• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N3112044 ชายกล วเม กว าท part2

admin79 by admin79
December 29, 2025
in Uncategorized
0
N3112044 ชายกล วเม กว าท part2

ฮุนได ไอ10 ใหม่: รถซิตี้คาร์น้องใหม่ที่เติมเต็มความต้องการให้ทุกไลฟ์สไตล์

ในตลาดรถยนต์ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันอันดุเดือด ค่ายรถยนต์จากเกาหลีใต้อย่างฮุนได (Hyundai) ได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นถึงศักยภาพที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากความสำเร็จในรถยนต์ซีดานขนาดกลางที่ได้รับความนิยม ฮุนไดไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนา รถยนต์ซิตี้คาร์ รุ่นใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค และหนึ่งในนั้นคือ ฮุนได ไอ10 ใหม่ (Hyundai i10 New) ที่กำลังสร้างความฮือฮาไปทั่วโลก

แม้ว่า ฮุนได ไอ10 ใหม่ จะยังไม่ได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย แต่รถยนต์รุ่นนี้ก็ได้รับความสนใจอย่างมากในตลาดโลก ด้วยการปรับปรุงดีไซน์และขนาดตัวถังให้ใหญ่ขึ้น ทำให้ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดียิ่งขึ้น ฮุนได ไอ10 ราคา ที่คาดว่าจะเปิดตัวในบางตลาดนั้นถือเป็นจุดดึงดูดสำคัญสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ขนาดเล็กที่คุ้มค่า

ฮุนได ไอ10 โฉมใหม่: การยกระดับมิติและความสะดวกสบาย

ข่าวคราวเกี่ยวกับการพัฒนา ฮุนได ไอ10 เวอร์ชั่นที่ใหญ่ขึ้น มีมาสักระยะหนึ่งแล้ว และในที่สุด การรอคอยก็สิ้นสุดลงเมื่อฮุนไดประกาศเปิดตัว ฮุนได ไอ10 ใหม่ ในตลาดอังกฤษ โดยมีราคาเริ่มต้นที่น่าประทับใจเพียง 8,345 ปอนด์ หรือประมาณ 417,250 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลานั้น) ซึ่งถือเป็นราคาที่เข้าถึงได้สำหรับรถยนต์ซิตี้คาร์

สิ่งที่น่าสนใจคือ การปรับขนาดตัวถังของ ฮุนได ไอ10 ใหม่ โดยเฉพาะรุ่นที่จะวางจำหน่ายในตลาดอังกฤษ มีการเพิ่มความกว้างขึ้น 65 มิลลิเมตร และความยาวเพิ่มขึ้น 80 มิลลิเมตร ในขณะที่ความสูงลดลง 50 มิลลิเมตร การปรับสัดส่วนเช่นนี้ส่งผลให้รถดูสปอร์ตและปราดเปรียวมากขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งความคล่องตัวในการขับขี่ในเมือง รุ่นเริ่มต้นมาพร้อมล้อขนาด 14 นิ้ว ระบบเซ็นทรัลล็อค และกระจกไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับรถยนต์ในกลุ่มนี้

ภายในที่กว้างขวาง: ความสะดวกสบายที่เหนือกว่า

แม้ว่าตัวรถจะถูกปรับให้เตี้ยลง แต่ ฮุนได ไอ10 ใหม่ กลับสามารถเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้ถึง 10% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า โดยมีปริมาตรมากถึง 252 ลิตร ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น การขนสัมภาระในชีวิตประจำวัน หรือการเดินทางระยะสั้น การออกแบบภายในเน้นความเรียบง่ายแต่ใช้งานได้จริง พร้อมการจัดวางที่เหมาะสม ทำให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรู้สึกผ่อนคลาย

ขุมพลังทางเลือก: ประสิทธิภาพที่สมดุล

ฮุนไดนำเสนอ ฮุนได ไอ10 ใหม่ ด้วยเครื่องยนต์ 2 ทางเลือก เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน:

เครื่องยนต์ 3 สูบ ขนาด 1.0 ลิตร: ให้กำลังสูงสุด 65 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 14.9 วินาที และความเร็วสูงสุด 155 กม./ชม. เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความประหยัดน้ำมันสูงสุดและเน้นการขับขี่ในเมืองเป็นหลัก
เครื่องยนต์ 4 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร: ให้กำลังสูงสุด 86 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 12.3 วินาที และความเร็วสูงสุด 171 กม./ชม. รุ่นนี้จะให้สมรรถนะที่จัดจ้านขึ้น เหมาะสำหรับการขับขี่ที่ต้องการอัตราเร่งแซงที่ดีขึ้น หรือการเดินทางออกนอกเมือง

ทั้งสองเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับระบบเกียร์ที่ถูกปรับจูนมาอย่างดี เพื่อให้การขับขี่ราบรื่นและประหยัดน้ำมัน

