All-New Mazda 3: ความเป็นหนึ่งเดียวของการขับขี่ สู่ประสบการณ์ใหม่แห่งยนตรกรรม
ในยุคที่ตลาดรถยนต์มีการแข่งขันสูง การสรรหารถยนต์ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านสมรรถนะ การออกแบบ และราคาที่จับต้องได้ กลายเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับผู้บริโภคทุกกลุ่ม แต่เมื่อมีรถยนต์สักคันที่สามารถผสานทุกองค์ประกอบเหล่านี้ได้อย่างลงตัว ประสบการณ์การขับขี่ที่หลายคนใฝ่ฝันก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป All-New Mazda 3 คือคำตอบที่ผมในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในวงการยานยนต์มากว่า 10 ปี อยากจะนำเสนอแก่ท่านผู้อ่าน
Mazda 3 ใหม่ ไม่เพียงแต่เป็นรถยนต์ที่สร้างความฮือฮาตั้งแต่เปิดตัว แต่ยังสะท้อนถึงปรัชญาการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของ Mazda ที่เรียกว่า “KODO – Soul of Motion” ซึ่งสอดผสานเข้ากับเทคโนโลยี “SKYACTIV” อันล้ำสมัยได้อย่างลงตัว จนสามารถสะกดใจผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว และการมาถึงของ Mazda 3 ใหม่ ในประเทศไทยที่เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ยิ่งตอกย้ำความสำเร็จของทีมการตลาด Mazda ได้เป็นอย่างดี
การออกแบบ KODO: จิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหว สู่รูปลักษณ์ที่น่าหลงใหล
สิ่งที่ทำให้ All-New Mazda 3 โดดเด่นตั้งแต่แรกเห็นคือการออกแบบภายนอกที่ถ่ายทอด DNA ของ KODO Design ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้ว่าเราจะเคยเห็นเส้นสายเหล่านี้ในรถยนต์รุ่นก่อนหน้าอย่าง Mazda CX-5 มาบ้างแล้ว แต่ใน Mazda 3 ใหม่ นี้ ความปราดเปรียวและความสปอร์ตได้ถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น
เส้นสายที่เฉียบคม สะท้อนถึงการเคลื่อนไหวราวกับสัตว์ป่าที่กำลังจะพุ่งทะยาน ด้านหน้าของรถโดดเด่นด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่รูปทรง 5 เหลี่ยมสีดำเงา ที่ผสานรับกับชุดไฟหน้า LED ดีไซน์เฉี่ยวคม ให้ความรู้สึกที่ดุดัน ราวกับดวงตาของนักล่าที่กำลังจับจ้อง เมื่อมองจากด้านหน้าตรงๆ คุณจะรู้สึกได้ถึงพลังและความมั่นใจที่ Mazda 3 ใหม่ ส่งออกมา
เมื่อมองมาที่ด้านข้าง โป่งล้อหน้าที่ดูบึกบึนให้มิติความเป็นรถสปอร์ตอย่างชัดเจน เส้นสายที่ลากยาวต่อเนื่องไปจนถึงด้านท้าย สะท้อนถึงพลวัตของการเคลื่อนไหว แม้ว่าด้านท้ายของรุ่น 5 ประตูจะมีความคล้ายคลึงกับรถยนต์ไฮบริดหรูบางรุ่น แต่โดยรวมแล้ว Mazda 3 ใหม่ ทั้งในรุ่นซีดานและแฮทช์แบ็ก ล้วนมีความลงตัวในแบบของตัวเอง โดยเฉพาะรุ่นซีดานที่เส้นสายของฝากระโปรงท้ายช่วยเสริมรายละเอียดของไฟท้ายให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้น
ในรุ่นท็อปสุดที่เราได้สัมผัส ยังมาพร้อมกับล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 215/45R18 ซึ่งช่วยเสริมภาพลักษณ์ความสปอร์ตและความปราดเปรียวให้กับตัวรถได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ภายในห้องโดยสาร: การผสมผสานระหว่างความหรูหราและความสปอร์ต
