ฮุนได ไอ 10 ใหม่: ซิตี้คาร์สายเลือดกิมจิ ที่พร้อมบุกตลาดโลก
ในวงการยานยนต์ยุคใหม่ที่การแข่งขันสูงอย่างต่อเนื่อง ค่ายรถยนต์จากเกาหลีใต้อย่าง Hyundai ได้สร้างชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ จากการพัฒนารถยนต์ที่มีคุณภาพและดีไซน์ที่น่าสนใจ แม้ว่า Hyundai จะเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากรถยนต์ซีดานขนาดกลาง แต่พวกเขาก็ไม่เคยละทิ้งความพยายามในการสร้างสรรค์รถยนต์ขนาดเล็กประเภทซิตี้คาร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Hyundai i10 รุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวและสร้างความฮือฮาไปทั่วโลก
การพัฒนาครั้งสำคัญ: Hyundai i10 รุ่นที่ใหญ่ขึ้นเพื่อตอบโจทย์ที่มากกว่า
Hyundai i10 รุ่นใหม่ ได้รับการพัฒนาให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด การปรับปรุงนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจในความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกที่มองหาซิตี้คาร์ที่ไม่ได้มีเพียงขนาดกะทัดรัด แต่ยังต้องมีความอเนกประสงค์และพื้นที่ใช้สอยที่เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน
มิติใหม่ที่น่าสนใจ: ความกว้าง ยาว และความสูงที่ลงตัว
การขยายมิติของ Hyundai i10 ใหม่นั้น มีการเพิ่มความกว้างขึ้น 65 มิลลิเมตร และความยาวเพิ่มขึ้น 80 มิลลิเมตร เพื่อเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสารและพื้นที่เก็บสัมภาระให้กว้างขวางขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีการปรับลดความสูงลง 50 มิลลิเมตร เพื่อเสริมภาพลักษณ์ที่สปอร์ตและโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น การออกแบบเช่นนี้ทำให้ Hyundai i10 ใหม่ มีสัดส่วนที่สมดุลและดูน่าดึงดูดมากขึ้น
ภายในที่กว้างขวาง: สัมผัสใหม่ของพื้นที่เก็บสัมภาระ
แม้ว่าตัวรถจะดูเตี้ยลง แต่ภายในห้องโดยสารของ Hyundai i10 ใหม่ กลับมอบประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป โดยเฉพาะในส่วนของพื้นที่เก็บสัมภาระที่มีการขยายเพิ่มขึ้นถึง 10% ทำให้มีความจุมากถึง 252 ลิตร ซึ่งเพียงพอสำหรับการขนสัมภาระในชีวิตประจำวัน หรือการเดินทางท่องเที่ยวระยะสั้น
ขุมพลังที่หลากหลาย: เลือกได้ตามสไตล์การขับขี่
Hyundai i10 ใหม่ มาพร้อมทางเลือกเครื่องยนต์ 2 รุ่น เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้ขับขี่
เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร 3 สูบ: ให้กำลังสูงสุด 65 แรงม้า สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลา 14.9 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 155 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความประหยัดและคล่องตัวในเมือง
เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร 4 สูบ: มอบพละกำลังที่สูงขึ้นถึง 86 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลา 12.3 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 171 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สำหรับผู้ที่ต้องการสมรรถนะที่จัดจ้านขึ้น
รุ่นย่อยที่ตอบโจทย์: S, SE และ Premium Edition
Hyundai i10 ใหม่ จะมีให้เลือกถึง 3 รุ่นย่อย ได้แก่
