Chery Automobile: ก้าวข้ามความท้าทาย สู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่งในตลาดโลก
ในภาวะเศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน Chery Automobile แบรนด์รถยนต์สัญชาติจีน ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความยืดหยุ่นที่น่าประทับใจ ผ่านการขยายตลาดสู่ภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก พร้อมสร้างสถิติยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2567 ด้วยตัวเลข 2,603,916 คัน เติบโตขึ้นถึง 38.4% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนธันวาคม เพียงเดือนเดียว สามารถทำยอดขายได้ถึง 298,505 คัน ซึ่งสะท้อนถึงการบรรลุเป้าหมายการเติบโตที่ตั้งไว้ระหว่าง 10-20%
รายได้รวมในปีที่ผ่านมาทะลุ 705,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 50% แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางด้านการเงินของบริษัท สัดส่วนการส่งออกก็ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดส่งออกรวม 1,144,588 คัน เพิ่มขึ้น 21.4% ส่งผลให้ Chery Automobile ครองตำแหน่งผู้ส่งออกรถยนต์นั่งส่วนบุคคลอันดับหนึ่งของจีนมาอย่างยาวนานถึง 22 ปีติดต่อกัน
สิ่งที่น่าจับตามองเป็นพิเศษคือการเติบโตแบบก้าวกระโดดของ รถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ของ Chery Automobile ซึ่งทำยอดขายไปได้ถึง 583,569 คัน เพิ่มขึ้นถึง 232.7% โดยเฉพาะในเดือนธันวาคม ยอดขาย NEV ทะลุ 100,000 คัน เติบโต 31.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทำให้ Chery Automobile เป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของจีน
นอกจากความสำเร็จด้านยอดขาย Chery Automobile ยังได้รับคำยอมรับด้านคุณภาพ โดยสามารถคว้าตำแหน่งแบรนด์ในประเทศที่มีอันดับสูงสุดอีกครั้งในรายงาน China Initial Quality Study (IQS) ประจำปี 2024 ของ J.D. Power สิ่งนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดระดับโลก และยกระดับมาตรฐานรถยนต์ “Made in China” ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
OMODA & JAECOO: แบรนด์น้องใหม่ที่มาแรง ก้าวสู่ตลาดโลกอย่างเต็มตัว
ภายใต้ร่มของ Chery Automobile แบรนด์ OMODA & JAECOO ได้แสดงศักยภาพที่น่าจับตามองในปี 2567 โดยสามารถขยายการดำเนินงานไปยัง 33 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก พร้อมสร้างสถิติยอดขายที่น่าประทับใจในเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้นถึง 72% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า มียอดขายเกิน 20,000 คันต่อเดือน ติดต่อกันถึง 8 เดือน และทำยอดขายต่อปีได้สูงถึง 248,605 คัน เพิ่มขึ้น 54% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ปัจจุบัน OMODA & JAECOO มีฐานลูกค้าทั่วโลกกว่า 410,136 คน แสดงถึงการตอบรับที่ดีในตลาดสากล โดยในตุรกีสามารถทำยอดขาย 16,064 คัน เพิ่มขึ้น 23.3% ส่วนในสเปน แม้จะเปิดตัวไปเพียง 10 เดือน ก็สามารถทำยอดขายได้ถึง 9,988 คัน และสำหรับประเทศไทย ได้เริ่มมีการส่งมอบรถยนต์ให้กับลูกค้าในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2567 ที่ผ่านมา
นวัตกรรมเทคโนโลยีพลังงานใหม่: หัวใจสำคัญของการเติบโต
ความสำเร็จของ Chery Automobile ไม่ได้มาจากยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากความโดดเด่นด้านการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานใหม่ ตั้งแต่การเปิดตัวระบบส่งกำลัง Qpower จนถึงการพัฒนาระบบ Infinite Electric Hybrid DHT ซึ่งมอบพละกำลังที่เหนือกว่า และการจัดการพลังงานที่ชาญฉลาด ช่วยให้ผู้ขับขี่มั่นใจในประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานในทุกสภาวะการขับขี่ ระบบส่งกำลังนี้มีประสิทธิภาพการจัดการพลังงานสูงสุดถึง 98.5%
ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องยนต์ไฮบริดแบบพิเศษยังมีความโดดเด่นในด้านประสิทธิภาพเชิงความร้อน (Thermal Efficiency) ที่ 44.5% เมื่อจับคู่กับแบตเตอรี่ไฮบริดสมรรถนะสูงที่มีความหนาแน่นของพลังงาน 105Wh/kg. ช่วยเพิ่มระยะทางการขับขี่และสมรรถนะของรถได้อย่างมีนัยสำคัญ นี่คือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรมยานยนต์
การขยายฐานการผลิตและเครือข่ายทั่วโลก
ในปี 2567 Chery Automobile ได้บรรลุข้อตกลงจัดตั้งโรงงานร่วมทุนแห่งแรกในยุโรป ร่วมกับ EV MOTORS ของสเปน ซึ่งจะช่วยพลิกฟื้นแบรนด์ EBRO ในตำนานของสเปนให้กลับมามีความสำคัญอีกครั้ง การผลิตรถยนต์ TIGGO 2 กว่า 1 ล้านคันทั่วโลก แสดงถึงการยอมรับและความไว้วางใจที่แบรนด์ได้รับ และในเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา Chery Automobile ได้เฉลิมฉลองการผลิตรถยนต์คันที่ 15 ล้าน จากโรงงาน 5 แห่งทั่วโลก