เมื่อก้าวเข้ามาสู่ภายในห้องโดยสารของ All-New Mazda 3 คุณจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ผสมผสานระหว่างความสปอร์ตและความหรูหราได้อย่างลงตัว ตั้งแต่รายละเอียดการออกแบบคอนโซลหน้าที่ตกแต่งด้วยวัสดุสีเงินตัดกับสีดำ ให้ความรู้สึกทันสมัย และอาจจะชวนให้นึกถึงดีไซน์ของรถยนต์ยุโรปชั้นนำ
ชุดมาตรวัดที่อยู่ตรงหน้าคนขับ ถูกออกแบบให้มีความทันสมัย โดยวัดรอบเครื่องยนต์แบบอนาล็อก ยังคงไว้ซึ่งความคลาสสิกสำหรับผู้ที่รักความเร็ว ส่วนการแสดงผลความเร็ว ระบบดิจิทัล และข้อมูลการขับขี่ต่างๆ เช่น อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน ตำแหน่งเกียร์ จะแสดงผลอย่างชัดเจนบนหน้าจอ
จุดเด่นที่สะดุดตาคือ จอแสดงผลแบบอะคริลิค ที่ดูคล้ายกับห้องควบคุมนักบิน ซึ่งให้ความรู้สึกแปลกตาและน่าสนใจ นี่คือการนำเสนอเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่ Mazda 3 ใหม่ นำเสนอให้แก่ผู้ขับขี่
ระบบ MZD Connect คือหัวใจสำคัญของความบันเทิงและการเชื่อมต่อใน Mazda 3 ใหม่ หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ที่ติดตั้งอยู่กลางคอนโซล สามารถใช้งานผ่านการสัมผัส หรือจะควบคุมผ่าน Center Commander ที่ใช้งานง่ายด้วยการหมุน ผลัก และกด ก็สามารถทำได้ตามความถนัด ระบบนี้รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth และ USB รวมถึงยังเป็นศูนย์กลางในการควบคุมการทำงานบางส่วนของรถ
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของผม การออกแบบหน้าจอที่ยื่นออกมาเช่นนี้ หากสามารถพัฒนาให้กลายเป็นแท็บเล็ตขนาดเล็กที่ผู้ใช้สามารถพกพาออกไปใช้งานนอกรถได้ ก็จะเป็นอีกหนึ่งไอเดียที่น่าสนใจไม่น้อย
เบาะนั่งของ Mazda 3 ใหม่ ถูกออกแบบมาให้กระชับและโอบรับสรีระได้อย่างดีเยี่ยม ให้ความรู้สึกสปอร์ตตั้งแต่แรกสัมผัส ปีกด้านข้างของพนักพิงช่วยประคองผู้ขับขี่ได้อย่างมั่นคง ในรุ่นท็อป คุณจะได้สัมผัสกับเบาะหนังสี Off-White ที่ให้ความรู้สึกหรูหรา แต่สำหรับผม เบาะสีดำที่เย็บด้วยด้ายแดง กลับให้ความรู้สึกที่ลงตัวและสะท้อนความเป็นสปอร์ตได้ดีกว่า
พวงมาลัยขนาดกำลังพอดีมือ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการควบคุม แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยคือ โพรงตรงกลางพื้นห้องโดยสารด้านหลัง ซึ่งแตกต่างจากรถยนต์คอมแพ็คคาร์รุ่นอื่นๆ ในปัจจุบัน ที่มักจะมีพื้นห้องโดยสารที่เรียบเสมอกัน เพื่อเพิ่มพื้นที่การโดยสารตามหลักวิศวกรรมสมัยใหม่ ทาง Mazda ชี้แจงว่าโพรงนี้ไม่ได้เกิดจากเพลาขับ แต่เป็นท่อที่เก็บขึ้นมาจากด้านล่างเพื่อลดลมหมุนวนใต้ท้องรถ ซึ่งแม้จะฟังดูมีเหตุผล แต่ก็ยังคงเป็นจุดที่อาจสร้างความสงสัยให้กับผู้โดยสารได้
อีกประเด็นที่ต้องยอมรับคือ ระยะห่างระหว่างเบาะหน้าและเบาะหลัง ใน Mazda 3 ใหม่ ค่อนข้างกระชับ ทำให้ระยะวางขาและเข่าอาจจะดูแคบไปเล็กน้อยสำหรับผู้โดยสารที่มีรูปร่างใหญ่ หรือผู้ที่ต้องการพื้นที่ผ่อนคลายมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่ารถรุ่นนี้ถูกเซ็ตมาเพื่อการโดยสารสูงสุด 4 คน เพื่อความสมดุลในการขับขี่และไม่เพิ่มภาระน้ำหนักให้กับเครื่องยนต์และยางสปอร์ตแก้มบาง
ขุมพลัง SKYACTIV G 2.0 ลิตร: พลังที่มาพร้อมความรู้สึกที่เหนือกว่า
