Mini John Cooper Works: สุดยอดแห่งสมรรถนะและสไตล์ที่เหนือกว่า
ในโลกของยานยนต์สมรรถนะสูง ไม่กี่แบรนด์ที่สามารถสะกดใจผู้หลงใหลในความเร็วและความสนุกในการขับขี่ได้เทียบเท่า Mini Mini John Cooper Works (JCW) คือนิยามของรถยนต์ที่ผสมผสานจิตวิญญาณของ Mini เข้ากับความเชี่ยวชาญด้านมอเตอร์สปอร์ตจากสำนัก John Cooper Works ได้อย่างลงตัว ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการยานยนต์ที่มีประสบการณ์กว่าทศวรรษ ผมได้เห็นวิวัฒนาการของ Mini JCW มาอย่างต่อเนื่อง และมั่นใจได้ว่า Mini John Cooper Works คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่ารถยนต์ขนาดเล็กก็สามารถมอบประสบการณ์การขับขี่ระดับพรีเมียมที่น่าตื่นเต้นได้
การออกแบบที่สะท้อน DNA แห่งสมรรถนะ
เมื่อแรกเห็น Mini John Cooper Works คุณจะสัมผัสได้ถึงความแตกต่างจาก Mini Hatch 3 Door Cooper S รุ่นมาตรฐานอย่างชัดเจน การออกแบบภายนอกไม่ใช่เพียงแค่การตกแต่ง แต่คือการปรับปรุงเชิงวิศวกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์และประสิทธิภาพในการระบายความร้อน ช่องดักอากาศขนาดใหญ่ที่มุมกันชนหน้า ไม่เพียงแต่เพิ่มความดุดันให้กับตัวรถ แต่ยังทำหน้าที่เป็นช่องรับลมเพื่อหล่อเย็นเครื่องยนต์และระบบเบรกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ล้ออัลลอยลายดอกไม้ขนาด 18 นิ้ว เฉพาะรุ่น JCW ยังสะท้อนถึงความใส่ใจในรายละเอียด และเสริมภาพลักษณ์สปอร์ตได้อย่างลงตัว
ส่วนท้ายของรถก็ได้รับการออกแบบใหม่เช่นกัน กันชนหลังที่ดูคล้ายช่องระบายอากาศ 4 ช่อง พร้อมท่อไอเสียคู่กลาง ยิ่งเสริมบุคลิกที่พร้อมจะพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างดุดัน หลังคาและกระจกมองข้างสี Chili Red ที่ตัดกับสีตัวถัง ซึ่งอาจเป็นสีเขียว Rebel Green อันเป็นเอกลักษณ์ของ JCW นั้น สร้างคอนทราสต์ที่สะดุดตา สติกเกอร์สีดำพร้อมขอบสีแดงตามแนวตัวถัง (Side Skirts) ไม่ใช่แค่การตกแต่งเพื่อความสวยงาม แต่ช่วยเสริมสมรรถนะทางอากาศพลศาสตร์และลดแรงยกตัวที่ความเร็วสูง
นวัตกรรมที่โดดเด่นอีกประการหนึ่งคือ MINI Head-Up Display ที่มาพร้อมคอนเทนต์พิเศษเฉพาะรุ่น JCW ซึ่งแสดงข้อมูลสำคัญต่างๆ ให้ผู้ขับขี่ทราบโดยไม่ต้องละสายตาจากถนน ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับขี่อย่างมาก
ขุมพลังที่เหนือกว่า: หัวใจของ Mini John Cooper Works
แก่นแท้ของ Mini John Cooper Works อยู่ที่ขุมพลังอันดุดัน เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ทำงานอย่างลงตัวในรูปแบบ transverse ให้กำลังสูงสุดถึง 231 แรงม้า และแรงบิด 320 นิวตันเมตร ตัวเลขเหล่านี้อาจดูธรรมดาสำหรับรถยนต์ขนาดใหญ่ แต่สำหรับ Mini ที่มีน้ำหนักตัวถังเพียง 1,205 กิโลกรัม (เบากว่า MINI Hatch 3 Door Cooper S ถึง 45 กิโลกรัม) นี่คือพละกำลังมหาศาลที่มอบอัตราเร่งที่น่าประทับใจ
เมื่อเทียบกับ MINI Hatch 3 Door Cooper S รุ่นปกติ Mini John Cooper Works มีพละกำลังเพิ่มขึ้นถึง 39 แรงม้า และแรงบิดอีก 40 นิวตันเมตร ความแตกต่างนี้ส่งผลโดยตรงต่ออัตราเร่งและความรู้สึกในการขับขี่ ทำให้ Mini JCW กลายเป็นรถยนต์ที่มีสมรรถนะสูงสุดเท่าที่ Mini เคยผลิตมาสำหรับการจำหน่ายทั่วไป
ช่วงล่างและระบบควบคุม: ปรัชญาแห่งการขับขี่ที่แม่นยำ
ความแรงของเครื่องยนต์จะต้องมาพร้อมกับการควบคุมที่ยอดเยี่ยม Mini John Cooper Works ได้รับการติดตั้งระบบช่วงล่างที่ทำงานสอดประสานกับขุมพลังอย่างสมบูรณ์แบบ ควบคู่ไปกับระบบเบรกสปอร์ตจาก Brembo ที่ให้ความมั่นใจในทุกการชะลอความเร็ว ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ Servotronic ซึ่งผสมผสานระบบไฟฟ้าและกลไกเข้าด้วยกัน มอบการตอบสนองที่แม่นยำและน้ำหนักที่เหมาะสมกับสภาวะการขับขี่