รุ่น S: เป็นรุ่นเริ่มต้นที่มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่จำเป็น
รุ่น SE: เพิ่มความสะดวกสบายด้วยกุญแจรีโมท และระบบละลายน้ำแข็งที่กระจกมองข้าง
รุ่น Premium Edition: เป็นรุ่นท็อปสุดที่มาพร้อมออพชั่นจัดเต็ม อาทิ ระบบเชื่อมต่อ Bluetooth พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง, ไฟ Daytime LED และระบบให้สัญญาณเบรกฉุกเฉิน
Hyundai i10 ใหม่: ยกระดับประสบการณ์ซิตี้คาร์
Hyundai i10 ใหม่ ไม่ได้เป็นเพียงซิตี้คาร์ธรรมดา แต่เป็นการพัฒนาที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Hyundai ในการสร้างสรรค์รถยนต์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างลงตัว ด้วยขนาดที่ใหญ่ขึ้น การออกแบบที่ทันสมัย สมรรถนะที่น่าพอใจ และออพชั่นที่ครบครัน ทำให้ Hyundai i10 ใหม่ เป็นคู่แข่งที่น่าจับตามองในตลาดซิตี้คาร์ทั่วโลก
แนวโน้มตลาด B-Segment และการแข่งขันที่ดุเดือด
ในขณะที่รถยนต์ประเภท SUV กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่ม B-SUV และ Full Size SUV ไม่ว่าจะจากค่ายรถยนต์ทั่วไปไปจนถึงแบรนด์หรู แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มรถยนต์ขนาดเล็ก หรือ B-Segment ยังคงเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญและมียอดขายสูงที่สุดในตลาดรวม
ในประเทศไทย ตลาด B-Segment เป็นที่รู้จักกันดีว่ามีการแข่งขันที่สูงมาก และหนึ่งในรุ่นที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงคือ Honda City ซึ่งมียอดขายที่น่าประทับใจ แม้แต่เมื่อเทียบกับรถยนต์รุ่นใหม่ที่เปิดตัวอย่าง Toyota Vios โฉมใหม่ในปี 2014 ก็ตาม สิ่งนี้อาจเป็นผลมาจากกลยุทธ์ทางการตลาดของ Honda ในการระบายรถ Honda City รุ่นเดิม เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการมาของ Honda City โฉมใหม่ล่าสุด ซึ่งเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 4 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Be Your Best”
Honda City 2014: สัมผัสแห่งความหรูหราและความเป็นผู้นำ
Honda City โฉมใหม่ ปี 2014 ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของ Honda ในการตอกย้ำตำแหน่งผู้นำในตลาด B-Segment การเปิดตัวมาพร้อมคอนเซ็ปต์ “Be Your Best” สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะนำเสนอรถยนต์ที่พร้อมจะพาผู้ขับขี่ไปสู่เป้าหมายที่ดีที่สุดของตนเอง
โฆษณาของ Honda City มักจะสร้างความประทับใจให้กับผู้บริโภค ด้วยเพลงที่ไพเราะ เนื้อหาที่ลึกซึ้ง และภาพที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างสวยงาม จนทำให้เกิดความรู้สึกคล้อยตาม และอยากสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่ “เป็นที่สุด” ราวกับกัปตันนักบินที่ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ
รูปลักษณ์ภายนอก: ความสง่างามที่มาพร้อมมิติใหม่
เมื่อมองเผินๆ Honda City 2014 อาจดูไม่แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้ามากนัก แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียด จะพบความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โดยเฉพาะบริเวณไฟท้ายที่ได้รับการออกแบบใหม่ ให้รับกับแนวเส้นโป่งล้อหลังที่ดูคมชัดและมีมิติมากยิ่งขึ้น ไม่ได้ดูโป่งจนเกินงามเหมือนรถแต่งซิ่ง
