• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N3112043_รอคอยเธอมา 10ป เจอก นอ กท องได เป นแฟน (1)_part2

admin79 by admin79
December 29, 2025
in Uncategorized
0
N3112038 แรกๆก หวาน นานๆก เปล ยน part2

นิสสัน ซิลฟี ซีโร่ อีมิชชั่น: กลยุทธ์ราคาตีตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจีน

ในสมรภูมิรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อันดุเดือดของประเทศจีน ซึ่งได้รับการผลักดันอย่างเต็มกำลังจากนโยบายภาครัฐ ทำให้ผู้ผลิตยานยนต์สัญชาติจีนผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด ส่งผลให้ตลาดเต็มไปด้วยรถยนต์พลังงานทางเลือกใหม่ที่มีราคาย่อมเยา แต่ท่ามกลางการแข่งขันอันเข้มข้นนี้เองที่นิสสัน (Nissan) เลือกที่จะใช้กลยุทธ์ที่เหนือชั้น ด้วยการเปิดตัว “นิสสัน ซิลฟี ซีโร่ อีมิชชั่น” (Nissan Sylphy Zero Emission) ด้วยสนนราคาที่น่าดึงดูดใจอย่างยิ่ง

ราคา 8 แสนบาท: กุญแจสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจีน

จากรายงานข่าวที่เราเคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้ บ่งชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของแบรนด์จีนอย่าง BYD, NIO และผู้ผลิตรายอื่น ๆ ที่สามารถผลิต รถยนต์ไฟฟ้าจีน ออกสู่ตลาดได้อย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากภาครัฐบาลจีนที่มุ่งมั่นยกระดับประเทศสู่การเป็นผู้นำด้านยานยนต์สะอาดและฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลก นโยบายนี้เองที่ทำให้หลายค่ายรถยนต์ต่างชาติลังเลที่จะเข้ามาแข่งขันโดยตรง เนื่องจากไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางการลงทุนเทียบเท่ากับผู้ผลิตท้องถิ่น

อย่างไรก็ตาม การปล่อยโอกาสสำคัญนี้ไปย่อมไม่ใช่แนวทางของนิสสัน บริษัทฯ จึงได้จัดตั้งกิจการร่วมค้า (Joint Venture) กับบริษัทในประเทศจีน ภายใต้ชื่อ “ตงเฟิง นิสสัน” (Dongfeng Nissan) เพื่อตอบสนองต่อพลวัตของตลาดนี้

สิ่งที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ คือ การนำรุ่น “ซิลฟี” (Sylphy) ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ได้รับความนิยมในฐานะรถยนต์สันดาป มาปรับปรุงให้กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% โดยใช้เทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าจาก “นิสสัน ลีฟ” (Nissan Leaf) หนึ่งในรถยนต์ไฟฟ้าที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในตลาดโลก และตั้งชื่อใหม่ว่า “นิสสัน ซิลฟี ซีโร่ อีมิชชั่น”

การปรับปรุงสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้า

การเปลี่ยนผ่านจากเครื่องยนต์สันดาปสู่ระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับรุ่นซิลฟีนั้น ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแหล่งพลังงาน แต่ยังหมายถึงการปรับปรุงวิศวกรรมอย่างรอบด้าน เพื่อให้รถยนต์ยังคงประสิทธิภาพและความสมดุลในการขับขี่ ทีมวิศวกรของนิสสันได้ทุ่มเทเพื่อสร้างสมดุลใหม่ให้กับตัวรถหลังการติดตั้งระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า การใช้ฐานล้อแบบ Full-Size เพื่อรองรับน้ำหนักของแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้า รวมถึงการออกแบบที่เน้นประสบการณ์การขับขี่ให้ใกล้เคียงกับ “นิสสัน ลีฟ” ซึ่งสามารถวิ่งได้ระยะทางประมาณ 338 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง

กลยุทธ์ราคาที่ทำให้ต้องจับตา

“นิสสัน ซิลฟี ซีโร่ อีมิชชั่น” จะวางจำหน่ายเฉพาะในตลาดประเทศจีนเท่านั้น ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 1.66 แสนหยวน หรือราว 8 แสนบาทไทย นี่คือราคาที่สามารถแข่งขันได้อย่างสูสีกับรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ท้องถิ่นอื่น ๆ ในตลาดจีน และถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าให้กับนิสสันได้อย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับความพร้อมของผู้บริโภคจีนที่เปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และโครงสร้างพื้นฐานด้านสถานีชาร์จที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของกลยุทธ์นี้

ผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจีน

การเข้ามาแข่งขันของนิสสันด้วยกลยุทธ์ราคาที่น่าสนใจนี้ ย่อมสร้างแรงกระเพื่อมให้กับตลาด รถยนต์ไฟฟ้าจีน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การตัดสินใจรุกตลาดอย่างเต็มตัวของนิสสันในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดในภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เมื่อผนวกกับการสนับสนุนจากภาครัฐบาลจีนที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาเข้าถึงง่ายขึ้น ก็ยิ่งทำให้เกิดคำถามที่น่าสนใจว่า ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนจะงัดกลยุทธ์ใดมาตอบโต้การเข้ามาของผู้เล่นรายใหญ่อย่างนิสสัน

สำหรับตลาดประเทศไทยนั้น เรายังคงต้องรอคอยการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ซึ่งปัจจุบัน ราคารถยนต์ Sylphy ในประเทศไทย เริ่มต้นที่ประมาณ 8.33 แสนบาท และเราจะคอยติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดรถยนต์ในภูมิภาคนี้อย่างใกล้ชิด

แนวโน้มตลาดรถยนต์ไฟฟ้า และการเติบโตของยานยนต์พลังงานทางเลือกในปี 2568

ในยุคที่เทคโนโลยยานยนต์กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และยานยนต์พลังงานทางเลือก (New Energy Vehicles – NEVs) กลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ข้อมูลล่าสุดในปี 2568 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่น่าจับตามองในหลายตลาดทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ตลาดจีน: ศูนย์กลางการเติบโตของ NEVs

ตลาด NEVs ในประเทศจีน ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV), รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้าแบบขยายระยะทาง (EREV) ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในเดือนพฤษภาคม 2568 เพียงเดือนเดียว มียอดขายรวมถึง 1.021 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 28.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 12.1% เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2568

จากรายงานของสมาคมผู้ค้ารถยนต์จีน (CADA) ยอดขายสะสมตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ 4.351 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 34.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567

การแบ่งสัดส่วนยอดขาย NEVs ในเดือนพฤษภาคม 2568 ประกอบด้วย:
BEV: 607,000 คัน
PHEV: 298,000 คัน
EREV: 116,000 คัน

Geely Geome Xingyuan: ดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งปี 2568

Geely Geome Xingyuan (หรือ Starwish สำหรับตลาดโลก) กลายเป็นปรากฏการณ์ในตลาด NEVs โดยคว้าอันดับ 1 ในชาร์ตรถยนต์กลุ่ม NEVs ที่ขายดีที่สุดในเดือนพฤษภาคม ด้วยยอดขาย 38,715 คัน และยังคงครองแชมป์ยอดขายสะสมสูงสุดตั้งแต่ต้นปี 2568 ที่ 164,049 คัน ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพียง 8 เดือนหลังเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2567 ก็สามารถผลิตรถยนต์คันที่ 200,000 ได้สำเร็จ โดย Geely รายงานว่าสามารถทำยอดขายเฉลี่ย 905 คันต่อวัน หรือคิดเป็นการขาย 1 คันในทุกๆ 97 วินาที

BYD: ยักษ์ใหญ่ครองตลาดด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย

BYD ยังคงเป็นผู้นำตลาด NEVs อย่างแข็งแกร่ง ด้วยรถยนต์รุ่นที่ติดอันดับขายดีถึง 9 รุ่น จาก 20 อันดับแรกในเดือนพฤษภาคม ยอดขายรวมของทั้ง 9 รุ่นอยู่ที่ประมาณ 181,000 คัน โดยรุ่นที่ได้รับความนิยมสูง ได้แก่ Seagull ที่คว้าอันดับ 2 ด้วยยอดขาย 31,105 คัน และ Qin Plus ติดอันดับ 3 ด้วยยอดขาย 29,328 คัน

Wuling, Xiaomi, และ Tesla: ผู้ท้าชิงที่น่าจับตามอง

Wuling Hongguang Mini EV ยังคงรักษาฐานะผู้นำในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ด้วยยอดขายในเดือนพฤษภาคม 29,017 คัน และยอดขายสะสม 144,953 คัน

Xiaomi SU7 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกจากแบรนด์เทคโนโลยี ก็สร้างความฮือฮาด้วยยอดขาย 28,013 คันในเดือนพฤษภาคม รั้งอันดับ 5 และมียอดขายสะสมกว่า 132,467 คัน

