• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N3012003 เม อร าผ ชายคนน อใคร โจรถ งก บต องเอาของท ขโมยไปมาค #พ คตอนจบ part2

admin79 by admin79
December 28, 2025
in Uncategorized
0
N3012003 เม อร าผ ชายคนน อใคร โจรถ งก บต องเอาของท ขโมยไปมาค #พ คตอนจบ part2

ฮุนได ไอ 10 ใหม่: ซิตี้คาร์เกาหลีที่เติบโตไปกับความต้องการของผู้บริโภค

ในโลกยานยนต์ที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว ค่ายรถยนต์จากแดนกิมจิอย่าง ฮุนได (Hyundai) ได้พิสูจน์ตัวเองอย่างต่อเนื่องว่าคือหนึ่งในผู้เล่นที่น่าจับตามอง ไม่เพียงแต่ในกลุ่มรถยนต์ซีดานขนาดกลางที่สร้างชื่อเสียงให้พวกเขา แต่ยังรวมถึงกลุ่มรถยนต์ซิตี้คาร์ที่ฮุนไดก็ไม่เคยละทิ้งความพยายามในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบสนองตลาดโลก

แม้ว่า ฮุนได ไอ 10 (Hyundai i10) รุ่นใหม่จะยังไม่เข้าสู่ตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารถยนต์รุ่นนี้ได้สร้างกระแสความสนใจในระดับสากล การปรับปรุงรูปลักษณ์ให้ดูใหญ่ขึ้น กว้างขวางขึ้น ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ Hyundai i10 ใหม่ กลายเป็นที่จับตามองของบรรดาสื่อมวลชนและผู้บริโภคทั่วโลก นี่คือการก้าวไปอีกขั้นของซิตี้คาร์สายเลือดเกาหลีที่มาพร้อมความโดดเด่นในดีไซน์และฟังก์ชันที่ครบครัน

ขนาดที่ปรับปรุงเพื่อไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลง

ข่าวลือเกี่ยวกับการพัฒนา Hyundai i10 ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ถูกพูดถึงมาสักระยะหนึ่งแล้ว และในที่สุด ฮุนไดก็ได้เปิดตัวเวอร์ชันที่ปรับปรุงใหม่นี้ โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในสหราชอาณาจักรในราคาที่เข้าถึงง่าย เพียง 8,345 ปอนด์ หรือประมาณ 417,250 บาท การปรับขนาดในครั้งนี้ ถือเป็นการตอบรับเทรนด์การเติบโตของรถยนต์ซิตี้คาร์ที่ผู้บริโภคต้องการพื้นที่ภายในที่มากขึ้น ความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้น

Hyundai i10 ใหม่ ได้รับการปรับขยายความกว้างเพิ่มขึ้นถึง 65 มิลลิเมตร และความยาวอีก 80 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ในขณะเดียวกันก็มีการปรับลดความสูงลง 50 มิลลิเมตร เพื่อให้ตัวรถดูสปอร์ตและปราดเปรียวยิ่งขึ้น รุ่นเริ่มต้นจะมาพร้อมล้อขนาด 14 นิ้ว ระบบเซ็นทรัลล็อค และกระจกไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งถือเป็นพื้นฐานที่เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป

ภายในที่กว้างขวางและอรรถประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น

แม้ว่าตัวรถจะเตี้ยลง แต่การออกแบบภายในของ Hyundai i10 ใหม่ ได้รับการพัฒนาให้มีพื้นที่เก็บสัมภาระที่เพิ่มขึ้นถึง 10% คิดเป็นปริมาตร 252 ลิตร ซึ่งเป็นขนาดที่เพียงพอสำหรับการขนย้ายสิ่งของในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเดินทางใบเล็ก หรือสัมภาระสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวระยะสั้น การเพิ่มพื้นที่ภายในยังส่งผลให้ผู้โดยสารรู้สึกโปร่งสบาย ไม่อึดอัดเมื่อต้องเดินทางไกล

ขุมพลังที่หลากหลายเพื่อตอบสนองทุกความต้องการ

ฮุนไดได้วางแผนที่จะนำเสนอ Hyundai i10 ใหม่ ด้วยเครื่องยนต์ 2 ขนาด เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่หลากหลาย:

เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร 3 สูบ: ให้กำลังสูงสุด 65 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลา 14.9 วินาที และความเร็วสูงสุด 155 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดน้ำมันสูงสุดและเน้นการใช้งานในเมืองเป็นหลัก
เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร 4 สูบ: ให้กำลังสูงสุด 86 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลา 12.3 วินาที และความเร็วสูงสุด 171 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้สมรรถนะที่จัดจ้านขึ้น ตอบสนองการขับขี่ที่ต้องการความคล่องตัวและการเร่งแซงที่ฉับไว

รุ่นย่อยและออปชันที่น่าสนใจ

Hyundai i10 ใหม่ จะมีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อย โดยแต่ละรุ่นจะมาพร้อมออปชันที่แตกต่างกันเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค:

รุ่น S (รุ่นเริ่มต้น): มาพร้อมอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการใช้งานทั่วไป
รุ่น SE: เพิ่มเติมด้วยกุญแจรีโมท และระบบละลายน้ำแข็งที่กระจกมองข้าง เพื่อความสะดวกสบายในสภาพอากาศที่แตกต่าง
รุ่น Premium Edition (รุ่นท็อป): อัดแน่นด้วยออปชันที่ทันสมัย เช่น การเชื่อมต่อ Bluetooth พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง, ไฟ Daytime LED อันเป็นเอกลักษณ์, และระบบสัญญาณเบรกฉุกเฉิน (ESS) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยที่สำคัญ

การส่งมอบ Hyundai i10 ใหม่ สำหรับตลาดสหราชอาณาจักร มีกำหนดจะเริ่มในช่วงเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งถือเป็นการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดอย่างเต็มรูปแบบ

ฮอนด้า ซิตี้ (Honda City): สปอร์ตซีดานขนาดเล็กที่ครองใจตลาด B-Segment

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวโน้มตลาดรถยนต์ทั่วโลกได้หันเหไปสู่รถยนต์ประเภท SUV มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น B-SUV หรือ Full-Size SUV จากทุกค่าย แต่ก็ไม่ควรมองข้ามกลุ่มรถยนต์ขนาดเล็ก หรือ B-Segment ซึ่งยังคงเป็นกลุ่มที่ครองยอดขายจำนวนมหาศาลในตลาดรถยนต์

ในประเทศไทย ฮอนด้า ซิตี้ (Honda City) คือหนึ่งในรถยนต์ B-Segment ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง มียอดขายที่น่าประทับใจอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งการเปิดตัว Toyota Vios รุ่นใหม่ ก็ยังไม่สามารถสั่นคลอนตำแหน่งผู้นำของ City ได้นัก ซึ่งอาจเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดของ Honda ในการระบายสต็อกรุ่นเดิม เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการมาของ 2014 Honda City โฉมใหม่ล่าสุด ซึ่งเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 4 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Be Your Best”