การเพิ่มขนาดมิติของตัวถังยังช่วยเพิ่มความสง่างามให้กับรถ โดยมีความยาวเพิ่มขึ้น 45 มิลลิเมตร และฐานล้อเพิ่มขึ้น 50 มิลลิเมตร ในขณะที่ความสูงเพิ่มขึ้นเพียง 5 มิลลิเมตร และความกว้างเท่าเดิมที่ 1,695 มิลลิเมตร การปรับเปลี่ยนเหล่านี้ ส่งผลโดยตรงต่อพื้นที่ภายในห้องโดยสารและพื้นที่เก็บสัมภาระ
ภายในห้องโดยสาร: ความกว้างขวางที่เหนือกว่า
มิติที่ยาวขึ้นของ Honda City 2014 ส่งผลให้พื้นที่โดยสารตอนหลังมีความสะดวกสบายมากขึ้น โดยมีการขยายความกว้างของพื้นที่หัวไหล่เพิ่ม 40 มิลลิเมตร และพื้นที่วางขาเพิ่มอีก 60 มิลลิเมตร ทำให้ผู้โดยสารสามารถเดินทางได้อย่างผ่อนคลาย
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนได้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับเบาะนั่งตอนหน้าว่า พนักพิงศีรษะอาจมีมุมที่ไม่รับกับศีรษะของผู้ขับขี่บางท่าน จนทำให้ต้องถอดออกเพื่อความสบายในการขับขี่
เทคโนโลยีล้ำสมัย: ศูนย์กลางแห่งความบันเทิงและการเชื่อมต่อ
จุดเด่นสำคัญของ Honda City 2014 คือแผงคอนโซลหน้าที่ออกแบบมาให้มีความแบนราบ พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ซึ่งเป็นหัวใจหลักของห้องโดยสาร จอแสดงผลนี้สามารถทำหน้าที่เป็น Wi-Fi Hotspot และรองรับการเชื่อมต่อ Siri Eyes Free ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องละสายตาจากถนนเพื่อใช้งานสมาร์ทโฟน
นอกจากนี้ ระบบยังสามารถเชื่อมต่อกับกล้องมองภาพด้านหลังเมื่อเข้าเกียร์ R ได้อีกด้วย สำหรับระบบเครื่องเสียงนั้นถ่ายทอดเสียงผ่านลำโพง 8 จุด รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth เป็นมาตรฐาน พร้อมช่องต่อ USB, AUX in และ HDMI แต่ไม่มี CD Slot และระบบนำทางมาให้ ทาง Honda แนะนำให้ใช้ Honda Link Application แทน
ขุมพลังที่คุ้นเคยแต่ปรับจูนใหม่: เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร i-VTEC
Honda City 2014 ยังคงใช้เครื่องยนต์บล็อกเดิมกับรุ่นก่อนหน้า คือเครื่องยนต์ 4 สูบ SOHC i-VTEC ขนาด 1,497 ซีซี แต่ได้รับการปรับจูนใหม่ให้ทำงานร่วมกับเกียร์ CVT รุ่นใหม่ และรองรับน้ำมัน E85
เครื่องยนต์รุ่นนี้ให้กำลังสูงสุด 117 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 146 นิวตัน-เมตร ที่ 4,700 รอบต่อนาที แม้ว่าแรงม้าจะลดลงเล็กน้อย แต่การปรับจูนเครื่องยนต์ให้เข้ากับเกียร์ใหม่ ทำให้การตอบสนองของเครื่องยนต์ดีขึ้น
อัตราสิ้นเปลืองที่น่าประทับใจ: ประหยัดน้ำมันในทุกสภาวะ
Honda City 2014 เคลมตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันไว้ที่ 17.7 กิโลเมตรต่อลิตร (สำหรับน้ำมันเบนซิน) และปล่อย CO2 อยู่ที่ 133 กรัมต่อกิโลเมตร
จากการทดสอบ ผู้เขียนได้ค่าเฉลี่ยการวิ่งเดินทางไกลที่ความเร็ว 100-110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อยู่ที่ 17.3 กิโลเมตรต่อลิตร และหากขับขี่โดยรักษาคันเร่งให้คงที่ที่ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะได้ตัวเลขที่น่าพอใจถึง 18.1 กิโลเมตรต่อลิตร สำหรับการใช้งานเฉลี่ยทั้งทริป ได้ค่าอยู่ที่ 16.1 กิโลเมตรต่อลิตร
คาดการณ์ว่าในการใช้งานจริง อัตราสิ้นเปลืองน่าจะอยู่ที่ประมาณ 14.5 กิโลเมตรต่อลิตร และสามารถวิ่งได้เกิน 600 กิโลเมตรต่อถังน้ำมัน
