ฟอร์ด เอเวอเรสต์: การประเมินเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ สู่ยุคใหม่แห่ง SUV อเนกประสงค์
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์มายาวนานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นวิวัฒนาการของรถยนต์ SUV และ PPV เปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวกระโดด และวันนี้ ผมจะพาคุณดำดิ่งสู่รายละเอียดเชิงลึกของ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ (Ford Everest) รุ่นใหม่ ที่มาพร้อมการปรับปรุงและเทคโนโลยีที่น่าสนใจ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองหารถยนต์ที่มากกว่าแค่การเดินทาง แต่คือการผจญภัยและไลฟ์สไตล์ที่ไร้ขีดจำกัด
การวิเคราะห์สมรรถนะ: เมื่อตัวเลขบนกระดาษอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
หลายครั้งที่เราเห็นตัวเลขสมรรถนะจากการทดสอบ และอาจเกิดความสงสัยว่า ทำไม ฟอร์ด เอเวอเรสต์ 3.2 ลิตร 6AT 4×4 ที่ดูทรงพลังกว่า กลับมีตัวเลขที่ดูเหมือนจะด้อยกว่าคู่แข่งอย่าง มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต (Mitsubishi Pajero Sport) ที่ใช้เครื่องยนต์ความจุน้อยกว่า? คำตอบนี้ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิดครับ
ปัจจัยสำคัญประการแรกคือ “น้ำหนักตัว” ของ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ 3.2 ลิตร 4×4 ที่สูงถึง 2,480 กิโลกรัม เกือบ 2.5 ตัน บวกกับล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ที่แม้จะดูสวยงาม แต่ก็เป็นอีกน้ำหนักที่เพิ่มเข้ามา ส่งผลโดยตรงต่ออัตราเร่งและความคล่องตัว
สำหรับรุ่น ฟอร์ด เอเวอเรสต์ 2.2 ลิตร 4×2 ผลลัพธ์เป็นไปตามที่คาด หากมองเพียงตัวเลขดิบๆ อาจดูอืดอาด แต่ในความเป็นจริง ทั้งเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร และ 2.2 ลิตร ตระกูล Puma เวอร์ชันใหม่นี้ มีบุคลิกที่คล้ายคลึงกันในช่วงออกตัว 0-30 กม./ชม. (เกียร์ 1) และต่อเนื่องไปถึง 60 กม./ชม. (เกียร์ 2) รถจะพุ่งทะยานออกไปได้อย่างน่าพอใจ ให้สัมผัสที่กระฉับกระเฉง
อย่างไรก็ตาม พอเข้าสู่ช่วง 70 กม./ชม. จะรู้สึกเหมือนลิ้นปีกผีเสื้อถูกสั่งให้หรี่ลงเล็กน้อย ทำให้จังหวะต่อเนื่องขาดตอนไปบ้าง มิเช่นนั้น ตัวเลข 0-100 กม./ชม. อาจจะดีกว่านี้ อย่างน้อยรุ่น 3.2 ลิตร 4×4 ควรจะทำได้ในราว 11.6-11.7 วินาที และรุ่น 2.2 ลิตร 4×2 ก็น่าจะอยู่ในช่วง 12 วินาทีปลายๆ ใกล้เคียงกับ ฟอร์ด เรนเจอร์ (Ford Ranger) 2.2 ลิตร รุ่นเดิม
เมื่อพูดถึงความเร็วสูงสุด รุ่น 3.2 ลิตร 4×4 สามารถไต่ระดับไปได้ต่อเนื่องจนถึง 140-150 กม./ชม. ก่อนจะเริ่มช้าลง และมักจะไปค้างอยู่ที่ราว 160 กม./ชม. หากต้องการมากกว่านั้น อาจต้องอาศัยเนินช่วยส่งลงมา แต่ก็ไปหยุดอยู่ที่ 185 กม./ชม. ได้อย่างน่าสนใจ
