สุดยอดรถคลาสสิกที่ต้องลองขับสักครั้งในชีวิต: ค้นพบตำนานยนต์ที่ยังคงตราตรึง
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์มานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นวิวัฒนาการของรถยนต์มากมาย ตั้งแต่เทคโนโลยีล้ำสมัยจนถึงดีไซน์เหนือกาลเวลา แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่บริสุทธิ์และคงทนเกินกว่ากาลเวลา นั่นคือ “รถคลาสสิก” ไม่ใช่แค่ยานพาหนะ แต่คือชิ้นงานศิลปะ เครื่องจักรที่บอกเล่าเรื่องราว และสัญลักษณ์แห่งยุคสมัย การได้สัมผัสประสบการณ์ขับขี่รถยนต์ในตำนานเหล่านี้คือความฝันของนักเลงรถทั่วโลก และในยุคปี 2025 ที่เทคโนโลยีพัฒนาก้าวล้ำไปไกล การย้อนรำลึกถึงรากเหง้าแห่งวิศวกรรมยานยนต์ยังคงเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง
บทความนี้จะพาคุณดำดิ่งสู่โลกของรถยนต์คลาสสิกที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นที่สุดในประวัติศาสตร์ยานยนต์ เราจะสำรวจรถยนต์เหล่านั้นที่ไม่ได้เป็นเพียงวัตถุจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ แต่ยังคงมีจิตวิญญาณแห่งการขับขี่ที่น่าตื่นเต้นรอให้คุณได้สัมผัส ด้วยการผสมผสานประสบการณ์ตรงและความรู้เชิงลึก ผมจะเจาะลึกถึงเสน่ห์ ประวัติศาสตร์ และเหตุผลที่รถยนต์เหล่านี้ยังคงครองใจนักสะสมและผู้ที่หลงใหลในความงดงามของยนตรกรรมแห่งอดีต
นิยามของ “รถคลาสสิก” ที่ต้องขับ
เมื่อพูดถึง “รถคลาสสิก” หลายคนอาจนึกถึงรถยนต์โบราณที่มีมูลค่าสูงและหาได้ยาก แต่ในมุมมองของผม การคัดเลือกรถยนต์ที่ “ต้องขับ” ก่อนตายนั้น ครอบคลุมมากกว่านั้น มันคือรถยนต์ที่:
มีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์ยานยนต์: รถยนต์เหล่านี้ได้สร้างมาตรฐานใหม่ เปลี่ยนแปลงแนวคิด หรือเป็นแรงบันดาลใจให้กับรถรุ่นต่อๆ มา
มีดีไซน์เหนือกาลเวลา: ความงามของพวกมันยังคงจับใจผู้พบเห็นได้ทุกยุคสมัย
มอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าจดจำ: ไม่ว่าจะเป็นสมรรถนะ เสียงเครื่องยนต์ หรือการตอบสนองที่ดิบเถื่อนและจริงใจ
ยังคงเข้าถึงได้ (ในระดับหนึ่ง): แม้บางคันอาจหายาก แต่ก็ยังมีโอกาสที่เราจะได้เห็นหรือได้ลองขับ หากมีความพยายามและการเชื่อมโยงที่ถูกต้อง
เจาะลึกตำนานยนตรกรรม: รถคลาสสิกที่คุณต้องไม่พลาด
นี่คือสุดยอดรถยนต์คลาสสิก ที่ผมเชื่อว่านักเลงรถทุกคนควรหาโอกาสสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ด้วยตนเองสักครั้งในชีวิต:
Jaguar E-Type (ปี 1960s): ความงามที่ Enzo Ferrari ยังต้องยกย่อง
หากมีรถยนต์เพียงคันเดียวที่ต้องเลือกลองขับจากรายชื่อนี้ Jenson Button อดีตแชมป์ F1 และผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์คลาสสิกเคยกล่าวไว้ว่า “Jagua E-Type คือรถที่สมบูรณ์แบบ” ไม่ใช่แค่คำกล่าวลอยๆ แต่มาจากความประจักษ์จริง Enzo Ferrari เองยังเคยยกย่องว่า E-Type คือ “รถที่สวยที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา”
E-Type ไม่ได้มีดีแค่รูปลักษณ์ภายนอกอันสง่างามที่ถอดแบบมาจากเครื่องบินไอพ่น แต่ยังแฝงไว้ด้วยสมรรถนะที่น่าทึ่ง สามารถทำความเร็วได้ถึง 150 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 240 กม./ชม.) และระบบเบรกที่เหนือกว่ารถยนต์ร่วมสมัยส่วนใหญ่ การได้นั่งหลังพวงมาลัยของ E-Type คือการเดินทางย้อนเวลาสู่อีกยุคหนึ่ง ที่ซึ่งการออกแบบและความเร็วผสานกันอย่างลงตัว การมองหารถคันนี้อาจต้องอาศัยความอดทนและช่องทางพิเศษ เช่น โปรแกรม Jaguar Heritage Driving Experience ในสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นโอกาสทองในการสัมผัสจิตวิญญาณของบริติช มอเตอร์ลิ่งตัวจริง