เทคโนโลยี Dynamic Stability Control (DSC) ที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน ประกอบด้วยคุณสมบัติที่สำคัญต่างๆ เช่น Dynamic Traction Control (DTC) เพื่อเพิ่มการยึดเกาะถนน, Electronic Differential Lock Control (EDLC) เพื่อช่วยการเข้าโค้ง และ Dynamic Damper Control (DDC) ที่สามารถปรับความหนืดของโช้คอัพได้ตามสภาพถนนและโหมดการขับขี่ ระบบเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ทั้งสนุก เร้าใจ และปลอดภัยสูงสุด
ความคุ้มค่าในแบบฉบับ Mini John Cooper Works
แม้ว่าราคาจำหน่ายในประเทศไทยที่ 3.45 ล้านบาท สำหรับรุ่นเกียร์อัตโนมัติ นำเข้าทั้งคัน อาจดูสูงเมื่อเทียบกับ Mini Hatch 3 Door Cooper S ที่ราคา 2.84 ล้านบาท ส่วนต่าง 610,000 บาท นั้น สะท้อนถึงการลงทุนในวิศวกรรม สมรรถนะ และออปชั่นที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน สำหรับผู้ที่ต้องการความพิเศษ ความเร้าใจ และเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร Mini John Cooper Works คือคำตอบที่คุ้มค่า
Toyota Innova 2016: ก้าวสู่ยุคใหม่แห่ง MPV ที่หรูหราและทันสมัย
การเปลี่ยนแปลงของตลาดรถยนต์ MPV (Multi-Purpose Vehicle) ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงความต้องการของผู้บริโภคที่มองหารถยนต์อเนกประสงค์ที่ตอบสนองการใช้งานที่หลากหลาย ครอบครัว การเดินทาง และยังคงไว้ซึ่งความสะดวกสบายและสไตล์ Toyota Innova 2016 คือตัวอย่างที่ชัดเจนของการยกระดับรถยนต์ MPV สู่มาตรฐานใหม่
ดีไซน์ภายนอก: ความสง่างามที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่นพี่
Toyota Innova 2016 ใหม่ ที่เปิดตัวในอินโดนีเซียได้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านดีไซน์ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากรถยนต์รุ่นพี่อย่าง Toyota Highlander กระจังหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมูขนาดใหญ่รับกับไฟหน้า LED Projector (ในรุ่น Q Grade) ทรงเรียวยาวที่ดูโฉบเฉี่ยว ไฟตัดหมอกที่มุมกันชนยังช่วยเสริมความสมบูรณ์ให้กับส่วนหน้า
เส้นสายด้านข้างของ Toyota Innova 2016 ดูแข็งแกร่งและเหลี่ยมคมกว่ารุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด การออกแบบหลังคาที่ลาดเอียงจรดด้านท้าย และแนวขอบหน้าต่างที่ยกตัวขึ้นเล็กน้อย สร้างมิติที่น่าสนใจให้กับตัวรถ ส่วนท้ายได้รับการออกแบบใหม่ด้วยไฟท้ายรูปตัว L คว่ำ ที่แบ่งออกเป็นสองส่วน สร้างเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากรถ MPV ทั่วไป
ภายใน: ความหรูหราและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย
เมื่อก้าวเข้าสู่ภายในของ Toyota Innova 2016 คุณจะพบกับการเปลี่ยนแปลงที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง แผงคอนโซลที่เน้นเส้นโค้งและตกแต่งด้วยลายไม้ (ในรุ่น Q Grade) ผสานกับคอนโซลกลางแนวตั้งที่ติดตั้งจอสัมผัสขนาดใหญ่ รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Wi-Fi และการสั่งงานด้วยเสียง รวมถึง Air Gesture (ในรุ่น Q และ V Grade)
ระบบปรับอากาศที่ทันสมัย พร้อมระบบดิจิตอลอัตโนมัติในรุ่น Q และ V Grade ช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย มาตรวัด TFT แสดงข้อมูลที่ทันสมัย พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นที่ครบครันทุกรุ่น ช่วยให้การควบคุมเป็นไปอย่างง่ายดาย
การจัดวางเบาะนั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง ยังคงเป็นจุดเด่นของ Innova โดยเบาะแถวสองแยกอิสระ สามารถปรับเลื่อนและเอนได้อย่างอิสระ ฟังก์ชันพับเบาะแบบ One Touch ช่วยให้การเข้าถึงเบาะแถวสามสะดวกสบายยิ่งขึ้น แม้เบาะแถวสามจะเหมาะสำหรับ 2 ที่นั่ง แต่การติดตั้งพนักพิงศีรษะ 3 ตำแหน่ง ก็แสดงถึงความใส่ใจในรายละเอียด