ระบบส่งกำลัง CVT EarthDream: ความนุ่มนวลที่มาพร้อมประสิทธิภาพ
Honda City 2014 เปลี่ยนมาใช้เกียร์อัตโนมัติแบบ CVT EarthDream ที่มีการซอยอัตราทดถึง 7 สปีด ในโหมด S การทำงานของเกียร์ CVT ลูกใหม่นี้ เข้ากันได้ดีกับเครื่องยนต์บล็อกเดิมที่ปรับจูนมา การเปลี่ยนเกียร์สามารถทำได้ผ่านแป้น Paddle Shift ที่พวงมาลัย ซึ่งมีอัตราทดเท่ากับโหมด S
ระบบบังคับเลี้ยว: ความรู้สึกที่แม่นยำและเบาสบาย
ระบบบังคับเลี้ยวเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPS แบบ 3 ก้าน พวงมาลัยมีความเบาสบายในรอบต่ำ และให้ฟีลลิ่งในการขับขี่ที่ดีกว่ารุ่นเดิม ไม่ไวจนเกินไปนัก แต่ที่ความเร็วสูง น้ำหนักพวงมาลัยยังคงเบาอยู่เล็กน้อย และอาจไม่แน่นหนาเท่ารุ่นเดิม
ช่วงล่างที่นุ่มนวล: เน้นความสบายในการเดินทาง
ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังเป็นแบบทอร์ชั่นบีม ให้ความรู้สึกนุ่มนวลขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า การขับขี่ที่ความเร็วสูงทำได้ดีพอสมควร แต่ที่ความเร็ว 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป อาจมีอาการหวิวๆ ให้เห็น
ระบบเบรก: ประสิทธิภาพที่เหนือกว่าความคาดหมาย
แม้ว่ารุ่น Top SV จะยังคงใช้ระบบเบรกด้านหน้าแบบดิสก์ระบายความร้อน และด้านหลังแบบดรัม แต่ประสิทธิภาพในการหยุดรถนั้นทำได้ดีกว่าที่คาดคิด ผู้เขียนรู้สึกว่าการเซ็ตเบรกมาดีกว่าเดิม ไม่พบอาการเบรกแบบทื่อๆ ด้านๆ และไม่ต้องใช้แรงกดแป้นมากนักเพื่อให้รู้สึกถึงแรงเบรก ช่วยให้การเบรกทำได้อย่างนุ่มนวล
ระบบความปลอดภัย: ครบครันตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น
Honda City 2014 ถือเป็นจุดขายสำคัญในด้านระบบความปลอดภัย โดยให้ระบบช่วยเหลือต่างๆ มาครบครันตั้งแต่รุ่นล่างสุด อาทิ ABS, EBD, BA, TCS, VSA, HSA, ESS และในรุ่น SV+ ยังมี Side Curtain Airbag เพิ่มให้อีกด้วย
สรุป: Honda City 2014 – ซิตี้คาร์ที่เหนือกว่าความคาดหมาย
Honda City 2014 เป็นรถยนต์ B-Segment ที่อัดแน่นด้วยระบบความปลอดภัยตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น มอบห้องโดยสารที่กว้างขวาง สมรรถนะที่ดีขึ้น และความประหยัดน้ำมันที่น่าพอใจ พร้อมด้วยออพชั่นและเทคโนโลยีมากมาย แม้ว่าราคารุ่น Top อาจดูสูงกว่าคู่แข่ง แต่สิ่งที่ Honda City มอบให้นั้นคุ้มค่ากว่าในหลายๆ ด้าน
หากคุณกำลังมองหารถยนต์ Sub-Compact ที่มีสมรรถนะกลางๆ การโดยสารที่ค่อนไปทางสบาย และเป็นผู้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยี รวมถึงออปชั่นความปลอดภัย Honda City รุ่น SV+ คือตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง แต่ก็ต้องยอมรับว่าราคาอาจจะสูงกว่ารถยนต์ในระดับเดียวกัน ซึ่งผู้ซื้อควรพิจารณาเปรียบเทียบให้ดีก่อนตัดสินใจ
บทสรุป: ค้นพบประสบการณ์การขับขี่สุดพิเศษกับ Honda City
Honda City 2014 ได้ยกระดับนิยามของซิตี้คาร์ไปอีกขั้น ด้วยการผสมผสานดีไซน์ที่สวยงาม สมรรถนะที่ยอดเยี่ยม เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และความปลอดภัยที่ครบครัน หากคุณพร้อมที่จะสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่ “เป็นที่สุด” ลองไปทดลองขับ Honda City ที่โชว์รูม Honda ใกล้บ้านคุณ แล้วคุณจะหลงรักในสิ่งที่ Honda City มอบให้.