การออกแบบภายนอกที่สะท้อนความสปอร์ตและความหรูหรา

โฆษณาของ Honda มักจะถ่ายทอดเรื่องราวและเพลงที่ไพเราะ จนทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกคล้อยตามไปด้วย และ Honda City ใหม่ ก็เช่นกัน การนำเสนอภาพลักษณ์ของรถยนต์ที่สะท้อนความหรูหรา เหมาะสมกับ “กัปตัน” ที่ต้องการความเหนือระดับ ทำให้ผมเองก็อยากจะสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อ “กัปตัน” เหล่านี้

เมื่อมองจากภายนอก 2014 Honda City รุ่นใหม่ ในบางมุมอาจดูคล้ายกับรุ่นเดิม แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียด จะพบความแตกต่างที่ลงตัว โดยเฉพาะบริเวณไฟท้ายที่ได้รับการออกแบบใหม่ให้รับกับแนวเส้นโป่งหลัง ทำให้รถดูคมชัด มีมิติที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่ได้ดูโป่งหนาจนเกินไป สวมล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ขนาด 16 นิ้ว ที่ดูโฉบเฉี่ยวแฝงความหรูหรา ในรุ่น SV และ SV+ ซึ่งคันที่ผมได้ทดลองขับมาพร้อมยาง Bridgestone Turanza ขนาด 185/55R16

เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม มิติของตัวรถยาวขึ้น 45 มิลลิเมตร ฐานล้อกว้างขึ้น 50 มิลลิเมตร และสูงขึ้น 5 มิลลิเมตร ในขณะที่ความกว้างยังคงเท่าเดิมที่ 1,695 มิลลิเมตร การเพิ่มความยาวนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มพื้นที่ภายในตอนหลัง และขยายห้องเก็บสัมภาระให้มีความจุถึง 536 ลิตร

ภายในที่กว้างขวางและเทคโนโลยีที่ทันสมัย

การเข้ามาสัมผัสภายในห้องโดยสารด้วยระบบ Keyless Entry เผยให้เห็นการใช้วัสดุหุ้มเบาะเป็นผ้า แม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่น พื้นที่ภายในที่กว้างขวางขึ้นช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการนั่ง พื้นที่ห้องโดยสารตอนหลังนั่งสบายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ด้วยความกว้างของพื้นที่หัวไหล่ที่เพิ่มขึ้น 40 มิลลิเมตร และพื้นที่วางขาที่เพิ่มอีก 60 มิลลิเมตร

อย่างไรก็ตาม ในมุมของผู้เขียน การออกแบบเบาะนั่งตอนหน้า รวมถึงพนักพิงศีรษะ อาจไม่ได้สอดรับกับสรีระมากนัก จนต้องถอดพนักพิงศีรษะออก เนื่องจากมุมหนุนที่ไม่พอดีนัก แต่สำหรับเบาะหลัง สามารถพับแบบ 60:40 ได้ในรุ่น SV และ SV+ ซึ่งต้องดึงปุ่มพับเบาะที่อยู่ภายในห้องโดยสารตอนหลัง

สิ่งที่โดดเด่นในห้องโดยสารคือปุ่ม Push Start ทางด้านซ้ายของพวงมาลัย และปุ่ม ECON ทางด้านขวา ซึ่งอยู่ใกล้กับปุ่มปิดระบบ TCS (Traction Control) ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ ที่ให้ความเย็นฉ่ำถูกใจคนไทย พวงมาลัยแบบ 3 ก้านทำจากวัสดุ Polyurethane ในรูปแบบใหม่ของ Honda สามารถปรับได้ 4 ทิศทาง พร้อมสวิตช์ Multifunction, Cruise Control, ปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ และ Paddle Shift ขนาดเล็กที่ติดอยู่กับพวงมาลัย

แผงคอนโซลหน้ามีการออกแบบให้ดูแบนราบ แต่โดดเด่นด้วยหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของห้องโดยสาร Honda City 2014 สามารถทำหน้าที่เป็น Wi-Fi Hotspot ได้ และเชื่อมต่อกับ Siri Eyes Free ช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องละสายตาจากถนน นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับกล้องมองภาพด้านหลังเมื่อเข้าเกียร์ R ระบบเครื่องเสียงถ่ายทอดเสียงผ่านลำโพง 8 จุด รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth เป็นมาตรฐาน และยังมีช่องเชื่อมต่อ USB, AUX In รวมถึงสาย HDMI แต่จะไม่มี CD Slot และระบบนำทางมาให้ Honda แนะนำให้ใช้ Honda Link Application ควบคู่กันไป และเพื่อเอาใจผู้ที่ชื่นชอบสมาร์ทโฟน ยังมีช่อง Power Outlet สำหรับผู้โดยสารตอนหลังอีก 2 ช่อง

ระบบการล็อคและปลดล็อคประตูอาจสร้างความสับสนเล็กน้อย หากล็อคจากกุญแจ ก็ต้องปลดล็อคจากกุญแจเช่นกัน แต่หากล็อคจากปุ่มที่มือจับประตู เพียงแค่นำมือมาจับที่ประตู เซ็นเซอร์จะทำการปลดล็อคให้โดยอัตโนมัติ

ขุมพลังที่ได้รับการปรับปรุงเพื่อประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น

เครื่องยนต์ของ Honda City รุ่นนี้ยังคงเป็นบล็อกเดิมกับรุ่นก่อนหน้า คือเครื่องยนต์ 4 สูบ SOHC i-VTEC ขนาด 1,497 ซีซี แต่ได้รับการปรับจูนใหม่เพื่อให้ทำงานร่วมกับเกียร์ CVT ลูกใหม่ และรองรับน้ำมัน E85 ให้กำลังสูงสุด 117 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 146 นิวตัน-เมตร ที่ 4,700 รอบต่อนาที แม้จะมีแรงม้าลดลง 3 ตัว แต่กำลังถูกส่งออกมาไวขึ้นถึง 600 รอบต่อนาที และแรงบิดเพิ่มขึ้น 1 นิวตัน-เมตร มาไวขึ้น 100 รอบต่อนาที

ฮอนด้าเคลมอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 17.7 กิโลเมตรต่อลิตร (สำหรับน้ำมันเบนซิน) และปล่อย CO2 ที่ 133 กรัมต่อกิโลเมตร

เมื่อขับขี่ในโหมด ECON ระบบจะปรับการตอบสนองของเครื่องยนต์ให้ช้าลง ซึ่งทำงานร่วมกับ Eco Coaching ที่ช่วยแนะนำการขับขี่ให้ประหยัดน้ำมันผ่านแถบสีบนมาตรวัด

จากการทดลองขับที่เน้นสมรรถนะ พบว่ากำลังเครื่องยนต์ยังคงมีดี ไม่เป็นรองรถ B-Car ในพิกัดเดียวกัน และเมื่อเทียบกับรุ่นเดิม ความดิบของเครื่องยนต์ลดลงจากการใช้เกียร์ CVT แต่ให้การตอบสนองจากแป้นคันเร่งที่แม่นยำขึ้น แม้แรงม้าจะลดลง แต่ก็ไม่ส่งผลให้สมรรถนะในการออกตัวหรือเร่งแซงดูด้อยลงแต่อย่างใด