Tesla ยังคงรักษาฐานลูกค้าไว้ได้ โดย Model Y ทำยอดขาย 24,770 คันในเดือนพฤษภาคม และมียอดขายสะสม 126,643 คัน ขณะที่ Model 3 มียอดขาย 13,818 คัน ติดอันดับที่ 16

ทิศทางตลาด NEVs จีน: การแข่งขันเข้มข้นและการขยายอิทธิพล

ตลาด NEVs ของจีนยังคงร้อนแรง และมีการแข่งขันที่เข้มข้น โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กถึงกลางที่เน้นราคาเข้าถึงง่ายและเทคโนโลยีล้ำสมัย จากแนวโน้มนี้ เป็นไปได้ว่าแบรนด์จีนจะยิ่งขยายอิทธิพลทั้งในและนอกประเทศมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เป็นต้นไป

แนวโน้มตลาดรถยนต์สหรัฐอเมริกา ไตรมาสแรกปี 2568: การเติบโตของ Hybrid และ Pickup ท่ามกลางการแข่งขัน

ตลาดรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาเริ่มต้นปี 2568 ด้วยสัญญาณเชิงบวก โดยมีการเติบโตประมาณ 4% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีก่อนหน้า คิดเป็นขนาดตลาดราว 3,900,000 คัน แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับประเด็นการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ แต่ประเภทรถยนต์ที่มีอัตราการเติบโตที่โดดเด่น ได้แก่ รถยนต์กลุ่ม Hybrid และรถกระบะ

ในตารางรถยนต์ขายดี ยังคงเป็นที่สังเกตว่ากลุ่ม SUV และรถกระบะยังคงครองส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ แต่ก็ยังคงมีที่ยืนสำหรับรถยนต์ Sedan ที่มีราคาจับต้องได้

25 อันดับ รุ่นรถยนต์ที่ขายดีที่สุดในสหรัฐฯ ประจำไตรมาสแรกปี 2568

(เรียงลำดับจากยอดขายน้อยที่สุดไปมากที่สุด)

Ford Maverick: 38,015 คัน (ลดลง 3% จากปีก่อน)
Subaru Outback: 39,934 คัน (เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อน)
Honda HR-V: 40,944 คัน (เพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อน)
Tesla Model 3: ประมาณ 41,000 คัน
Kia Sportage: 41,301 คัน (เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อน)
Subaru Crosstrek: 43,612 คัน (เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อน)
Ford Explorer: 47,314 คัน (ลดลง 19% จากปีก่อน)
Jeep Grand Cherokee: 48,465 คัน (ลดลง 11% จากปีก่อน)
Subaru Forester: 49,865 คัน (เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน)
Nissan Sentra: 54,536 คัน (เพิ่มขึ้น 36% จากปีก่อน)
Hyundai Tucson: 54,973 คัน (เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อน)
Toyota Corolla: 55,456 คัน (ลดลง 8% จากปีก่อน)
Honda Civic: 58,976 คัน (ลดลง 5% จากปีก่อน)
Chevrolet Trax: 59,021 คัน (เพิ่มขึ้น 57% จากปีก่อน)
Toyota Tacoma: 59,825 คัน (เพิ่มขึ้น 177% จากปีก่อน)
Nissan Rogue: 62,102 คัน (ลดลง 32% จากปีก่อน)
Toyota Camry: 70,308 คัน (ลดลง 10% จากปีก่อน)
Tesla Model Y: ประมาณ 71,000 คัน (ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน)
Chevrolet Equinox: 71,002 คัน (ลดลง 31% จากปีก่อน)
GMC Sierra: 77,292 คัน (เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน)
RAM Pickup: 78,848 คัน (ลดลง 11% จากปีก่อน)
Honda CR-V: 103,325 คัน (เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อน)
Toyota RAV4: 115,402 คัน (ลดลง 8% จากปีก่อน)
Chevrolet Silverado: 125,298 คัน (ลดลง 8% จากปีก่อน)
Ford F-series: 183,202 คัน (เพิ่มขึ้น 26% จากปีก่อน)

ภาพรวมตลาดรถยนต์สหรัฐฯ

แม้จะมีปัจจัยท้าทายจากเศรษฐกิจและนโยบาย แต่ตลาดรถยนต์สหรัฐฯ ยังคงแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ที่ตอบสนองความต้องการใช้งานที่หลากหลาย ทั้งรถยนต์ครอบครัวอย่าง SUV, รถกระบะสำหรับการบรรทุกและใช้งานหนัก รวมถึงรถยนต์ Hybrid ที่เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด การแข่งขันที่ยังคงดำเนินต่อไป จะนำมาซึ่งนวัตกรรมและการปรับตัวของผู้ผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า 100% ในไทย: มกราคม 2568 ยอดจดทะเบียนลดลง แต่ BYD ยังคงครองความเป็นผู้นำ

ภาพรวมตลาดรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) ในประเทศไทย เดือนมกราคม 2568

จากข้อมูลการจดทะเบียนรถยนต์สะสมในเดือนมกราคม 2568 พบว่า รถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) มียอดจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 12,376 คัน คิดเป็น 22.1% ของยอดจดทะเบียนรถยนต์รวมทั้งประเทศ (55,923 คัน) อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว (มกราคม 2567) ซึ่งมียอดจดทะเบียน 13,653 คัน แสดงให้เห็นถึงการลดลง 1,277 คัน หรือคิดเป็น -9.4%

BYD Sealion 7 ผงาดขึ้นครองอันดับ 1

ในเดือนมกราคม 2568, BYD Sealion 7 สามารถสร้างสถิติใหม่ด้วยการขึ้นเป็นอันดับ 1 ของยอดจดทะเบียนสูงสุด ด้วยจำนวน 1,757 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 14.2% ตอกย้ำความแข็งแกร่งของ BYD ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไทย

10 อันดับแรกของยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า 100% (มกราคม 2568)

BYD Sealion 7: 1,757 คัน
BYD Dolphin: 1,446 คัน
Deepal S07: 1,221 คัน
MG4 Electric: 1,114 คัน
DENZA D9: 769 คัน
NETA V: 576 คัน
ORA Good Cat: 485 คัน
BYD M6: 459 คัน
ChangAn Lumin: 410 คัน
NETA X: 409 คัน

บทวิเคราะห์แนวโน้มตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไทย

แม้จะมียอดจดทะเบียนรวมลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่การขึ้นมาของรุ่นใหม่ๆ อย่าง BYD Sealion 7 และ Deepal S07 ชี้ให้เห็นถึงการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไทย ผู้บริโภคมีทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งในด้านดีไซน์ สมรรถนะ และราคา การปรับตัวของผู้ผลิต รวมถึงการพัฒนานโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

Tesla รุกตลาดจีนด้วย “Model Y E41” : กลยุทธ์ลดต้นทุน เจาะกลุ่มผู้บริโภคที่กว้างขึ้น

Tesla กำลังเดินหน้าพัฒนา รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ที่มีชื่อรหัสว่า “E41” โดยมีเป้าหมายหลักคือการเจาะตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก การพัฒนารุ่นนี้ต่อยอดมาจากความสำเร็จของ Tesla Model Y แต่จะเน้นการ หั่นต้นทุนการผลิตลง 20% เพื่อให้สามารถตั้งราคาขายที่ดึงดูดใจผู้บริโภคได้มากขึ้น

Gigafactory เซี่ยงไฮ้: ศูนย์กลางการผลิต

เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านต้นทุน Tesla จะใช้สายการผลิตที่มีอยู่แล้วที่โรงงาน Gigafactory Shanghai ซึ่งเป็นโรงงานผลิตที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท สื่อจีนรายงานว่า Tesla China ใช้แนวคิด “Depop” ในการพัฒนา E41 คือการลดความซับซ้อนในกระบวนการผลิตโดยยังคงรักษาคุณสมบัติหลักของรถไว้ ซึ่งจะช่วยให้สามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ขนาดและราคาที่เข้าถึงได้

แหล่งข่าวระบุว่า E41 จะมีขนาดเล็กกว่า Model Y รุ่นปัจจุบัน ซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือขนาดแบตเตอรี่เพื่อลดต้นทุน การวางจำหน่ายในประเทศจีนเป็นหลักนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาและเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน

แม้จะยังเร็วเกินไปที่จะระบุราคาที่แน่นอนของ Model Y “E41” แต่จากการคำนวณคร่าวๆ ราคาเริ่มต้นอาจอยู่ในช่วงประมาณ 210,800 – 242,800 หยวน (ประมาณ 1.054 – 1.214 ล้านบาท) หรืออาจจะต่ำกว่านั้น

ความท้าทายในสมรภูมิ EV จีน

Tesla ต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งภายในประเทศที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว เช่น Xiaomi SU7 ที่ทำยอดขายแซงหน้า Model 3 อย่างต่อเนื่อง รวมถึงคู่แข่งโดยตรงของ Model Y ที่กำลังจะมาถึงจากแบรนด์ชั้นนำอย่าง Aito (ภายใต้ Huawei), Xiaomi (YU7), และ Xpeng การเปิดตัว Model Y “E41” ที่มีราคาเข้าถึงง่ายจึงเป็น “หมากรุก” สำคัญที่ Tesla วางไว้เพื่อตอบโต้การแข่งขันที่รุนแรงนี้