Chevrolet Captiva 2014: SUV อเนกประสงค์ที่ลงตัวกว่าเดิม
ในช่วงเวลาที่งานล้นมือจนแทบจะกลืนกินชีวิตประจำวันไปหมด หลายครั้งหลายหนรถยนต์ที่ผ่านการทดสอบมาแล้วกลับถูกลืมเลือนไปเสียสนิท หนึ่งในนั้นคือ Chevrolet Captiva Diesel ที่เกือบจะหลุดออกจากความทรงจำไป
การกลับมาพร้อมการปรับปรุง: Captiva Minor Change ครั้งที่สอง
Chevrolet Captiva ได้รับการปรับปรุงโฉมครั้งใหญ่ หรือที่เรียกกันว่า Minor Change เป็นครั้งที่สอง โดยครั้งแรกนั้นเน้นการปรับรูปลักษณ์ภายนอกให้ดูทันสมัยขึ้น คล้ายกับ “ปลากะโฮ้” ตัวใหญ่ที่พร้อมจะงับรถคันอื่น ๆ ด้วยกระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์ของ Chevrolet และไฟหน้าแบบเรียวโคมโปรเจคเตอร์
แต่ในครั้งนี้ Chevrolet ได้ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงรายละเอียดให้มีความลงตัวมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะบริเวณบั้นท้ายที่มาพร้อมไฟท้ายลายกราฟิกใหม่ รวมถึงการเปลี่ยนท่อไอเสียทรงกลมเป็นทรงสี่เหลี่ยมคางหมู เพื่อให้สอดคล้องกับการออกแบบโดยรวม และซ่อนล้ออะไหล่ใต้ท้องรถให้ดูเรียบร้อยขึ้น
การออกแบบภายนอก: ความหรูหราที่เพิ่มขึ้น
การปรับปรุงภายนอกยังรวมถึงการออกแบบสเกิร์ตข้างใหม่ที่มาพร้อมบันไดข้างในตัว ซึ่งอาจดูไม่เข้ากับตัวตนของ Captiva ที่เน้นความหรูหรามากกว่าการลุยอย่างเต็มรูปแบบ ยิ่งไปกว่านั้น บันไดข้างนี้ยังอาจสร้างความลำบากในการขึ้นลงรถสำหรับผู้หญิงตัวเล็ก หรือผู้ที่มีช่วงขาสั้น
ภายในที่ทันสมัย: ความสบายและความหรูหราที่ผสมผสาน
ภายในห้องโดยสารของ Chevrolet Captiva 2014 มีการปรับปรุงหลายส่วนให้ทันสมัยยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเบาะนั่งสีเทาอ่อนที่เพิ่มมิติของความหรูหรา จนชวนให้นึกถึงรถยุโรปบางรุ่น น่าเสียดายที่ระบบเบาะไฟฟ้าปรับ 8 ทิศทางมีเฉพาะฝั่งคนขับเท่านั้น
แม้จะขาดตกบกพร่องในบางจุด แต่โดยรวมแล้ว Chevrolet Captiva ใหม่ ก็ผสมผสานความลงตัวเข้ากับความทันสมัยได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยระบบ Keyless Entry และ Passive Start รวมถึงพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันที่ควบคุมระบบเครื่องเสียงและระบบปรับอากาศแบบแยกอิสระซ้าย-ขวาได้
ขุมพลังดีเซล 2.0 ลิตร: สมรรถนะที่เพิ่มขึ้นแต่เน้นความนุ่มนวล
ภายใต้ฝากระโปรง Captiva Diesel ยังคงมาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC พร้อมเทอร์โบแปรผัน ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า แต่แรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้นจาก 360 เป็น 400 นิวตัน-เมตร แม้ว่าแรงบิดจะเพิ่มขึ้น แต่ Chevrolet ก็เลือกที่จะปรับจูนสมรรถนะให้มีความนุ่มนวลมากขึ้น
การขับขี่ในเมือง: ความสบายที่มาพร้อมอัตราสิ้นเปลืองที่น่ากังวล