หัวใจหลักของ All-New Mazda 3 ในปี 2014 นี้ คือ เครื่องยนต์ SKYACTIV-G ขนาด 2.0 ลิตร บล็อกเดียวที่ให้สมรรถนะที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง แม้ว่ากำลังสูงสุดที่ 165 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 210 นิวตันเมตร จะเป็นตัวเลขเดียวกับที่พบใน Mazda CX-5 แต่สิ่งที่ทำให้ Mazda 3 ใหม่ โดดเด่นกว่าอย่างชัดเจน คือ การปรับจูนระบบส่งกำลัง
ระบบเกียร์ SKYACTIV-DRIVE แบบอัตโนมัติ พร้อมโหมด Activematic ที่ให้คุณสามารถเลือกเปลี่ยนเกียร์ได้เองตามต้องการ และในรุ่นท็อป ยังเพิ่ม Paddle Shift ที่คอพวงมาลัย มาเสริมอารมณ์สปอร์ตให้มากยิ่งขึ้น
เมื่อได้สัมผัสกับการขับขี่ Mazda 3 ใหม่ ความรู้สึกที่ได้นั้นดีกว่าที่เคยสัมผัสใน Mazda CX-5 อย่างชัดเจน อาจเป็นเพราะขนาดที่เล็กลงและน้ำหนักที่เบากว่า (Mazda 3 Hatchback หนักเพียง 1,297 กิโลกรัม เทียบกับ Mazda CX-5 2.0 ที่หนัก 1,459 กิโลกรัม) แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความแตกต่างอย่างมหาศาลคือ อัตราทดเฟืองท้าย
อัตราทดเฟืองท้ายที่ต่างกันอย่างมีนัยยะ (4.624 ใน CX-5 เทียบกับ 3.812 ใน Mazda 3) คือกุญแจสำคัญที่ทำให้ Mazda 3 ใหม่ พุ่งทะยานออกไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ รถมีอัตราเร่งที่ดีจนคุณอาจไม่เชื่อว่าเป็นเครื่องยนต์บล็อกเดียวกัน! ความรู้สึกที่ได้รับนั้นเต็มไปด้วยความสปอร์ตเร้าใจ ชวนให้นึกถึงการขับขี่รถยนต์ที่มีสมรรถนะสูงกว่า
แม้ว่าตัวเลขแรงม้าอาจจะไม่ใช่ที่สุดในกลุ่มรถคอมแพ็คคาร์ 2.0 ลิตร แต่การเซ็ตระบบส่งกำลังที่ยอดเยี่ยม ทำให้ Mazda 3 ใหม่ ถ่ายทอดกำลังไปยังล้อได้อย่างลงตัว ชุดเกียร์ SKYACTIV-DRIVE มีความแม่นยำ ให้ความรู้สึกในการพุ่งทะยานที่ดี แต่ไม่กระด้าง และยังคงความนุ่มนวลไว้ได้ ซึ่งเป็นการรวมข้อดีของระบบเกียร์อัตโนมัติชั้นนำเข้าไว้ด้วยกัน
เมื่อรอบเครื่องยนต์เกิน 3,000 รอบต่อนาที Mazda 3 ใหม่ จะแสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมาอย่างเต็มเปี่ยม แรงดึงที่ได้มีอย่างต่อเนื่องจนถึง Redline แม้จะไม่ดุดันถึงขั้นบ้าระห่ำ แต่ก็ไม่มีจังหวะใดที่รู้สึกว่ารถหมดกำลัง หรือตันจนไม่สามารถทำกำลังได้ดี
การเซ็ตเครื่องยนต์และเกียร์ในลักษณะนี้มีข้อดีคือ สามารถเลือกรักษารอบเครื่องยนต์เพื่อความประหยัด หรือจะลากรอบขึ้นไปเพื่อสัมผัสกับอารมณ์สปอร์ตเร้าใจ ก็ทำได้อย่างง่ายดาย เป็นการแบ่งแยกการใช้งานที่ชัดเจน
JINBA ITTAI: ปรัชญาแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกับรถ
สิ่งที่ Mazda ยึดมั่นมาโดยตลอดคือปรัชญา “JINBA ITTAI” หรือ “ความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างผู้ขับขี่และรถ” และใน All-New Mazda 3 นี้ ปรัชญานี้ได้ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าทึ่ง
ทุกองค์ประกอบถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมประสบการณ์นี้อย่างแท้จริง ตั้งแต่คันเร่งที่ตอบสนองไว พวงมาลัยขนาดเล็กที่จับกระชับมือ เบาะนั่งสปอร์ตที่วางตำแหน่งให้เตี้ยกว่ารถคอมแพ็คคาร์ทั่วไป ล้ออัลลอย 18 นิ้ว และที่สำคัญคือ Head-Up Cockpit
Head-Up Cockpit คือเทคโนโลยีที่แสดงข้อมูลการขับขี่สำคัญๆ เช่น ความเร็ว ตำแหน่งเกียร์ หรือแม้แต่ระบบนำทาง บนกระจกบังลมด้านหน้าในระดับสายตาของผู้ขับขี่ ช่วยลดการละสายตาจากถนน ทำให้ผู้ขับขี่มีสมาธิกับการควบคุมรถได้ดียิ่งขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ แม้จะใช้ความเร็วสูงก็ตาม
