MINI John Cooper Works: สุดยอดรถยนต์สปอร์ตสายพันธุ์แรงจากตระกูล MINI ที่ปฏิวัติวงการมอเตอร์สปอร์ต
ในโลกแห่งยานยนต์ที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่สามารถสร้างความแตกต่างและตอบโจทย์ความต้องการของนักขับที่มองหาประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครนั้น ถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ ในปี 2015 ที่ผ่านมา MINI ได้ประกาศศักดาด้วยการเปิดตัว MINI John Cooper Works (JCW) ที่งาน Motor Expo 2015 สร้างความฮือฮาด้วยสมรรถนะอันจัดจ้านและดีไซน์ที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของรถสปอร์ตอย่างแท้จริง ด้วยราคาที่นำเข้าทั้งคันที่ 3.45 ล้านบาท MINI John Cooper Works F56 รุ่นนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นจากสำนักแต่งชื่อดัง John Cooper Works ซึ่งมีความผูกพันกับ MINI มาอย่างยาวนาน จนในที่สุดก็เข้ามาอยู่ภายใต้ร่มเงาของ BMW อย่างเป็นทางการ การถือกำเนิดของ JCW ไม่ใช่เพียงการยกระดับขีดความสามารถของ MINI Hatch 3 Door Cooper S เท่านั้น แต่เป็นการยกระดับมาตรฐานของรถยนต์แฮทช์แบ็กสมรรถนะสูงไปอีกขั้น
การออกแบบที่สะท้อนจิตวิญญาณแห่งนักแข่ง: ความดุดันที่มาพร้อมสไตล์
เมื่อมองภายนอก MINI John Cooper Works รุ่นนี้มีความโดดเด่นและดุดันกว่า MINI Hatch 3 Door Cooper S อย่างเห็นได้ชัด การปรับปรุงช่องดักอากาศขนาดใหญ่ที่มุมกันชนด้านข้างไม่ได้เป็นเพียงการเสริมความงาม แต่ยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์และระบบเบรกที่ทำงานหนัก ช่องดักอากาศเหล่านี้ ผสานรวมกับการออกแบบสปอร์ตของกันชนหน้าและหลัง ทำให้รถดูมีพลวัตและพร้อมสำหรับการลงสนามแข่ง ล้ออัลลอยลายดอกไม้สีทูโทนขนาด 18 นิ้ว ลายเฉพาะของ JCW เพิ่มความสง่างามและบ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์ของรุ่นนี้ได้อย่างลงตัว ส่วนท้ายรถถูกปรับเปลี่ยนชุดกันชนใหม่ให้ดูดุดันคล้ายกับด้านหน้า โดยมีช่องระบายอากาศ 4 ช่องที่คั่นกลางด้วยชุดท่อไอเสียคู่ ซึ่งไม่เพียงแต่เสริมภาพลักษณ์สปอร์ต แต่ยังบ่งบอกถึงสมรรถนะที่เหนือกว่า
สิ่งที่ทำให้ MINI John Cooper Works รุ่นนี้มีความพิเศษยิ่งขึ้น คือการเลือกใช้สีสันที่ตัดกันอย่างมีสไตล์ หลังคาและกระจกมองข้างสีแดง Chili Red ตัดกับสีตัวถังพิเศษเฉพาะ JCW อย่างสีเขียว Rebel Green นั้น สร้างความโดดเด่นสะดุดตาบนท้องถนนได้อย่างแน่นอน การตกแต่งด้วยแถบสีดำตัดขอบสีแดงบริเวณกระโปรงรถ ยิ่งเพิ่มความดุดันและความรู้สึกที่สปอร์ตจัดจ้านให้กับตัวรถ โดยรวมแล้ว การออกแบบของ MINI John Cooper Works นี้สะท้อนให้เห็นถึง DNA ของรถแข่งที่ผสมผสานเข้ากับความหรูหราและมีสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของ MINI ได้อย่างลงตัว
นวัตกรรมที่น่าสนใจอีกประการคือ ระบบแสดงผล MINI Head-Up Display ที่มาพร้อมคอนเทนต์พิเศษเฉพาะรุ่นนี้เท่านั้น ระบบนี้จะฉายข้อมูลสำคัญ เช่น ความเร็วรอบเครื่องยนต์ ข้อมูลการนำทาง และเตือนการทำงานต่างๆ ขึ้นบนกระจกบังลมหน้าในระดับสายตาของผู้ขับขี่ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถจดจ่อกับการขับขี่ได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องละสายตาจากถนน ถือเป็นเทคโนโลยีที่ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ขุมพลังที่เหนือกว่า: ประสิทธิภาพที่เร้าใจทุกการขับขี่