สมรรถนะการขับขี่ที่น่าประทับใจ

จากการวัดสมรรถนะผ่าน OBD Bluetooth พบตัวเลขดังนี้:
0-100 กม./ชม. ใน 12.054 วินาที (โหมด D)
¼ mile 19.257 วินาที (โหมด D)
0-100 กม./ชม. ใน 11.731 วินาที (โหมด S)
¼ mile 18.687 วินาที (โหมด S)
Top Speed ที่ทำได้ประมาณ 197 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

โดยรวมแล้ว สมรรถนะของเครื่องยนต์รุ่นนี้ได้รับการปรับจูนมาอย่างดี ในช่วงกำลังตีนต้นเป็นไปตามที่คาดหวัง แต่ช่วงปลายยังคงไหลเรื่อย ๆ เกินความคาดหมาย แม้แรงม้าจะลดลงเล็กน้อย แต่การปรับจูนเครื่องยนต์ให้เข้ากับเกียร์ใหม่ ทำให้ภาพรวมดูลงตัวกว่าเดิม

อัตราสิ้นเปลืองที่น่าพอใจสำหรับการใช้งานจริง

จากการวัดค่าเฉลี่ยบนมาตรวัดหน้าจอ ในการวิ่งเดินทางไกลด้วยความเร็ว 100-110 กม./ชม. ได้ค่าเฉลี่ย 17.3 กม./ลิตร และเมื่อวิ่งคงที่ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. แบบรักษาคันเร่งให้เนียนที่สุด ตัวเลขออกมาสวยงามที่ 18.1 กม./ลิตร สำหรับการวิ่งใช้งานเฉลี่ยเกือบทั้งทริปที่ทดสอบ ได้ 16.1 กม./ลิตร

ในทางปฏิบัติ คาดว่าอัตราสิ้นเปลืองน่าจะอยู่ที่ประมาณ 14.5 กม./ลิตร ซึ่งเมื่อเทียบกับน้ำมัน 1 ถัง พบว่าสามารถวิ่งได้เกิน 600 กิโลเมตร สบาย ๆ (หมายเหตุ: การทดสอบนี้ใช้น้ำมัน E10 แก๊สโซฮอล์ 91)

ระบบส่งกำลัง CVT EarthDream 7 สปีด

จากที่เคยใช้เกียร์ Torque Converter 5 AT ในรุ่นเดิม Honda City โฉมใหม่ได้เปลี่ยนมาใช้เกียร์ CVT EarthDream ที่ปรับซอยย่อยเป็น 7 สปีดในโหมด S การทำงานของเกียร์ลูกใหม่นี้เข้ากันได้ดีกับเครื่องยนต์บล็อกเดิมที่ปรับจูนมา การเปลี่ยนเกียร์สามารถทำได้จาก Paddle Shift ที่พวงมาลัย ซึ่งจะมีอัตราทดเท่ากับโหมด S แต่หลังจากขับไปสักพัก เกียร์จะกลับสู่โหมด D อัตโนมัติ ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้ Engine Brake ในการลดความเร็วแบบกระทันหัน

หากต้องการเร่งแซง แนะนำให้กดคันเร่งลงเต็มที่ ดีกว่าการไล่เกียร์เอง เพราะจากการทดลองเล่นสับเกียร์เองโดยลากรอบไปที่ Redline เพื่อสับเกียร์ที่ 6,000 รอบต่อนาที พบว่าการตอบสนองของอัตราเร่งไม่ดีเท่ากับโหมดออโต้ หากต้องการความกระฉับกระเฉงฉับไวขึ้น เพียงโยกคันเกียร์มาที่ตำแหน่ง S และกดคันเร่ง รถก็พร้อมพุ่งทะยานแซงรถคันหน้าได้อย่างไม่ยากเย็น

ความสัมพันธ์ความเร็วต่อรอบเครื่องยนต์ (จากการวัด):
80 กม./ชม. = 1,500 รอบ/นาที
100 กม./ชม. = 1,900 รอบ/นาที
120 กม./ชม. = 2,250 รอบ/นาที

ระบบบังคับเลี้ยว EPS ที่แม่นยำและให้ฟิลลิ่งที่ดี

พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน ผ่อนแรงด้วยระบบไฟฟ้า EPS แบบ 3 ก้าน Polyurethane ให้รัศมีวงเลี้ยว 5.3 เมตร ในช่วงความเร็วต่ำ พวงมาลัยให้สัมผัสที่เบาสบาย รู้สึกได้ถึงการทำงานของมอเตอร์ช่วยผ่อนแรง แต่ไม่เบาหวิวไร้น้ำหนักเหมือน Jazz และ City โมเดลเก่า ผู้เขียนรู้สึกชอบมากกว่ารุ่นเดิม เพราะให้ฟิลลิ่งในการขับขี่ที่ดีกว่า ไม่ไวจนเกินไปนัก แต่ที่ความเร็วสูง ยังรู้สึกว่าน้ำหนักพวงมาลัยเบาไปเล็กน้อย และขาดความหนักแน่นในโค้ง เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม

ช่วงล่างที่นุ่มนวลแต่ยังคงการยึดเกาะ

ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังเป็นแบบทอร์ชั่นบีม เมื่อเทียบกับรุ่นโมเดลเก่า พบว่าช่วงล่างนุ่มขึ้นเล็กน้อย และการขับขี่ที่ความเร็วสูงก็ไม่เลวร้ายนัก อาจมีอาการหวิวๆ บ้างในช่วงความเร็ว 170 กม./ชม. ขึ้นไป แต่สำหรับการใช้งานที่ความเร็วเดินทางปกติ ระดับ 120 กม./ชม. ถือว่าทำได้ดีพอตัว

อย่างไรก็ตาม ในทางโค้งหรือการเลี้ยวกลับรถ หากกดคันเร่งลงไปครึ่งหนึ่งของแป้น รถอาจมีอาการส่ายเล็กน้อย หน้าแขวนยางเริ่มมีอาการ Slip ให้เห็น ซึ่งดูเหมือนยางยังไม่ค่อยจะเกาะถนนนัก และที่ความเร็วสูงในการเข้าโค้ง ช่วงล่างยังดูอาจไม่เกาะถนนเท่าที่ควร ส่วนหนึ่งอาจมาจากหน้ายาง หากเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงเกินกว่านี้ จะมีเสียงยางกรีดร้องดังออกมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ได้กระแทกคันเร่ง

ระบบเบรกที่มั่นใจได้

ระบบเบรกด้านหน้าเป็นแบบดิสก์พร้อมครีบระบายความร้อน และด้านหลังเป็นแบบดรัม แม้ในรุ่น Top SV คันนี้ การปรับลดสเปกนี้ไม่ได้ทำให้สมรรถนะในการหยุดรถดูแย่ลงแต่อย่างใด ในเชิงความรู้สึกในการขับขี่ กลับรู้สึกว่าการเซ็ตเบรกมาดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ ไม่พบอาการเบรกแบบทื่อๆ ด้านๆ ที่มักพบใน Jazz และ City โมเดลเก่า และไม่ต้องลงน้ำหนักแป้นเยอะเพื่อให้รู้สึกถึงแรงเบรกที่เกิดขึ้นเพื่อหน่วงหยุดรถได้ ทำให้การเบรกสามารถทำได้อย่างนุ่มนวลกว่ารุ่นเก่า