การที่ Mazda สามารถทำให้ผู้ขับขี่มีสมาธิและกล้าที่จะเพิ่มความเร็วต่อไป แม้จะขับขี่ด้วยความเร็วสูง ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสำเร็จในการออกแบบ Human-Machine Interface ที่ลงตัว
ตัวเลขความเร็วที่ปรากฏบนหน้าปัดเมื่อขับขี่ที่ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนเส้นทางลาดชันสู่เขาสก จังหวัดสุราษฎร์ธานี กลับใช้รอบเครื่องยนต์เพียง 2,500 รอบต่อนาที ซึ่งหมายความว่าที่เกียร์ 6 รอบ 3,000 รอบต่อนาที Mazda 3 ใหม่ สามารถทำความเร็วได้เกือบ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง!
ช่วงล่างที่เหนือชั้น: ความแน่นหนึบที่มอบความมั่นใจ
นอกเหนือจากสมรรถนะเครื่องยนต์และเกียร์แล้ว ช่วงล่าง คืออีกหนึ่งจุดแข็งสำคัญของ All-New Mazda 3 ที่ได้รับการพัฒนามาอย่างดีเยี่ยม ด้วยการเซ็ตมุมช่วงล่างใหม่และการออกแบบช่วงล่างปีกนกชิ้นเดียวเฉพาะตัว ทำให้ระบบช่วงล่างในการเข้าโค้งมีความแน่นหนึบ และมั่นคงอย่างยิ่ง
สไตล์ช่วงล่างของ Mazda 3 ใหม่ ให้ความรู้สึกสปอร์ต แน่น แต่ก็ยังคงความยืดหยุ่นในการยุบตัวได้อย่างรวดเร็ว สปริงที่ค่อนข้างแข็ง ช่วยตอบสนองต่อการเข้าโค้งและการใช้ความเร็วสูงได้อย่างลงตัว เป็นความสมดุลที่ยอดเยี่ยมสำหรับรถสปอร์ตคอมแพ็คคาร์อย่างแท้จริง
ในการทดสอบอัตราเร่งบนทางตรงยาว 1.6 กิโลเมตร ชุดเกียร์ตบลงจาก 5 ไป 4 เพื่อดึงสมรรถนะเครื่องยนต์ 165 แรงม้าออกมาอย่างเต็มพิกัด ความเร็วไต่ขึ้นอย่างรวดเร็วจนถึง 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก่อนที่เครื่องจะเปลี่ยนเกียร์ขึ้นสู่เกียร์ 6 และยังคงสามารถทำความเร็วต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง
จากการทดสอบ Mazda 3 ใหม่ สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 182 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีความเป็นไปได้สูงที่จะสามารถทำความเร็วได้ถึง 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเศษๆ หากมีระยะทางที่เพียงพอ
ระบบเบรกประสิทธิภาพสูง: มั่นใจทุกการหยุดชะงัก
เมื่อพูดถึงสมรรถนะที่สูง แน่นอนว่าระบบเบรกย่อมมีความสำคัญอย่างยิ่ง All-New Mazda 3 มาพร้อมระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ โดยคู่หน้าเป็นจานระบายความร้อน ซึ่งมีประสิทธิภาพในการหยุดรถได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถลดความเร็วจาก 182 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ลงมาที่ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้อย่างง่ายดายภายในระยะทาง 400 เมตร โดยไม่ต้องออกแรงกดแป้นเบรกมากเกิน 50%
นี่คือเครื่องยืนยันว่า Mazda 3 ใหม่ ไม่ได้มีเพียงสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม แต่ยังมีระบบความปลอดภัยที่ครบครัน ซึ่งแตกต่างจากรถยนต์บางรุ่นที่เครื่องยนต์และเกียร์ดี แต่ระบบเบรกกลับไม่สามารถรองรับประสิทธิภาพดังกล่าวได้
อัตราสิ้นเปลือง: ประสิทธิภาพที่มาพร้อมความคุ้มค่า