หัวใจของ MINI John Cooper Works คือเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยีเทอร์โบชาร์จที่ติดตั้งแบบ transverse ให้กำลังสูงสุดถึง 231 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่ MINI เคยนำเสนอในตลาด MINI John Cooper Works รุ่นนี้มีกำลังมากกว่า MINI Hatch 3 Door Cooper S ถึง 39 แรงม้า และมีแรงบิดเพิ่มขึ้นอีก 40 นิวตันเมตร อัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 16.1 กิโลเมตรต่อลิตร และอัตราการปล่อยก๊าซ CO2 ที่ 148 กรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งถือว่าน่าประทับใจสำหรับสมรรถนะระดับนี้
กำลังที่มหาศาลนี้ถูกส่งผ่านระบบช่วงล่างที่ออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับเครื่องยนต์อย่างสมบูรณ์แบบ ระบบเบรกสปอร์ตจาก Brembo ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องประสิทธิภาพและความทนทาน มอบความมั่นใจในการหยุดรถได้อย่างแม่นยำและปลอดภัยแม้ในสภาวะการขับขี่ที่ท้าทาย ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ Servotronic ที่ผสานการทำงานของระบบไฟฟ้าและกลไกเข้าด้วยกัน มอบการตอบสนองที่เฉียบคมและแม่นยำ ทำให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมทิศทางของรถได้อย่างใจต้องการ
เทคโนโลยี Dynamic Stability Control (DSC) ที่ติดตั้งเป็นมาตรฐาน ประกอบด้วยคุณสมบัติ Dynamic Traction Control (DTC), Electronic Differential Lock Control (EDLC) และ Dynamic Damper Control (DDC) ทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มเสถียรภาพและความคล่องแคล่วในการขับขี่ EDLC ช่วยในการกระจายแรงบิดไปยังล้อที่ต้องการการยึดเกาะมากกว่า ในขณะที่ DDC จะปรับความหนืดของโช้คอัพตามสภาพถนนและรูปแบบการขับขี่ เพื่อมอบความสมดุลระหว่างความสบายในการขับขี่และการควบคุมที่เฉียบคม
ด้วยน้ำหนักตัวถังเพียง 1,205 กิโลกรัม ซึ่งเบากว่า MINI Hatch 3 Door Cooper S ที่มีน้ำหนัก 1,250 กิโลกรัม ทำให้ MINI John Cooper Works มีอัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักที่ยอดเยี่ยม ส่งผลให้การขับขี่มีความคล่องตัว เร็ว และตอบสนองได้ดั่งใจ การนำเข้าเฉพาะรุ่นเกียร์อัตโนมัติ สะท้อนถึงการเน้นความสะดวกสบายและประสิทธิภาพในการถ่ายทอดกำลังให้แก่ผู้ขับขี่ในปัจจุบัน
แม้ว่าราคา 3,450,000 บาท อาจดูสูงเมื่อเทียบกับรถขนาดเล็ก แต่สำหรับผู้ที่ชื่นชอบและมองหาประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้น ความสนุกสนานเร้าใจที่มาพร้อมกับสมรรถนะอันจัดจ้านของ MINI John Cooper Works นั้น ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เมื่อเทียบกับส่วนต่าง 610,000 บาท จาก MINI Hatch 3 Door Cooper S ที่ราคา 2.84 ล้านบาท ผู้ซื้อจะได้รับรถยนต์ที่มอบทั้งสมรรถนะ ดีไซน์ และอารมณ์การขับขี่ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง MINI John Cooper Works ไม่ใช่แค่รถยนต์ แต่เป็นตัวแทนของจิตวิญญาณแห่งความสนุกสนานในการขับขี่ที่ MINI ยึดมั่นมาโดยตลอด
Toyota Innova 2016: การก้าวสู่ยุคใหม่แห่ง MPV อเนกประสงค์
