ฮุนได ไอ 10 ใหม่ (Hyundai i10): อนาคตซิตี้คาร์จากแดนกิมจิ ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
ในยุคที่ตลาดรถยนต์เต็มไปด้วยตัวเลือกที่หลากหลาย ค่ายรถยนต์จากเกาหลีอย่าง ฮุนได (Hyundai) ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการพัฒนานวัตกรรมและดีไซน์ที่ล้ำสมัย แม้ว่าฮุนไดจะประสบความสำเร็จอย่างสูงในกลุ่มรถยนต์ซีดานขนาดกลาง แต่ก็ไม่เคยละทิ้งความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์รถยนต์ขนาดเล็กที่ตอบโจทย์การใช้งานในเมือง ฮุนได ไอ 10 ใหม่ (Hyundai i10) คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุดของการไม่หยุดนิ่งนี้ เป็นซิตี้คาร์สายเลือดเกาหลีที่กำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ด้วยการอัปเกรดครั้งสำคัญที่ทำให้รถคันนี้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
การขยายขนาด: ตอบโจทย์ความต้องการที่มากกว่าเดิม
การพัฒนา ฮุนได ไอ 10 ใหม่ ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นการพัฒนาที่เกิดขึ้นจริงและน่าจับตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตลาดในสหราชอาณาจักร ที่เตรียมจะวางจำหน่าย ฮุนได ไอ 10 ใหม่ ในราคาเริ่มต้นที่เข้าถึงได้ง่าย เพียง 8,345 ปอนด์ หรือราว 417,250 บาทเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัดที่สุดคือการปรับขยายขนาดตัวถัง โดยความกว้างเพิ่มขึ้น 65 มิลลิเมตร และความยาวเพิ่มขึ้น 80 มิลลิเมตร ขณะเดียวกันก็มีการปรับลดความสูงลง 50 มิลลิเมตร เพื่อรักษาความเป็นสปอร์ตและสมดุลของตัวรถ การปรับขนาดนี้ส่งผลโดยตรงต่อพื้นที่ภายในห้องโดยสารและการจัดเก็บสัมภาระ
สมรรถนะที่น่าสนใจ: ตัวเลือกเครื่องยนต์ที่ตอบสนองทุกการขับขี่
ฮุนได ไอ 10 ใหม่ มาพร้อมตัวเลือกเครื่องยนต์ที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ที่แตกต่างกัน เครื่องยนต์ขนาด 1.0 ลิตร แบบ 3 สูบ ให้กำลังสูงสุด 65 แรงม้า สามารถเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลา 14.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 155 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สำหรับผู้ที่ต้องการสมรรถนะที่สูงขึ้น เครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร แบบ 4 สูบ ให้กำลังสูงสุด 86 แรงม้า สามารถเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลา 12.3 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 171 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตัวเลือกเครื่องยนต์เหล่านี้ ทำให้ ฮุนได ไอ 10 ใหม่ สามารถมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกสนานและประหยัดน้ำมันไปพร้อมกัน
ภายในที่กว้างขวางและฟังก์ชันที่ทันสมัย: ความสะดวกสบายที่เหนือกว่า
แม้จะมีการปรับลดความสูงลง แต่พื้นที่สัมภาระของ ฮุนได ไอ 10 ใหม่ ได้รับการปรับปรุงให้มีพื้นที่มากขึ้นถึง 10% คิดเป็น 252 ลิตร ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน การออกแบบภายในเน้นความทันสมัยและฟังก์ชันที่จำเป็นสำหรับการขับขี่ในยุคปัจจุบัน รุ่นเริ่มต้นมาพร้อมล้อขนาด 14 นิ้ว ระบบเซ็นทรัลล็อค และกระจกไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ขณะที่รุ่น SE จะเพิ่มความสะดวกสบายด้วยกุญแจรีโมท และระบบละลายน้ำแข็งที่กระจกมองข้าง สำหรับรุ่น Premium Edition ที่เป็นรุ่นท็อป จะอัดแน่นไปด้วยออปชันที่น่าสนใจ เช่น ระบบเชื่อมต่อ Bluetooth พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง, ไฟ Daytime LED และระบบให้สัญญาณเบรกฉุกเฉิน การอัปเกรดเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของฮุนไดในการยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้งาน
ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ (2014 Honda City): นิยามใหม่ของ B-Segment ที่เหนือกว่า
ในขณะที่กระแสรถยนต์ SUV กำลังมาแรง แต่กลุ่มรถยนต์ B-Segment หรือ Sub-Compact ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของตลาดรถยนต์ทั่วโลก ด้วยยอดขายที่สูงอย่างต่อเนื่อง ฮอนด้า ซิตี้ (Honda City) คือหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ครองใจผู้บริโภคในกลุ่มนี้มาอย่างยาวนาน ยอดขายที่แข็งแกร่งในปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของฮอนด้า ซิตี้ ที่สามารถสร้างความประหลาดใจให้กับคู่แข่งอย่าง Toyota Vios โฉมใหม่ ได้ไม่น้อย
การออกแบบภายนอก: ความหรูหราที่ลงตัว
ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ เจเนอเรชั่นที่ 4 มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “Be Your Best” ที่สะท้อนถึงการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง การออกแบบภายนอกยังคงความคุ้นเคยคล้ายกับรุ่นก่อน แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียด จะพบความแตกต่างที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณไฟท้ายที่ได้รับการออกแบบใหม่ให้รับกับเส้นสายของตัวถัง สร้างมิติที่คมชัดและดูมีสไตล์มากขึ้น ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ลายใหม่ เพิ่มความโฉบเฉี่ยวและแฝงไว้ด้วยความหรูหราในรุ่น SV และ SV+ ที่มาพร้อมยาง Bridgestone Turanza ขนาด 185/55R16
มิติของตัวรถมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย โดยมีความยาวเพิ่มขึ้น 45 มิลลิเมตร และฐานล้อยาวขึ้น 50 มิลลิเมตร เพื่อเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสารตอนหลังและห้องเก็บสัมภาระ ซึ่งมีความจุมากถึง 536 ลิตร ถือเป็นจุดเด่นที่สำคัญสำหรับรถในพิกัดนี้
ภายในห้องโดยสาร: กว้างขวาง สะดวกสบาย และเทคโนโลยีล้ำสมัย
เมื่อเปิดประตูเข้ามาสู่ภายในห้องโดยสาร จะสัมผัสได้ถึงความกว้างขวางที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน พื้นที่วางขาและพื้นที่เหนือศีรษะได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น ทำให้การเดินทางไกลมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เบาะนั่งหุ้มด้วยผ้า ให้สัมผัสที่นุ่มสบาย และสามารถพับแบบ 60:40 ได้ในรุ่น SV และ SV+ เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บสัมภาระ
จุดเด่นที่สำคัญของ ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ คือแผงคอนโซลหน้าที่มาพร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ซึ่งเป็นหัวใจหลักของระบบอินโฟเทนเมนท์ สามารถทำหน้าที่เป็น Wi-Fi Hotspot, รองรับการเชื่อมต่อ Siri Eyes Free เพื่อการสั่งงานด้วยเสียง และแสดงภาพจากกล้องมองหลังเมื่อเข้าเกียร์ R ระบบเครื่องเสียงคุณภาพดี ขับเคลื่อนเสียงผ่านลำโพง 8 จุด รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth, USB, AUX และ HDMI แต่ไม่มี CD Slot และระบบนำทางมาให้ ทาง Honda แนะนำให้ใช้ Honda Link Application แทน นอกจากนี้ ยังมีช่อง Power Outlet ถึง 2 ช่องสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง เพื่ออำนวยความสะดวกในการชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ระบบการล็อกและปลดล็อกประตูอาจสร้างความสับสนเล็กน้อย โดยหากล็อกด้วยรีโมท จะต้องปลดล็อกด้วยรีโมทเท่านั้น แต่หากล็อกด้วยปุ่มที่มือจับประตู เพียงเอามือจับที่ประตู เซ็นเซอร์จะทำการปลดล็อกให้โดยอัตโนมัติ