Chevrolet Corvette (Generations C2, 1963-1967): ไอคอนแห่ง Muscle Car อเมริกัน
Corvette คือสัญลักษณ์ของ “Big Three” ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของอเมริกา โดยเฉพาะรุ่นที่สอง (C2) ระหว่างปี 1963-1967 ที่ถูกยกย่องว่าเป็น “รถอเมริกันที่โดดเด่นที่สุดตลอดกาล” แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ดีไซน์ของมันยังคงความสดใหม่และน่าตื่นตาตื่นใจอย่างไม่เสื่อมคลาย
ความง่ายในการหาครอบครองเป็นอีกจุดเด่นของ Corvette รุ่นนี้ในสหรัฐอเมริกา คุณสามารถพบได้ตามงานประมูลต่างๆ ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์คลาสสิก หรือเว็บไซต์เฉพาะทาง การได้สัมผัสพลังดิบของเครื่องยนต์ V8 และการขับขี่สไตล์อเมริกันแท้ๆ ของ Corvette C2 คือประสบการณ์ที่นักเลงรถชาวอเมริกันไม่ควรพลาด
Lamborghini Miura (1966-1973): สุริยคติแห่งความเร็วและรูปงาม
สำหรับหลายคน Miura คือ “รถที่เซ็กซี่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา” รถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางลำคันนี้ เปิดตัวในปี 1966 เพื่อท้าชน Ferrari โดยตรง การได้ขับ Miura ไม่ใช่แค่ประสบการณ์การขับขี่ แต่มันคือ “ประสบการณ์แห่งชีวิต” ดังที่ McKeel Hagerty ซีอีโอของ Hagerty (บริษัทประกันภัยรถยนต์คลาสสิกชั้นนำ) กล่าวไว้
“เสียงของคาร์บูเรเตอร์หกตัวที่ป้อนเชื้อเพลิงให้เครื่องยนต์ V12 อันกระหายและสั่นสะท้านที่อยู่หลังศีรษะของคุณ หากยังไม่เพียงพอแล้วล่ะก็ มันยังเป็นรถที่สวยที่สุดเท่าที่เคยผลิตมาอีกด้วย” หากคุณอยากครอบครอง Miura การติดต่อ Lamborghini Club America หรือบริษัทประมูลอย่าง RM Sotheby’s หรือ Gooding & Co. คือทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะพวกเขามักจะรู้ข่าวสารก่อนที่รถจะออกสู่ตลาดทั่วไป
Porsche 911 (Pre-1974): ความมหัศจรรย์แห่งยุคทอง
Porsche 911 คือตัวแทนของการขับขี่แบบรถคลาสสิกที่สมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะรุ่นก่อนการปรับโฉมครั้งใหญ่ในปี 1974 “มีมนต์ขลังบางอย่างใน 911 ยุคแรก” Hagerty กล่าว “มันคือเครื่องจักรที่สร้างมาอย่างน่าทึ่ง มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ซื่อสัตย์ที่สุดเท่าที่รถสปอร์ตคันไหนๆ เคยสร้างมา”
แม้จะผ่านไปหลายทศวรรษ แต่ Porsche 911 รุ่นแรกๆ ยังคงมีพละกำลังที่เหลือเฟือและสามารถแข่งขันในสนามแข่งได้สบายๆ การหา 911 สภาพสมบูรณ์ในยุคนี้อาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ยังพอมีให้เห็นในแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง eBay
Mercedes-Benz 300 SL “Gullwing” (1954-1957): นวัตกรรมแห่งความเร็วจากยุคหลังสงคราม
เป็นหนึ่งในรถสปอร์ตคันแรกๆ ของยุคหลังสงคราม 300 SL “Gullwing” คือรถโปรดักชั่นที่เร็วที่สุดในยุคนั้น ด้วยการเป็นรถโปรดักชั่นคันแรกที่ใช้ระบบหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงโดยตรง ทำให้มันสามารถทำความเร็วได้ถึง 160 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 257 กม./ชม.)