รุ่นย่อยและออปชัน: ความคุ้มค่าที่มาพร้อมเทคโนโลยี

ฮุนได ไอ10 ใหม่ มีการวางแผนจำหน่ายทั้งหมด 3 รุ่นย่อย เพื่อตอบสนองงบประมาณและระดับความต้องการที่แตกต่างกัน:

รุ่น S: เป็นรุ่นเริ่มต้นที่มาพร้อมออปชันพื้นฐานที่จำเป็น
รุ่น SE: เพิ่มความสะดวกสบายด้วยกุญแจรีโมท และระบบละลายฝ้าที่กระจกมองข้าง
รุ่น Premium Edition: เป็นรุ่นท็อปสุดที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีและออปชันที่ทันสมัย เช่น การเชื่อมต่อ Bluetooth พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง, ไฟ Daytime LED, และระบบสัญญาณเบรกฉุกเฉิน (ESS)

ฮุนได ไอ10 ใหม่ คาดว่าจะเริ่มส่งมอบให้กับลูกค้าในเดือนมกราคม (ปีถัดไปนับจากปีที่เปิดตัว) เฉพาะในตลาดอังกฤษ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์การเจาะตลาดที่ชัดเจนของฮุนได

แนวโน้มตลาดรถยนต์ B-Segment: การแข่งขันที่เข้มข้น

ในช่วงหลัง ๆ มานี้ ตลาดรถยนต์ทั่วโลกมีแนวโน้มที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการเติบโตของรถยนต์ประเภท SUV ที่มีหลากหลายขนาด ตั้งแต่ B-SUV ไปจนถึง Full-Size SUV อย่างไรก็ตาม รถยนต์ B-Segment หรือที่เรียกกันติดปากว่า รถซิตี้คาร์ ยังคงเป็นกลุ่มรถยนต์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งและครองส่วนแบ่งการตลาดจำนวนมหาศาล

ในตลาดประเทศไทย รถยนต์กลุ่ม B-Segment ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงคือ Honda City ซึ่งมียอดขายที่แข็งแกร่งมาอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งการเปิดตัว Toyota Vios โฉมใหม่ ก็ยังไม่สามารถสั่นคลอนตำแหน่งของ Honda City ได้ทั้งหมด ซึ่งอาจเป็นผลมาจากกลยุทธ์การตลาดของ Honda ที่ต้องการระบายรถรุ่นเดิมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการมาของ Honda City 2014 โฉมใหม่ล่าสุด

Honda City 2014: เจเนอเรชั่นที่ 4 กับแนวคิด “Be Your Best”

Honda City 2014 มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “Be Your Best” ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก โฆษณาของ Honda มักจะสร้างแรงบันดาลใจและถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม จนทำให้ผู้บริโภครู้สึกคล้อยตามและอยากสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ด้วยตนเอง

การออกแบบภายนอก: ความลงตัวที่ผสมผสานความสปอร์ตและความหรูหรา

เมื่อมองเผิน ๆ 2014 Honda City โฉมใหม่อาจดูไม่แตกต่างจากรุ่นเดิมมากนัก แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียด จะพบว่ามีการปรับปรุงที่ทำให้รถดูมีความทันสมัยและมีมิติมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณไฟท้ายที่รับกับแนวเส้นโป่งหลัง ทำให้รถดูคมชัดและมีมิติที่ชัดเจนขึ้น โดยไม่ดูโป่งจนเกินไป ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ลายใหม่ เพิ่มความโฉบเฉี่ยวและแฝงไว้ด้วยความหรูหรา โดยเฉพาะในรุ่น SV และ SV+ ที่มาพร้อมยาง Bridgestone Turanza ขนาด 185/55R16

มิติของตัวถังมีการปรับปรุงให้ยาวขึ้น 45 มิลลิเมตร และฐานล้อยาวขึ้น 50 มิลลิเมตร ในขณะที่ความสูงเพิ่มขึ้น 5 มิลลิเมตร ส่วนความกว้างเท่าเดิมที่ 1,695 มิลลิเมตร การปรับปรุงมิติเช่นนี้ส่งผลโดยตรงต่อพื้นที่ภายในห้องโดยสารตอนหลังและห้องเก็บสัมภาระที่มีความจุเพิ่มขึ้นเป็น 536 ลิตร

ภายในห้องโดยสาร: ความกว้างขวาง เทคโนโลยี และความสะดวกสบาย

การก้าวเข้าสู่ภายในห้องโดยสารของ 2014 Honda City จะพบกับการออกแบบที่เน้นความกว้างขวางและทันสมัย วัสดุที่ใช้ในการตกแต่งให้ความรู้สึกที่ดี แม้จะเป็นเบาะผ้า แต่ก็ยังคงความสบายในการใช้งาน