แม้ว่าในการขับขี่ทดสอบบนเส้นทางจากระนองสู่สุราษฎร์ธานี เราจะใช้ความเร็วสูงเป็นส่วนใหญ่ และเครื่องยนต์ถูกลากรอบสูงเกือบตลอดเวลา แต่อัตราสิ้นเปลืองที่ได้อยู่ที่ประมาณ 9.6 ลิตร/100 กิโลเมตร (หรือประมาณ 10.4 กิโลเมตร/ลิตร) ถือว่าน่าประทับใจเมื่อพิจารณาจากรูปแบบการขับขี่
บทสรุป: Mazda 3 ใหม่ การเปลี่ยนแปลงที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ
All-New Mazda 3 คือรถยนต์ที่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของ Mazda ในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนายานยนต์ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในราคาที่จับต้องได้ ตั้งแต่แนวคิดการออกแบบที่สดใหม่ การถ่ายทอดปรัชญา KODO Design สู่รูปลักษณ์ที่น่าหลงใหล ผสานกับเทคโนโลยี SKYACTIV ที่เหนือกว่า
สำหรับผู้ที่กำลังมองหารถยนต์คอมแพ็คคาร์สไตล์สปอร์ต Mazda 3 ใหม่ คือตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบ ด้วยราคาเริ่มต้นที่น่าดึงดูด ไปจนถึงรุ่นท็อปที่มาพร้อมกับลูกเล่นและเทคโนโลยีมากมาย นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในความหมายของคำว่า “เราใส่ความสปอร์ตไปในรถทุกคันที่เราผลิต” ของค่ายรถยนต์จากฮิโรชิม่า
ตลาดรถพรีเมียมในจีน: การเติบโตที่น่าจับตามอง
ในขณะที่เราพูดถึงนวัตกรรมยานยนต์ในระดับสากล ตลาดรถยนต์พรีเมียมในประเทศจีนกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด และมีแนวโน้มที่จะแซงหน้าสหรัฐอเมริกาขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของโลกในอนาคตอันใกล้นี้ การสำรวจล่าสุดโดย Hurun Research Institute ในเซี่ยงไฮ้ ได้เผยให้เห็นถึงภาพรวมของลูกค้ากลุ่มรถหรูในแดนมังกรที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
ผลการสำรวจจากเจ้าของรถพรีเมียม 800 คนใน 10 เมืองใหญ่ของจีน ชี้ให้เห็นว่าลูกค้ากลุ่มนี้มีอายุเฉลี่ยเพียง 33.5 ปีเท่านั้น และมีรายได้ครัวเรือนต่อปีเฉลี่ยอยู่ที่ 984,000 หยวน หรือราว 5.2 ล้านบาท
น่าสนใจที่กลุ่มลูกค้า Mercedes-Benz ในจีนส่วนใหญ่เป็นเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จและมีความมั่งคั่งมากที่สุด โดยมีทรัพย์สินเฉลี่ยสูงถึง 11.3 ล้านหยวน (ประมาณ 60 ล้านบาท) ในขณะที่เจ้าของรถ Infiniti มีทรัพย์สินน้อยที่สุดในกลุ่มที่สำรวจ (6.4 ล้านหยวน หรือ 34 ล้านบาท) ซึ่งก็ยังถือว่ามีความมั่งคั่งในระดับสูง
กลุ่มลูกค้า Audi ที่มียอดขายสูงสุดในจีน ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ ขณะที่ผู้ซื้อ BMW มักเป็นเศรษฐีรุ่นใหม่ ส่วนลูกค้า Cadillac แบรนด์หรูจากอเมริกา เกือบทั้งหมดเป็นพนักงานประจำในบริษัทเอกชน และลูกค้า Lexus มีความหลากหลายมากที่สุด
ข้อมูลนี้ยังชี้ให้เห็นว่าลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อรถพรีเมียมในจีน เป็นการซื้อรถหรูเป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับแบรนด์รถยนต์หน้าใหม่ในตลาดจีนอย่าง Infiniti และ Lincoln ในการช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาด
Honda Jazz: สุขุม นุ่ม ลึก ตอบโจทย์ชีวิตคนเมือง
ในอีกมุมหนึ่งของตลาดรถยนต์ขนาดเล็ก Honda Jazz ยังคงเป็นรถยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทย ด้วยความอเนกประสงค์ ความประหยัด และราคาที่เข้าถึงได้ ทำให้ Jazz กลายเป็นขวัญใจของคนเมืองมาอย่างยาวนาน