Ambient light ที่ประดับประดาภายในห้องโดยสาร ช่วยสร้างบรรยากาศที่หรูหราและผ่อนคลาย เหมาะสำหรับการเดินทางไกล
เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง: ตัวเลือกที่ตอบสนองทุกความต้องการ
Toyota Innova 2016 มีเครื่องยนต์ให้เลือกสองแบบ สำหรับตลาดอินโดนีเซีย:
เครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตร (16 วาล์ว DOHC): มาพร้อมเทอร์โบแปรผันและอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 149 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที และแรงบิด 360 นิวตันเมตร ที่ 1,200-2,600 รอบ/นาที
เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร (Dual VVT-i, 16 วาล์ว DOHC): ให้กำลังสูงสุด 139 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที และแรงบิด 183 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที
ทั้งสองเครื่องยนต์จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ให้สมรรถนะที่ประหยัดน้ำมันและตอบสนองการขับขี่ในสภาวะต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
ความปลอดภัย: มาตรฐานที่ยกระดับ
Toyota Innova 2016 มาพร้อมอุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐานครบครัน อาทิ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุงลมนิรภัยป้องกันหัวเข่าผู้ขับขี่, ISOFIX, ABS และ EBD ในทุกรุ่นย่อย รุ่น Q Grade ยังเพิ่มม่านถุงลมนิรภัยและถุงลมนิรภัยด้านข้าง สำหรับรุ่น Q Grade เครื่องยนต์ดีเซล ยังมาพร้อมระบบควบคุมการทรงตัว VSC และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Assist Control
Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC 2016: สู่ยุคใหม่แห่ง SUV ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด
ในยุคที่ความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อรถยนต์ Mercedes-Benz ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำอย่างแท้จริง ด้วยการนำเสนอรถยนต์ที่ผสมผสานสมรรถนะระดับสูงเข้ากับเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC 2016 คือหนึ่งในผลงานชิ้นสำคัญที่สะท้อนวิสัยทัศน์ “DEFINE TOMORROW” ของแบรนด์
ดีไซน์ภายนอก: ความสง่างามที่มาพร้อมความแข็งแกร่ง
Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC 2016 ยังคงไว้ซึ่งเส้นสายที่สวยงามและสง่างาม อันเป็นเอกลักษณ์ของ Mercedes-Benz กระจังหน้าขนาดใหญ่พร้อมตราสัญลักษณ์ดาวสามแฉกตรงกลาง กันชนหน้าดีไซน์สปอร์ตพร้อมช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ เสริมด้วยโครเมียม สร้างความโดดเด่นและความหรูหรา
ไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System พร้อมไฟ Daytime Running Lights ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยและความปลอดภัย ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง และไฟท้าย LED ช่วยเสริมความทันสมัย ลายเส้นหลังคาที่ลาดเอียงไปทางด้านท้ายสะท้อนถึงความปราดเปรียว
รุ่น GLE 500 e 4MATIC Exclusive มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว สี Himalayas Grey ส่วนรุ่น GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic ยกระดับความสปอร์ตขึ้นไปอีกขั้น ด้วยล้ออัลลอยดีไซน์ AMG ขนาด 20 นิ้ว สี Titanium Grey ชุดแต่ง AMG Bodystyling รอบคัน ดิสก์เบรกหน้าพร้อมคาลิเปอร์เบรกหน้าที่มีสัญลักษณ์ Mercedes-Benz และหลังคาพาโนรามิกซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า
ภายใน: ความหรูหรา ผสานความสปอร์ตและเทคโนโลยี
ห้องโดยสารของ Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC 2016 เน้นความหรูหรา สง่างาม และสปอร์ตในเวลาเดียวกัน การตกแต่งด้วยหนัง Artico และลายไม้ (ในรุ่น Exclusive) หรือหนัง Nappa (ในรุ่น AMG Dynamic) สร้างบรรยากาศที่พรีเมียม