ขุมพลังเครื่องยนต์: การปรับปรุงที่ลงตัว
หัวใจของ ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ คือเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ SOHC i-VTEC ขนาด 1.5 ลิตร ที่ได้รับการปรับจูนใหม่ให้รองรับการทำงานกับเกียร์ CVT EarthDream และรองรับน้ำมัน E85 ให้กำลังสูงสุด 117 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 146 นิวตัน-เมตร ที่ 4,700 รอบต่อนาที แม้กำลังสูงสุดจะลดลงเล็กน้อย แต่การปรับจูนให้รอบมาเร็วขึ้น ทำให้การตอบสนองโดยรวมดีขึ้น
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันตามสเปกอยู่ที่ 17.7 กิโลเมตรต่อลิตร (เบนซิน) และปล่อย CO2 ที่ 133 กรัมต่อกิโลเมตร โหมด ECON ช่วยปรับการตอบสนองของเครื่องยนต์ให้เน้นความประหยัด และมี Eco Coaching คอยแนะนำการขับขี่ที่ประหยัดน้ำมัน
จากการทดสอบ อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อยู่ที่ประมาณ 12.054 วินาที ในโหมด D และ 11.731 วินาที ในโหมด S ความเร็วสูงสุดทำได้ถึง 197 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การปรับจูนเครื่องยนต์ให้เข้ากับเกียร์ CVT ใหม่ ทำให้สมรรถนะโดยรวมมีความลงตัวมากยิ่งขึ้น
ระบบส่งกำลัง CVT: ความนุ่มนวลและประสิทธิภาพ
การเปลี่ยนมาใช้เกียร์ CVT EarthDream แบบ 7 สปีดในโหมด S แทนที่เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีดแบบ Torque Converter เดิม ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เกียร์ลูกใหม่นี้ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ได้อย่างลงตัว การเปลี่ยนเกียร์สามารถทำได้จากแป้น Paddle Shift ที่พวงมาลัยในโหมด D ซึ่งมีอัตราทดเท่ากับโหมด S แต่เกียร์จะกลับสู่โหมด D เองโดยอัตโนมัติหลังจากสักครู่ เหมาะสำหรับการใช้ Engine Brake ในการลดความเร็ว
สำหรับการเร่งแซง การกระแทกคันเร่งลงไปจนสุด จะให้การตอบสนองที่ดีกว่าการไล่เกียร์เอง การเปลี่ยนมาใช้โหมด S ก็สามารถทำให้รถพุ่งทะยานแซงรถคันหน้าได้อย่างไม่ยากเย็น
ระบบบังคับเลี้ยวและช่วงล่าง: สมดุลระหว่างความสบายและการควบคุม
พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPS ให้ความรู้สึกเบาสบายในการขับขี่ที่ความเร็วต่ำ และไม่เบาจนเกินไปเหมือนในบางรุ่นก่อนหน้า ให้ฟิลลิ่งการขับขี่ที่ดีขึ้น แต่ที่ความเร็วสูง น้ำหนักพวงมาลัยยังคงมีน้ำหนักที่เบาไปเล็กน้อยและขาดความแน่นหนึบในการเข้าโค้งเมื่อเทียบกับรุ่นเดิม
ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม ได้รับการปรับปรุงให้มีความนุ่มนวลขึ้นเล็กน้อย ทำให้การขับขี่ที่ความเร็วสูงทำได้ดี แต่ในการเข้าโค้งที่ใช้ความเร็วสูง รถอาจมีอาการส่ายหรือหน้ายางเริ่มไถลให้เห็น ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากลักษณะของยางและการตั้งค่าช่วงล่าง
ระบบเบรกและความปลอดภัย: ความมั่นใจในทุกการเดินทาง
ระบบเบรกด้านหน้าเป็นดิสก์แบบมีครีบระบายความร้อน และด้านหลังเป็นดรัม แม้จะเป็นสเปกที่คุ้นเคย แต่ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ได้รับการปรับปรุงให้การตอบสนองของเบรกมีความนุ่มนวลขึ้น ไม่รู้สึกแข็งทื่อเหมือนในรุ่นก่อน และไม่ต้องใช้แรงกดแป้นเบรกมากนักเพื่อให้ได้แรงเบรกที่ต้องการ