Honda Jazz ใหม่ รุ่นที่สาม ที่เปิดตัวในปี 2557 ได้นำเสนอการออกแบบที่ก้าวล้ำทันสมัยภายใต้ปรัชญา “Exciting H” โดยฉีกแนวคิดการออกแบบเดิมๆ ทิ้งไป ด้านหน้าโดดเด่นด้วยดีไซน์ “Solid Wing Face” ที่ให้ความรู้สึกสง่างามและปราดเปรียว รับกับไฟหน้าดีไซน์ใหม่ที่ลงตัวยิ่งขึ้น
การออกแบบภายนอกภายใต้แนวคิด “Crossfade MonoForm” ทำให้เส้นสายตลอดทั้งคันดูกลมกลืนต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ด้านหน้า ด้านข้าง ไปจนถึงด้านท้ายที่ลงตัวกับไฟท้าย LED มาตรฐานในทุกรุ่น
ภายในห้องโดยสาร Honda Jazz ใหม่ ยังคงความทันสมัยภายใต้แนวคิด “Futuristic Cockpit” คอนโซลหน้ามาพร้อมระบบความบันเทิง Honda Advance Touch หน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์สีแดง เมื่อกดปุ่มสตาร์ท มาตรวัดเรืองแสงจะทำงาน สร้างความรู้สึกราวกับหลุดไปอยู่ในโลกอนาคต
เบาะนั่งคู่หน้าให้ความรู้สึกสปอร์ตเล็กน้อย ช่วยกระชับผู้ขับขี่ในยามเข้าโค้ง แต่จุดเด่นที่แท้จริงของ Jazz คือความอเนกประสงค์ของเบาะหลังที่สามารถพับได้ในอัตราส่วน 60/40 เพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระได้อย่างมหาศาล เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมต่างๆ หรือการขนย้ายสิ่งของ
ภายใต้รูปลักษณ์ที่เล็กกะทัดรัด Honda Jazz ใหม่ ซ่อนเครื่องยนต์ 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 117 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 146 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านชุดเกียร์ CVT ที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น และที่สำคัญคือรุ่นใหม่นี้รองรับพลังงานทางเลือก E85 ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้อย่างมาก
ในการขับขี่ในเมือง Honda Jazz ใหม่ ให้ความคล่องตัวสูง พวงมาลัยน้ำหนักเบา ช่วยให้การควบคุมและการจอดทำได้ง่ายดาย แม้ในสภาพการจราจรที่ติดขัด เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร พร้อมกำลัง 117 แรงม้า ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานในเมือง ที่เน้นการออกตัวและเร่งแซงระยะสั้นๆ
ชุดเกียร์ CVT ใหม่ แม้จะให้ความรู้สึกในการขับขี่ที่นุ่มนวลและประหยัดน้ำมัน แต่ก็อาจจะตอบสนองความเร้าใจในการขับขี่ได้น้อยกว่าระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีดในรุ่นก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ระบบ Paddle Shift ที่มีมาให้ในรุ่นท็อป ก็ช่วยเพิ่มอรรถรสในการขับขี่ได้บ้าง
ในการทดสอบอัตราเร่ง Honda Jazz ใหม่ ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเฉลี่ยที่ 12.48 วินาที และอัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ 6 วินาที ซึ่งถือว่าค่อนข้างน่าพอใจสำหรับรถยนต์ในกลุ่มนี้
นอกเมือง Honda Jazz ใหม่ ก็แสดงศักยภาพในการเดินทางไกลได้อย่างน่าประทับใจ ช่วงล่างที่เซ็ตมาอย่างลงตัวระหว่างความนุ่มนวลและความแน่นหนึบ ช่วยให้การเข้าโค้งทำได้อย่างมั่นใจ แม้จะใช้ความเร็วสูงก็ตาม
โดยสรุป Honda Jazz ใหม่ ยังคงรักษาจุดเด่นของความเป็นรถยนต์ที่คุ้มค่า ใช้งานได้หลากหลาย และราคาที่เข้าถึงได้ไว้ได้อย่างครบถ้วน การพัฒนาดีไซน์และฟังก์ชันการใช้งานให้ทันสมัยยิ่งขึ้น พร้อมความสามารถในการรองรับเชื้อเพลิง E85 ทำให้ Honda Jazz ใหม่ ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้บริโภคชาวไทย