“ไม่มีใครคาดคิดว่า Mercedes-Benz จะสร้างรถแบบนี้ได้” Constantin von Kageneck ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดรถคลาสสิกจาก Mercedes-Benz Classic Center กล่าว แม้ประมาณสามในสี่ของ 300 SL Gullwing ดั้งเดิมจะยังคงมีสภาพดีอยู่ แต่หลายคันก็ยังคงเป็นของเจ้าของเดิม การได้ชื่นชมความงามและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยของรถคันนี้ที่ Mercedes-Benz Classic Center หรือพิพิธภัณฑ์ยานยนต์อย่าง Petersen Automotive Museum ในลอสแอนเจลิส คือประสบการณ์ที่น่าประทับใจ
Ferrari 250 GTO (1962-1964): จอกศักดิ์สิทธิ์แห่งวงการรถคลาสสิก
Ferrari ผลิตรถแข่งสุดหรูคันนี้เพียง 39 คันเท่านั้นในช่วงปี 1962-1964 ทำให้มันเป็นรถที่หายากอย่างยิ่ง “250 GTO น่าจะเป็นจอกศักดิ์สิทธิ์ในแง่ของมูลค่าและการเป็นที่ยอมรับ แต่ในความเป็นจริง มีเพียงไม่กี่คนในโลกที่จะมีโอกาสได้ขับมันอย่างถูกกฎหมาย” Hagerty กล่าว
ราคาของ 250 GTO พุ่งสูงถึง 38 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการประมูลของ Bonhams เมื่อไม่นานมานี้ หากงบประมาณของคุณยังไม่ถึงระดับนั้น การมองหา Ferrari ยุค 60s ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ V12 ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า
Aston Martin DB4/DB5 (1959-1963/1963-1965): พาหนะของสายลับ 007
Aston Martin DB4 และ DB5 คือรถยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง โดยเฉพาะในฐานะพาหนะคู่ใจของ James Bond “DB4 คือม้าแข่งพันธุ์ดีที่ไม่เคยตื่นตระหนก” Hagerty กล่าว “ผมไม่ลังเลเลยที่จะขับมันข้ามประเทศ ไม่น่าแปลกใจที่ James Bond เลือกใช้ DB5 รุ่นที่พัฒนาต่อยอดจาก DB4”
รถรุ่นเหล่านี้มีจำนวนจำกัด การหาโอกาสได้ขับอาจต้องอาศัยการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับนักสะสม หรือการจับตาดูงานประมูลรถคลาสสิกชั้นนำ
BMW 3.0 CSL (1971-1975): สุนทรียะแห่งการแข่งขัน
หากคุณมีความฝันที่จะสัมผัสประสบการณ์ในสนามแข่ง BMW 3.0 CSL คือรถที่คุณควรตามหา เมื่อ BMW บุกตลาดอเมริกาในปี 1975 รถรุ่นนี้เป็นหนึ่งในสี่รุ่นที่นำเข้ามา ซึ่งได้รับชัยชนะในการแข่งขัน 12 Hours of Sebring และ Daytona ทำให้ชื่อเสียงด้านสมรรถนะของ BMW เป็นที่ประจักษ์ในสหรัฐอเมริกา
นอกจากมรดกด้านวิศวกรรมและสมรรถนะแล้ว 3.0 CSL ยังเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีมากมายที่จะปรากฏใน BMW รุ่นต่อๆ มา เช่น เครื่องยนต์ 6 สูบ 4 วาล์ว และระบบเบรก ABS ยุคแรก BMW Classic Center ในเมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี มอบโอกาสให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่รถรุ่นนี้
Acura NSX (1990-2005): ซูเปอร์คาร์ที่เข้าถึงง่าย