การขับขี่ในเมืองกับ Chevrolet Captiva Diesel นั้น พิสูจน์ให้เห็นถึงความนุ่มนวลที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการลดอาการกระตุกของชุดเกียร์ไปได้มาก แต่การลดความดุดันของรถก็อาจเป็นดาบสองคมสำหรับผู้ที่คาดหวังอัตราเร่งที่เร้าใจ
ในสภาพการจราจรที่ติดขัด อัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้อยู่ที่ 7.89 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล
ทดสอบนอกเมือง: ความลงตัวในการเดินทางไกล
การทดสอบในโหมดผสม ทั้งในเมืองและนอกเมือง สะท้อนให้เห็นถึงตัวตนที่หรูหราและนุ่มนวลของ Chevrolet Captiva พวงมาลัยที่นิ่มนวล ช่วงล่างที่ลงตัว แม้จะมีจังหวะกระด้างบ้างจากการใช้ล้อขนาด 19 นิ้ว
การวิ่งด้วยความเร็วปกติที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์ทำงานที่รอบประมาณ 2,400 รอบต่อนาที ซึ่งถือว่าไม่สูงมากนัก
การเดินทางสู่ขอนแก่น: พิสูจน์สมรรถนะและความประหยัด
การเดินทางไกลไปยังขอนแก่น แสดงให้เห็นถึงสมรรถนะที่น่าประทับใจของ Chevrolet Captiva Diesel การออกตัวที่นุ่มนวล การตอบสนองของแรงบิดที่ทำให้รถพุ่งทะยานตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อใช้โหมดการขับขี่แบบสับเอง
ช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบมัลติลิงค์ 4 จุด ช่วยยึดเกาะตัวถนน ทำให้มั่นใจในการขับขี่ที่ความเร็วสูง
สรุป: Chevrolet Captiva Diesel – SUV ที่สุภาพขึ้นแต่ยังคงไว้ซึ่งพลัง
Chevrolet Captiva Diesel 2014 ได้รับการปรับปรุงให้มีความลงตัวมากขึ้น หรูหราขึ้น และขับขี่ได้นุ่มนวลขึ้น แม้ว่าแรงบิดจะเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ได้เป็นแบบ Flat Torque เหมือนเดิม และเกียร์ใหม่ก็ถูกปรับให้มีความนุ่มนวลขึ้น
จากการทดสอบอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เฉลี่ยอยู่ที่ 12.48 วินาที และ 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เฉลี่ยอยู่ที่ 8.60 วินาที ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ไม่ขี้เหร่เลย
บทสรุป: สัมผัสความคุ้มค่าและความอเนกประสงค์ที่เหนือใคร
Chevrolet Captiva 2014 นำเสนอความคุ้มค่าและความอเนกประสงค์ที่น่าสนใจ ด้วยการผสมผสานดีไซน์ที่สวยงาม สมรรถนะที่ไว้ใจได้ และเทคโนโลยีที่ครบครัน หากคุณกำลังมองหา SUV ที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลาย ทั้งการเดินทางในเมืองและนอกเมือง Chevrolet Captiva 2014 คือตัวเลือกที่คุณไม่ควรมองข้าม
BMW 420d Coupe Sport: สปอร์ตคูเป้ดีเซลที่ครบเครื่อง
BMW ประเทศไทย ได้นำเข้ารถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ BMW 420d Coupe Sport ที่แม้จะเป็นรถยนต์เปิดตัวในต่างประเทศ ก็ถูกนำเข้ามาวางจำหน่ายในไทยทันที