พื้นที่ห้องโดยสารตอนหลังได้รับการปรับปรุงให้มีความสบายมากขึ้น โดยเพิ่มความกว้างของพื้นที่หัวไหล่ 40 มิลลิเมตร และพื้นที่วางขาเพิ่มอีก 60 มิลลิเมตร ทำให้ผู้โดยสารตอนหลังรู้สึกผ่อนคลายในการเดินทางระยะยาว เบาะตอนหลังสามารถพับได้แบบ 60:40 ในรุ่น SV และ SV+ เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระเมื่อต้องการขนของชิ้นใหญ่

จุดเด่นสำคัญของ Honda City 2014 คือแผงคอนโซลหน้าที่ดูทันสมัย มีหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้วเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางความบันเทิงและการเชื่อมต่อ สามารถทำหน้าที่เป็น Wi-Fi Hotspot และรองรับการเชื่อมต่อ Siri Eyes Free เพื่อการสั่งงานด้วยเสียงอย่างปลอดภัย หน้าจอสามารถเชื่อมต่อกับกล้องมองหลังเมื่อเข้าเกียร์ R เพื่อช่วยในการถอยจอด ระบบเครื่องเสียงคุณภาพดี ให้เสียงผ่านลำโพง 8 จุด รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth เป็นมาตรฐาน รวมถึงช่อง USB, AUX in และ HDMI แต่จะไม่มี CD Slot และระบบนำทางมาให้ โดย Honda แนะนำให้ใช้ Honda Link Application สำหรับการใช้งานเพิ่มเติม

สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง มีช่อง Power Outlet สำหรับชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 2 ช่อง ซึ่งเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แสดงถึงความใส่ใจของผู้ผลิต

ระบบการล็อกและปลดล็อกประตูมีการออกแบบที่อาจทำให้สับสนเล็กน้อย กล่าวคือ หากล็อกด้วยรีโมท ต้องปลดล็อกด้วยรีโมท แต่หากล็อกด้วยปุ่มที่มือจับประตู เพียงแค่นำมือไปจับที่ประตู ระบบเซ็นเซอร์ก็จะปลดล็อกให้โดยอัตโนมัติ

ขุมพลัง 1.5 ลิตร i-VTEC: การปรับปรุงเพื่อความลงตัว

2014 Honda City ใช้เครื่องยนต์รหัสเดิมคือ 4 สูบ SOHC i-VTEC ขนาด 1,497 ซีซี แต่มีการปรับจูนใหม่เพื่อให้ทำงานร่วมกับเกียร์ CVT รุ่นใหม่ได้อย่างลงตัว และรองรับการใช้เชื้อเพลิง E85 เครื่องยนต์ให้กำลังสูงสุด 117 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 146 นิวตัน-เมตร ที่ 4,700 รอบต่อนาที แม้กำลังม้าจะลดลงเล็กน้อยจากรุ่นก่อนหน้า แต่กำลังถูกเรียกออกมาได้เร็วกว่าเดิม 600 รอบต่อนาที และแรงบิดมาเร็วขึ้น 100 รอบต่อนาที

อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันตามที่เคลมไว้คือ 17.7 กม./ลิตร (น้ำมันเบนซิน) และปล่อย CO2 ที่ 133 กรัม/กม.

เมื่อขับขี่ในโหมด ECON เครื่องยนต์จะปรับการตอบสนองให้ช้าลง เพื่อประสานงานกับระบบ Eco Coaching ที่ช่วยแนะนำการขับขี่แบบประหยัดน้ำมัน โดยสังเกตได้จากแถบสีบนมาตรวัด

เมื่อทดสอบโดยเน้นสมรรถนะ พบว่าเครื่องยนต์ยังคงมีกำลังที่ดี ไม่ด้อยกว่ารถ B-Car ในพิกัดเดียวกัน การใช้เกียร์ CVT ทำให้ความรู้สึกดิบ ๆ ลดลง แต่การตอบสนองจากคันเร่งมีความแม่นยำมากขึ้น แม้แรงม้าจะลดลง แต่ก็ไม่ส่งผลให้สมรรถนะในการออกตัวหรือเร่งแซงด้อยลงอย่างชัดเจน

ตัวเลขสมรรถนะที่วัดได้:

0-100 กม./ชม.: 12.054 วินาที (โหมด D) / 11.731 วินาที (โหมด S)
¼ mile: 19.257 วินาที (โหมด D) / 18.687 วินาที (โหมด S)
Top Speed: ประมาณ 197 กม./ชม. (คาดว่าหากมีระยะทางยาวกว่านี้ อาจทำความเร็วได้ถึง 200 กม./ชม.)