Acura NSX หรือ Honda NSX ในตลาดอื่น เป็น “Halo Car” ของ Acura ในช่วงปี 1990-2005 แม้จะไม่ได้มีรูปทรงที่หวือหวาเท่าคู่แข่งจากยุโรป แต่ NSX แสดงให้โลกเห็นว่า “สเปกของซูเปอร์คาร์สามารถอยู่ร่วมกับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว” Hagerty กล่าว
“มันสร้างความมั่นใจและกระตุ้นให้คุณอยากขับเร็วขึ้น เบรกช้าลง และเข้าโค้งให้คมขึ้น มันอาจเป็นรถที่ถูกประเมินค่าต่ำที่สุดในลิสต์นี้” ด้วยจำนวนการผลิตกว่า 9,000 คันในเจเนอเรชั่นแรก การหา NSX มือสองจึงไม่ใช่เรื่องยาก
Shelby GT350 (1965-1970): พลังดิบแห่ง American Muscle
หรือที่รู้จักในชื่อ “Cobra” รถยนต์สมรรถนะสูงรุ่นนี้คือทายาทโดยตรงของ Ford Mustang และเป็นที่ชื่นชอบในช่วงปลายยุค 1960s ด้วยเครื่องยนต์ V8 ของ Ford ทำให้ Shelby GT350 เป็นรถแข่งที่สามารถขับบนถนนได้อย่างถูกกฎหมาย
“เมื่อคุณเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยและสตาร์ทเครื่อง เสียงเครื่องยนต์ไม่ได้แค่ดังคำราม แต่มันยังสั่นสะเทือนเล็กน้อย” Hagerty อธิบาย “และนั่นคือตอนที่รถยังจอดอยู่ เมื่อคุณเหยียบคันเร่ง มันจะพุ่งทะยานและส่งเสียงคำราม” คุณจะเข้าใจได้ทันทีว่าทำไม Carroll Shelby จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะแห่งวงการยานยนต์ในศตวรรษที่ 20 การหา Cobra มือสองต้องมองหาตามงานประมูลรถคลาสสิกชั้นนำ ตัวแทนจำหน่าย หรือโบรกเกอร์เฉพาะทาง
Ford Model T (1908-1927): จุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมรถยนต์อเมริกัน
ผลิตระหว่างปี 1908 ถึง 1927 Model T คือรถยนต์ที่ให้กำเนิดอุตสาหกรรมยานยนต์อเมริกัน ด้วยราคาที่เข้าถึงได้สำหรับคนหมู่มาก Model T ได้สร้างวัฒนธรรมรถยนต์และยุคสมัยของการเดินทางท่องเที่ยว “ทุกคนควรรู้ว่าพวกเขามาจากไหน” Hagerty กล่าว “เมื่อพูดถึงการเดินทางของชาวอเมริกัน จุดเริ่มต้นนั้นคือ Model T”
การขับ Model T อาจไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยเครื่องยนต์ที่ต้องใช้การหมุนแครงก์ด้วยมือ และระบบเกียร์ 2 สปีด (ไม่รวมเกียร์ถอยหลัง) แต่ถึงแม้จะทำความเร็วได้เพียง 27 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 43 กม./ชม.) ประสบการณ์ก็ยังคงน่าตื่นเต้นอย่างไม่น่าเชื่อ
Volkswagen Beetle (Classic): สัญลักษณ์แห่งความเรียบง่ายและสนุก
รถเต่าคลาสสิกคือสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมต่อต้านกระแสหลัก แสดงถึงความเรียบง่ายและความสนุกสนานในการขับขี่ “นอกจากประสบการณ์การขับขี่ที่ง่ายดายแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกที่เป็นมิตรของ Beetle ยังดึงดูดผู้คนไม่ว่าจะขับไปที่ไหน และดูเหมือนว่าทุกคนจะมีเรื่องราวเกี่ยวกับ Beetle ของตัวเองที่จะแบ่งปัน” Hagerty กล่าว “นี่ไม่ใช่รถสำหรับคนขี้อาย” หากคุณต้องการลองขับ Beetle รุ่นเก่า สามารถหาซื้อได้ง่ายๆ จาก eBay หรือโฆษณาตามหนังสือพิมพ์
Volvo P1800 (1961-1973): รถสปอร์ตที่ทนทานและมีสไตล์