สำหรับ OMODA & JAECOO ได้มีการเปิดตัวรถยนต์ OMODA C5 รุ่นสันดาปในสเปนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ตามมาด้วยการเปิดโรงงานแห่งแรกในยุโรปที่บาร์เซโลนา ประเทศสเปน การเปิดตัวแบรนด์อย่างเป็นทางการในโปแลนด์ (มิถุนายน) รวมถึงการขยายสู่ตลาดอิตาลี สหราชอาณาจักร ฮังการี และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย การจัดตั้งฐานการผลิตที่ทันสมัยในมาเลเซียและอินโดนีเซีย (กันยายน) ทำให้ OMODA C5 EV รุ่นแรกที่ผลิตในอินโดนีเซีย ถูกส่งออกไปยังเวียดนาม
นอกจากนี้ OMODA & JAECOO ยังได้จัดตั้งคลังสินค้าชิ้นส่วนยานยนต์และศูนย์โลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดสำหรับแบรนด์รถยนต์จีนในตะวันออกกลาง เพื่อสนับสนุนการขยายเครือข่ายการจัดจำหน่ายชิ้นส่วนให้ครอบคลุม 5 ภูมิภาคหลักทั่วโลก
OMODA & JAECOO: นวัตกรรมระบบ SHS และปรัชญาการออกแบบที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
จากการเก็บข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสมรรถนะและระยะทางการขับขี่ของผู้ใช้งานทั่วโลก OMODA & JAECOO ได้พัฒนาระบบ SHS (Super Hybrid System) ซึ่งเป็นโซลูชันสำหรับรถพลังงานสะอาด (NEV) ที่ดีที่สุดในโลก
JAECOO 7 PHEV คือรถยนต์สมรรถนะสูงคันแรกของแบรนด์ที่ติดตั้งระบบ SHS ผสมผสานเทคโนโลยีอัจฉริยะสำหรับการเดินทางในชีวิตประจำวัน และเป็น “ซูเปอร์รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (Super HEV)” สำหรับการเดินทางไกล โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จไฟ มอบประสบการณ์การขับขี่ขั้นสุดยอดจากสมรรถนะของ Super HEV และ EV
ส่วน JAECOO 5 เป็นรถ SUV แบบ A-segment ที่เน้นการขับขี่แบบออฟโรด โดยพัฒนาภายใต้ปรัชญา “From Classic, Beyond Classic” ผสานสุนทรียศาสตร์การออกแบบเข้ากับเทคโนโลยีการขับขี่ All Road Drive (ARDIS) เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของ “Urban Icon” ที่โดดเด่น ล้ำสมัย และมุ่งมั่นให้เป็นรถ SUV ที่ดีที่สุดและเป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยงมากที่สุด
“O-UNIVERSE”: การสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงผู้คน รถยนต์ และชีวิต
OMODA & JAECOO ยึดมั่นในแนวคิดหลัก “ผู้คน + รถยนต์ + ชีวิต” ผ่านการสร้างระบบนิเวศ “O-UNIVERSE” ที่ครอบคลุมทุกมิติและโอบรับทุกไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย
ในปีที่ผ่านมา OMODA & JAECOO ได้ร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำระดับโลกอย่าง Garmin ผู้ผลิต GPS สมาร์ทวอทช์ และ Universal Pictures’ Wicked ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จาก Universal Pictures การร่วมมือเหล่านี้สะท้อนแนวคิด “คิดนอกกรอบ” เพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์ที่นอกเหนือไปจากการขับขี่
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวแอนิเมชันไซไฟ “C7” ที่บอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ดีไซน์ ‘Cross’ ระหว่างสุนทรียศาสตร์ที่สวยงามและเทคโนโลยีแห่งอนาคต เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้รุ่นใหม่
OMODA & JAECOO ยังคงมุ่งมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการสนับสนุนไลฟ์สไตล์เพื่อความยั่งยืนและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในระดับโลก โดยได้เข้าร่วมโครงการอนุรักษ์หญ้าทะเลกับสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ (IUCN) ในสเปน และสนับสนุนกลุ่มคนรุ่นใหม่ “Pandawara” ในอินโดนีเซีย ซึ่งได้รับการยอมรับจากรัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมของอินโดนีเซีย
ในงาน Beijing Auto Show ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม “GREEN OJ” เพื่อสนับสนุนกิจกรรมสาธารณะด้านความยั่งยืนของแบรนด์ร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลก และในเดือนตุลาคม ได้จัดกิจกรรมปั่นจักรยานเพื่อสิ่งแวดล้อมร่วมกับ IUCN โดยได้รับเกียรติจากนายบัน คีมูน เลขาธิการสหประชาชาติ และ Jenny Shipley อดีตนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ เข้าร่วมงาน พร้อมผู้เข้าร่วมกว่าพันคน ปัจจุบัน กิจกรรมเพื่อสังคมของ OMODA & JAECOO ได้แพร่กระจายไปทั่วโลก และได้รับการยอมรับจากผู้นำกว่า 70 ประเทศ
ทิศทางอนาคต: นวัตกรรมและความเป็นผู้นำในตลาดโลก
สำหรับปี 2568 Chery Automobile โดยเฉพาะแบรนด์ OMODA & JAECOO จะเดินหน้าเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ และนำเสนอความก้าวหน้าของเทคโนโลยียานยนต์พลังงานใหม่
แบรนด์ OMODA จะมุ่งมั่นสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ครอสโอเวอร์ที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ของทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่
ในขณะที่แบรนด์ JAECOO จะสานต่อวิสัยทัศน์การเป็นแบรนด์รถยนต์ออฟโรดอันดับหนึ่ง สร้างประสบการณ์การขับขี่แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยเทคโนโลยีพลังงานใหม่และสมรรถนะการขับขี่ออฟโรดที่ยอดเยี่ยม