ในตลาดรถยนต์ MPV ที่มีการแข่งขันสูง Toyota ได้เปิดตัว All-new Toyota Innova 2016 ในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดหลักของรถประเภทนี้ โดย Innova รุ่นใหม่นี้ได้รับการพัฒนาภายใต้แพลตฟอร์ม IMV (Innovative International MultiPurpose Vehicle) ร่วมกับ Toyota Hilux Revo และ Toyota Fortuner 2016 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ไม่ใช่เพียงการปรับโฉม แต่เป็นการยกระดับทุกมิติ ตั้งแต่ดีไซน์ที่หรูหราขึ้น สมรรถนะที่ทรงพลัง และฟังก์ชันการใช้งานที่ทันสมัย
ดีไซน์ภายนอกที่หรูหราและแข็งแกร่ง: สัมผัสแห่งความพรีเมียม
Toyota Innova 2016 มาพร้อมรูปลักษณ์ภายนอกที่พลิกโฉมไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ด้วยดีไซน์ที่ใกล้เคียงกับ Toyota Highlander กระจังหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมูขนาดใหญ่ที่ดูสง่างาม ไฟหน้า LED Projector (เฉพาะรุ่น Q Grade) ที่เรียวยาวและต่ำลงมา พร้อมไฟตัดหมอกและไฟเลี้ยวบริเวณมุมกันชนด้านข้าง เพิ่มความดุดันและทันสมัย โปรไฟล์ด้านข้างดูแข็งแกร่งด้วยเส้นสายที่เหลี่ยมคมกว่ารุ่นเดิม กระจกบานหลังถูกออกแบบให้ลาดเอียงย้อนขึ้นไปจรดขอบหลังคา ช่วยเพิ่มความสปอร์ตและความลู่ลม ส่วนท้ายรถใช้ไฟท้ายทรง L คว่ำ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแนวตั้งติดกับขอบตัวถังสองข้าง และส่วนแนวนอนติดกับบานประตูท้ายรถ ซึ่งยังคงใช้หลอดแบบธรรมดา
ภายในที่กว้างขวางและหรูหรา: สัมผัสแห่งความสะดวกสบายระดับพรีเมียม
ห้องโดยสารของ Toyota Innova 2016 ได้รับการปรับปรุงให้ดูดีมีระดับและแตกต่างจากรถรุ่นอื่นๆ ในตระกูล IMV อย่างชัดเจน แผงหน้าปัดเน้นเส้นโค้ง พร้อมลายไม้ (เฉพาะรุ่น Q Grade) ที่ตัดกับคอนโซลกลางแนวตั้งตรง ซึ่งติดตั้งจอทัชสกรีนขนาดใหญ่ รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Wi-Fi และสั่งงานด้วยเสียง รวมถึง Air Gesture (เฉพาะรุ่น Q และ V Grade) สวิตช์ควบคุมระบบปรับอากาศ มีทั้งแบบมือหมุน และแบบดิจิตอลพร้อมระบบอัตโนมัติในรุ่น Q และ V Grade มาตรวัดติดตั้งจอ TFT แสดงข้อมูลตรงกลาง พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นมีมาให้ครบทุกรุ่น
การจัดวางเบาะนั่งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ให้ความสะดวกสบายสูงสุด เบาะแถว 2 แยกออกจากกัน สามารถปรับเลื่อน/เอนได้อย่างอิสระ พร้อมฟังก์ชันพับเบาะแบบ One Touch เพื่อให้ผู้โดยสารเข้าถึงเบาะแถว 3 ได้สะดวก ซึ่งเบาะแถว 3 นี้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 2 ที่นั่ง และมีพนักพิงศีรษะมาให้ 3 ตำแหน่ง เพื่อความปลอดภัยสูงสุด นอกจากนี้ Ambient Light บริเวณแผงควบคุมเหนือศีรษะและแนวหลังคา ยังช่วยสร้างบรรยากาศหรูหราภายในห้องโดยสาร
ขุมพลังหลากหลาย: ประสิทธิภาพที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน
Toyota Innova 2016 สำหรับตลาดอินโดนีเซียมีเครื่องยนต์ให้เลือกทั้งแบบดีเซลและเบนซิน
เครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตร DOHC 16 วาล์ว พร้อมเทอร์โบแปรผันและอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 149 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที และแรงบิด 360 นิวตันเมตร ที่ 1,200-2,600 รอบ/นาที
เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร Dual VVT-i DOHC 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 139 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที และแรงบิด 183 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที
เครื่องยนต์ทั้งสองแบบ จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ มอบสมรรถนะที่ทรงพลังและประหยัดน้ำมัน
ระบบความปลอดภัยครบครัน: สร้างความมั่นใจในทุกการเดินทาง
Toyota Innova 2016 มาพร้อมอุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน ได้แก่ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุงลมนิรภัยป้องกันหัวเข่าผู้ขับขี่, ISOFIX, ระบบเบรก ABS และ EBD ในทุกระดับการตกแต่ง รุ่น Q Grade เพิ่มม่านถุงลมนิรภัยและถุงลมนิรภัยด้านข้าง ส่วนระบบควบคุมการทรงตัว VSC และ Hill Assist Control มีในรุ่น Q Grade เครื่องยนต์ดีเซลเท่านั้น
แม้จะยังไม่มีการประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในขณะนี้ แต่การเปิดตัว Toyota Innova 2016 ถือเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาด MPV ของ Toyota ด้วยรถยนต์ที่ผสมผสานความหรูหรา สมรรถนะ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยได้อย่างลงตัว
Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC 2016: ยกระดับ SUV สู่ความหรูหราและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
Mercedes-Benz ประเทศไทย ได้เปิดตัว Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC ปี 2016 ซึ่งเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ SUV ที่ผสานความแข็งแกร่ง ความสง่างาม และเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ภายใต้แคมเปญ DEFINE TOMORROW และภาพยนตร์โฆษณา Loopbreaker เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมยานยนต์ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่ไร้ขีดจำกัด
ดีไซน์ภายนอกที่สง่างามและทรงพลัง: โดดเด่นทุกมุมมอง
GLE 500 e 4MATIC มาพร้อมเส้นสายที่สวยคมสะดุดตา กระจังหน้าขนาดใหญ่ เส้นสายหลังคาลาดเอียงไปทางด้านท้าย ดีไซน์แบบเรียบหรู ล้ำสมัย เสริมด้วยกระจังหน้าสีเงินเสริมโครเมียมแบบ 2 แถบ พร้อมตราสัญลักษณ์ Mercedes-Benz ตรงกลาง กันชนหน้าพร้อมช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยโครเมียม ขอบหน้าต่างโครเมียม และปลายท่อไอเสียเสริมโครเมียม 2 ท่อ ไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System, ไฟ Daytime สำหรับการขับขี่กลางวัน, ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง, ไฟท้าย และไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ระบบปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติในกระจกมองข้างและกระจกส่องหลัง
บันไดข้างสเตนเลสดีไซน์สปอร์ต พร้อมปุ่มยางกันลื่น GLE 500 e 4MATIC Exclusive มาพร้อมล้ออัลลอย ขนาด 20 นิ้ว สี Himalayas grey ในขณะที่ GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic เพิ่มลุคสปอร์ตด้วยล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG ขนาด 20 นิ้ว สี titanium grey, ชุดแต่ง AMG bodystyling, ดิสก์เบรกหน้าแบบมีช่องระบายความร้อน, สัญลักษณ์ Mercedes-Benz บนคาลิเปอร์เบรกหน้า และหลังคาพาโนรามิกซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า
ภายในที่หรูหราและสปอร์ต: สุนทรียภาพแห่งการเดินทาง