สำหรับรุ่น 2.2 ลิตร 4×2 เป็นไปตามคาด เข็มความเร็วไต่ขึ้นอย่างเนิบนาบ แต่ต่อเนื่อง จนถึง 160 กม./ชม. การจะไต่ไปถึง Top Speed 181 กม./ชม. นั้น ต้องใช้ความอดทน และบางครั้งอาจต้องอาศัยเนินช่วยส่งลงมาเช่นกัน
ข้อควรย้ำ: เราไม่สนับสนุนการทดสอบความเร็วสูงสุดในที่สาธารณะ เพราะผิดกฎหมายจราจร การทดสอบนี้มีขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษาเท่านั้น เราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้ร่วมทางเสมอ
สัมผัสการขับขี่จริง: แรงสมตัว ในทุกย่านความเร็ว
ในสถานการณ์การขับขี่ใช้งานจริง ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ทั้ง 3.2 ลิตร และ 2.2 ลิตร ให้สัมผัสที่ “แรงสมตัว” ตามความคาดหมาย แม้พละกำลัง 200 แรงม้าของรุ่น 3.2 ลิตร จะต้องแบกน้ำหนักกว่า 2.5 ตัน ทำให้ความแรงอาจไม่สามารถเทียบกับคู่แข่งบางรุ่นได้โดยตรง แต่ความแรงที่ออกมาก็ถือว่าทำได้ดีเยี่ยมแล้วครับ คิดเสียว่าแรงม้าที่เพิ่มมานั้น ก็เอาไปชดเชยกับน้ำหนักที่มากกว่าชาวบ้านเขา
อย่างไรก็ตาม ในบางจังหวะ เมื่อเหยียบคันเร่งจนมิดเพื่อเร่งแซง แล้วถอนคันเร่งฉับพลัน อาจมีอาการกระโจนไปข้างหน้าเล็กน้อย ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับรถยนต์เกียร์ CVT ทั่วไป
สำหรับรุ่น 2.2 ลิตร 4×2 อัตราเร่งไม่ได้อืดอาดอย่างที่ตัวเลขแสดง ในการใช้งานในเมือง การออกตัวจากไฟแดง มอเตอร์ไซค์คันเล็กๆ อาจต้องบิดเครื่องยนต์มากกว่าปกติเพื่อมาเทียบเคียงได้ การตอบสนองสำหรับการใช้งานในเมืองจึงถือว่าไม่น่าผิดหวัง
สิ่งสำคัญคือ คุณอาจต้องเรียนรู้จังหวะการเร่งแซงสักหน่อย หากต้องเปลี่ยนเลนกะทันหัน ต้องเผื่อเวลาให้สมองกลประมวลผลประมาณ 0.3-0.5 วินาทีก่อนที่ลิ้นปีกผีเสื้อจะเปิดเต็มที่ และรอบูสต์เทอร์โบมาถึงรอบที่ต้องการ ซึ่งอาจใช้เวลาราว 0.7-1 วินาที ดังนั้น การวางแผนเผื่อเวลาจึงเป็นสิ่งจำเป็น
หากต้องการขับ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ 2.2 ลิตร 4×2 ให้ว่องไวในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น การมุดเลนซ้ายป่ายขวา แนะนำให้เหยียบคันเร่งให้ลึกเกินครึ่ง กล่องสมองกลจะรับรู้ถึงความเร่งด่วน และสั่งจ่ายเชื้อเพลิงให้เครื่องยนต์ทำงานได้เร็วขึ้น ส่งผลให้อัตราเร่งต่อเนื่องดีเกินคาด
เทคโนโลยีตัดเสียงรบกวน: สัมผัสความเงียบสงัดในห้องโดยสาร
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ทำได้ดีเยี่ยมในการเก็บเสียงในห้องโดยสาร ถือเป็นหนึ่งใน SUV/PPV ที่เงียบที่สุดในตลาด คุณจะเริ่มได้ยินเสียงลมไหลผ่านยางขอบประตูแผ่วเบาจริงๆ ก็ต้องที่ระดับความเร็ว 140 กม./ชม. ขึ้นไป