Volvo P1800 ที่มีดีไซน์แปลกตา แต่มีสไตล์มากพอที่ Roger Moore จะขับมันในซีรีส์สายลับ The Saint รถสปอร์ตสองที่นั่งคันนี้มีความทนทานอย่างเหลือเชื่อ มีรายงานว่ามีคันหนึ่งวิ่งได้มากกว่าสามล้านไมล์! แม้ว่ารถรุ่นพี่ส่วนใหญ่จะเป็นของนักสะสมส่วนตัว แต่การติดต่อ Volvo Owners Club อาจช่วยให้คุณพบรถรุ่นนี้เพื่อซื้อขาย หรือเจรจากับเจ้าของ
Dodge Viper GTS (1996-2002): พลังดิบที่ไร้การปรุงแต่ง
Dodge Viper GTS เครื่องยนต์ V10 ในยุค 90s คือรถยนต์ที่แทบจะไม่มีทางผลิตได้ในปัจจุบัน ด้วยกำลัง 450 แรงม้า มันดิบเถื่อนและไร้การปรุงแต่งเช่นเดียวกับรุ่นก่อนอย่าง Shelby Cobra โดยไม่มีระบบเบรก ABS หรือระบบควบคุมการทรงตัวมาช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดของผู้ขับขี่ “มันคือรถยนต์ที่เทียบเท่ากับวิสกี้แบบไม่ผสม (whiskey, neat) ไม่มีพิธีรีตอง มีเพียงประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น” Hagerty กล่าว คุณสามารถหา Viper GTS ได้ทางออนไลน์ หรือผ่านบริษัทประมูลรถยนต์คลาสสิก เช่น Auctions America หรือ Mecum
De Tomaso Pantera (1971-1991): การผสมผสานที่ลงตัว
ด้วยการออกแบบสไตล์อิตาเลียนและเครื่องยนต์ Ford V8 ที่ไว้ใจได้ De Tomaso Pantera เป็นตัวแทนของ “โลกที่ดีที่สุดทั้งสองฝั่ง” และเป็นทางเลือกที่น่าสนใจแทนรถ Lamborghini และ Ferrari ที่มีลักษณะคล้ายกันในยุคเดียวกัน “คุณอาจคาดหวังว่ารถอิตาเลียนยุคต้น 70s จะดูฉูดฉาด เสียงดัง และขับยาก” Hagerty กล่าว “แต่ถึงแม้จะฉูดฉาดและเสียงดัง แต่ Pantera ที่มีตัวถังอิตาเลียนและเครื่องยนต์อเมริกันนั้น จริงๆ แล้วขับค่อนข้างง่าย” คุณสามารถหา Pantera ได้ตามงานประมูลรถคลาสสิกชั้นนำ เช่น Barrett-Jackson หรือ Bonhams
McLaren F1 (1992-1998): สุดยอดซูเปอร์คาร์แห่งยุค
McLaren F1 ประกาศการเข้าสู่สนามแข่งรถยนต์ระดับโลกของผู้ผลิตซูเปอร์คาร์ชาวอังกฤษ ด้วยการเปิดตัวในปี 1992 หกปีต่อมา มันได้สร้างสถิติความเร็วสูงสุดของรถโปรดักชั่นที่ 242 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 389 กม./ชม.) “McLaren F1 คือคำตอบของ Gordon Murray ตำนาน Formula One ต่อ Porsche และ Ferrari ในรูปแบบซูเปอร์คาร์ไฮเทค” Hagerty กล่าว “และมันไม่ได้แค่เหนือกว่ามาตรฐานที่พวกเขากำหนด แต่มันได้ทำลายมันทิ้งไป การขับ F1 คือบทกวีอันงดงามของการเร่งความเร็ว การเบรก และการควบคุมที่น่าตกใจ”
McLaren ผลิต F1 เพียง 64 คันเท่านั้น แต่โชคดีที่พวกเขากำลังจะนำเสนอหมายเลขแชสซี #69 ซึ่งเป็นคันที่ 60 ที่ผลิตขึ้น หากคุณมีงบประมาณระดับแปดหลัก สามารถติดต่อ specialoperations@mclaren.com ได้โดยตรง
Cizeta-Moroder V16T (1991-1995): ซูเปอร์คาร์ V16 อันทรงพลัง
ผลิตระหว่างปี 1991-1995 ซูเปอร์คาร์ V16 สัญชาติอิตาเลียนคันนี้ เดิมออกแบบมาเพื่อเป็น Lamborghini Diablo แต่เมื่อ Chrysler เข้าซื้อหุ้น Lamborghini และนักออกแบบ Diablo ปรับแผน ผู้บงการ Marcelo Gandini ได้นำแบบร่างดั้งเดิมของเขาไปมอบให้กับวิศวกรยานยนต์ Claudio Zampolli ผู้ที่สร้างมันขึ้นมาในชื่อ Cizeta Cizeta ผลิตรถยนต์รุ่นนี้เพียงไม่กี่คันในรอบการผลิตแรก แต่บางคันก็ยังคงปรากฏขึ้นในตลาดเป็นครั้งคราว