จุดเด่นสำคัญของ ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ คือระบบความปลอดภัยที่จัดเต็มมาให้ตั้งแต่รุ่นล่างสุด ประกอบด้วย ABS, EBD, BA, TCS (ระบบป้องกันล้อลื่นไถล), VSA (ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว), HSA (ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน), ESS (ระบบไฟฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อเบรกกะทันหัน) และในรุ่น SV+ ยังมาพร้อม Side Curtain Airbag เพิ่มเติมอีกด้วย
สรุป: ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ – ความคุ้มค่าที่เหนือกว่าในกลุ่ม Sub-Compact
ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ คือรถยนต์ B-Segment ที่อัดแน่นไปด้วยระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัยที่หาได้ยากในค่ายอื่น ห้องโดยสารกว้างขวาง สมรรถนะที่ดีขึ้นเล็กน้อย และประหยัดน้ำมันกว่าเดิม พร้อมฟังก์ชันและออปชันที่หลากหลาย แม้ราคารุ่นท็อปอาจดูสูงกว่าคู่แข่ง แต่สิ่งที่ฮอนด้า ซิตี้ มอบให้ ทั้งความสบาย การออกแบบที่ดูดี และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่มองหารถ Sub-Compact ที่มีครบเครื่อง
เชฟโรเลต แคปติวา ใหม่ (2014 Chevrolet Captiva Diesel): SUV อเนกประสงค์ที่ปรับปรุงสู่ความลงตัว
ในโลกของรถยนต์อเนกประสงค์ (SUV) เชฟโรเลต แคปติวา (Chevrolet Captiva) เป็นชื่อที่คุ้นเคยในตลาดบ้านเรามานาน ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูบึกบึนและฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย ล่าสุด เชฟโรเลตได้นำเสนอ แคปติวา รุ่นปรับปรุงโฉมใหม่ หรือ Minor Change ที่เน้นการปรับปรุงรายละเอียดเพื่อเพิ่มความลงตัวและความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
การออกแบบภายนอก: ความดุดันที่ผสานความทันสมัย
การปรับโฉมของ แคปติวา ใหม่ เน้นการเพิ่มความทันสมัยให้กับดีไซน์ภายนอก ส่วนหน้ายังคงเอกลักษณ์ความดุดันด้วยกระจังหน้าแบบสองชั้น สไตล์หกเหลี่ยม ตามแบบฉบับรถยนต์เชฟวี่รุ่นใหม่ ไฟหน้าได้รับการปรับให้เรียวขึ้น พร้อมโคมโปรเจคเตอร์ ส่วนท้ายได้รับการปรับปรุงใหม่ พร้อมลายกราฟิกไฟท้ายที่ดูทันสมัยขึ้น ท่อไอเสียทรงกลมถูกเปลี่ยนเป็นทรงสี่เหลี่ยมคางหมู เพื่อให้กลมกลืนกับการออกแบบโดยรวม ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง 235/50R19 ช่วยเสริมความสง่างามให้กับตัวรถ
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงดีไซน์สเกิร์ตข้างใหม่ ให้กลายเป็นกาบข้างพร้อมบันไดในตัว อาจเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณา การออกแบบนี้อาจดูดีสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการลุย แต่ในมุมมองของการใช้งานจริง อาจทำให้การก้าวขึ้นลงรถสำหรับผู้หญิงหรือผู้ที่มีรูปร่างเล็ก ทำได้ลำบากขึ้น
ภายในห้องโดยสาร: หรูหรา สะดวกสบาย และฟังก์ชันที่ตอบโจทย์
ภายในห้องโดยสารของ แคปติวา ใหม่ ยังคงรักษาฐานการออกแบบเดิม แต่ได้รับการปรับปรุงรายละเอียดเพื่อเพิ่มความลงตัว เบาะนั่งสีเทาอ่อนให้ความรู้สึกหรูหราคล้ายรถยุโรป บางรุ่น แม้จะยังขาดระบบเบาะไฟฟ้าฝั่งผู้โดยสารตอนหน้า แต่เบาะคนขับที่ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ก็ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายได้มาก การออกแบบภายในเน้นความทันสมัย ด้วยระบบ Keyless Entry และ Passive Start ทำให้การสตาร์ทเครื่องยนต์ทำได้ง่าย