โดยรวมแล้ว สมรรถนะของเครื่องยนต์นี้ถือว่าปรับจูนมาได้น่าพอใจ ในช่วงรอบต้นให้การตอบสนองตามคาด แต่ช่วงปลายยังคงไหลได้ดีเกินความคาดหมาย ด้วยการปรับจูนที่เข้ากับเกียร์ใหม่ ทำให้การขับขี่ดูลงตัวกว่าเดิม

อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันในการใช้งานจริง

จากการทดสอบเดินทางไกลเฉลี่ยที่ความเร็ว 100-110 กม./ชม. ได้ค่าเฉลี่ย 17.3 กม./ลิตร หากขับที่ความเร็ว 100 กม./ชม. อย่างสม่ำเสมอ ตัวเลขสวยงามที่ 18.1 กม./ลิตร และสำหรับการขับขี่เฉลี่ยตลอดทริปอยู่ที่ 16.1 กม./ลิตร คาดว่าในการใช้งานจริงในสภาพการจราจรทั่วไป อัตราสิ้นเปลืองน่าจะอยู่ที่ประมาณ 14.5 กม./ลิตร ซึ่งสามารถวิ่งได้เกิน 600 กม. ต่อการเติมน้ำมัน 1 ถัง

(หมายเหตุ: การทดสอบทั้งหมดใช้น้ำมัน E10 แก๊สโซฮอล์ 91)

ระบบส่งกำลัง CVT EarthDream: ความนุ่มนวลและประสิทธิภาพ

Honda City 2014 เปลี่ยนมาใช้เกียร์ CVT EarthDream แบบ 7 สปีดในโหมด S แทนที่เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะแบบ Torque Converter ในรุ่นเดิม เกียร์ลูกใหม่นี้ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์บล็อกเดิมที่ปรับจูนมาได้อย่างลงตัว การเปลี่ยนเกียร์สามารถทำได้จากแป้น Paddle Shift ที่พวงมาลัย ซึ่งมีอัตราทดเท่ากับโหมด S แต่เกียร์จะกลับสู่โหมด D เองโดยอัตโนมัติหลังจากขับไปสักพัก เหมาะสำหรับการใช้ Engine Brake ในการลดความเร็วอย่างกะทันหัน

สำหรับการเร่งแซง แนะนำให้ใช้วิธีการกระแทกคันเร่งลงไปจนสุด จะให้การตอบสนองที่ดีกว่าการพยายามเปลี่ยนเกียร์เอง การลากรอบเครื่องยนต์ไปที่ Redline ที่ 6,000 รอบต่อนาที เพื่อสับเกียร์ที่จุดปล่อยกำลังสูงสุด พบว่าการตอบสนองอัตราเร่งไม่ดีเท่ากับโหมดออโต้ หากต้องการความกระฉับกระเฉง เพียงโยกคันเกียร์มาที่ตำแหน่ง S และกระแทกคันเร่ง รถก็พร้อมที่จะพุ่งทะยานแซงได้อย่างไม่ยากเย็น

ความสัมพันธ์ความเร็วต่อรอบเครื่องยนต์:

80 กม./ชม. = 1,500 รอบ/นาที
100 กม./ชม. = 1,900 รอบ/นาที
120 กม./ชม. = 2,250 รอบ/นาที

ระบบบังคับเลี้ยว EPS: ความแม่นยำที่เข้าถึงง่าย

พวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมผ่อนแรงด้วยระบบไฟฟ้า EPS ให้รัศมีวงเลี้ยว 5.3 เมตร การหมุนพวงมาลัยในความเร็วต่ำรู้สึกได้ถึงระบบมอเตอร์ช่วยผ่อนแรงที่ทำงานได้ดี แต่ไม่เบาหวิวไร้น้ำหนักจนเกินไป ให้ฟีลลิ่งในการขับขี่ที่ดีกว่ารุ่นเดิมเล็กน้อย โดยไม่ไวจนเกินไปนัก

ในความเร็วสูง พวงมาลัยยังคงรู้สึกเบาไปบ้าง และขาดความหนักแน่นในโค้งเมื่อเทียบกับรุ่นเดิม อย่างไรก็ตาม การตอบสนองของพวงมาลัยโดยรวมถือว่าดี แม่นยำกว่าเดิม และให้ความรู้สึกในการรับรู้ที่ดีกว่า

ระบบกันสะเทือน: ความนุ่มนวลที่มาพร้อมการยึดเกาะ

ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังเป็นแบบทอร์ชั่นบีม การขับขี่รู้สึกนุ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรุ่นเดิม และการขับขี่ที่ความเร็วสูงก็ไม่เลวร้ายนัก แม้จะมีความหวิวเล็กน้อยที่ความเร็ว 170 กม./ชม. ขึ้นไป แต่ที่ความเร็วเดินทางปกติที่ 120 กม./ชม. ถือว่าทำได้ดีพอสมควร