สาเหตุหลักมาจากวัสดุซับเสียงคุณภาพสูงที่อัดแน่นเต็มพื้นรถ ประกอบกับการนำเทคโนโลยี Active Noise Cancellation มาติดตั้งใน ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ทุกรุ่น
ระบบนี้ทำงานโดยใช้ไมโครโฟน 3 จุด (ด้านหน้า 2 จุด, ด้านหลัง 1 จุด) รับฟังเสียงรบกวนรอบตัวรถ แล้วส่งข้อมูลไปยังกล่องสมองกล เพื่อสร้างคลื่นความถี่ตรงกันข้าม ปล่อยออกมาทางลำโพงของระบบเครื่องเสียง เพื่อหักล้างเสียงรบกวน
แม้ห้องโดยสารจะเงียบขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่หากสังเกตดีๆ อาจมีเสียงสะท้อน (Echo) แผ่วเบาให้ได้ยิน ซึ่งคล้ายกับการยืนพูดในห้องที่เก็บเสียงได้ดีมาก แต่ไม่ได้สมบูรณ์แบบนัก และในผู้โดยสารบางราย อาจมีอาการหูอื้อเล็กน้อย คล้ายกับการขึ้นเครื่องบิน แต่ไม่หนักหนาจนน่ารำคาญ
คำแนะนำ: ก่อนตัดสินใจซื้อ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ควรนำสมาชิกในครอบครัวไปทดลองนั่งและขับขี่ เพื่อตรวจสอบว่ามีอาการดังกล่าวหรือไม่ หากไม่มีปัญหา ก็สามารถเลือกซื้อได้เลย
ระบบบังคับเลี้ยว EPAS: ความแม่นยำที่สัมผัสได้
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ถือเป็นผู้ผลิตรายแรกที่นำพวงมาลัยแร็คแอนด์พิเนียนพร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPAS (Electronics Power Assist Steering Wheel) มาใช้ในรถยนต์ SUV/PPV ในประเทศไทย
เหตุผลหลักคือการรองรับระบบช่วยจอด Parking Assist ซึ่งจำเป็นต้องทำงานร่วมกับระบบไฟฟ้า ทำให้พวงมาลัยที่ควบคุมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าตอบโจทย์ได้ดีกว่าแบบไฮโดรลิค
ในช่วงความเร็วต่ำ พวงมาลัยรุ่น 3.2 ลิตร มีน้ำหนักที่เบากว่าที่คาดเล็กน้อย แต่ยังรู้สึกถึงแรงต้านมือได้ดี อยู่ในระดับเดียวกับ BMW X5 รุ่นล่าสุด
ส่วนรุ่น 2.2 ลิตร 4×2 นั้น พวงมาลัยเบามากจนเกือบจะใช้นิ้วชี้หมุนได้เลย เบากว่ารุ่น 3.2 ลิตร เล็กน้อย จนอาจต้องร้องถามว่า “นี่มันพวงมาลัย Toyota Corolla Altis หรือเปล่า?” แต่นับว่ายังดีที่ยังมีแรงต้านมือให้สัมผัสได้
เมื่อใช้ความเร็วสูงขึ้น พวงมาลัยของทั้งสองรุ่นจะหนืดขึ้นจริง แต่ค่อนข้างน้อยในรุ่น 3.2 ลิตร และน้อยมากในรุ่น 2.2 ลิตร จุดเด่นคือวิศวกรของ Ford เซ็ตระยะฟรีของพวงมาลัยและ On-centre feeling ได้ดีเยี่ยม บังคับเลี้ยวได้แม่นยำ และมีความต่อเนื่องในการหมุน (Linear) ที่ดีมาก ทำให้การขับขี่ที่ความเร็วสูงยังคงมั่นใจได้
เหตุผลที่พวงมาลัยรุ่น 2.2 ลิตร 4×2 เบากว่า 3.2 ลิตร 4×4 มาจากน้ำหนักตัวที่เบากว่า การถอดเพลาขับหน้า การใช้ล้ออัลลอยที่เล็กลง และหน้ายางที่แคบลง
