องก ตาม part2

N3112057 งโบราณเขาว นแล วไม แคล วก งแม จะเข าผ ดห องก ตาม part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N3112064 เพ อนท เขาไม ทำก บเพ อนแบบน part2
  • N3112072 เธอถอดบsาต อหน แต มไปว าเค ามอง(ไม )เห part2
  • N3112076_กผอ. ไม พอใจท กภารโรงใส ดว ายน ำเหม อนเขา_part2
  • N3112074 ทำนาอย ๆม คนมาขอความช วยเหล part2
  • N3112069 อให แฟนไม แต แม แฟนร กส ดห วใจ part2

Recent Comments

No comments to show.

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.