อย่างไรก็ตาม เมื่อขับขี่ในทางโค้งหรือเลี้ยวกลับรถ และกดคันเร่งลงไปครึ่งหนึ่ง รถอาจมีอาการส่ายหรือหน้ายางลื่นให้เห็น ซึ่งแสดงว่าการยึดเกาะถนนอาจยังไม่ดีเท่าที่ควร ที่ความเร็วสูงในการเข้าโค้ง ช่วงล่างยังรู้สึกว่าอาจจะยังไม่เกาะถนนมากนัก ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากหน้ายางด้วย หากเข้าโค้งเร็วเกินไป จะมีเสียงยางกรีดร้องออกมาต่อเนื่อง แม้จะไม่ได้กระแทกคันเร่ง

ระบบเบรก: ประสิทธิภาพที่น่าประทับใจ

ระบบเบรกด้านหน้าเป็นแบบดิสก์พร้อมครีบระบายความร้อน และด้านหลังเป็นแบบดรัม แม้ในรุ่น Top SV การปรับลดสเปกนี้ไม่ได้ส่งผลให้สมรรถนะในการหยุดรถแย่ลง ตรงกันข้าม ในเชิงความรู้สึก การเซ็ตเบรกมาดีกว่าเดิม ไม่พบอาการเบรกที่ทื่อด้าน การตอบสนองจากแป้นเบรกทำได้อย่างนุ่มนวล และใช้แรงกดน้อยลงเพื่อให้รู้สึกถึงแรงเบรกที่เพียงพอในการหน่วงหยุดรถ

ระบบความปลอดภัย: ครบครันตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น

Honda City 2014 ถือเป็นจุดขายสำคัญที่ให้ระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัยมาอย่างครบครันตั้งแต่รุ่นล่างสุด ได้แก่ ABS, EBD, BA, TCS (ระบบป้องกันล้อลื่นไถล), VSA (ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว), HSA (ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน), ESS (ไฟฉุกเฉินติดอัตโนมัติเมื่อเบรกกะทันหัน) สำหรับในรุ่น SV+ จะมี Side Curtain Airbag เพิ่มเข้ามาอีกด้วย

สรุป: Honda City 2014 – ความคุ้มค่าที่เหนือกว่าในรถ Sub-Compact

2014 Honda City รถยนต์ B-Segment หรือ Sub-Compact ที่อัดแน่นระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัยมาให้ตั้งแต่รุ่นล่างสุด ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในค่ายอื่น ห้องโดยสารกว้างขวางกว่าคู่แข่ง สมรรถนะที่ดีขึ้นเล็กน้อย และประหยัดน้ำมันกว่าเดิม พร้อมด้วยออปชันและฟังก์ชันที่หลากหลาย

แม้ว่าราคาของรุ่น Top จะดูสูงกว่าคู่แข่ง แต่สิ่งที่ Honda มอบให้ก็มากเกินกว่าราคาที่จ่ายไป ทั้งความสบายในการนั่ง รูปลักษณ์ที่ดูดีขึ้น ให้ความหรูหราเกินกว่ารถ Sub-Compact ทั่วไป หากคุณกำลังมองหารถ Sub-Compact ที่มีสมรรถนะกลาง ๆ การโดยสารที่ค่อนไปทางสบาย และเป็นผู้ที่ชื่นชอบในเทคโนโลยี ทั้งการเชื่อมต่อและออปชันความปลอดภัย รุ่น SV+ ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาที่สูงขึ้น อาจทำให้บางคนมองว่าสามารถเพิ่มเงินอีกนิดแล้วขยับไปเล่นรถระดับ C-Car ได้ แต่สุดท้ายแล้ว การตัดสินใจขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณของแต่ละบุคคล

คำแนะนำ: ทางที่ดีที่สุดคือ การไปทดลองขับที่โชว์รูม Honda สักครั้ง เพื่อสัมผัสประสบการณ์จริง ว่าคุณจะประทับใจกับสิ่งที่ Honda City 2014 มอบให้หรือไม่ หรืออาจเพียงหลงใหลไปกับเสียงเพลงและภาพโฆษณา “Be Your Best”

รายละเอียดทางเทคนิค 2014 Honda City:

เครื่องยนต์: DOHC i-VTEC 1.5 ลิตร
กำลังสูงสุด: 117 แรงม้า
แรงบิดสูงสุด: 146 นิวตันเมตร
ระบบส่งกำลัง: เกียร์ CVT EarthDream
ระบบขับเคลื่อน: ล้อหน้า (FF)
ระบบบังคับเลี้ยว: พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน ผ่อนแรงไฟฟ้า EPS
ระบบเบรก: จานดิสก์คู่หน้า และคู่หลังแบบดรัม
ระบบกันสะเทือน: ด้านหน้าแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม H-Shape

Chevrolet Captiva 2014: รถยนต์อเนกประสงค์ที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

ในยุคที่รถยนต์ SUV กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง Chevrolet Captiva ยังคงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์อเนกประสงค์ที่ผสมผสานความหรูหรา สมรรถนะ และการใช้งานที่หลากหลาย