โดยส่วนตัว ผมมองว่าพวงมาลัยรุ่น 3.2 ลิตร เซ็ตมาได้เหมาะสมดีแล้ว ขณะที่รุ่น 2.2 ลิตร อาจจะเบาเกินไปไปสักหน่อย หากมีการปรับความหนืดให้มากขึ้นในช่วงความเร็วต่ำและสูง จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ได้มากขึ้น
รัศมีวงเลี้ยว 5.85 เมตร ค่อนข้างกว้างไปนิดสำหรับการเลี้ยวกลับรถในถนน 4 เลน อาจต้องเผื่อวงเลี้ยว หรือกินเลนฝั่งซ้ายไปอีกครึ่งเลน เพื่อความปลอดภัย
ระบบช่วงล่าง: หนึบแน่น มั่นคง ในทุกสภาวะ
ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกคู่ Double Wishbone พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบคอยล์สปริงพร้อม Watt’s Link และเหล็กกันโคลง
ในช่วงความเร็วต่ำ รุ่น 3.2 ลิตร ที่เซ็ตมาในแนวหนักแน่น จะส่งแรงสะเทือนจากพื้นถนนขึ้นมาให้สัมผัสได้อย่างชัดเจน แต่ไม่สะเทือนลั่นจนเกินไป แม้จะสวมล้อ 20 นิ้ว ก็ตาม ส่วนหนึ่งมาจากน้ำหนักตัวรถที่มาก ช่วยกดแรงสะเทือนได้ดี
ในช่วงความเร็วเดินทางหรือความเร็วสูง รุ่น 3.2 ลิตร หายห่วง ช่วงล่างยังคงนิ่ง หนักแน่น มั่นคง ยึดเกาะถนนได้ดีเยี่ยม อาการช่วงล่างด้านหลังดีดเด้งน้อยมาก
ขณะที่รุ่น 2.2 ลิตร 4×2 ช่วงล่างจัดว่าแน่น หนึบ แต่ยังคงมีการสะเทือนจากฝาท่อ รอยต่อถนน และพื้นผิวขรุขระให้สัมผัสได้บ้าง ไม่ได้ซับแรงได้เนียนเท่า ปาเจโร สปอร์ต แต่ก็ยังน้อยกว่ารุ่น 3.2 ลิตร
การเข้าโค้งต่างๆ ด้วยความเร็วสูง ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ทำได้อย่างมั่นใจ สามารถทำความเร็วในโค้งต่างๆ ได้น่าประทับใจ โดยที่รถยังคงนิ่ง ยึดเกาะถนนได้ดีเยี่ยม
เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ ให้ความนุ่มนวลกว่าเล็กน้อย อีซูซุ มิว-เอ็กซ์ (Isuzu MU-X) นุ่มแต่แอบเด้งด้านหลัง เชฟโรเลต เทรลเบลเซอร์ (Chevrolet Trailblazer) หนึบกว่า MU-X นิดหน่อย ส่วน โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ (Toyota Fortuner) ให้ช่วงล่างที่แข็งและสะเทือนที่สุดในกลุ่ม
อย่างไรก็ตาม ฟอร์ด เอเวอเรสต์ 3.2 ลิตร ถือว่าเซ็ตช่วงล่างได้ดีที่สุดในกลุ่ม SUV/PPV ที่ผลิตในประเทศไทย
สำหรับรุ่น 2.2 ลิตร Titanium 4×2 พร้อมล้อ 18 นิ้ว น้ำหนักตัวที่เบากว่า อาจทำให้มีอาการโยนเวลาลงคอสะพาน หรืออาการดีดเด้งเพิ่มขึ้นจากรุ่น 3.2 ลิตร อยู่บ้าง
ระบบเบรก: หยุดรถอย่างมั่นใจ ด้วยเทคโนโลยีครบครัน
ระบบห้ามล้อของ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ทุกรุ่นย่อย เป็นดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ พร้อมครีบระบายความร้อนคู่หน้า เสริมด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ABS, EBD, Brake Assist, ESP และ Traction Control