Chery Automobile กำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง โดยมุ่งเน้นนวัตกรรม คุณภาพ และความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลก
Toyota Camry Hybrid: การผสมผสานที่ลงตัวของสมรรถนะและความประหยัด
ในโลกยานยนต์ที่เทคโนโลยีพลังงานใหม่กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญ Toyota Camry Hybrid ยังคงเป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ที่ให้ทั้งสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมและความประหยัดน้ำมันสูงสุด ด้วยคะแนนรวม 9.5/10 และคะแนนเต็ม 10/10 ในด้านอัตราการประหยัดน้ำมันที่ 21.6 กิโลเมตรต่อลิตร (51 ไมล์ต่อแกลลอน) ทำให้ Camry Hybrid เป็นผู้นำที่แท้จริงในตลาดรถยนต์ไฮบริด
การออกแบบภายนอกและภายในได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยยิ่งขึ้น พร้อมด้วยฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ครบครัน เตรียมพร้อมสำหรับ All New Camry ที่กำลังจะเปิดตัวในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดเช่นเคย
ขุมพลังและการขับขี่
Camry ปี 2024 มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.5 ลิตร ทำงานควบคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว ให้กำลังรวม 232 แรงม้า ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติแปรผันต่อเนื่อง (CVT) การตอบสนองของพวงมาลัยที่แม่นยำ การเข้าโค้งที่มั่นคง และระบบกันสะเทือนที่ยืดหยุ่น ช่วยให้การขับขี่บนสภาพถนนที่หลากหลายเป็นไปอย่างราบรื่น ระบบเบรกที่ทำงานรวดเร็วและเสถียรยิ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่
ข้อดี:
ระบบส่งกำลังไฮบริดมีประสิทธิภาพสูง
สมรรถนะการขับขี่ที่สมดุล
ห้องโดยสารตกแต่งด้วยวัสดุพรีเมียม
ฟังก์ชันการใช้งานครบครัน
ข้อสังเกต:
พื้นที่เหนือศีรษะสำหรับผู้โดยสารแถวสองค่อนข้างจำกัด
เสียงเครื่องยนต์อาจดังขึ้นเมื่อใช้งานหนัก
Honda Accord Hybrid: ความน่าเชื่อถือและสมรรถนะที่เหนือระดับ
Honda Accord Hybrid ไม่เพียงแต่เป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย แต่ยังได้รับการยอมรับในระดับสากล โดย U.S. News & World Report ได้ยกให้เป็นรถยนต์ไฮบริดที่ดีที่สุดอันดับสอง ด้วยคะแนนรวม 9.2/10 และคะแนนจากนักวิจารณ์ยานยนต์มืออาชีพถึง 9.2/10 คะแนน บ่งบอกถึงคุณภาพ ความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง
ด้วยอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 19.5 กิโลเมตรต่อลิตร (46 ไมล์ต่อแกลลอน) Accord Hybrid ยังคงเป็นตัวเลือกที่ประหยัดน้ำมันสำหรับรถยนต์ขนาดกลาง
ขุมพลังและการขับขี่
Accord ปี 2024 ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวม 204 แรงม้า แรงบิด 335 นิวตันเมตร ระบบเกียร์อัตโนมัติแปรผันต่อเนื่อง (CVT) พร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหน้า มอบการขับขี่ที่นุ่มนวล ตอบสนองฉับไว ช่วงล่างที่สามารถดูดซับแรงกระแทกได้อย่างยอดเยี่ยม และพวงมาลัยที่ตอบสนองได้ดี ช่วยให้การเดินทางเป็นไปอย่างสบายและปลอดภัย
ข้อดี:
ช่วงล่างดี ขับขี่นุ่มนวล
อัตราเร่งดี
เทคโนโลยีทันสมัย ใช้งานง่าย
ห้องโดยสารกว้างขวาง นั่งสบาย
ข้อสังเกต:
ราคาสูงกว่ารถยนต์ในคลาสเดียวกัน
Honda Civic Hybrid: ประสิทธิภาพที่ลงตัวในราคาสมเหตุสมผล
Honda Civic Hybrid ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับสามในรายชื่อรถยนต์ไฮบริดที่ดีที่สุดปี 2024 ด้วยคะแนนรวม 9.1/10 และคะแนนจากนักวิจารณ์ 9.2/10 ได้รับคำชมเชยในด้านคุณสมบัติ ความแข็งแกร่ง รูปลักษณ์ที่น่าดึงดูด และที่สำคัญคือประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงที่น่าประทับใจ โดยมีอัตราการสิ้นเปลืองเฉลี่ย 21.2 กิโลเมตรต่อลิตร (50 ไมล์ต่อแกลลอน) ซึ่งถือว่าประหยัดน้ำมันมากสำหรับรถยนต์ประเภทไฮบริด
ขุมพลังและการขับขี่
Civic Hybrid ปี 2024 ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวม 200 แรงม้า แรงบิด 315 นิวตันเมตร ระบบเกียร์อัตโนมัติแปรผันต่อเนื่องแบบอิเล็กทรอนิกส์ (eCVT) ช่วยให้การออกตัวและอัตราเร่งทำได้อย่างน่าประทับใจ การควบคุมพวงมาลัยทำได้ดีแม้ใช้ความเร็วสูง และระบบเบรกที่สามารถสร้างพลังงานกลับคืนได้ 4 ระดับ ช่วยเพิ่มทางเลือกในการปรับแต่งการตอบสนอง
ข้อดี:
ระบบส่งกำลังทำงานรวดเร็ว
อัตราเร่งนุ่มนวลและเสถียร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงยอดเยี่ยม
ภายในสวยงามสะดวกสบาย
ข้อสังเกต:
ราคาเริ่มต้นสูงกว่าคู่แข่งบางรุ่น
Honda CR-V Hybrid: SUV อเนกประสงค์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
สำหรับกลุ่มรถยนต์ Hybrid SUV Honda CR-V Hybrid ได้รับการจัดอันดับให้เป็นที่ 3 ในกลุ่มนี้ โดยมีคะแนนรวม 8.8/10 ได้รับเสียงตอบรับในด้านความอเนกประสงค์ ประสิทธิภาพการทำงานที่ยอดเยี่ยม ความสะดวกสบาย และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 18.28 กิโลเมตรต่อลิตร (43 ไมล์ต่อแกลลอน)