ดีไซน์สปอร์ตสะดุดตา: ความหรูหราที่มาพร้อมสมรรถนะ
BMW 420d Coupe Sport โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวและสปอร์ต การออกแบบภายนอกได้รับแรงบันดาลใจจากซีดานซีรีส์ 3 แต่มีการปรับรายละเอียดให้มีความเป็นเอกลักษณ์มากขึ้น ทั้งไฟหน้า LED แบบเต็มรูปแบบ ดีไซน์กระจังหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ของ BMW และเส้นสายบนตัวถังที่แสดงถึงความแข็งแกร่ง
ภายในที่หรูหราและสะดวกสบาย: เน้นผู้โดยสาร 4 ที่นั่ง
ห้องโดยสารภายในของ BMW 420d Coupe Sport เน้นโทนสีแดงสดตัดกับสีดำ เพื่อสร้างบรรยากาศที่หรูหราและทันสมัย เบาะนั่ง 4 ตำแหน่ง ออกแบบมาอย่างลงตัว โดยเบาะหน้าสามารถปรับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบพับเบาะเพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้า-ออกของผู้โดยสารตอนหลัง
เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร: สมรรถนะที่เหนือกว่าและความประหยัด
ขุมพลังหลักของ BMW 420d Coupe Sport คือเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร TwinPower Turbo ที่ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ใน 7.3 วินาที (ตามสเปก) และมีความเร็วสูงสุด 232 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด: การทำงานที่ชาญฉลาด
เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดแบบสปอร์ต ทำงานได้อย่างชาญฉลาด ช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างราบรื่น และมีการตัดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อจอด เพื่อช่วยประหยัดน้ำมัน
โหมดการขับขี่ที่หลากหลาย: ปรับตามสไตล์ของคุณ
BMW 420d Coupe Sport มีโหมดการขับขี่ให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่อีโค คอมฟอร์ท ไปจนถึงสปอร์ต ซึ่งแต่ละโหมดจะส่งผลต่อการตอบสนองของเครื่องยนต์ ช่วงล่าง และการบริโภคน้ำมัน
ระบบความปลอดภัยเต็มพิกัด: มั่นใจได้ทุกการเดินทาง
BMW 420d Coupe Sport มาพร้อมระบบความปลอดภัยมาตรฐานของ BMW ที่ครบครัน เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารมั่นใจในทุกการเดินทาง
สรุป: BMW 420d Coupe Sport – สปอร์ตคูเป้ดีเซลที่ครบเครื่อง
BMW 420d Coupe Sport เป็นรถยนต์สปอร์ตคูเป้ดีเซลที่ผสมผสานดีไซน์ที่สวยงาม สมรรถนะที่ทรงพลัง และความประหยัดน้ำมันได้อย่างลงตัว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์ที่ขับสนุก มีสไตล์ และพร้อมที่จะเป็นเจ้าของรถยนต์หรูที่โดดเด่นบนท้องถนน
อย่ารอช้า! ค้นพบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับกับรถยนต์ที่คุณเลือก สัมผัสสมรรถนะที่เหนือกว่า ความคุ้มค่าที่ลงตัว และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ที่จะพาคุณไปสู่เป้าหมายที่ดียิ่งกว่า