ระบบความปลอดภัยที่ครบครัน

Honda City 2014 ถือเป็นหนึ่งในจุดขายสำคัญ ด้วยการอัดแน่นระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัยมาให้ครบตั้งแต่รุ่นล่างสุด ได้แก่ ABS, EBD, BA, TCS (ระบบป้องกันล้อลื่นไถล), VSA (ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว), HSA (ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน), ESS (ไฟฉุกเฉินติดอัตโนมัติเมื่อเบรกกะทันหัน) สำหรับรุ่น SV+ ยังมี Side Curtain Airbag เพิ่มเติมเข้ามาอีกด้วย

สรุป 2014 Honda City: คุ้มค่าเกินราคาสำหรับรถ Sub-Compact

2014 Honda City รถ B-Segment หรือ Sub-Compact ที่อัดแน่นด้วยระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัยมาให้ตั้งแต่รุ่นล่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่หาไม่ได้ในค่ายอื่น ๆ ห้องโดยสารกว้างขวางกว่าคู่แข่ง สมรรถนะที่ดีขึ้นเล็กน้อย และประหยัดน้ำมันกว่าเดิม พร้อมด้วยของเล่นและฟังก์ชันที่ให้มาอย่างมากมาย แม้ราคาสูงในรุ่น Top แต่สิ่งที่ได้รับกลับมานั้นคุ้มค่า นั่งสบาย และรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดีเกินกว่ารถ Sub-Compact ทั่วไป

หากคุณกำลังมองหารถ Sub-Compact ที่มีสมรรถนะกลาง ๆ การโดยสารที่ค่อนไปทางสบาย และเป็นผู้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยี ทั้งการเชื่อมต่อและออปชันด้านความปลอดภัย Honda City รุ่น SV+ คือคำตอบที่จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนเป็น “กัปตันมาวิน” ได้อย่างแท้จริง

แน่นอนว่าราคานี้อาจทำให้หลายคนต้องกัดฟัน แต่การเพิ่มเงินอีกเล็กน้อย อาจทำให้บางคนมองไปถึงรถยนต์ระดับ C-Car ได้เช่นกัน การตัดสินใจขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณของผู้บริโภคเป็นสำคัญ ทางที่ดีที่สุดคือการไปลองขับที่โชว์รูม Honda เพื่อสัมผัสประสบการณ์จริง ว่าคุณจะติดใจกับสิ่งที่ Honda City มอบให้หรือไม่ หรือเพียงแค่หลงไปกับเสียงเพลงโฆษณา “Be Your Best”

ขอขอบคุณ Honda Automobile (Thailand) Co., Ltd. สำหรับรถทดสอบ 2014 Honda City รุ่น SV+ สีเทา ราคา 749,000 บาท

รายละเอียดทางเทคนิค 2014 Honda City:
เครื่องยนต์: DOHC i-VTEC 1.5 ลิตร
กำลังสูงสุด: 117 แรงม้า
แรงบิดสูงสุด: 146 นิวตันเมตร
ระบบส่งกำลัง: เกียร์ CVT EarthDream
ระบบขับเคลื่อน: ล้อหน้า (FF)
ระบบบังคับเลี้ยว: พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน ผ่อนแรงไฟฟ้า EPS
ระบบเบรก: จานดิสก์คู่หน้า และคู่หลังแบบดรัม
ระบบกันสะเทือน: ด้านหน้าแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม H-Shape

เชฟโรเลต แคปติวา (Chevrolet Captiva) ดีเซล: SUV อเนกประสงค์ที่ปรับปรุงเพื่อความลงตัว

ในบางครั้ง การทำงานที่ถาโถมเข้ามาจนแทบจะกลืนกินเวลาส่วนตัว ทำให้รถยนต์บางคันที่เราได้ทำการทดสอบไปแล้ว ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา เชฟโรเลต แคปติวา (Chevrolet Captiva) ดีเซล คือหนึ่งในรถยนต์ที่ประสบกับชะตากรรมดังกล่าว

ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา หลังงานมอเตอร์โชว์ เป็นช่วงเวลาที่ค่ายรถยนต์ต่างแนะนำรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ๆ ภายใต้การบริหารงานของ มาร์คอส (Marcos) ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของ Chevrolet ในประเทศไทย Chevrolet Captiva ได้รับการปรับปรุงให้มีความลงตัวและตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น ด้วยดีไซน์ที่หรูหราเป็นทุนเดิม ทำให้รถรุ่นนี้สามารถทำยอดขายได้อย่างน่าพอใจ และเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่ได้รับความนิยมในตลาดรถยนต์อเนกประสงค์

หลังจากได้มีโอกาสสัมผัส Captiva ในการทดสอบกลุ่มที่ภูเก็ต ผมยังคงมีความรู้สึกว่าอยากจะทำความรู้จักกับ Chevrolet Captiva 2014 คันนี้ให้มากขึ้น จึงได้ขอรถคันดังกล่าวมาทำการทดสอบอีกครั้ง เพื่อพิสูจน์ว่า Chevrolet Captiva ใหม่ มีดีอะไรมากกว่าแค่คำว่า “หรูหรา”

การปรับปรุง Minor Change ที่ลงตัวยิ่งขึ้น

Chevrolet Captiva รุ่นนี้ ถือเป็นการปรับปรุง Minor Change ครั้งที่สอง ซึ่งครั้งแรกที่เกิดขึ้นเมื่อสองสามปีก่อน เน้นการปรับปรุงรูปลักษณ์ภายนอกให้ดูทันสมัยขึ้น ด้วยกระจังหน้าแบบสองชั้นสไตล์ Chevrolet ยุคใหม่ และไฟหน้าทรงเรียวที่ใช้โคมโปรเจคเตอร์

สำหรับการปรับปรุงในครั้งนี้ Chevrolet ได้เพิ่มความลงตัวด้วยการปรับปรุงส่วนท้ายของรถให้มีความทันสมัย มาพร้อมไฟท้ายใหม่ที่เปลี่ยนลายกราฟิกให้ดูดีขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นเดิม ท่อไอเสียทรงกลมถูกเปลี่ยนเป็นทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ตอบโจทย์ความลงตัวในการออกแบบ และทำให้ดูกลมกลืนตลอดทั้งคัน การปกปิดยางอะไหล่ใต้ท้องรถให้ดูมิดชิดขึ้น ถือเป็นการปรับปรุงที่น่าชื่นชมจากทีมออกแบบ ความลงตัวนี้ยังมาพร้อมล้ออัลลอยขอบ 19 นิ้ว พร้อมยางขนาด 235/50R19 ที่ดูใหญ่เต็มซุ้มล้อ