BMW ActiveHybrid5 M Sport: พลังไฮบริดผสานความหรูหราและสมรรถนะ
สำหรับผู้ที่มองหารถยนต์หรูหราที่มาพร้อมกับสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม BMW ประเทศไทย ได้นำเสนอ BMW ActiveHybrid5 M Sport ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจในตลาดรถยนต์ไฮบริด
ActiveHybrid5 M Sport ผสานเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ เทคโนโลยี TwinPower Turbo ขนาด 2.979 ซีซี. ที่ให้กำลังสูงสุด 306 แรงม้า เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า 40 กิโลวัตต์ ให้กำลังรวมสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 5.9 วินาที และความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ภายนอกโดดเด่นด้วยชุดแต่ง M Sportรอบคัน ที่เสริมความดุดันและสปอร์ตให้แก่ตัวรถ พร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัยเต็มพิกัด เช่น ไฟหน้า LED ปรับทิศทางตามพวงมาลัย ระบบเปิด-ปิดไฟหน้า/ที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ คอมฟอร์ต แอคเซส ระบบเปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติ ระบบปิดประตูแบบผ่อนแรงกระแทก และซันรูฟไฟฟ้า
ภายในห้องโดยสารมีความหรูหรา สปอร์ต ด้วยพวงมาลัย M Sport คอนโซลหน้าตกแต่งด้วยอลูมิเนียม เบาะหนังทรงสปอร์ตสีน้ำตาล มาพร้อมระบบ iDrive รุ่นใหม่ที่รองรับระบบสัมผัส จอแสดงผลขนาด 10.2 นิ้ว ระบบนำทาง 3 มิติ และ Head-Up Display
ระบบเสียง Harman Kardon 600 วัตต์ พร้อมลำโพง 16 ตัว และจอภาพขนาด 9.2 นิ้ว 2 จอสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ยิ่งเพิ่มความสมบูรณ์แบบให้กับประสบการณ์การเดินทาง
BMW ActiveHybrid5 M Sport มอบการขับขี่ที่หลากหลาย สามารถเลือกได้ทั้งโหมดที่เน้นความประหยัด นุ่มนวล หรือโหมดสปอร์ตที่ดุดัน ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย และระบบปรับความนุ่มของโช๊คอัพอัตโนมัติ ช่วยเพิ่มอรรถรสในการขับขี่ในทุกสภาวะ
แม้ราคาจะสูงถึง 5.599 ล้านบาท (สำหรับรุ่น M Sport) แต่ก็แลกมาด้วยเทคโนโลยีสมรรถนะ และความหรูหราที่ครบครัน ทำให้ BMW ActiveHybrid5 M Sport เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์ที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งความแรง ความหรู และความสบาย
พบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ
ไม่ว่าคุณจะกำลังมองหารถยนต์คอมแพ็คคาร์สไตล์สปอร์ตที่ให้ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับผู้ขับขี่ รถยนต์ซิตี้คาร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างคุ้มค่า หรือรถยนต์หรูหราที่มาพร้อมเทคโนโลยีและสมรรถนะอันยอดเยี่ยม ตลาดรถยนต์ในปัจจุบันมีตัวเลือกที่หลากหลายซึ่งพร้อมจะตอบสนองความต้องการของคุณ
หากคุณพร้อมที่จะยกระดับประสบการณ์การขับขี่ของคุณแล้ววันนี้ เชิญเข้ามาสัมผัสรถยนต์ที่คุณสนใจได้ที่โชว์รูมผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ เพื่อค้นหา “รถยนต์ที่ใช่” ที่จะพาคุณไปสู่ทุกจุดหมายได้อย่างสมบูรณ์แบบ