ปัจจัยสู่ความสำเร็จ

ความสำเร็จของ “E41” จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่ ราคาที่แข่งขันได้จริง, คุณสมบัติที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวจีน, และความสามารถในการผลิตและส่งมอบที่ทันท่วงที การลดต้นทุนการผลิตลงอย่างมีนัยสำคัญจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Tesla สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การปรับตัวและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเท่านั้น ที่จะทำให้ Tesla สามารถรักษาความได้เปรียบในสมรภูมิ EV อันดุเดือดนี้ได้ การแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจะนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะเป็นผลดีต่อผู้บริโภคอย่างแน่นอน

ตลาดรถยนต์ไทยกันยายน 2568: ยอดขายเติบโตต่อเนื่อง HEV ร้อนแรง

ภาพรวมตลาดรถยนต์เดือนกันยายน 2568

ตลาดรถยนต์ไทยในเดือนกันยายน 2568 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่น่าประทับใจ โดยมียอดขายรวม 48,350 คัน เพิ่มขึ้น 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ตลาดรถยนต์นั่ง: มียอดขาย 19,671 คัน เพิ่มขึ้น 25.5% จากปีที่ผ่านมา
ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์: ปรับตัวดีขึ้นด้วยยอดขาย 28,679 คัน เพิ่มขึ้น 24.4%
ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน: มียอดขาย 14,354 คัน เพิ่มขึ้น 2.7%

HEV (Hybrid Electric Vehicle) ครองใจผู้บริโภค

กลุ่มรถยนต์ในระบบ HEV มียอดขายที่โดดเด่นอย่างมากถึง 12,756 คัน เพิ่มขึ้นถึง 73.45% จากปีที่แล้ว และเมื่อพิจารณายอดขายสะสมในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 102,372 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 51% ของตลาด xEV (รวม BEV, PHEV, HEV) ทั้งหมด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องของรถยนต์ไฮบริดในประเทศไทย

แนวโน้มตลาดตุลาคม 2568: ชะลอตัวเพื่อรอแคมเปญใหญ่

สำหรับเดือนตุลาคม 2568 คาดว่าปริมาณการจำหน่ายรถยนต์มีแนวโน้มทรงตัว เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่กำลังรอแคมเปญใหญ่ปลายปีอย่าง Motor Expo ทำให้การตัดสินใจซื้อชะลอตัวลง นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่ผันผวนและอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ยังคงเป็นปัจจัยกดดันความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภค

ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ แยกตามประเภท (กันยายน 2568)

ตลาดรถยนต์รวม: 48,350 คัน (+23.8%)

  1. Toyota: 18,472 คัน (+20.6%)
  2. Honda: 5,092 คัน (+16.7%)
  3. Isuzu: 4,931 คัน (-18.9%)
    ตลาดรถยนต์นั่ง: 19,671 คัน (+25.5%)
  4. Toyota: 6,848 คัน (+46%)
  5. Honda: 3,036 คัน (-11.4%)
  6. MG: 1,650 คัน (+84.6%)
    ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์: 28,679 คัน (+24.4%)
  7. Toyota: 11,624 คัน (+9.5%)
  8. Isuzu: 4,931 คัน (-18.9%)
  9. Honda: 2,056 คัน (+119%)
    ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ PPV): 14,354 คัน (+2.7%)
  10. Toyota: 6,602 คัน (+1.8%)
  11. Isuzu: 4,080 คัน (-20%)
  12. Ford: 1,374 คัน (คงที่)
    ตลาดรถกระบะ Pure Pick up: 11,104 คัน (-3.5%)
  13. Toyota: 5,688 คัน (คงที่)
  14. Isuzu: 3,421 คัน (-17.6%)
  15. Mitsubishi: 864 คัน (+43.8%)

สถิติการจำหน่ายรถยนต์ (มกราคม – กันยายน 2568)

ตลาดรถยนต์รวม: 447,969 คัน (+2.1%)

  1. Toyota: 167,800 คัน (+0.3%)
  2. Isuzu: 53,503 คัน (-18%)
  3. Honda: 51,009 คัน (-12.5%)
    ตลาดรถยนต์นั่ง: 174,111 คัน (+2.5%)
  4. Toyota: 58,779 คัน (+20.4%)
  5. Honda: 28,658 คัน (-15.7%)
  6. BYD: 14,690 คัน (-4.6%)