ขุมพลังและการขับขี่
CR-V Hybrid ปี 2024 มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวม 204 แรงม้า แรงบิด 335 นิวตันเมตร การส่งกำลังที่ราบรื่นมอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าพึงพอใจทั้งในเมืองและนอกเมือง ระบบกันสะเทือนสามารถดูดซับแรงกระแทกจากพื้นผิวถนนที่ขรุขระได้ดี ระบบเบรกตอบสนองได้ดี
ข้อดี:
การควบคุมรถที่แม่นยำ
ห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย
ประหยัดน้ำมันดี
พื้นที่เก็บสัมภาระกว้างขวาง
ข้อสังเกต:
ระบบส่งกำลังมีเสียงดังเมื่อขับด้วยความเร็วสูง
Toyota Corolla Cross Hybrid: ความคุ้มค่าในรถครอสโอเวอร์ยอดนิยม
Toyota Corolla Cross Hybrid ติดอันดับที่ 4 ในกลุ่มรถยนต์ไฮบริดที่ดีที่สุดปี 2024 ด้วยคะแนนรวม 8.6/10 ได้รับการยอมรับในด้านขนาดที่เหมาะสม ใช้งานได้หลากหลาย และขับขี่ในชีวิตประจำวันได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ว่าสมรรถนะไฮบริดอาจจะไม่หวือหวามากนัก แต่ก็ยังคงประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามแบบฉบับของ Toyota ด้วยอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 19 กิโลเมตรต่อลิตร (45 ไมล์ต่อแกลลอน)
ขุมพลังและการขับขี่
Corolla Cross Hybrid ปี 2024 ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวม 196 แรงม้า ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และเกียร์อัตโนมัติแปรผันต่อเนื่อง (CVT) มอบประสิทธิภาพการขับขี่ที่สบายและยอดเยี่ยม โครงสร้างตัวถังที่มั่นคงช่วยให้การเข้าโค้งเป็นไปอย่างราบรื่น
ข้อดี:
ราคาจำหน่ายเริ่มต้นเหมาะสม
ฟังก์ชันการใช้งานได้มาตรฐาน
ประหยัดน้ำมัน
ข้อสังเกต:
ที่นั่งผู้โดยสารตอนหลังค่อนข้างแคบ
วัสดุภายในห้องโดยสารคุณภาพปานกลาง
Ford Escape Hybrid: ตัวเลือกที่น่าสนใจในตลาดอเมริกา
Ford Escape Hybrid ปี 2024 ซึ่งมีจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา ได้รับคะแนนรวม 8.4/10 ในการจัดอันดับรถยนต์ไฮบริดที่ดีที่สุด ได้รับคำชมด้านดีไซน์ที่หรูหรา ประหยัดน้ำมัน และฟังก์ชันการใช้งานที่น่าสนใจ ด้วยอัตราการสิ้นเปลืองเฉลี่ย 17.8 กิโลเมตรต่อลิตร (42 ไมล์ต่อแกลลอน)
ขุมพลังและการขับขี่
Escape Hybrid ปี 2024 ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.5 ลิตร ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนและมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวม 192 แรงม้า พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และเกียร์อัตโนมัติแปรผันต่อเนื่อง (CVT) มอบการตอบสนองของพวงมาลัยที่ยอดเยี่ยม และสามารถลากจูงน้ำหนักได้ถึง 1,500 ปอนด์
ข้อดี:
ห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย
ประหยัดน้ำมัน
ฟังก์ชันการใช้งานได้มาตรฐาน
การควบคุมรถสมดุลและเสถียร
ข้อสังเกต:
สมรรถนะการขับขี่ไม่เร้าใจเท่าที่ควร
วิวัฒนาการของ Toyota Corolla: จากรถยนต์ครอบครัว สู่ตำนานแห่งอุตสาหกรรมยานยนต์
Toyota Corolla ชื่อนี้ไม่ได้เป็นเพียงชื่อรถยนต์ แต่คือสัญลักษณ์แห่งความทนทาน ความน่าเชื่อถือ และการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลกตลอดระยะเวลาเกือบ 60 ปี นับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกในปี 1966 ในฐานะรถยนต์ขนาดเล็กที่ผลิตในญี่ปุ่น ล่าสุด Toyota Corolla Cross ได้กลายเป็นรถครอสโอเวอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศไทย
เจเนอเรชันแรก (KE10, 1966): จุดเริ่มต้นแห่งความเรียบง่าย
Corolla เจเนอเรชันแรก ผลิตที่โรงงาน Takaoka เมืองไอจิ ประเทศญี่ปุ่น ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1.1 ลิตร เน้นความเรียบง่ายและการเข้าถึงง่ายสำหรับผู้บริโภคในยุคนั้น
เจเนอเรชันที่ 2 (E20, 1970): ก้าวแรกสู่เวทีโลก
Corolla รุ่นที่ 2 มีการปรับปรุงตัวถังให้โค้งมนมากขึ้น และเพิ่มสมรรถนะเครื่องยนต์ ที่สำคัญคือเป็นรุ่นแรกที่ ประกอบในประเทศไทย และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Corolla ได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤตน้ำมันปี 1973 ความประหยัดและความทนทานทำให้ Corolla ก้าวขึ้นเป็นรถยนต์ที่ขายดีเป็นอันดับ 2 ของโลก
เจเนอเรชันที่ 3 (E30-E60, 1974) และ 4 (E70, 1979): การเติบโตและปรับภาพลักษณ์
เจเนอเรชันที่ 3 มีการออกแบบที่โค้งมนยิ่งขึ้น และเพิ่มตัวเลือกตัวถังหลากหลาย ขณะที่เจเนอเรชันที่ 4 ได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ให้มีความเหลี่ยมคม สไตล์รถทรงกล่องยุค 80s พร้อมเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจากล้อหลังเป็นล้อหน้าในเจเนอเรชันถัดไป
เจเนอเรชันที่ 5 (E80, 1983): การเปลี่ยนสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า