Porsche 356 (1948-1965): รถโปรดักชั่นคันแรกของ Porsche
Porsche 356 รถขับเคลื่อนล้อหลัง เครื่องยนต์วางหลัง คือรถโปรดักชั่นคันแรกของ Porsche ผ่านการพัฒนามาถึงสี่รุ่นก่อนจะยุติสายการผลิตในช่วงกลางทศวรรษ 1960s ถือเป็น Porsche 4 สูบที่ได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ที่สุด และได้รับการยกย่องจากผู้เชี่ยวชาญรถยนต์วินเทจว่าเป็นรถที่ขับสนุกที่สุด
การหา 356 ไม่ใช่เรื่องยากนัก เนื่องจากประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนการผลิตทั้งหมด 76,000 คันยังคงมีอยู่
Datsun 240Z (1969-1973): จุดประกายกระแสสปอร์ตคาร์ญี่ปุ่น
Datsun 240Z เริ่มต้นกระแสความนิยมรถสปอร์ตคาร์ของญี่ปุ่นเมื่อเดินทางมาถึงอเมริกาในช่วงต้นทศวรรษ 1970s ด้วยพละกำลังที่มากพอและภายในที่สะดวกสบายในราคาที่ไม่แพง Datsun ได้ปูทางให้ Toyota, Honda และ Nissan ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาในทศวรรษต่อมา คุณสามารถพบ Datsun 240Z จำนวนมากได้ในรายการโฆษณาจาก Hemmings และ AutoTrader Classics
Ferrari 308 GTS (1975-1985): ไอคอนแห่ง Magnum P.I.
หากคุณเคยดูโทรทัศน์ในยุค 80s คุณคงจำ Thomas Magnum ที่รับบทโดย Tom Selleck ขับรถ Targa top คันนี้ไปรอบๆ ฮาวายในซีรีส์ Magnum, P.I. ได้ Ferrari 308 GTS สองที่นั่ง เครื่องยนต์ V8 ที่ผลิตระหว่างปี 1975-1985 เป็นตัวแทนของความสง่างามและการผจญภัย รถที่ใช้ถ่ายทำในกองถ่ายถูกนำออกประมูลเมื่อซีรีส์จบลง แต่คุณอาจพบเห็นรถรุ่นนี้ได้ตามสถานที่ท่องเที่ยวอย่าง Cars of the Stars Motor Museum ในอังกฤษ หรือ Universal Studios Hollywood
Chevrolet Camaro (First Generation, 1967-1969): คู่แข่งแห่ง Pony Car
Camaro รุ่นแรกคือคำตอบของ Chevrolet ต่อ Mustang แต่มาพร้อมสไตล์และพลังที่มากกว่า Chevrolet เปิดตัว Camaro ในปี 1967 เป็นการจุดชนวนสงครามรถยนต์ Muscle Power ขนาด 8 สูบของอเมริกาที่ยังคงดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน Camaro รุ่นแรกมีให้เลือกซื้อมากมายทางออนไลน์ หากคุณต้องการซื้อ ลองค้นหาในเว็บไซต์อย่าง eBay หรือ AutoTrader Classics
Fiat 124 Spider (1968-1985): ความน่ารักสำหรับหน้าร้อน
Fiat 124 Spider ที่ออกแบบโดย Pininfarina เปิดตัวในสหรัฐอเมริกาในปี 1968 ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ด้วยพื้นที่เก็บสัมภาระที่กว้างขวาง และพื้นที่ห้องโดยสารที่เพียงพอสำหรับสองคน ทำให้รถ Roadster คันนี้กลายเป็นรถคลาสสิกสำหรับการเดินทางท่องเที่ยว “มันไม่ได้มีพละกำลังมากนัก แต่ก็น่ารัก” Martin กล่าว “เป็นรถที่ยอดเยี่ยมสำหรับช่วงฤดูร้อน” หากคุณไม่พบรถรุ่นดั้งเดิมทางออนไลน์ ควรทราบว่า Fiat กำลังจะเปิดตัว 124 Spider รุ่นปรับปรุงใหม่สำหรับปี 2017