การเปลี่ยนแปลงภายนอกที่สำคัญอีกจุดหนึ่งคือการออกแบบสเกิร์ตข้างใหม่ จากกาบข้างเรียบๆ กลายเป็นกาบข้างที่มาพร้อมบันไดข้างในตัว แม้จะดูดีสำหรับผู้ที่ชื่นชอบรถลุย แต่ในมุมมองของผู้เขียน การออกแบบลักษณะนี้ดูไม่ค่อยลงตัวกับคาแรคเตอร์ของ Chevrolet Captiva ที่เน้นความดูดีมากเท่าที่ควร นอกจากนี้ บันไดข้างที่ให้มายังสร้างความลำบากในการก้าวขึ้นลงรถ สำหรับผู้ที่มีรูปร่างเล็ก หรือขาสั้น

ภายในที่หรูหราและฟังก์ชันที่อำนวยความสะดวก

เมื่อก้าวเข้าสู่ภายในห้องโดยสาร Chevrolet Captiva รุ่นปรับปรุงมีการปรับปรุงหลายส่วนใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค แต่พื้นฐานการออกแบบโดยรวมยังคงเป็นรถอเนกประสงค์แบบคอมแพ็คที่สามารถรองรับการใช้งานแบบ 5 ที่นั่งได้อย่างสบาย และสามารถเพิ่มเป็น 7 ที่นั่งได้ในยามจำเป็น อย่างไรก็ตาม เมื่อเพิ่มที่นั่ง พื้นที่เก็บสัมภาระก็จะลดลง หนทางเดียวที่จะขนสัมภาระได้มากคือการติดตั้งแร็คบนหลังคา

ในรุ่นใหม่ Chevrolet ได้ปรับปรุงตัวตนของ Chevrolet Captiva 2014 ให้มีความลงตัวมากขึ้น เบาะนั่งสีเทาอ่อนเพิ่มความหรูหราให้กับห้องโดยสาร จนชวนให้นึกถึงรถยุโรปบางรุ่น น่าเสียดายที่ Chevrolet ยังคง “กระเบียดกระเสียน” ในเรื่องความหรูหรา ด้วยการติดตั้งเบาะนั่งไฟฟ้าปรับ 8 ทิศทาง เพียงฝั่งคนขับเท่านั้น ส่วนฝั่งผู้โดยสารต้องใช้แรงกายในการปรับเอง

แม้จะขาดตกบกพร่องในบางจุด แต่โดยรวมแล้ว Chevrolet Captiva ใหม่ ก็ผสมผสานความลงตัวและความทันสมัยเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อตอบสนองการใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกุญแจแบบ Keyless Entry ที่อาจจะไม่มีปุ่มสตาร์ท แต่ก็ให้ความลงตัวด้วยระบบ Passive Start

บริเวณคอนโซลหน้ามาพร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันที่สามารถควบคุมทุกอย่างในรถ ตั้งแต่ระบบเครื่องเสียงไปจนถึงระบบปรับอากาศ ที่สามารถแยกปรับอุณหภูมิได้อิสระซ้าย-ขวา ทำให้ไม่ต้องทะเลาะกันเรื่องความร้อน-หนาวอีกต่อไป สำหรับผู้ที่ชื่นชอบระบบเครื่องเสียงเป็นชีวิตจิตใจ งานนี้สบายใจได้ ด้วยระบบสร้างมิติเสียง 3 Sound Staging ที่ช่วยเพิ่มสุนทรียภาพในการเดินทาง

ขุมพลังดีเซลที่ปรับปรุงเพื่อความนุ่มนวล

ภายใต้ฝากระโปรง Chevrolet Captiva Diesel ใหม่ ยังคงมาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC พร้อมเทอร์โบแปรผัน ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า แต่แรงบิดสูงสุดได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 360 เป็น 400 นิวตัน-เมตร แม้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากมายนัก แต่ Chevrolet ได้จัดการแต่งเติมสมรรถนะให้ลงตัวมากขึ้นในเรื่องของชุดเกียร์

ในการขับขี่ในเมือง แม้จะมีการจราจรติดขัด Chevrolet Captiva ก็ยังคงมอบความสบายในการเดินทาง ความรู้สึกที่นุ่มนวลมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดอาการกระตุกของชุดเกียร์ไปได้มาก เหมือนที่เคยทำกับ Chevrolet Cruze

อย่างไรก็ตาม การลดความดุดันของรถอาจเป็นดาบสองคม สำหรับผู้ที่มองหาการตอบสนองในเรื่องของสมรรถนะการขับขี่ ที่คาดหวังว่าเครื่องยนต์ดีเซลที่มีแรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร จะเร่งอย่างเร้าใจ แต่ Captiva 2014 ไม่ใช่รถคันนั้น

แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ในเมือง แต่ Chevrolet Captiva 2014 ก็ได้พิสูจน์ในเรื่องของความนุ่มนวล ขับสบาย จนเหมาะมากที่จะซื้อมานั่งมากกว่าจะเป็นผู้ขับขี่เอง ถึงแม้จะเป็นเครื่องยนต์ดีเซล แต่ Chevrolet Captiva ก็ยังคงซดน้ำมันค่อนข้างมากตามสไตล์รถอเมริกัน โดยตัวเลขการทดสอบในเมืองอยู่ที่เพียง 7.89 กิโลเมตรต่อลิตร ในสภาพรถติดมาก

การทดสอบในโหมดผสม: ความลงตัวของ SUV อเนกประสงค์

การทดสอบในโหมดผสม (ในเมืองและนอกเมือง) ด้วย “Bonn Test Mode” ที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงตัวตนที่หรูหรา นุ่มนวล ของรถคันนี้ การทำงานของพวงมาลัยที่นิ่มนวลมากขึ้น ช่วงล่างที่ดูลงตัวมากขึ้น แม้จะมีจังหวะที่แอบกระด้างบ้าง ซึ่งพอจะเข้าใจได้จากการใช้ล้อขอบ 19 นิ้วจากโรงงาน เพื่อรองรับแรงบิดมหาศาลของเครื่องยนต์ดีเซล

ระหว่างการเดินทางด้วยความเร็วปกติ ภายใต้กฎหมายจราจรไทยที่จำกัดความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เข็มวัดรอบเครื่องยนต์อยู่ที่ประมาณ 2,400 รอบต่อนาที ซึ่งไม่ถือว่าสูงมากนักสำหรับการเดินทางไกล

จากการทดสอบในโหมดผสมนี้ ได้ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองที่ 11.62 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งเป็นการยืนยันความถูกต้องของตัวเลขอัตราประหยัดในเมืองที่ได้มาก่อนหน้านี้

การเดินทางไกลสู่ขอนแก่น: บทพิสูจน์สมรรถนะและความประหยัด

การทดสอบ Chevrolet Captiva 2014 ครั้งนี้ ถือว่าค่อนข้างโหดพอสมควร ด้วยการวางแผนให้ต้องเดินทางไกลไปยังจังหวัดขอนแก่น ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับการทดสอบรถยนต์สักคัน แต่ในเส้นทางยาวๆ แบบนี้ รถยนต์มักจะแสดงความลงตัวในการเดินทางออกมาได้อย่างชัดเจน