Corolla รุ่นที่ 5 คือการเปลี่ยนครั้งสำคัญสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ซึ่งช่วยเพิ่มพื้นที่ห้องโดยสาร แม้จะยังคงมีรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังอย่าง Levin และ Sprinter Trueno ซึ่งเป็นที่รู้จักจากภาพยนตร์ Initial D
เจเนอเรชันที่ 6 (E90, 1987): “รุ่นโดเรมอน” ที่คุ้นเคย
ในประเทศไทย เจเนอเรชันนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ “รุ่นโดเรมอน” ด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ พร้อมเทคโนโลยีที่อัดแน่น เช่น เรือนไมล์ดิจิทัล และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
เจเนอเรชันที่ 7 (E100, 1991) และ 8 (E110, 1995): ความทนทานและความคุ้มค่า
เจเนอเรชันที่ 7 เปิดตัวด้วยโลโก้ 3 ห่วงของ Toyota และการออกแบบที่โค้งมนขึ้น เน้นความทนทาน ในขณะที่เจเนอเรชันที่ 8 ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงฟองสบู่แตก ถูกปรับลดออปชันลง แต่ยังคงความทนทานและกลายเป็นรถที่นิยมใช้เป็นแท็กซี่ในไทย
เจเนอเรชันที่ 9 (E120-E130, 2000) และ 10 (E140-E150, 2006): Corolla Altis สู่ตลาดโลก
Corolla Altis ได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดโลก ด้วยเทคโนโลยีและออปชันที่ทันสมัย ในประเทศไทย รุ่น “หน้าหมู” กลายเป็นที่จดจำ
เจเนอเรชันที่ 11 (E160-E180, 2011) และ 12 (E210, 2018-ปัจจุบัน): ความทันสมัยและแพลตฟอร์ม TNGA
เจเนอเรชันที่ 11 มีการปรับดีไซน์ให้เฉี่ยวคมขึ้น และเปิดตัวรุ่นไฮบริด ในขณะที่เจเนอเรชันที่ 12 ซึ่งเป็นโฉมปัจจุบัน สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม Toyota New Global Architecture (TNGA) ที่ทันสมัย
Corolla Cross: การต่อยอดความสำเร็จสู่ตลาด SUV
ปัจจุบัน Toyota Corolla Cross ได้กลายเป็นรถครอสโอเวอร์ขนาดกลางที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศไทย ติดอันดับ 3 ของตลาดรถครอสโอเวอร์ ด้วยยอดขายที่แข็งแกร่ง สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของ Toyota ในการปรับตัวและตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างต่อเนื่อง
อนาคตแห่งยานยนต์: การเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และแนวโน้มตลาดโลก
แม้จะมีกระแสข่าวเกี่ยวกับการชะลอตัวของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั่วโลก แต่ข้อมูลล่าสุดจาก International Energy Agency (IEA) กลับเผยภาพที่แตกต่างออกไป โดยคาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจะ ทะลุ 17 ล้านคันในปี 2024 คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 5 ของรถยนต์ที่จำหน่ายทั้งหมด ซึ่งหมายถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
แนวโน้มการเติบโตของ EV ทั่วโลก
IEA ตั้งเป้าหมายให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกคิดเป็น 50% ของยอดขายทั้งหมดภายในปี 2035 เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานน้ำมัน การที่ราคารถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มใกล้เคียงกับรถยนต์สันดาป ประกอบกับค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ถูกกว่าน้ำมัน ทำให้ EV เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ตลาด EV ทั่วโลก:
จีน: ยังคงเป็นผู้นำตลาด EV โดยคาดว่าจะทำยอดขายได้ 10 ล้านคันในปี 2024 คิดเป็น 45% ของยอดขายรถทั้งหมด
สหรัฐอเมริกา: คาดการณ์ยอดขาย EV เติบโต 20% คิดเป็น 11% ของยอดขายรถใหม่
ยุโรป: คาดการณ์ยอดขาย EV เติบโต 10% คิดเป็น 25% ของยอดขายทั้งหมด
นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ:
นโยบายจากรัฐบาลต่างๆ เช่น China’s 14th Five-year Plan, Inflation Reduction Act ของสหรัฐฯ และนโยบายควบคุมมลพิษของยุโรป ล้วนมีส่วนสำคัญในการผลักดันการลงทุนและการผลิต EV ให้เติบโตอย่างยั่งยืน
การลงทุนในอุตสาหกรรม EV:
ผู้ผลิตรถยนต์กว่า 20 รายทั่วโลก ได้วางแผนการลงทุนใน EV และการผลิตแบตเตอรี่ รวมกว่า 500,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงปี 2022-2023
ต้นทุน EV ที่ลดลง:
เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและการขยายกำลังการผลิตทั่วโลก ทำให้ต้นทุนการผลิต EV ลดลงอย่างต่อเนื่อง ในประเทศจีน ราคา EV บางรุ่นถูกกว่ารถสันดาป และคาดว่าต้นทุนจะมีความเท่าเทียมกันทั่วโลกภายในปี 2030
ข้อได้เปรียบของ EV:
ค่าใช้จ่ายในการใช้งาน: ค่าไฟฟ้าถูกกว่าน้ำมัน และราคาไฟฟ้าค่อนข้างคงที่
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: ลดมลพิษทางอากาศ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญต่อสุขภาพของประชาชน
การรีไซเคิลแบตเตอรี่และโครงสร้างพื้นฐาน:
ยอดการรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีการติดตั้งสถานีชาร์จเพิ่มขึ้น 40% ในปี 2023
ตลาด EV ในสหรัฐอเมริกา:
แม้จะมีข่าวความผันผวน แต่ยอดขาย EV ในสหรัฐฯ ยังคงเติบโต โดย Ford มีรายงานยอดขาย EV เพิ่มขึ้นสองเท่าในไตรมาสแรกของปี 2024