ห้องโดยสารเน้นความหรูหรา สง่างาม แฝงกลิ่นอายความสปอร์ต คอนโซลหน้าและแผงหุ้มประตูหุ้มด้วยหนัง Artico พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นพร้อมระบบผ่อนแรงและปรับน้ำหนักตามความเร็ว ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMATIC แบบ 2 โซน และระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ Bluetooth
GLE 500 e 4MATIC Exclusive ตกแต่งด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง และระบบมัลติมีเดีย MB Audio 20 ส่วน GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic ตกแต่งด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง Nappa มาพร้อมระบบ COMAND Online, ระบบเสียง Harman Kardon® Logic 7® และ Apple CarPlay™
เบาะนั่งผู้ขับขี่และผู้โดยสารหน้าปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ เบาะหลังพับได้ 1:3/2:3 เพื่อเพิ่มพื้นที่จัดเก็บของ ไฟเรืองแสง Ambient Light 3 สี ช่วยสร้างบรรยากาศแห่งการขับขี่
เทคโนโลยี Plug-in Hybrid ที่ล้ำสมัย: ประสิทธิภาพและความประหยัด
GLE 500 e 4MATIC ปี 2016 สามารถเลือกโหมดการทำงานของระบบ Plug-In HYBRID ได้ถึง 4 แบบ:
HYBRID: ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า เน้นการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าให้มากที่สุด หากแบตเตอรี่ต่ำกว่า 20% จะใช้เครื่องยนต์เป็นหลัก หากเลือกโหมด Sport (S) จะใช้เครื่องยนต์เท่านั้น
E-MODE: ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% ได้ถึงความเร็ว 130 กม./ชม. เป็นระยะทางสูงสุด 30 กม. โดยไม่มีการปล่อยไอเสีย (ขึ้นอยู่กับระดับแบตเตอรี่และความเร็ว)
E-SAVE: รักษาระดับกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ high-volt ไว้ และใช้เครื่องยนต์เป็นหลัก เพื่อให้มีพลังงานไฟฟ้าเพียงพอสำหรับการใช้งานในภายหลัง เช่น การขับขี่ในเมือง
CHARGE: ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว และชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่ high-volt อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังแปลงพลังงานจลน์จากการชะลอความเร็วหรือการเบรกเป็นพลังงานไฟฟ้าเก็บสะสมไว้
ระบบ Dynamic Select และ Mercedes-Benz Intelligent Drive: ประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่า
ระบบ Dynamic Select มีโหมดการขับขี่ 5 แบบ: Individual, Comfort, Slippery, Sport และ Sport+ ระบบ Mercedes-Benz Intelligent Drive ผสานความสะดวกสบายและความปลอดภัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างเหนือชั้น ครอบคลุมระบบต่างๆ เช่น ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4ETS, PRE-SAFE system, ESP, AIRMATIC, Crosswind Assist, ADAPTIVE BRAKE, ABS, ASR, ATTENTION ASSIST, Cruise Control, SPEEDTRONIC, PARKTRONIC และ Active Parking Assist
ขุมพลังและราคา: ประสิทธิภาพที่มาพร้อมกับความคุ้มค่า
Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V6 เทอร์โบคู่ 2,996 ซีซี กำลังสูงสุด 333 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้า 116 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 5.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 245 กม./ชม. จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ขนาด 8.7 กิโลวัตต์ สามารถชาร์จไฟเต็มได้ภายใน 4 ชั่วโมง (ไฟบ้าน) ให้ระยะทางขับขี่ด้วยไฟฟ้าสูงสุด 30 กิโลเมตร