Chevrolet Captiva Diesel 2014 รุ่นปรับปรุงโฉม (Minor Change) นี้ ได้รับการพัฒนาให้มีความลงตัวและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น การปรับเปลี่ยนดีไซน์ภายนอกและภายใน รวมถึงการปรับปรุงสมรรถนะ ทำให้ Chevrolet Captiva กลายเป็นรถยนต์ที่น่าจับตามองอีกครั้ง

การออกแบบภายนอก: ความดุดันที่ผสมผสานความทันสมัย

การปรับปรุงดีไซน์ภายนอกของ Chevrolet Captiva 2014 เน้นความทันสมัยและดุดันมากขึ้น กระจังหน้าแบบสองชั้นสไตล์ Chevrolet รุ่นใหม่ ไฟหน้าเรียวขึ้นพร้อมโคมโปรเจคเตอร์ และการออกแบบโดยรวมให้ความเป็นอเมริกันมากขึ้น

ส่วนท้ายรถได้รับการปรับปรุงให้ดูทันสมัยด้วยไฟท้ายใหม่ที่มีลายกราฟิกที่ดูดีขึ้น และท่อไอเสียทรงสี่เหลี่ยมคางหมูที่กลมกลืนไปกับการออกแบบตลอดคัน การปกปิดล้ออะไหล่ใต้ท้องรถอย่างมิดชิดเป็นอีกจุดที่น่าชื่นชม

การปรับเปลี่ยนสเกิร์ตข้างใหม่ให้มีบันไดในตัว อาจดูไม่ลงตัวกับภาพลักษณ์ของ Captiva ที่เน้นความหรูหรามากกว่าการลุย และอาจสร้างความลำบากในการก้าวขึ้นลงรถสำหรับบางคน

ภายในห้องโดยสาร: ความหรูหราที่เพิ่มขึ้นและความสะดวกสบาย

ภายในห้องโดยสารของ Chevrolet Captiva 2014 ยังคงให้ความรู้สึกของรถอเนกประสงค์คอมแพ็คที่รองรับการใช้งาน 5 ที่นั่งได้อย่างสบาย และสามารถเพิ่มเป็น 7 ที่นั่งได้ในยามจำเป็น แม้ว่าการเพิ่มที่นั่งแถวสามจะทำให้พื้นที่เก็บสัมภาระลดลง

เบาะนั่งสีเทาอ่อนเพิ่มความหรูหราให้กับห้องโดยสาร การปรับเบาะนั่งไฟฟ้า 8 ทิศทางเฉพาะฝั่งคนขับ อาจยังไม่สมบูรณ์แบบเท่าที่ควร แต่ก็ถือเป็นการพัฒนาที่ดีขึ้น

การมาถึงของระบบ Keyless Entry และ Passive Start เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันควบคุมระบบต่างๆ ในรถได้อย่างครบครัน ระบบเครื่องปรับอากาศที่สามารถแยกปรับอิสระซ้าย-ขวา และระบบสร้างสภาวะเสียงสามมิติ 3 Sound Staging เพิ่มความสุนทรีย์ในการเดินทาง

ขุมพลังดีเซล 2.0 ลิตร: สมรรถนะที่นุ่มนวลขึ้น

Chevrolet Captiva Diesel ใหม่ มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร DOHC พร้อมเทอร์โบแปรผัน ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่เพิ่มขึ้นเป็น 400 นิวตัน-เมตร การปรับปรุงชุดเกียร์ใหม่ช่วยเพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่และลดอาการกระตุกได้อย่างชัดเจน

แม้แรงบิดจะเพิ่มขึ้น แต่การตอบสนองของเครื่องยนต์ไม่ได้ดุดันเร้าใจอย่างที่คาดหวัง อาจเป็นเพราะการปรับจูนที่เน้นความนุ่มนวลมากขึ้น การขับขี่ในเมืองให้ความรู้สึกสบาย แม้การจราจรจะติดขัด

อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน:

การขับขี่ในเมือง: 7.89 กม./ลิตร (ในสภาพการจราจรติดขัด)
การทดสอบ Bonn Test Mode (ผสมเมือง/นอกเมือง): 11.62 กม./ลิตร
การเดินทางไกล (กรุงเทพฯ-ขอนแก่น): 10.5 กม./ลิตร

แม้ว่าอัตราสิ้นเปลืองอาจไม่โดดเด่นนักเมื่อเทียบกับรถยนต์ดีเซลบางรุ่น แต่ก็ยังคงเป็นที่ยอมรับสำหรับรถยนต์ประเภทนี้