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น พร้อมระบบผ่อนแรงและปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMATIC แบบ 2 โซน และระบบเชื่อมต่อ Bluetooth ช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย
รุ่น Exclusive มาพร้อมระบบมัลติมีเดีย MB Audio 20 ส่วนรุ่น AMG Dynamic ยกระดับขึ้นไปอีกขั้นด้วยระบบ COMAND Online, ระบบเสียง Harman Kardon® Logic 7® และ Apple CarPlay™
เบาะนั่งผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ เบาะหลังพับได้แบบ 1:3/2:3 เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ และไฟ Ambient Light 3 สี สร้างบรรยากาศที่น่าประทับใจ
โหมดการขับขี่ Plug-In HYBRID: อนาคตแห่งการขับเคลื่อน
Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC 2016 มีโหมดการขับขี่ Plug-In HYBRID ให้เลือกถึง 4 แบบ:
HYBRID: ผสมผสานการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยเน้นการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าให้มากที่สุด หากแบตเตอรี่มีพลังงานต่ำกว่า 20% เครื่องยนต์จะทำงานเป็นหลัก หากเลือกโหมด Sport เครื่องยนต์จะทำงานเพียงอย่างเดียว
E-MODE: ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ได้สูงสุด 130 กม./ชม. เป็นระยะทาง 30 กม. (ขึ้นอยู่กับระดับแบตเตอรี่และความเร็ว) เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมือง
E-SAVE: รักษาประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่ให้คงเดิม โดยเน้นการใช้เครื่องยนต์เป็นหลัก เพื่อให้มีพลังงานไฟฟ้าเพียงพอสำหรับการขับขี่ในเมืองในภายหลัง
CHARGE: ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เป็นหลัก โดยใช้พลังงานจากเครื่องยนต์ในการชาร์จแบตเตอรี่ และแปลงพลังงานจลน์จากการชะลอความเร็วหรือการเบรกเป็นพลังงานไฟฟ้า
ระบบ Dynamic Select และ Mercedes-Benz Intelligent Drive: ความมั่นใจในทุกการเดินทาง
ระบบ Dynamic Select มีโหมดการขับขี่ 5 แบบ: Individual, Comfort, Slippery, Sport และ Sport+ เพื่อตอบสนองทุกสภาวะการขับขี่
ระบบ Mercedes-Benz Intelligent Drive คือหัวใจสำคัญด้านความปลอดภัย ผสานเทคโนโลยีช่วยเหลือและระบบความปลอดภัยขั้นสูง เพื่อปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสารสูงสุด ประกอบด้วย:
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อม Electronic Traction System 4ETS
ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE system
โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (ESP)
ระบบกันสะเทือนแบบ AIRMATIC
ระบบรักษาสมดุลของตัวรถเมื่อมีลมปะทะด้านข้าง (Crosswind Assist)
ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชัน HOLD และ Hill-start Assist
ไฟเบรกกะพริบอัตโนมัติเมื่อเบรกฉุกเฉิน
ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS)
ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (ASR)
ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับรถ (ATTENTION ASSIST)
ระบบรักษาความเร็ว (Cruise Control) และจำกัดความเร็ว (SPEEDTRONIC)
เซ็นเซอร์ช่วยในการนำรถเข้าจอด (PARKTRONIC)
ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Active Parking Assist)
สมรรถนะ: พลังที่มาพร้อมความประหยัด
Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC 2016 ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V6 เทอร์โบคู่ ขนาด 2,996 ซี.ซี. ให้กำลังสูงสุด 333 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้า 116 แรงม้า รวมเป็นพละกำลังที่น่าประทับใจ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 5.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 245 กม./ชม.