นโยบายการเงินและการลงทุน:
การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายส่งผลต่อการลงทุนในอุตสาหกรรม EV โดยบริษัทต่างๆ ได้ประกาศการลงทุนจำนวนมากในโรงงานผลิตรถยนต์และแบตเตอรี่
โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ:
สหรัฐฯ มีสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าความเร็วสูงกว่า 8,200 แห่ง และมีแผนขยายให้ได้ 500,000 แห่งภายในปี 2030
ประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม:
EV ช่วยลดค่าใช้จ่ายของผู้บริโภค สร้างงานใหม่ และลดมลพิษทางอากาศได้อย่างมีนัยสำคัญ
ตลาด EV ในประเทศไทย:
ไทยมียอดขาย EV เติบโตถึง 671% จากปัจจัยหลายประการ เช่น ราคาน้ำมันที่สูง ค่าพลังงาน EV ที่ถูกกว่า 200% เงินอุดหนุนจากภาครัฐ ราคา EV ที่ใกล้เคียงรถสันดาป และรุ่นรถยนต์ที่หลากหลาย
รุ่น EV ที่ได้รับความนิยมในไทย:
BYD ATTO 3: รถยนต์ไฟฟ้า B-SUV ที่ขายดีที่สุด
NETA V: รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเริ่มต้นที่ขายดีที่สุด
BYD Dolphin: รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่มาแรง
อนาคตของ EV ในไทย:
ปี 2567 จะเป็นปีที่แบรนด์ EV เดิมเริ่มสายการผลิตในประเทศไทย และมีรุ่นใหม่ๆ จากหลายแบรนด์จ่อเปิดตัว
Tesla และการแข่งขันในตลาด EV:
Tesla กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากแบรนด์จีน โดยเฉพาะ BYD และกำลังเร่งการผลิต Tesla ‘Redwood’ รถ Crossover ขนาดกลาง ในราคาที่เข้าถึงง่าย เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาด
BMW M: 50 ปีแห่งตำนานสมรรถนะ และก้าวสู่ยุคพลังงานใหม่
BMW M ฉลองครบรอบ 50 ปีในปี 2022 ด้วยการเปิดตัว BMW XM รถ SUV ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของตระกูล M เน้นการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์และเจาะกลุ่มตลาดที่ชอบความแปลกใหม่ พร้อมเปิดตัวรุ่นพิเศษมากมาย
ยอดขายที่แข็งแกร่ง:
ในปี 2022 BMW M ทำยอดขายรวม 177,257 คัน เติบโต 8.4% เมื่อเทียบกับปี 2021 โดยมีตลาดใหญ่อยู่ที่อเมริกาเหนือ เยอรมนี และสหราชอาณาจักร
i4 M50: รถยนต์ที่จำหน่ายได้มากที่สุด
แม้จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขยอดขายที่ชัดเจน แต่ i4 M50 ได้รับการยืนยันว่าเป็นรถยนต์ที่จำหน่ายได้มากที่สุด แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของขุมพลังไฟฟ้าในรถยนต์สมรรถนะสูงตระกูล M
XM: รถยนต์ M รุ่นที่ 2 ที่สร้างขึ้นมาเพื่อ M โดยเฉพาะ
XM คือรถยนต์ M รุ่นที่ 2 ต่อจาก M1 ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตระกูล M โดยเฉพาะ พร้อมขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดที่ให้กำลังกว่า 653 แรงม้า บ่งบอกถึงทิศทางของ BMW M ที่จะก้าวสู่ยุคพลังงานไฟฟ้าอย่างยั่งยืน
แผนในอนาคต:
BMW M เตรียมเปิดตัว i7 M70 และ iX M60 พร้อมพัฒนาขุมพลังไฟฟ้า M xDrive all-wheel drive system เวอร์ชั่นใหม่ในอนาคต
BMW 320d M Sport 2023: การปรับโฉมที่ลงตัวระหว่างความสปอร์ตและความสะดวกสบาย
BMW 320d M Sport 2023 ได้รับการปรับโฉม (LCI) ให้มีความทันสมัยและตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการผสมผสานระหว่างสมรรถนะอันเป็นเอกลักษณ์ของ BMW M Performance และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย
ราคาและการรับประกัน:
BMW 320d M Sport: 2,699,000 บาท
BMW 330e M Sport: 2,949,000 บาท
มาพร้อมแพ็คเกจ BSI Standard ฟรีค่าบริการบำรุงรักษา 3 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร และการรับประกัน 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
การออกแบบภายนอก:
ไฟหน้าได้รับการออกแบบใหม่ให้เรียบเนียนไปกับตัวถัง พร้อมเส้นสายที่ทำให้ตัวถังดูมีความกว้างขึ้น ล้ออัลลอย M Double-spoke ขนาด 18 นิ้ว สี Bicolour และสีใหม่ Brooklyn Grey Metallic เพิ่มความโดดเด่น
การออกแบบภายใน:
โดดเด่นด้วยหน้าจอ Curved Display ขนาดใหญ่ เชื่อมต่อระหว่างมาตรวัด Full Digital 12.3 นิ้ว และหน้าจอกลาง 14.9 นิ้ว พร้อมระบบปฏิบัติการ iDrive 8.0 การย้ายปุ่มควบคุมต่างๆ ไปไว้บนหน้าจอ รวมถึงการเปลี่ยนจากหัวเกียร์แบบดั้งเดิมเป็นปุ่มเล็กๆ ทำให้ภายในดูเรียบหรูและทันสมัยยิ่งขึ้น
สมรรถนะและการขับขี่:
เครื่องยนต์ 320d: ดีเซล 4 สูบ BMW TwinPower Turbo ความจุ 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Sport Steptronic ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 6.9 วินาที และอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 22.7 กม./ลิตร
ช่วงล่าง Adaptive M: สามารถปรับเปลี่ยนตามโหมดการขับขี่ เพิ่มความเกาะถนนในโหมด Sport และความนุ่มนวลในโหมด Comfort
ระบบช่วยในการขับขี่: ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชัน Stop & Go ช่วยให้การขับขี่ในเมืองและการเดินทางไกลสะดวกสบายยิ่งขึ้น