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันควบคุมระบบเครื่องเสียงและระบบปรับอากาศได้อย่างสะดวกสบาย ระบบปรับอากาศสามารถแยกปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวาได้อย่างอิสระ ระบบเครื่องเสียงยังมาพร้อมระบบสร้างสภาวะเสียงแบบ 3 มิติ (3 Sound Staging) เพิ่มสุนทรียภาพในการเดินทาง
ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล: สมรรถนะที่นุ่มนวลขึ้น
เชฟโรเลต แคปติวา ดีเซล ใหม่ ยังคงมาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC พร้อมเทอร์โบแปรผัน ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่เพิ่มขึ้นจาก 360 เป็น 400 นิวตัน-เมตร การปรับปรุงครั้งนี้ยังรวมถึงการปรับจูนชุดเกียร์ใหม่ ให้มีความนุ่มนวลมากขึ้น ลดอาการกระตุก ซึ่งทำให้การขับขี่ในเมืองมีความสบายยิ่งขึ้น
แม้แรงบิดจะเพิ่มขึ้น แต่การปรับจูนเกียร์ที่เน้นความนุ่มนวล อาจทำให้ความรู้สึกดิบในการขับขี่ลดลงไปบ้าง สำหรับผู้ที่คาดหวังอัตราเร่งที่เร้าใจเหมือนรถสปอร์ต อาจต้องทำความเข้าใจบุคลิกของเครื่องยนต์และเกียร์ใหม่นี้
การขับขี่: สมดุลระหว่างความนุ่มนวลและความมั่นคง
ในการขับขี่ในเมือง แคปติวา ดีเซล ใหม่ มอบความนุ่มนวลที่สัมผัสได้ชัดเจน การลดอาการกระตุกของชุดเกียร์ทำให้การขับขี่ในสภาพการจราจรติดขัดมีความสบายมากขึ้น ในการทดสอบวัดอัตราสิ้นเปลืองในเมือง อยู่ที่ประมาณ 7.89 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงตามสไตล์รถยนต์อเมริกัน
เมื่อออกเดินทางไกล การทำงานของพวงมาลัยที่นิ่มนวลขึ้น และช่วงล่างที่ลงตัวมากขึ้น ให้ความรู้สึกมั่นคงแม้ขับด้วยความเร็วสูง ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบมัลติลิงค์ 4 จุด ช่วยยึดเกาะถนนได้ดี ทำให้รู้สึกมั่นใจในการควบคุมรถ
สรุป: เชฟโรเลต แคปติวา ดีเซล – SUV ที่สุภาพขึ้น แต่ยังคงความอเนกประสงค์
เชฟโรเลต แคปติวา ดีเซล รุ่นปรับปรุงโฉมใหม่ ได้รับการพัฒนาให้มีความลงตัวและน่าสนใจมากขึ้น ทั้งในด้านดีไซน์ภายนอกที่ทันสมัยขึ้น ภายในห้องโดยสารที่หรูหราและสะดวกสบายยิ่งขึ้น รวมถึงสมรรถนะเครื่องยนต์ดีเซลที่นุ่มนวลขึ้น การปรับปรุงเหล่านี้ทำให้ แคปติวา เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหา SUV อเนกประสงค์ที่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว
บีเอ็มดับเบิลยู 420ดี คูเป้ สปอร์ต (2014 BMW 420d Coupe Sport): สุนทรียะแห่งการขับขี่ที่หรูหราและทรงพลัง
บีเอ็มดับเบิลยู (BMW) แบรนด์รถยนต์หรูจากเยอรมนี ยังคงเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้งในการนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดสู่ตลาดไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรุ่นที่เปิดตัวในต่างประเทศ ก็มักจะถูกนำเข้ามาทำตลาดอย่างรวดเร็ว บีเอ็มดับเบิลยู 420ดี คูเป้ สปอร์ต (BMW 420d Coupe Sport) คือหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจน ด้วยการออกแบบที่เน้นความสปอร์ต หรูหรา และสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม
การออกแบบภายนอก: ความโฉบเฉี่ยวสะกดทุกสายตา
บีเอ็มดับเบิลยู 420ดี คูเป้ สปอร์ต โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์แบบคูเป้ ที่ผสานความสปอร์ตและความหรูหราได้อย่างลงตัว เสา C ที่ไม่ได้บีบตัวมากจนเกินไป ช่วยให้พื้นที่ภายในห้องโดยสารไม่รู้สึกอึดอัด ไฟหน้า LED แบบ Full LED ทั้งไฟเดย์ไลท์และไฟกลางคืน ให้ความสว่างชัดเจนในทุกสภาพแสง การออกแบบด้านหน้าเน้นความดุดันด้วยพื้นผิวสีดำมันเงา และฝากระโปรงหน้าที่ออกแบบเป็นโดม ให้ความรู้สึกโอ่อ่า