หมายเหตุ: ข้อมูล BYD อ้างอิงจากยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ระหว่างวันที่ 1-30 กันยายน 2568 จากกรมการขนส่งทางบก

ตลาดรถยนต์จีน เมษายน 2568: Geely Geome Xingyuan ครองแชมป์, SUV เติบโตโดดเด่น

ภาพรวมตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจีน เมษายน 2568

สำนักข่าวท้องถิ่นของประเทศจีนรายงานยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแบบขายปลีกในเดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ 1.755 ล้านคัน โดยมีการแบ่งตามประเภทรถดังนี้:

รถ Sedan / Hatchback: 821,000 คัน (เพิ่มขึ้น 13.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน, ลดลง 9.0% จากเดือนก่อนหน้า)
SUV: 847,000 คัน (เพิ่มขึ้น 16.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน, ลดลง 10.4% จากเดือนก่อนหน้า)
MPV: 86,000 คัน (เพิ่มขึ้น 7.1% จากปีก่อน, ลดลง 3.6% จากเดือนมีนาคม)

Geely Geome Xingyuan: รถยนต์ขายดีอันดับ 1

Geely Geome Xingyuan (Starwish สำหรับตลาดโลก) รถ Hatchback ขุมพลังไฟฟ้าราคาประหยัดจาก Geely ไม่เพียงแต่เป็นรุ่นขายดีในกลุ่ม Sedan / Hatchback เท่านั้น แต่ยังครองตำแหน่งรถยนต์ขายดีอันดับ 1 ในภาพรวมอีกด้วย โดยเพิ่งทำสถิติยอดผลิตครบ 200,000 คัน ซึ่งเป็นรถที่น่าสนใจอย่างยิ่งเนื่องจากได้ถูกนำมาจัดแสดงในงาน Bangkok International Motor Show 2025 ที่ผ่านมา

BYD Seagull และ Wuling Hongguang Mini EV: รักษาความนิยม

ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก BYD Seagull ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง คว้าอันดับ 2 ตามมาด้วย Wuling Hongguang Mini EV ที่อันดับ 3 ซึ่งทั้งสามรุ่นนี้ยังคงเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมสูงในตลาดจีน

Geely Xingyue L: ผงาดขึ้นแท่น SUV ขายดี

ในกลุ่มรถ SUV, Geely Xingyue L ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น แซงหน้า Tesla Model Y ซึ่งเคยครองแชมป์ในเดือนมีนาคม Geely Xingyue L ยังเป็น SUV เครื่องยนต์สันดาป (ICE) ที่ขายดีที่สุดในไตรมาสแรกของปี 2568 ด้วยยอดขายสะสมกว่า 79,883 คัน

BYD Denza D9: แชมป์ MPV

สำหรับกลุ่ม MPV, BYD Denza D9 มียอดขายสูงสุดที่ 9,045 คัน ครองแชมป์อันดับ 1 ตามมาด้วย Toyota Sienna และ Voyah Dreamer

อนาคตตลาดรถยนต์จีน

การเติบโตอย่างต่อเนื่องของรถยนต์กลุ่ม NEVs โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กถึงกลางที่เน้นราคาเข้าถึงง่ายและเทคโนโลยีล้ำสมัย บ่งชี้ถึงศักยภาพการเติบโตของแบรนด์จีนที่จะขยายอิทธิพลทั้งในและนอกประเทศต่อไป

รถ Hatchback: ความคุ้มค่าที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกสไตล์การขับขี่

รถ Hatchback หรือรถยนต์ 5 ประตู (บางรุ่นมี 3 ประตู) คือหนึ่งในรูปแบบรถยนต์ที่มีความยืดหยุ่นและได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดไทย ด้วยพื้นฐานที่พัฒนามาจากรถซีดานหรือรถเก๋ง แต่เพิ่มความสะดวกสบายด้วยประตูบานที่ 5 ซึ่งมักจะรวมกระจกบังลมหลังและเปิดขึ้นได้ทั้งบาน ทำให้การเข้าถึงพื้นที่เก็บสัมภาระทำได้ง่ายกว่ารถซีดานทั่วไป