Austin-Healey 3000 (1959-1967): รถ Roadster แห่งยุค Swinging Sixties
เปิดตัวในปี 1959 รถ Roadster สัญชาติอังกฤษคันนี้กลายเป็น “Big Healey” คันสุดท้ายเมื่อยุติการผลิตในปี 1967 ด้วยรูปทรงโค้งมนและรายละเอียดทองเหลือง Austin-Healey 3000 คือไอคอนแห่งยานยนต์ในยุค Swinging Sixties “นี่คือรุ่นสุดท้ายของ ‘Big Healey’ ด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบอันทรงพลังและระบบ Overdrive” Martin กล่าว “มันสามารถวิ่งได้สบายๆ ที่ 75 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 120 กม./ชม.) บนทางหลวงในปัจจุบัน” คุณอาจพบ Austin-Healey 3000 รุ่นปีหลังๆ ได้เป็นครั้งคราวผ่าน Hemmings และเว็บไซต์ซื้อขายรถคลาสสิกอื่นๆ
Vintage Jeep (WWII Era onwards): ต้นแบบ SUV ที่สมบุกสมบัน
Jeep โดดเด่นขึ้นมาในฐานะยานพาหนะ “General Purpose” (GP) ที่กองทัพสหรัฐฯ ใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี 1945 รถ 4×4 คันนี้ได้ถูกนำมาขายในเชิงพาณิชย์ในชื่อ Civilian Jeep ซึ่งบางคนถือว่าเป็น SUV ที่ผลิตจำนวนมากคันแรก “มันไม่ได้เร็วหรือสบาย แต่เป็นตัวแทนแห่งประชาธิปไตยในโลกยานยนต์” Hagerty กล่าว “และหากคุณวางแผนที่จะลุยออฟโรด คุณคงหาอะไรที่ดีไปกว่าความเรียบง่ายและความแข็งแกร่งของ Jeep ไม่ได้แล้ว” ในฐานะส่วนสำคัญของประวัติศาสตร์อเมริกา Jeep สามารถพบเห็นได้ทั้งในพิพิธภัณฑ์และในโฆษณาออนไลน์
Ford Mustang (First Generation, 1964½-1973): สัญลักษณ์แห่งอิสรภาพ
Ford Mustang เป็นมากกว่าแค่รถยนต์ มันคือสัญลักษณ์ของอิสรภาพ ความเป็นหนุ่มสาว และยุคแห่งการขยายตัวของอเมริกา รถคันนี้สร้างปรากฏการณ์ “Pony Car” และยังคงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมาจนถึงทุกวันนี้ การขับ Mustang รุ่นแรกๆ ให้ความรู้สึกดิบๆ ทรงพลัง และเป็นส่วนหนึ่งของตำนานอเมริกันอย่างแท้จริง การหา Mustang รุ่นดั้งเดิมไม่ใช่เรื่องยากนัก และเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์รถคลาสสิกที่เข้าถึงง่าย
บทสรุป: ก้าวสู่ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร
การได้ขับรถคลาสสิกเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่การทดลองขับรถยนต์อีกคัน แต่คือการเดินทางย้อนเวลา การสัมผัสวิศวกรรม ประวัติศาสตร์ และศิลปะที่ถูกหล่อหลอมเข้าด้วยกัน แต่ละคันล้วนมีเรื่องราว มีบุคลิก และมอบประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป
สำหรับผู้ที่หลงใหลในความงามของยานยนต์ การค้นหาและได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่รถยนต์ในตำนานเหล่านี้คือเป้าหมายอันทรงคุณค่าในชีวิต หากคุณกำลังมองหารถคลาสสิกสำหรับสะสม หรือเพียงแค่อยากสัมผัสจิตวิญญาณแห่งยุคสมัย ลองเริ่มต้นจากการศึกษาข้อมูล ทำความรู้จักกับผู้เชี่ยวชาญ และเข้าร่วมชุมชนคนรักรถคลาสสิก การเดินทางสู่โลกของรถยนต์ที่ไม่มีวันลืมเลือนกำลังรอคุณอยู่!