ตลอดเส้นทาง Chevrolet Captiva Diesel แสดงตัวตนออกมาได้อย่างน่าประทับใจ การออกตัวเป็นไปอย่างนิ่มนวลถูกโหมโรงบนสมรรถนะที่ได้จากการใช้โหมดการขับขี่แบบสับเอง แรงบิดที่มากทำให้รถพุ่งทะยานตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเป็นผู้ที่ขับขี่ด้วยความเร็วสูงเสมอต้นเสมอปลาย รถอเนกประสงค์พลังดีเซลคันนี้กลับตอบโจทย์การขับขี่ได้ดีเกินคาด

ด้วยการตอบสนองที่ดีของเครื่องยนต์ที่สนุกสนานในการขับขี่ การโยกเกียร์หากจับจังหวะได้ถูกต้อง ระบบจะให้ความสนุกสนานอย่างต่อเนื่องระหว่างการขับขี่

สิ่งที่น่าสนใจอีกประการใน Chevrolet Captiva คือระบบกันสะเทือน ที่ให้ความลงตัวในการตอบสนองการขับขี่ โดยเฉพาะการพัฒนาให้เป็นรถครอสโอเวอร์ที่นั่งสบาย แม้ยามขับขี่ด้วยความเร็วสูง ช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท พร้อมชุดเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบมัลติลิงค์ 4 จุด ช่วยยึดเกาะตัวรถให้มีความลงตัวในการขับขี่มากขึ้น ไม่ว่าคุณจะขับขี่ด้วยความเร็วขนาดไหน ก็มั่นใจได้ เพียงแต่อย่าประมาทกับขนาดและน้ำหนักตัวรถที่มากกว่ารถเก๋งทั่วไป

หลังจากเดินทางถึงปลายทางโดยสวัสดิภาพ แม้จะใช้ความเร็วบ้างในบางจังหวะ และเจอสภาพอากาศที่แปรปรวนระหว่างทาง แต่ Chevrolet Captiva ก็ตอบโจทย์เรื่องความประหยัดที่ 10.5 กิโลเมตรต่อลิตร

บทสรุป: ดีเซลที่ดูสุภาพขึ้น แต่ยังคงสมรรถนะที่น่าประทับใจ

จากการขับขี่ Chevrolet Captiva Diesel อีกครั้ง ทำให้เห็นว่ารถรุ่นนี้มีความดุดันน้อยลงพอสมควร ส่วนหนึ่งอาจมาจากการขับขี่ในรูปแบบคาราวานของการทดสอบกลุ่ม ทำให้ไม่มีโอกาสได้รีดสมรรถนะของรถอย่างเต็มที่

ในแง่หนึ่ง Chevrolet Captiva diesel มีสิ่งที่น่าสนใจและตอบโจทย์ที่ลงตัวมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่บางครั้งก็รู้สึกว่า Chevrolet พยายามมากเกินไป เช่น การออกแบบกาบข้างที่กลายเป็นบันไดในตัว ดูขัดกับตัวตนความหรูหรา แต่สิ่งที่น่าชื่นชมมากคือการปรับปรุงตัวตนบริเวณท้ายรถ ทำให้รถดูดีมีระดับมากขึ้น

ภายในห้องโดยสารยังคงตัวตนที่นั่งสบาย และลงตัวมากขึ้นในเรื่องการออกแบบที่พยายามผสานกับความทันสมัย โดยไม่ทิ้งความลงตัวในการใช้งาน

ส่วนทางด้านเครื่องยนต์ Chevrolet Captiva ใหม่ มีความลงตัวมากขึ้นในสไตล์การขับขี่ที่เน้นความนุ่มนวล ด้วยการเพิ่มแรงบิด 40 นิวตัน-เมตร แต่น่าเสียดายที่มันไม่ใช่แรงบิดในแบบ Flat Torque สไตล์เดิม กำลังถูกส่งผ่านระบบเกียร์ใหม่ที่ได้รับการวิศวกรรมให้นุ่มนวลขึ้น

แต่ในขณะเดียวกัน จากการขับทางยาวก็เห็นได้ชัดว่ามันยังคง “ซิ่ง” ได้ในหลายจังหวะการขับขี่ เพียงแต่ต้องเข้าใจบุคลิกของเครื่องยนต์ก่อนว่ามีลักษณะอย่างไร ก่อนที่จะคืนรถให้กับ Chevrolet เรามีโอกาสทดสอบอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และ 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.: เฉลี่ย 12.48 วินาที
อัตราเร่ง 80-120 กม./ชม.: เฉลี่ย 8.60 วินาที

จากผลที่ออกมา ค่อนข้างชัดเจนว่า Chevrolet Captiva 2014 มีอัตราเร่งที่ดีขึ้นพอสมควร แม้จะไม่ใช่ในความรู้สึก แต่การทำตัวเลขเฉลี่ย 0-100 กม./ชม. ในเวลา 12 วินาทอกลางๆ และ 8 วินาทอกลางๆ สำหรับ 80-120 กม./ชม. นั้น ไม่ใช่ตัวเลขที่ขี้เหร่เลยแม้แต่น้อย

หากถามว่าอะไรคือความน่าประทับใจในรถยนต์ Chevrolet Captiva Diesel จะว่าไปมันคงเป็นตัวตนที่ดีขึ้น หรูหรามากขึ้น สามารถสัมผัสได้ในการขับขี่ แต่สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลแล้ว ในอนาคต เราค่อนข้างคาดหวังที่จะเห็นความประหยัดที่ดีขึ้นกว่าเดิม

BMW 420d Coupe Sport: สปอร์ตคูเป้ดีเซลที่เปี่ยมด้วยสไตล์และความเร้าใจ

ในระยะหลังๆ ค่ายใบพัดฟ้าขาวอย่าง BMW ประเทศไทย ได้นำเข้ารถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามาเปิดตัวและทำตลาดอย่างรวดเร็ว ราวกับไม่เกรงกลัวคู่แข่ง BMW 420d Coupe Sport คันนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อรถเปิดตัวในต่างประเทศ ก็ได้นำเข้ามาจำหน่ายในไทยทันที

ก่อนที่รุ่นหลังคาเปิดประทุนจะได้ตามมาทำตลาด 420 Coupe ถือว่าได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้มีกำลังซื้อพอสมควร และเป็นรถที่เริ่มเห็นวิ่งตามท้องถนนบ้างแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสนนราคาที่ไม่ได้สูงจนเกินไปนัก ทำให้สามารถจับจองเป็นเจ้าของเพื่อวิ่งเท่ๆ บนถนนได้

ด้วยราคาจำหน่ายในรุ่น Sport ที่เคาะไว้เพียง 3.799 ล้านบาท ทำให้กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังทรัพย์สามารถเอื้อมมือไปจับจองได้ไม่ยากเย็นนัก และหากต้องการเพิ่มความเท่ด้วยล้อแม็กซ์ที่ใหญ่ขึ้น 1 นิ้ว พร้อมชุดปรับช่วงล่างจาก M ก็สามารถเลือกซื้อรุ่น M Sport ได้ในราคาเพิ่มขึ้นอีก 2 แสนบาท