สรุป:
BMW 320d M Sport 2023 เป็นรถซีดานที่ยังคงความน่าสนใจ ด้วยการปรับโฉมที่ลงตัวระหว่างสมรรถนะ ความประหยัด และเทคโนโลยีที่ทันสมัย การผสมผสานช่วงล่าง Adaptive M และเครื่องยนต์ที่ยอดเยี่ยม ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในตลาดรถยนต์พรีเมียม
BMW Group ประเทศไทย: ผู้นำตลาดรถยนต์พรีเมียม 3 ปีซ้อน และก้าวสู่อนาคตแห่งยานยนต์ไฟฟ้า
BMW Group ประเทศไทย ประกาศความสำเร็จในการครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์พรีเมียม 3 ปีติดต่อกัน โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดในตลาดรถยนต์พรีเมียมสูงถึง 46.6% เพิ่มขึ้น 36.1% จากปีก่อนหน้า
ยนตรกรรมใหม่และการขยายไลน์อัพ:
BMW Group ได้เปิดตัวยนตรกรรมใหม่ถึง 8 รุ่น จาก BMW, MINI และ BMW Motorrad ครอบคลุมกลุ่ม Luxury Class, รถยนต์พรีเมียมขนาดกลาง, MINI ในอิดิชั่นพิเศษ และมอเตอร์ไซค์โรดสเตอร์ M รุ่นแรก
ความสำเร็จของกลุ่ม Luxury Class:
กลุ่มรถยนต์ Luxury Class ของ BMW เช่น ซีรีส์ 7, ซีรีส์ 8, X7 และ M8 ทำสถิติยอดขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีการเติบโตถึง 25.8%
BMW Excellence Club:
โปรแกรมเอกสิทธิ์สำหรับลูกค้ากลุ่ม Luxury Class มอบสิทธิประโยชน์มากมาย ครอบคลุมการเดินทาง การรับประทานอาหาร สุขภาพ กีฬา การเดินทางกับครอบครัว และการเดินทางระยะไกล
การเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้า (EV):
BMW Group ประเทศไทย มียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า 100% ในกลุ่มพรีเมียมสูงถึง 40.8% ด้วยยอดจดทะเบียน 535 คัน เพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่าจากปีก่อนหน้า สะท้อนความต้องการที่เพิ่มขึ้นของตลาด EV
รุ่น EV ที่โดดเด่น:
BMW i7: โมบิลิตี้พาร์ตเนอร์อย่างเป็นทางการสำหรับการประชุม APEC 2022
MINI Cooper SE: สร้างความตื่นตาตื่นใจด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์
BMW CE 04: สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่เหมาะกับการขับขี่ในเมือง
เครือข่ายสถานีชาร์จ:
BMW Group ร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อขยายเครือข่ายสถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะให้ครอบคลุม 900 หัวจ่ายทั่วประเทศ
ความพึงพอใจของลูกค้า:
BMW Group ประเทศไทย ได้รับการประเมินคะแนนความพึงพอใจของผู้บริโภค (NPS) สูงสุดในประวัติศาสตร์ ทั้งด้านยอดขายและบริการ
การขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายและศูนย์บริการ:
มีการขยายโชว์รูมและศูนย์บริการในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้น
BMW Motorrad:
ขยายการรับประกัน 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 5 ปี สำหรับลูกค้าที่รับมอบมอเตอร์ไซค์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566
พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BMW Motorrad Service Inclusive (BMSI) ที่ให้ลูกค้าเลือกซื้อได้
Ford Ranger และ Ford Everest: ยืนหยัดครองตำแหน่งยอดขายอันดับ 3 ในตลาด
Ford ประเทศไทย ประกาศความสำเร็จของ Ford Ranger และ Ford Everest ที่สามารถครองตำแหน่งรถขายดีอันดับ 3 ในเซกเมนต์ โดยมียอดขายรวม 8 เดือนแรกของปี 2566 Ranger กวาดยอดไป 17,407 คัน ครองส่วนแบ่งการตลาด 9% และ Everest ทำยอดขาย 8,420 คัน ครองส่วนแบ่งการตลาด 20%
การเติบโตสวนกระแสตลาด:
Ford ประเทศไทย มียอดขายรวม 25,838 คัน เติบโตขึ้น 11% ในขณะที่ภาพรวมของตลาดหดตัวลง 6%
ความมั่นใจในสมรรถนะและเทคโนโลยี:
คุณรัฐการ จูตะเสน กรรมการผู้จัดการ Ford ประเทศไทย กล่าวว่า “ยอดขายของ Ford ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งเป็นผลมาจากการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจในแบรนด์ Ford โดย Ford Ranger และ Ford Everest เติบโตแข็งแกร่งที่สุดในตลาดและครองตำแหน่งรถขายดีที่สุดอันดับ 3 ในเซกเมนต์ได้อย่างเหนียวแน่น”
แคมเปญกระตุ้นตลาด:
ในช่วงไตรมาส 4 Ford ประเทศไทย จัดแคมเปญ “Ford Expo โปรโมชันแรง ดุดัน ไม่เกรงใจใคร” พร้อมข้อเสนอพิเศษสำหรับรถทุกรุ่น เพื่อกระตุ้นยอดขายและสร้างกระแสการรับรู้
ข้อเสนอพิเศษ:
Ford Ranger: ดาวน์ 25%, ดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน สำหรับรุ่น XLS, Sport 4X2 AT และ Wildtrak 4X4
Ford Mustang: ดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน พร้อมแพ็คเกจ Ford Premium Care
MG Cyberster: รถสปอร์ตไฟฟ้าเปิดประทุน สไตล์ยุโรป ในราคาที่เข้าถึงได้
MG Cyberster รถสปอร์ตไฟฟ้า 100% สองประตู ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศจีน ด้วยราคาเริ่มต้นที่น่าสนใจเพียง 1.5 ล้านบาท (319,900 – 359,800 หยวน) พร้อมสเปคที่โดดเด่น
ดีไซน์และสมรรถนะ:
ขนาดตัวถัง: ยาว 4,535 x กว้าง 1,913 x สูง 1,329 มม. ระยะฐานล้อ 2,690 มม.