ข้อดีของรถ Hatchback

พื้นที่ใช้สอยที่เพิ่มขึ้น: ด้วยการออกแบบที่เน้นความกว้างขวาง โดยเฉพาะในส่วนของผู้โดยสารตอนหลัง ทำให้ผู้ที่มีความสูงสามารถนั่งได้อย่างสบาย
เบาะหลังพับได้: เพิ่มความอเนกประสงค์ในการขนย้ายสัมภาระขนาดใหญ่ได้อย่างง่ายดาย
ขนาดกะทัดรัด: เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมืองที่คล่องตัว มุดช่องแคบ หรือหาที่จอดรถได้สะดวก
ประหยัดน้ำมัน: รถ Hatchback ส่วนใหญ่จัดอยู่ในกลุ่ม Eco Car ทำให้ประหยัดน้ำมัน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ทัศนวิสัยดี: กระจกบานใหญ่ให้มุมมองในการขับขี่ที่กว้างขวาง

รถ Hatchback รุ่นน่าสนใจประจำปี 2568

Honda City Hatchback:
จุดเด่น: ดีไซน์สปอร์ต, ห้องโดยสารกว้างขวาง, ระบบ e:HEV ประหยัดน้ำมัน (27 กม./ลิตร) สำหรับรุ่นไฮบริด, ขับสนุก คล่องตัว
ราคา: เริ่มต้น 599,000 บาท (รุ่น S+)
รุ่นแนะนำ: Honda City Hatchback e:HEV RS ราคา 799,000 บาท
Toyota Yaris Hatchback:
จุดเด่น: ความน่าเชื่อถือของแบรนด์, ศูนย์บริการครอบคลุม, ทนทาน, ประหยัดน้ำมัน (สำหรับเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร)
ราคา: เริ่มต้น 559,000 บาท (รุ่น Sport)
รุ่นแนะนำ: Toyota Yaris รุ่น Premium S ราคา 694,000 บาท
Mazda 2 Hatchback:
จุดเด่น: ดีไซน์สปอร์ตล้ำสมัย, ขับสนุก, ช่วงล่างเฟิร์ม, ภายในใช้วัสดุคุณภาพดี, ประหยัดน้ำมัน
ราคา: เริ่มต้น 529,000 บาท (รุ่น 1.3 Prime Sports)
รุ่นแนะนำ: Mazda 2 Hatchback 1.5 XDL Signature Sports ราคา 749,000 บาท (ดีเซล)
Mazda 3 Fastback:
จุดเด่น: ดีไซน์พรีเมียมหรูหรา, ภายในโดดเด่น, เทคโนโลยี i-Activsense, ช่วงล่างดีมาก เกาะถนนหนึบ
ราคา: เริ่มต้น 979,000 บาท (รุ่น 2.0 C SPORTS)
รุ่นแนะนำ: Mazda 3 Fastback 2.0 SP SPORTS ราคา 1,198,000 บาท
Suzuki Swift:
จุดเด่น: ขนาดเล็กกะทัดรัด, ประหยัดน้ำมัน, ช่วงล่างดีเยี่ยม, ราคาเข้าถึงง่าย
ราคา: เริ่มต้น 567,000 บาท (รุ่น GL)
รุ่นแนะนำ: Suzuki Swift รุ่น GLX ราคา 637,000 บาท
Mitsubishi Mirage:
จุดเด่น: รถคันเล็กน่ารัก, ขับง่าย, วงเลี้ยวแคบ, ประหยัดน้ำมัน, ค่าบำรุงรักษาไม่แพง
ราคา: เริ่มต้น 509,000 บาท (รุ่น ACTIVE CVT)
รุ่นแนะนำ: Mitsubishi Mirage SMART CVT ราคา 579,000 บาท
Honda Civic Hatchback (มือสอง):
จุดเด่น: เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร VTEC TURBO เร้าใจ, ดีไซน์สปอร์ต, ปัจจุบันหาได้เฉพาะในตลาดมือสอง
ราคา (มือสอง): เริ่มต้น 659,000 บาท
Nissan March (มือสอง):
จุดเด่น: ผู้ริเริ่ม Eco Car, ขนาดเล็กมาก, ประหยัดน้ำมัน, คล่องตัว, หาซื้อได้เฉพาะรถมือสอง
ราคา (มือสอง): เริ่มต้น 98,000 บาท

สรุป

รถ Hatchback คือตัวเลือกที่คุ้มค่า ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย ตั้งแต่การใช้งานในเมืองไปจนถึงการเดินทางไกล ด้วยสมรรถนะที่โดดเด่น ดีไซน์ที่ทันสมัย และราคาที่จับต้องได้ ทำให้รถยนต์ประเภทนี้ยังคงเป็นที่นิยมในตลาดไทย

การเดินทางสู่ยุคใหม่: มองอนาคตตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไทย และกลยุทธ์ของผู้ผลิต