GLE 500 e 4MATIC Exclusive: ราคา 4,490,000 บาท
GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic: ราคา 4,990,000 บาท
Mercedes-Benz E-Class 2016: เจเนอเรชั่นที่ 10 ยกระดับมาตรฐานซีดานอัจฉริยะ
Mercedes-Benz ประเทศไทย ได้เปิดตัว The new E-Class เจเนอเรชั่นที่ 10 ในงาน Motor Show 2016 ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านยานยนต์ระดับพรีเมียมภายใต้กลยุทธ์ THE BEST ที่มุ่งนำเสนอ “สิ่งที่ดีที่สุด” ให้กับลูกค้า E-Class รุ่นใหม่นี้ถือเป็นที่สุดแห่งยนตรกรรมซีดานอัจฉริยะในกลุ่ม Contemporary Luxury ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหัวใจของ Mercedes-Benz มาโดยตลอด
ดีไซน์ภายนอก Sensual Purity: ความสง่างามที่ไร้กาลเวลา
E-Class 2016 มาพร้อมรูปลักษณ์ที่โดดเด่น ทรงพลัง องค์ประกอบทุกส่วนผสานกันอย่างลงตัวตามหลัก Sensual Purity ของ Mercedes-Benz ขนาดตัวถังและฐานล้อที่ยาวและกว้างขึ้น ฝากระโปรงหน้ายาว เส้นสายหลังคาออกแบบในสไตล์รถคูเป้ทอดตัวยาวจรดด้านหลัง ซุ้มล้อหลังกว้างกว่าซุ้มล้อหน้า โคมไฟท้ายแบบชิ้นเดียว แบ่งออกเป็นสองส่วน
ดีไซน์ภายในที่ล้ำสมัย: เทคโนโลยีและความสะดวกสบายขั้นสุด
ภายในห้องโดยสาร E 220 d AMG Dynamic มาพร้อมชุดหน้าจอความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว จำนวน 2 จอ เป็นครั้งแรกในเซกเมนต์นี้ ระบบไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร ปรับสีได้ถึง 64 สี เพิ่มสุนทรียภาพในการโดยสาร
ขุมพลังและเทคโนโลยี: ประสิทธิภาพที่เหนือกว่าและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบพัฒนาขึ้นใหม่ และระบบเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC ช่วยให้เปลี่ยนเกียร์รวดเร็ว ลดแรงเหวี่ยง ส่งผลให้การขับขี่นุ่มนวลและมีประสิทธิภาพ โครงสร้างรถที่พัฒนาด้านอากาศพลศาสตร์และมีน้ำหนักเบาลง ทำให้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันต่ำเพียง 25.6 กิโลเมตร/ลิตร และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 102 กรัม/กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน EU)
รุ่นย่อยและราคา:
Mercedes-Benz E 220 d Exclusive: ราคาเริ่มต้น 3,990,000 บาท
Mercedes-Benz E 220 d AMG Dynamic: ราคาเริ่มต้น 4,490,000 บาท
Mitsubishi Outlander 2016: ปรับโฉมใหม่ สไตล์ Dynamic Shield
Mitsubishi ได้เปิดตัว Mitsubishi Outlander 2016 ในงาน New York Auto Show 2015 ด้วยการออกแบบใหม่ภายใต้แนวคิด Dynamic Shield ที่ทำให้รถดูทันสมัยและสปอร์ตยิ่งขึ้น
ดีไซน์ภายนอก Dynamic Shield: ความแข็งแกร่งที่มาพร้อมสไตล์
กระจังหน้าขนาดใหญ่ขึ้น ไฟหน้าดูปราดเปรียว กันชนท้ายปรับปรุงใหม่ ล้ออัลลอย 18 นิ้ว เพิ่มความหรูหรา
ภายในที่ทันสมัยและสะดวกสบาย: สัมผัสแห่งคุณภาพ
พวงมาลัยดีไซน์ใหม่ การตกแต่งที่ปรับปรุง เบาะนั่งใช้วัสดุคุณภาพสูง ระบบความบันเทิงใหม่ และการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารที่ดียิ่งขึ้น
ขุมพลังที่หลากหลาย: ตอบสนองทุกความต้องการ
เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร 4 สูบ: กำลัง 166 แรงม้า แรงบิด 219 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์ CVT
เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร V6: กำลัง 224 แรงม้า แรงบิด 291 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
ระบบช่วยเหลือการขับขี่: เพิ่มความปลอดภัยและความมั่นใจ
มาพร้อม Forward Collision Mitigation (FCM), Lane Departure Warning (LDW) และ Adaptive Cruise Control (ACC)
แม้จะยังไม่มีการประกาศวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แต่ดีไซน์ใหม่นี้คาดว่าจะนำไปปรับใช้กับ Mitsubishi Pajero Sport ใหม่ด้วย
Bentley Bentayga 2016: SUV หรูหราเร็วที่สุดในโลก บุกตลาด Ultra Luxury
Bentley ได้เปิดตัว Bentley Bentayga 2016 รถ SUV คันแรกของแบรนด์ในงาน Frankfurt Motor Show 2015 ซึ่งแตกต่างจากรถต้นแบบ Bentley EXP 9 F อย่างสิ้นเชิง โดยมีดีไซน์ที่ใกล้เคียงกับ Bentley Flying Spur มากกว่า
ความพิเศษของ Bentayga:
Bentley Bentayga คันแรก: ส่งมอบให้กับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร
ยอดจองถล่มทลาย: โควตาการผลิต 3,600 คันในปีแรก ถูกจองหมดแล้ว
สมรรถนะ: เป็น SUV หรูที่เร็วที่สุดในโลก
Honda Civic FC มือสอง: ขวัญใจวัยรุ่น ยอดนิยมตลอดกาล
Honda Civic FC โฉมที่ได้รับความนิยมสูงสุดในตลาดรถยนต์มือสอง ด้วยดีไซน์ที่เท่ ทรงสวย สมรรถนะดี และเป็นที่ต้องการของกลุ่มวัยรุ่น ด้วยยอดจองทะลุ 15,000 คันภายใน 4 เดือนหลังเปิดตัว
Honda Civic FC มี 4 รุ่นย่อย พร้อมข้อดี-ข้อเสีย:
1.5 Turbo RS:
ข้อดี: เครื่องยนต์ 1.5 Turbo แรงม้าสูงสุด 173 แรงม้า, ภายในกว้างขวาง หรูหรา, อัตราเร่งช่วงต้นดี, Honda SENSING ครบครัน
ข้อเสีย: ค่าบำรุงรักษาสูงกว่ารุ่น 1.8, เครื่องยนต์มีโอกาสพังสูงกว่าหากใช้หนัก, เกียร์ CVT ค่อนข้างเปราะ, ราคาสูงสุด
1.5 Turbo:
ข้อดี: เครื่องยนต์ 1.5 Turbo แรงม้าสูงสุด 173 แรงม้า, ดีไซน์เท่, ภายในโปร่งโล่ง, ประหยัดน้ำมัน, อัตราเร่งช่วงต้นดี, ระบบ Auto Brake Hold, สตาร์ตรถรอด้วยรีโมต
ข้อเสีย: ค่าบำรุงรักษาสูงกว่ารุ่น 1.8, เครื่องยนต์มีโอกาสพังสูงกว่าหากใช้หนัก, เกียร์ CVT ค่อนข้างเปราะ, ราคาสูงกว่ารุ่น 1.8
1.8 EL i-VTEC:
ข้อดี: เครื่องยนต์ 1.8 ทนทาน, ค่าบำรุงรักษาถูกกว่า 1.5 Turbo, ออปชันมากกว่า 1.8 E (Honda LaneWatch, Rain Sensor), รองรับ E85, ราคาถูกกว่า 1.5 Turbo
ข้อเสีย: ปรับแต่งยากกว่า 1.5 Turbo, ประหยัดน้ำมันน้อยกว่า 1.5 Turbo, ล้ออัลลอย 16 นิ้วเล็กกว่า 1.5 Turbo
1.8 E i-VTEC:
ข้อดี: เครื่องยนต์ 1.8 ทนทาน, ค่าบำรุงรักษาถูก, Rain Sensor, กระจกมองข้างพับอัตโนมัติ, รองรับ E85, ราคาถูกที่สุด
ข้อเสีย: ปรับแต่งยาก, ประหยัดน้ำมันน้อยกว่า 1.5 Turbo, ล้ออัลลอย 16 นิ้วเล็กกว่า 1.5 Turbo, ออปชันและความปลอดภัยน้อยกว่ารุ่นอื่น
สำหรับผู้ที่กำลังมองหารถยนต์มือสองที่ตอบโจทย์ทั้งสมรรถนะ ดีไซน์ และความคุ้มค่า Honda Civic FC มือสอง เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง หากคุณกำลังมองหา รถยนต์ MINI John Cooper Works มือสอง หรือ รถยนต์ Toyota Innova มือสอง ราคาดี พร้อมเงื่อนไขพิเศษ เราขอเชิญชวนให้ท่านเข้ามาเยี่ยมชมและทดลองขับได้ที่โชว์รูมของเรา หรือติดต่อฝ่ายขายเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์ที่คุณสนใจ