โดยสรุปภาพรวม ถือเป็นรถยนต์ที่หน้าตาหล่อเหลาเอาเรื่อง ขับไปบนถนนรับประกันถึงความโดดเด่น สามารถดึงดูดทุกสายตาได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ ยังมาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นยอดนิยมที่ได้รับการยอมรับในเรื่องสมรรถนะและการประหยัดน้ำมันเป็นอย่างดี

แต่ด้วยความเป็นรถยนต์แบบคูเป้ ทำให้กลุ่มลูกค้าที่ต้องการใช้งานจริงอาจมีอยู่อย่างจำกัด ไหนจะราคาที่แม้จะไม่แพงมาก แต่ก็มีคู่แข่งในระดับราคาใกล้เคียงกันให้เลือกหลากหลาย ทั้งจากในค่ายเองและค่ายของคู่แข่ง ทำให้ตัวเลือกนี้อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกหลักสำหรับลูกค้าที่คิดจะซื้อรถหรูคันแรก

แต่เชื่อว่าหากเป็นรถยนต์ที่เอาไว้ขับเล่นในวันพักผ่อนสบายๆ ก็น่าจะเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่หาคู่เปรียบได้ยาก

ภายนอกสุดเฉี่ยว ไฟหน้าโดดเด่น ขับเน้นความสปอร์ต

แม้จะมีพื้นฐานการพัฒนาที่ไม่ได้แตกต่างจากซีดานรุ่นอื่นๆ ในค่าย และเมื่อมองแวบแรกอาจทำให้นึกถึง Series 3 แต่หากมองในรายละเอียดการออกแบบ Series 4 มีลักษณะเฉพาะตัวที่โดดเด่นและแตกต่างหลายประการ

ตัวรถแบบคูเป้ พร้อมที่นั่ง 4 ที่นั่ง ถูกออกแบบมาเน้นที่ความยาวของด้านหน้าตามสไตล์คูเป้ทั่วไป ในขณะที่ด้านหลังไม่ได้หดสั้นมากนัก แต่เน้นการออกแบบที่ลงตัวเหมือนซีดานทั่วไป ทำให้ได้พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระที่มีขนาดกว้างขวาง ใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ได้สบาย

โคมไฟหน้าแบบใหม่ ออกแบบมาอย่างสปอร์ต ล้ำยุค ยากที่จะหาคู่แข่งมาเทียบในจุดนี้ แถมยังมาพร้อมเทคโนโลยีไฟ LED แบบทั้งดวง ซึ่งให้ความสว่างมาก ไม่ว่าจะเป็นไฟ Daytime หรือไฟกลางคืนก็ตามที ไฟตัดหมอกด้านล่างก็ออกแบบมาอย่างสวยงามลงตัว

ด้านหน้ารถออกแบบมาโดยเน้นการสอดแทรกพื้นผิวสีดำมันที่ตำแหน่งของกันชนหน้า ซึ่งช่วยให้รถดูดุดันเพิ่มขึ้น ซุ้มฝากระโปรงหน้าที่ออกแบบเป็นโดมมากกว่ารุ่นอื่นๆ ทำให้หน้ารถดูโอ่อ่าขึ้น การไล่เส้นกล้ามเนื้อจากฝากระโปรงหน้าไปถึงด้านข้างรถทำได้อย่างชัดเจนโดดเด่น

แม้จะเป็นตัวรถแบบคูเป้ แต่ก็ไม่ได้ออกแบบให้เสา C บีบลงมามากจนเกินไป ทำให้ตำแหน่งพื้นที่ห้องโดยสารภายในไม่ถูกบีบให้อึดอัด ด้านหลังที่ดูเรียบง่ายออกแนวหรูหรา มาพร้อมไฟท้ายแบบยาวที่เห็นโดดเด่นในยามค่ำคืน และระบบเปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติ

ในรายละเอียดของการออกแบบถือว่าเพิ่มความโดดเด่นด้วยล้อแม็กซ์ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง Run-flat การตกแต่งตำแหน่งต่างๆ ของภายนอกทำได้อย่างดี หากเป็นรถสีเข้มๆ จะยิ่งขับความดุดันออกมาได้มากกว่านี้

เครื่องยนต์สมรรถนะสูง ประหยัด และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ได้กลายเป็นเครื่องยนต์หลักที่ BMW ใช้กับรถยนต์แทบทุกรุ่นที่ทำตลาดอยู่ โดยเครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่พัฒนาด้วยเทคโนโลยี TwinPower Turbo ถือเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่ได้รับการยกย่องว่าเหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวันมากที่สุดเครื่องยนต์หนึ่ง

เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 16 วาล์ว มาพร้อมสมรรถนะที่เหลือล้น ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดมหาศาลถึง 380 นิวตัน-เมตร ที่รอบต่ำตั้งแต่ 1,750-2,750 รอบต่อนาที เรียกว่าให้การตอบสนองอัตราเร่งที่ปราดเปรียวตั้งแต่ต้น

ตามสเปกที่ระบุไว้ สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 7.3 วินาที ซึ่งจากการขับทดสอบจริงอยู่ที่ประมาณ 9 วินาที ในขณะที่ความเร็วสูงสุดที่ระบุไว้ 232 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้น อาจดูอันตรายเกินไปสำหรับท้องถนนเมืองไทย แต่ก็เชื่อว่าทำได้หากมีระยะทางวิ่งให้มากพอ

ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด แบบสปอร์ต ที่มีความชาญฉลาดจนไม่อนุญาตให้มีการลากรอบเครื่องยนต์สูงเกินไปจนอาจเป็นอันตรายต่อเกียร์ มาพร้อมโหมดเปิดและปิดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติในยามจอด ซึ่งแนะนำให้ปิดไว้ เนื่องจากเสียงการกลับมาสตาร์ทใหม่นั้นดูกระชากุนแรงเกินไป

BMW เคลมอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันของรถคันนี้ไว้ที่ 21.7 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งก็คงทำได้หากวิ่งด้วยความเร็วประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่จากการใช้งานจริงแบบเน้นซิ่งเป็นหลัก อัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้ก็ยังอยู่ที่ระดับ 15-16 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากตอนที่อยู่บนรถรุ่นอื่นๆ มากนัก

โหมดการขับขี่มีให้เลือกใช้งานตามความเหมาะสม ตั้งแต่ Eco ไปจนถึง Sport ซึ่งตัวรถจะแสดงผลแตกต่างกันอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นรอบเครื่องยนต์ การตอบสนองของช่วงล่าง รวมไปถึงความดุเดือดในการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง หากใช้งานในเมือง โหมด Comfort ก็ถือว่าเพียงพอและลงตัวที่สุดแล้ว