ระบบส่งกำลังอัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 8.7 กิโลวัตต์ ช่วยให้การขับขี่ราบรื่นและประหยัดพลังงาน แบตเตอรี่สามารถชาร์จไฟให้เต็มได้ภายใน 4 ชั่วโมง (ไฟบ้าน) ทำให้สามารถวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าได้ไกลถึง 30 กิโลเมตร
ราคาจำหน่าย:
GLE 500 e 4MATIC Exclusive: 4,490,000 บาท
GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic: 4,990,000 บาท
Mercedes-Benz E-Class 2016: นิยามใหม่ของ “The Best” แห่งยนตรกรรมซีดาน
Mercedes-Benz E-Class เจเนอเรชั่นที่ 10 ที่เปิดตัวในปี 2016 ถือเป็นก้าวสำคัญของตระกูล E-Class ที่ยาวนานกว่าศตวรรษ การเปิดตัวในงาน Motor Show 2016 แสดงถึงความมุ่งมั่นของ Mercedes-Benz ประเทศไทย ในการนำเสนอ “สิ่งที่ดีที่สุด” ให้กับลูกค้า
ดีไซน์ภายนอก: Sensual Purity ที่สมบูรณ์แบบ
Mercedes-Benz E-Class 2016 ใหม่ ถูกออกแบบภายใต้หลักการ Sensual Purity ของ Mercedes-Benz ผสมผสานความทรงพลังและความสง่างามอย่างลงตัว ขนาดตัวถังและฐานล้อที่ยาวและกว้างขึ้น ฝากระโปรงหน้าที่ยาว เส้นสายหลังคาที่ออกแบบในสไตล์คูเป้ และซุ้มล้อหลังที่ดูกว้างกว่าซุ้มล้อหน้า ล้วนสะท้อนถึงเอกลักษณ์ของรถซีดานระดับพรีเมียม
ไฟหน้า MULTIBEAM LED ความละเอียดสูง พร้อมระบบ Active Light เป็นครั้งแรกของโลก ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยและความปลอดภัย โคมไฟท้ายแบบชิ้นเดียว แบ่งออกเป็นสองส่วน สะท้อนถึงความประณีตในการออกแบบ
ภายใน: ความหรูหราและความอัจฉริยะที่เหนือกว่า
ห้องโดยสารของ Mercedes-Benz E-Class 2016 คือนิยามของความหรูหราและเทคโนโลยีที่ผสานกันอย่างลงตัว โดยเฉพาะในรุ่น E 220 d AMG Dynamic ที่มาพร้อมจอแสดงผลความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว จำนวน 2 จอ เป็นครั้งแรกในเซกเมนต์นี้ ระบบไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารที่ปรับสีได้ถึง 64 สี ช่วยเพิ่มสุนทรียภาพในการเดินทาง
เครื่องยนต์และสมรรถนะ: ประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
E-Class 2016 มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบที่พัฒนาขึ้นใหม่ และระบบเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC ที่ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ราบรื่นและแม่นยำ โครงสร้างรถที่เบาลงและอากาศพลศาสตร์ที่ดีเยี่ยม ส่งผลให้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันต่ำเพียง 25.6 กิโลเมตร/ลิตร และอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 102 กรัม/กิโลเมตร
รุ่นย่อยที่นำเสนอในประเทศไทย:
Mercedes-Benz E 220 d Exclusive
Mercedes-Benz E 220 d AMG Dynamic
Mitsubishi Outlander 2016: รูปลักษณ์ใหม่ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Dynamic Shield
Mitsubishi Outlander 2016 ที่เปิดตัวในงาน New York Auto Show 2015 แสดงถึงความตั้งใจของ Mitsubishi ในการปรับปรุงรถยนต์อเนกประสงค์ยอดนิยม ให้มีความทันสมัยและน่าสนใจยิ่งขึ้น
ดีไซน์ภายนอก: Dynamic Shield คือกุญแจสำคัญ
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือการออกแบบภายนอกภายใต้แนวคิด “Dynamic Shield” ซึ่งสะท้อนถึงการปกป้องและความแข็งแกร่ง กระจังหน้าขนาดใหญ่ที่ดูสปอร์ตขึ้น และไฟหน้าที่เพรียวบาง ทำให้ Outlander 2016 ดูปราดเปรียวกว่าเดิม
ส่วนท้ายมีการปรับปรุงกันชนเล็กน้อย และการสวมล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ช่วยเสริมความลงตัวและความหรูหรา
ภายใน: การปรับปรุงเพื่อความสะดวกสบายและประสบการณ์ที่ดีขึ้น