แม้จะเป็นรถคูเป้ แต่ก็ยังคงมีพื้นที่เก็บสัมภาระที่กว้างขวาง สามารถใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ได้อย่างสบาย ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง Run-flat ช่วยเสริมภาพลักษณ์ความสปอร์ตและความมั่นคง
เครื่องยนต์ดีเซล: พละกำลังที่มาพร้อมประสิทธิภาพ
หัวใจของ บีเอ็มดับเบิลยู 420ดี คูเป้ คือเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมเทคโนโลยี TwinPower Turbo ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่ดีที่สุดสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตร ที่รอบต่ำตั้งแต่ 1,750-2,750 รอบต่อนาที ส่งผลให้การออกตัวมีความปราดเปรียว
ตามสเปก อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อยู่ที่ 7.3 วินาที ซึ่งในการทดสอบจริง ทำได้ประมาณ 9 วินาที การส่งกำลังเป็นหน้าที่ของเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด แบบสปอร์ต ที่ทำงานได้อย่างชาญฉลาด พร้อมโหมดเปิด-ปิดเครื่องยนต์อัตโนมัติ (Auto Start/Stop) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน
บีเอ็มดับเบิลยูเคลมอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันไว้ที่ 21.7 กิโลเมตรต่อลิตร แต่ในการขับขี่จริงที่เน้นสมรรถนะ อาจอยู่ที่ประมาณ 15-16 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งยังคงถือว่าประหยัดเมื่อเทียบกับสมรรถนะที่ได้รับ
ภายในห้องโดยสาร: ความหรูหราที่มาพร้อมความสบาย
ห้องโดยสารของ บีเอ็มดับเบิลยู 420ดี คูเป้ เน้นโทนสีแดงสด ผสานกับสีดำเข้ม สร้างบรรยากาศที่หรูหราและทันสมัย เบาะนั่งทั้ง 4 ตำแหน่งได้รับการออกแบบมาอย่างลงตัว โดยเบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า พร้อมวัสดุหนัง Dakota ที่ให้การรองรับสรีระได้ดี เบาะหลังมีพื้นที่วางขาและพื้นที่เหนือศีรษะที่เพียงพอสำหรับการเดินทาง
พวงมาลัยแบบสปอร์ตพร้อมปุ่มควบคุมฟังก์ชันต่างๆ และหน้าจอแสดงผลขนาด 8.8 นิ้ว พร้อมปุ่ม iDrive ที่สามารถสั่งการด้วยการเขียน ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความล้ำสมัยในการใช้งาน
การขับขี่: สมรรถนะที่เหนือชั้นและปลอดภัย
สมรรถนะการขับขี่คือจุดเด่นของ บีเอ็มดับเบิลยู 420ดี คูเป้ พละกำลังที่ล้นเหลือจากเครื่องยนต์ดีเซล ผสานกับล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ให้การควบคุมรถที่แม่นยำและมั่นคง พวงมาลัยที่คมกริบ ช่วยให้การเข้าโค้งเป็นไปอย่างไหลลื่น ช่วงล่างที่หนึบแน่นแต่ไม่แข็งกระด้าง ทำให้สามารถทำความเร็วได้อย่างต่อเนื่อง
ระบบความปลอดภัยที่ติดตั้งมาให้อย่างเต็มพิกัด ช่วยเพิ่มความมั่นใจในทุกการเดินทาง
สรุป: บีเอ็มดับเบิลยู 420ดี คูเป้ สปอร์ต – ตัวเลือกที่ใช่สำหรับผู้ที่มองหารถคูเป้หรู
บีเอ็มดับเบิลยู 420ดี คูเป้ สปอร์ต คือรถยนต์หรูที่ผสมผสานดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยว สมรรถนะอันทรงพลัง และความหรูหราได้อย่างลงตัว แม้ราคาอาจจะสูง แต่ก็คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าประทับใจ พร้อมตอบสนองทุกความต้องการของคุณบนท้องถนน
หากคุณกำลังมองหารถยนต์ที่สะท้อนบุคลิกของคุณได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งในด้านสมรรถนะ ความหรูหรา และเทคโนโลยี อย่าพลาดที่จะเข้ามาสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับนี้ได้ที่โชว์รูมของเราวันนี้