ภายในสีแดงสด นั่งสบาย 4 ตำแหน่ง ของเล่นเพียบพร้อม

เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องโดยสารที่เน้นโทนสีแดงเป็นสีหลักในการออกแบบ สอดประสานกับสีดำเข้ม ซึ่งช่วยทำให้ห้องโดยสารดูโอ่อ่าแบบแฝงไว้ด้วยความทันสมัย แต่ก็ไม่ได้ทิ้งกลิ่นไอของความหรูหราลงไป

ตำแหน่งของเบาะนั่งทั้ง 4 ออกแบบมาอย่างลงตัวและสามารถใช้งานได้จริง โดยได้ติดตั้งระบบพับเบาะด้านหน้าเพื่อเปิดทางให้ผู้โดยสารก้าวเข้าไปที่นั่งตอนหลังได้อย่างง่ายดาย เบาะนั่งตอนหลังออกแบบแยกเป็นส่วนๆ มีช่องวางของกั้นกลาง และมีพื้นที่วางขาและพื้นที่สำหรับศีรษะที่กว้างขวาง ใช้งานได้จริง

ตำแหน่งของเบาะนั่งด้านหน้ามาพร้อมระบบควบคุมด้วยไฟฟ้าทั้งหมด เบาะนั่งทำจากหนัง Dakota ให้การรองรับแผ่นหลัง ขา และรองรับน้ำหนักตัวได้อย่างพอดี และยังสามารถปรับตำแหน่งของเบาะนั่งให้กระชับกับแผ่นหลังได้มากขึ้น

พวงมาลัยแบบสปอร์ตสามารถปรับเลื่อนได้ 4 ทิศทาง แต่เป็นการบังคับด้วยมือและคันโยกธรรมดา การออกแบบแผงคอนโซลหน้าที่คุ้นเคยในรถรุ่นใหม่ๆ ได้รับการยกมาทั้งหมด รวมถึงหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ 8.8 นิ้ว ตรงกลางคอนโซล และปุ่ม iDrive ที่สามารถสั่งการด้วยการเขียนได้

โดยรวมแล้ว ถือเป็นห้องโดยสารที่ให้ความเร้าใจในการขับขี่ไม่น้อยไปกว่าความสะดวกสบายในการใช้งานจริง แม้จะเป็นรถยนต์คูเป้ แต่ก็มีพื้นที่เพียงพอสำหรับผู้โดยสาร 4 คนเดินทางไปด้วยกันอย่างสะดวกสบาย แถมยังมีที่วางของด้านหลังให้อย่างไม่อึดอัด

ขับขี่สนุกสนาน ปลอดภัยไว้ใจได้ ตามมาตรฐาน BMW

อย่างที่กล่าวไปแล้ว เครื่องยนต์รุ่นนี้ของ BMW แทบจะการันตีในเรื่องความสนุกสนานในการขับขี่ การประหยัดน้ำมัน และด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ที่ติดตั้งมา ก็ช่วยเสริมในเรื่องความปลอดภัยในการใช้งานได้อย่างไม่มีข้อสงสัย

ความสนุกสนานในการขับขี่มาจากพละกำลังที่ล้นเหลือ ล้อแม็กซ์ขนาด 18 นิ้ว ให้ความรู้สึกในการขับขี่ที่ดีอยู่แล้ว และไม่กระด้างมากจนเกินไปนัก พอที่จะให้สัมผัสแรงสะท้อนจากพื้นถนนได้อยู่บ้าง แต่ไม่รบกวนในการควบคุมรถจนเกินไป

พวงมาลัยที่แม่นยำ ทำให้การควบคุมรถเป็นไปได้อย่างไหลลื่น แม้จะต้องวิ่งผ่านสภาพถนนที่เลวร้ายของเมืองไทย ก็ไม่ได้ทำให้การควบคุมรถยากเย็นอะไร ช่วงล่างที่หนึบแน่นแต่ไม่แข็งกระด้าง ทำให้สามารถทำความเร็วของรถไปได้เรื่อยๆ โดยปล่อยให้รถจัดการตัวเองไปตามความเหมาะสม

อุปกรณ์ความปลอดภัยและระบบสนับสนุนต่างๆ ติดตั้งมาให้อย่างเรียบร้อยเต็มพิกัดสมราคา เรียกได้ว่าซื้อรถไปแล้วไม่ต้องคิดจะทำอะไรเพิ่ม นอกเหนือจากการติดฟิล์มกรองแสงเท่ๆ ให้เหมาะสมกับรถก็เท่านั้น ที่รถคันนี้ต้องการ

หากไม่มองเรื่องค่าตัวที่อาจจะสูงไปบ้างในความรู้สึกที่ขึ้นไปแตะๆ เลข 4 และยังไม่ค่อยมีส่วนลดจากตัวแทนจำหน่ายเนื่องจากยังเป็นรถที่ทำยอดได้ดีอยู่ หากเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและคิดอยากได้รถเท่ๆ สักคัน ที่ขับไปทางไหนก็มีคนสะกิดให้มอง รถคันนี้ก็ตอบสนองความต้องการนั้นได้

ถือเป็นรถหรูจากค่ายใบพัดฟ้าขาวที่น่าจับจองเป็นเจ้าของอีกหนึ่งคัน!

รายละเอียดทางเทคนิค 2014 BMW 420d Coupe Sport:
ราคาจำหน่าย: 3.799 ล้านบาท
เครื่องยนต์: ดีเซล TwinPower Turbo 2.0 ลิตร
กำลังสูงสุด: 184 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด: 380 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-2,750 รอบต่อนาที
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.: 7.3 วินาที
ความเร็วสูงสุด: 232 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: 21.7 กิโลเมตรต่อลิตร
อัตราการปล่อยไอเสียเฉลี่ย: 121 กรัมต่อกิโลกรัม

หากคุณกำลังมองหารถยนต์ที่ผสมผสานทั้งดีไซน์ที่โดดเด่น สมรรถนะที่น่าประทับใจ และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย อย่าพลาดที่จะสำรวจตัวเลือกใหม่ๆ ในตลาดรถยนต์ปี 2025 ซึ่งมีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ลองเข้ามาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเรา หรือนัดหมายเพื่อทดลองขับรถยนต์ที่คุณสนใจ เพื่อค้นหารถยนต์ที่ใช่สำหรับไลฟ์สไตล์ของคุณโดยเฉพาะ

Previous Post

N3012006 แฟนลงท นศ ลยกรรมให หน าเหม อนช และน งท เขาได #พ คตอนจบ part2

Next Post

N3012002 อายท กต เลยท งล กเพ อไปหาผ วใหม หล อและรวย part2

Next Post
N3012002 อายท กต เลยท งล กเพ อไปหาผ วใหม หล อและรวย part2

N3012002 อายท กต เลยท งล กเพ อไปหาผ วใหม หล อและรวย part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N0401061 บนเส นทางร ไม ได แต ดอกไม part2
  • N0401063 อลหม านล กหลาน GenZ part2
  • N0401059 เม อต องพาแฟนไปบ าน แต อายเพราะบ านจน part2
  • N0401057 งครอบคร วไว างหล หว งแต ความส ขต วเอง part2
  • N0401060 ปสรรคความร กบางท มาในร ปแบบของงานบ าน! part2

Recent Comments

No comments to show.

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.