ช่วงล่างและการขับขี่: ความลงตัวสำหรับการเดินทาง

ระบบกันสะเทือนที่ได้รับการปรับปรุงทั้งด้านหน้า (แม็กเฟอร์สันสตรัท) และด้านหลัง (มัลติลิงค์ 4 จุด) ให้ความลงตัวในการขับขี่ ช่วงล่างนุ่มนวลขึ้น การยึดเกาะถนนดีขึ้น แม้จะมาพร้อมล้ออัลลอยขอบ 19 นิ้ว แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกกระด้างจนเกินไป การขับขี่ที่ความเร็วสูงยังคงมั่นคง แต่ควรใช้ความระมัดระวังเนื่องจากน้ำหนักตัวรถ

สรุป: Chevrolet Captiva Diesel 2014 – รถยนต์อเนกประสงค์ที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

Chevrolet Captiva Diesel 2014 ได้รับการปรับปรุงให้มีความน่าสนใจมากขึ้น ทั้งในด้านดีไซน์ ความหรูหรา และความนุ่มนวลในการขับขี่ แม้ว่าการปรับปรุงบางส่วนอาจยังไม่สมบูรณ์แบบเท่าที่ควร แต่โดยรวมแล้ว ถือเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่มองหาความสะดวกสบาย สมรรถนะ และสไตล์

หากคุณกำลังมองหารถยนต์ SUV ที่สามารถพาครอบครัวเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย พร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัย และสมรรถนะที่ไว้ใจได้ Chevrolet Captiva Diesel 2014 ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม

BMW 420d Coupe Sport: สปอร์ตคูเป้ที่สะท้อนความหรูหราและสมรรถนะ

BMW ประเทศไทยได้นำเข้ารถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง และหนึ่งในรุ่นที่น่าสนใจคือ BMW 420d Coupe Sport ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างดีไซน์สปอร์ตคูเป้ สมรรถนะที่ยอดเยี่ยม และความประหยัดจากเครื่องยนต์ดีเซล

ราคาและการเข้าถึง:

BMW 420d Coupe Sport รุ่นทดสอบ มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 3.799 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นราคาที่จับต้องได้สำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์สไตล์สปอร์ตคูเป้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความหรูหราด้วยล้อแม็กซ์ที่ใหญ่ขึ้นและชุดช่วงล่างจาก M ก็สามารถเลือกรุ่น M Sport ได้ในราคาที่เพิ่มขึ้นอีก 2 แสนบาท

การออกแบบภายนอก: ความเฉียบคมที่โดดเด่น

BMW 4 Series Coupe มีการออกแบบที่แตกต่างจาก Series 3 อย่างชัดเจน ด้วยรูปทรงคูเป้ที่เน้นความยาวของด้านหน้า และด้านหลังที่ออกแบบมาให้ลงตัวเหมือนซีดานทั่วไป ทำให้มีพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระที่กว้างขวาง

ไฟหน้าแบบ LED ดีไซน์สปอร์ตล้ำยุค ให้ความสว่างไสวทั้งไฟเดย์ไลท์และไฟกลางคืน ไฟตัดหมอกด้านล่างก็ได้รับการออกแบบมาอย่างสวยงาม กระจังหน้าสีดำมันเงาช่วยเสริมความดุดัน ซุ้มฝากระโปรงหน้าที่ออกแบบเป็นโดมเพิ่มความโอ่อ่า

แม้จะเป็นรถคูเป้ แต่เสา C ไม่ได้ถูกบีบจนเกินไป ทำให้พื้นที่ภายในห้องโดยสารไม่แออัด ไฟท้ายแบบยาวสะดุดตาในยามค่ำคืน และระบบเปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติ

ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางรันแฟลต เพิ่มความสปอร์ตให้กับตัวรถ

เครื่องยนต์ดีเซล TwinPower Turbo: สมรรถนะที่ทรงพลังและประหยัด

เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร TwinPower Turbo เป็นเครื่องยนต์หลักของ BMW ในรถยนต์หลายรุ่น โดยรุ่นนี้ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที และแรงบิดมหาศาล 380 นิวตัน-เมตร ที่รอบต่ำตั้งแต่ 1,750-2,750 รอบต่อนาที ทำให้การออกตัวทำได้อย่างปราดเปรียว

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในสเปกอยู่ที่ 7.3 วินาที (จากการทดสอบจริงประมาณ 9 วินาที) ความเร็วสูงสุด 232 กม./ชม.

ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดแบบสปอร์ต ที่ทำงานได้อย่างชาญฉลาด พร้อมระบบเปิด-ปิดเครื่องยนต์อัตโนมัติ (แนะนำให้ปิดการทำงานในยามขับขี่ปกติ เพื่อลดแรงกระชากจากการสตาร์ทใหม่)

อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน:

BMW เคลมอัตราการสิ้นเปลืองที่ 21.7 กม./ลิตร แต่ในการใช้งานจริง โดยเฉพาะเมื่อขับขี่แบบเน้นสมรรถนะ อัตราสิ้นเปลืองจะอยู่ที่ประมาณ 15-16 กม./ลิตร ซึ่งยังถือว่าประหยัดสำหรับรถยนต์ในพิกัดนี้

โหมดการขับขี่: มีให้เลือกตั้งแต่ Eco, Comfort, Sport แสดงผลแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งรอบเครื่องยนต์ การตอบสนองช่วงล่าง และการบริโภคน้ำมัน

ภายในห้องโดยสาร: ความหรูหราและความสะดวกสบาย

ห้องโดยสารโทนสีแดงสด ผสมผสานกับสีดำเข้ม ให้ความรู้สึกโอ่อ่า ทันสมัย และหรูหรา เบาะนั่ง 4 ตำแหน่ง ออกแบบมาให้ใช้งานได้จริง ระบบพับเบาะด้านหน้าอำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสารตอนหลังก้าวเข้าออกได้ง่าย

เบาะนั่งตอนหลังออกแบบแยกส่วน พร้อมช่องวางของกั้นกลาง และมีพื้นที่วางขาและศีรษะที่กว้างขวาง

เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า พร้อมการรองรับแผ่นหลัง ขา และน้ำหนักตัวได้อย่างพอดี

พวงมาลัยสปอร์ตปรับ 4 ทิศทางด้วยมือ แผงคอนโซลคุ้นเคยในรถ BMW รุ่นใหม่ๆ พร้อมหน้าจอแสดงผล 8.8 นิ้ว และปุ่ม iDrive ที่สามารถสั่งการด้วยการเขียนได้

การขับขี่: ความสนุกสนาน ปลอดภัย และมั่นใจ

BMW 420d Coupe Sport ให้ประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกสนานเกินคาด พละกำลังที่ล้นเหลือ ล้ออัลลอย 18 นิ้ว ให้ความรู้สึกที่ดีในการขับขี่ ไม่กระด้างจนเกินไป

พวงมาลัยแม่นยำ ทำให้การควบคุมรถไหลลื่น แม้ในสภาพถนนที่ไม่สมบูรณ์ ช่วงล่างหนึบแน่นแต่ไม่แข็งกระด้าง ให้ความมั่นใจในการทำความเร็ว

ระบบความปลอดภัยและอุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ ติดตั้งมาอย่างครบครัน สมกับราคา

สรุป: BMW 420d Coupe Sport – ตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหารถหรูสปอร์ต

BMW 420d Coupe Sport เป็นรถยนต์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ที่มองหารถหรูสปอร์ตที่มีดีไซน์โดดเด่น สมรรถนะยอดเยี่ยม และความประหยัดจากเครื่องยนต์ดีเซล แม้ว่าราคาอาจจะสูงไปบ้าง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คุ้มค่า

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการรถยนต์ที่ขับไปไหนก็มีคนเหลียวมอง ต้องการประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ และให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ BMW 420d Coupe Sport คันนี้ ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

รายละเอียดทางเทคนิค 2014 BMW 420d Coupe Sport:

ราคาจำหน่าย: 3.799 ล้านบาท
เครื่องยนต์: ดีเซล TwinPower Turbo 2.0 ลิตร
กำลังสูงสุด: 184 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด: 380 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,750 รอบต่อนาที
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.: 7.3 วินาที
ความเร็วสูงสุด: 232 กม./ชม.
อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย: 21.7 กิโลเมตร/ลิตร

หากคุณกำลังมองหารถยนต์ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นรถซิตี้คาร์ที่คุ้มค่า รถยนต์อเนกประสงค์ที่สมบูรณ์แบบ หรือรถสปอร์ตคูเป้ที่สะท้อนตัวตนของคุณ การมาเยือนโชว์รูมฮุนได ฮอนด้า เชฟโรเลต หรือบีเอ็มดับเบิลยู เพื่อทดลองขับด้วยตนเอง จะเป็นก้าวสำคัญที่จะพาคุณไปพบกับรถยนต์ที่ใช่สำหรับคุณ.

Previous Post

N3112032 เช อคำภรรยาแล วเจร คำน ไม เคยเก นจร part2

Next Post

N3112053 อยากเป นห วแถว แต เก อบก นแห วเพราะแฟนเก part2

Next Post
N3112053 อยากเป นห วแถว แต เก อบก นแห วเพราะแฟนเก part2

N3112053 อยากเป นห วแถว แต เก อบก นแห วเพราะแฟนเก part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N0201068 กอายท อข มอเตอร ไซค เก าๆ part2
  • N0201060 ทาหรณ การบ ลล ในโรงเร ยน การเอาค นท คาดไม part2
  • N0201061 ทาหรณ การบ ลล ในโรงเร ยน การเอาค นท คาดไม (1) part2
  • N0201078 อหน มไฮโซ โอ โหกลายเป นคนข บรถ part2
  • N0201071 ณพ อแห งชาต สอนล กด วยความเข าใจ part2

Recent Comments

No comments to show.

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.