หลังคาเปิดประทุน: สามารถเปิด-ปิดได้ภายใน 10 วินาที ที่ความเร็วต่ำกว่า 50 กม./ชม.
อัตราเร่ง: รุ่นท็อปสามารถทำความเร็ว 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 3.2 วินาที
ระยะทางวิ่ง: 580 กม. ต่อการชาร์จเต็ม
ห้องโดยสารและเทคโนโลยี:
ภายในโดดเด่นด้วยจอโค้งที่หน้าพวงมาลัย และจอสัมผัสกลางที่ใช้ชิปรุ่นเรือธงอย่าง Qualcomm Snapdragon 8155
ราคาและการเข้าสู่ตลาดไทย:
ราคาเริ่มต้นในจีนอยู่ที่ประมาณ 1.5 – 1.7 ล้านบาท คาดว่าราคาเข้าไทยจะอยู่ที่ 1.7 – 2.3 ล้านบาท ตามรุ่นย่อย MG ได้รับคำสั่งซื้อกว่า 1,000 คันภายใน 50 วันหลังเปิดจองในจีน
BMW Xpo 2022: ฉลอง 50 ปี BMW M และเปิดตัวยนตรกรรมใหม่
BMW Xpo 2022 จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของ BMW M พร้อมเปิดตัวรถยนต์และมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ล่าสุด ณ เซ็นทรัลเวิลด์
ไฮไลท์สำคัญ:
BMW M4 CSL ใหม่: รุ่นพิเศษที่มีเพียง 1,000 คันทั่วโลก และ 4 คันในประเทศไทย
BMW iX xDrive40: รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่ขยายไลน์อัพ EV
BMW M240i xDrive: ยนตรกรรมสมรรถนะสูง
BMW 220i Gran Coupé (M Performance Edition): รุ่นพิเศษสำหรับแฟนๆ BMW Series 2
BMW Motorrad:
เปิดตัวสีใหม่สำหรับรุ่น R18 และ R18 Classic พร้อม R 1250 GS Adventure ในเฉดสีใหม่
BMW M Performance Parts:
จัดแสดงกล้องบันทึกเหตุการณ์ BMW Advance Car Eye 3.0 รุ่นใหม่ และชุดแต่ง BMW M Performance Parts สำหรับรุ่นต่างๆ
ข้อเสนอพิเศษภายในงาน:
ของขวัญสุดเอ็กซ์คลูซีฟเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี BMW M
หูฟังไร้สาย Bowers & Wilkins สำหรับการจอง BMW X3, X4, X5, X6, X7
นาฬิกาสมาร์ทวอทช์ Garmin Venu 2S สำหรับการจอง BMW X1
ข้อเสนอ BMW Protect (ประกันภัยชั้นหนึ่ง) สูงสุด 2 ปีเต็ม สำหรับรถยนต์ BMW บางรุ่น
เป้าหมายสู่สังคมคาร์บอนต่ำ:
BMW Group ประเทศไทย มุ่งมั่นนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดอย่างต่อเนื่อง พร้อมขยายเครือข่ายสถานีชาร์จสาธารณะให้ครอบคลุม 295 แห่งทั่วประเทศ
ก้าวสู่ยุคแห่งพลังงานสะอาด: การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์
ในยุคที่เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การเปลี่ยนผ่านสู่ ยานยนต์พลังงานสะอาด (NEV) ไม่ใช่เพียงแค่กระแส แต่คืออนาคตที่กำลังจะมาถึง
Chery Automobile และแบรนด์ในเครืออย่าง OMODA & JAECOO กำลังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการปรับตัวและนำเสนอนวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการของตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นสมรรถนะที่เหนือกว่า หรือเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ในขณะที่แบรนด์ดั้งเดิมอย่าง Toyota และ Honda ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำด้วยการพัฒนารถยนต์ไฮบริดที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง
BMW Group กำลังผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานไฟฟ้าอย่างจริงจัง ทั้งในกลุ่ม M Performance และในทุกเซกเมนต์ พร้อมกับขยายเครือข่ายสถานีชาร์จเพื่อรองรับอนาคต
Ford ยังคงเดินหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งอย่าง Ranger และ Everest ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย
แม้กระทั่ง MG ก็กำลังสร้างความน่าสนใจด้วยการเปิดตัวรถสปอร์ตไฟฟ้าอย่าง Cyberster ที่มาพร้อมดีไซน์ล้ำสมัยในราคาที่เข้าถึงได้
ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ใด อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังมุ่งหน้าสู่ทิศทางที่ให้ความสำคัญกับ ประสิทธิภาพ ความยั่งยืน และประสบการณ์การขับขี่ ที่เหนือกว่า
คุณพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่อนาคตแห่งยานยนต์ไปพร้อมกับเราแล้วหรือยัง? สำรวจตัวเลือกที่หลากหลาย และค้นหารถยนต์ที่ใช่สำหรับคุณ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางสู่โลกที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม.