ภายในห้องโดยสารมีการปรับปรุงบางส่วน พวงมาลัยดีไซน์ใหม่ เบาะนั่งใช้วัสดุคุณภาพสูงขึ้น ระบบความบันเทิงที่ทันสมัย และการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารที่ดียิ่งขึ้น จากการเปลี่ยนกระจกบังลมหน้าใหม่และวัสดุซับเสียง
เครื่องยนต์: ตัวเลือกที่หลากหลาย
Mitsubishi Outlander 2016 มีเครื่องยนต์ให้เลือกสองแบบ:
เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร 4 สูบ: ให้กำลัง 166 แรงม้า แรงบิด 219 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์ CVT
เครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร: ให้กำลัง 224 แรงม้า แรงบิด 291 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
ระบบความปลอดภัย: เทคโนโลยีที่ครบครัน
Outlander 2016 มาพร้อมระบบช่วยเหลือการขับขี่มากมาย เช่น Forward Collision Mitigation (FCM), Lane Departure Warning (LDW) และ Adaptive Cruise Control (ACC)
Bentley Bentayga 2016: จุดสูงสุดของ SUV สุดหรู
Bentley Bentayga 2016 คือนิยามของความหรูหราขั้นสูงสุดในตลาดรถยนต์ SUV Bentayga คือรถ SUV คันแรกของ Bentley และได้สร้างความฮือฮาตั้งแต่เปิดตัว
ดีไซน์: ความหรูหราสไตล์ Bentley
Bentley Bentayga 2016 มีดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Bentley Flying Spur ผสมผสานความแข็งแกร่งของ SUV เข้ากับความสง่างามอันเป็นเอกลักษณ์ของ Bentley ไฟหน้าแบบ LED สี่ดวง กระจังหน้าขนาดใหญ่ และเส้นสายที่บ่งบอกถึงพละกำลัง
การส่งมอบพิเศษ: สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2
Bentley Bentayga คันแรกถูกส่งมอบให้กับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งนับเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของแบรนด์
ยอดขายที่ถล่มทลาย:
โควตาการผลิต 3,600 คันสำหรับปีแรก ถูกสั่งจองหมดเป็นที่เรียบร้อย แสดงให้เห็นถึงความต้องการอันมหาศาลสำหรับ SUV สุดหรูคันนี้
Honda Civic FC มือสอง: ตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับรถยนต์ซีดานยอดนิยม
Honda Civic FC มือสอง ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ซีดานที่ผสมผสานสไตล์ สมรรถนะ และความคุ้มค่าได้อย่างลงตัว ด้วยการออกแบบที่โฉบเฉี่ยว ภายในที่กว้างขวาง และเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพ Civic FC ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง
ข้อดี-ข้อเสีย Honda Civic FC มือสอง:
1.5 Turbo RS: สมรรถนะสูงสุด ออปชั่นครบครัน แต่ค่าบำรุงรักษาสูงกว่า
1.5 Turbo: สมรรถนะดี ประหยัดน้ำมัน แต่ค่าบำรุงรักษาสูงกว่า
1.8 EL i-VTEC: สมดุลระหว่างสมรรถนะ ออปชั่น และราคา รองรับ E85
1.8 E i-VTEC: ราคาเข้าถึงง่ายที่สุด ออปชั่นน้อยกว่ารุ่นอื่น
หากคุณกำลังมองหารถยนต์ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าตื่นเต้น พร้อมดีไซน์ที่โดดเด่น และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็น Mini John Cooper Works สำหรับผู้ที่ต้องการความเร้าใจขั้นสุด, Toyota Innova 2016 สำหรับครอบครัวที่มองหาความสบายและความหรูหรา, Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC 2016 หรือ E-Class 2016 สำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและความยั่งยืน, Mitsubishi Outlander 2016 ที่มาพร้อมดีไซน์ใหม่, Bentley Bentayga 2016 สำหรับผู้ที่ต้องการความพิเศษเหนือใคร หรือ Honda Civic FC มือสอง ที่เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าในตลาดรถยนต์ซีดาน เรามีรถยนต์ที่ตอบสนองทุกความต้องการของคุณ
หากคุณพร้อมแล้วที่จะสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์รุ่นใดรุ่นหนึ่ง อย่ารอช้า! ติดต่อตัวแทนจำหน่ายของเราเพื่อทดลองขับ และค้นหารถยนต์ที่ใช่สำหรับคุณได้แล้ววันนี้