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ การเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่ๆ และนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ ได้จุดประกายให้เกิดการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV)

ภาพรวมตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไทยในปี 2568

แม้ว่าในเดือนมกราคม 2568 จะเห็นสัญญาณการลดลงของยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า 100% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสนใจของผู้บริโภคต่อยานยนต์พลังงานสะอาดกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง BYD ยังคงเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งที่สุดในตลาด โดยมีรุ่นอย่าง BYD Sealion 7, Dolphin, และ M6 ที่ได้รับความนิยมสูง ขณะที่แบรนด์อื่นๆ เช่น Deepal, MG, NETA, และ ORA ก็กำลังเร่งสร้างฐานลูกค้าของตนเอง

กลยุทธ์ของผู้ผลิตในการขับเคลื่อนตลาด

BYD: คงความเป็นผู้นำด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ตั้งแต่รถยนต์ขนาดเล็กราคาเข้าถึงง่าย ไปจนถึงรถยนต์ SUV ขนาดใหญ่ และการเน้นย้ำถึงเทคโนโลยีแบตเตอรี่ Blade Battery ที่มีความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูง
แบรนด์จีนอื่นๆ: เช่น NETA, MG, Deepal, ChangAn, และ ORA กำลังใช้กลยุทธ์ด้านราคาที่แข่งขันได้ และการนำเสนอเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มใหม่ๆ
แบรนด์ญี่ปุ่น: เช่น Toyota และ Honda แม้จะเริ่มช้ากว่าในตลาด BEV แต่ก็กำลังปรับตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยการนำเสนอรถยนต์ Hybrid (HEV) ที่ได้รับความนิยมสูงมากในปัจจุบัน และเตรียมพร้อมสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นใหม่ๆ ที่จะตามมา
แบรนด์ยุโรปและอเมริกา: เช่น Tesla, Volvo, และแบรนด์อื่นๆ กำลังรุกตลาดด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย และเน้นภาพลักษณ์ความเป็นพรีเมียม

ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต

นโยบายภาครัฐ: การสนับสนุนด้านภาษี, เงินอุดหนุน, และการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน (สถานีชาร์จ) เป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งเสริมการเติบโตของตลาด
ความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม: ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และมองหารถยนต์ที่ปล่อยมลพิษต่ำ
เทคโนโลยีและนวัตกรรม: การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่, สมรรถนะการขับขี่, และระบบช่วยเหลือการขับขี่ ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีความน่าสนใจมากขึ้น
ต้นทุนการใช้งาน: แม้ราคาซื้อเริ่มต้นอาจจะสูงกว่ารถยนต์สันดาป แต่ต้นทุนการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในระยะยาว (ค่าพลังงาน, ค่าบำรุงรักษา) มีแนวโน้มที่จะต่ำกว่า

อนาคตตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไทย: ความท้าทายและโอกาส

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ การแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจะนำมาซึ่งทางเลือกที่หลากหลายและราคาที่น่าสนใจมากขึ้นสำหรับผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงมีอยู่ เช่น ความเพียงพอของสถานีชาร์จ, ความกังวลเกี่ยวกับอายุการใช้งานแบตเตอรี่, และราคาที่ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อ

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยานยนต์ ผมมองว่าปี 2568 จะเป็นปีแห่งการปรับตัวและเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ การจับตาดูแนวโน้มของตลาดจีน ซึ่งเป็นต้นแบบของหลายๆ ตลาด จะช่วยให้เราเห็นภาพอนาคตของรถยนต์ไฟฟ้าไทยได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

หากคุณกำลังพิจารณาที่จะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือต้องการข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลือกซื้อรถยนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณและสอดคล้องกับเทรนด์แห่งอนาคต อย่าลังเลที่จะติดต่อผู้เชี่ยวชาญของเราเพื่อรับคำปรึกษา และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางสู่อนาคตยานยนต์ที่ยั่งยืนไปพร้อมกัน

Previous Post

N3112038 แรกๆก หวาน นานๆก เปล ยน part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N3112043_รอคอยเธอมา 10ป เจอก นอ กท องได เป นแฟน (1)_part2
  • N3112038 แรกๆก หวาน นานๆก เปล ยน part2
  • N3112041 การร บม อก บคำโกหก นไม ใช เร องง าย (1) part2
  • N3112033 เช อฟ งภรรยาได กคน part2
  • N3112052 การร บม อก บคำโกหก นไม ใช เร องง าย part2

Recent Comments

No comments to show.

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.