นอกจากนี้ ยังมีระบบช่วยเหลือที่ล้ำสมัย เช่น Roll Over Mitigation, Hill Descent Control (เฉพาะรุ่น 3.2 ลิตร 4×4), Hill Launch Assist (HLA), และ Trailer Sway Control (TSC)
แป้นเบรกมีระยะเหยียบยาวและลึกพอสมควร การตอบสนองนุ่มนวล ให้ความรู้สึกเหมือนมีลมจากหม้อลมส่งมารอรับใต้ฝ่าเท้า คล้ายกับรถยนต์แบรนด์เยอรมันระดับพรีเมียม
การทำงานของเบรกจะเริ่มสัมผัสได้ชัดเจนเมื่อเหยียบลงไปประมาณ 25-30% ของระยะเหยียบทั้งหมด ในช่วงแรกอาจรู้สึกเหมือนรถไม่ค่อยหน่วงเท่าที่ควร
โดยรวมแล้ว ฟอร์ด เอเวอเรสต์ สามารถเบรกได้อย่างนุ่มนวลในสภาพการจราจรติดขัด และมั่นใจได้ในการหน่วงความเร็วจากย่านความเร็วสูง โดยไม่ปรากฏอาการ Fade นับเป็นระบบเบรกที่ดีติดอันดับต้นๆ ในกลุ่ม SUV/PPV
ข้อเสนอแนะ: หากปรับปรุงการตอบสนองของแป้นเบรกให้ Linear มากขึ้นตั้งแต่เริ่มแตะแป้น จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่ได้มากยิ่งขึ้น
ระบบความปลอดภัยเชิงป้องกัน: เทคโนโลยีแห่งยุคสมัย
ทีมวิศวกรของ Ford ได้ติดตั้งอุปกรณ์ Hi-Tech ด้านความปลอดภัยเชิงป้องกัน (Active Safety) มาอย่างเต็มพิกัด ซึ่งกลายเป็นจุดขายสำคัญของ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ โดยเฉพาะในรุ่น Titanium+
Adaptive Cruise Control: ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ช่วยรักษาความเร็วและระยะห่างจากรถคันหน้าอัตโนมัติ หากรถคันหน้าชะลอความเร็ว ระบบจะปรับลดความเร็วลงตาม หากรถคันหน้าเร่งความเร็ว ระบบจะกลับสู่ความเร็วที่ตั้งไว้เดิม หากรถคันหน้าเบรก ระบบจะแจ้งเตือนด้วยสัญญาณไฟ และตัดการทำงานของ Cruise Control เพื่อให้ผู้ขับขี่เหยียบเบรก
Collision Mitigation: แม้จะไม่ได้เปิดระบบ ACC แต่หากขับเข้าใกล้รถคันหน้ามากเกินไป ระบบจะร้องเตือนให้ผู้ขับขี่เหยียบเบรก
Lane Departure Warning & Lane Keeping Aid: ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน และระบบช่วยประคองพวงมาลัยให้รถกลับเข้าสู่เลนเดิมอัตโนมัติ หากผู้ขับขี่ละเลย หรือมีอาการเหนื่อยล้า ระบบจะแจ้งเตือนให้หาที่พัก
BLIS (Blind Spot Information System): ระบบตรวจจับรถในจุดอับสายตา ที่ยกมาจาก Volvo แจ้งเตือนด้วยไฟที่กระจกมองข้าง เมื่อมีรถแล่นเข้ามาในระยะ 3 เมตร (ทำงานเมื่ออยู่ในเกียร์ D เท่านั้น)
Active Parking Assist: ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ ทั้งการจอดแบบขนาน (Parallel Parking) และการจอดในช่องจอดต่างๆ ระบบจะคำนวณหาช่องจอดที่เหมาะสม และควบคุมพวงมาลัยให้รถเข้าจอดได้อย่างเรียบร้อย ผู้ขับขี่ยังคงต้องควบคุมการเหยียบเบรกเพื่อควบคุมความเร็ว
Cross Traffic Alert: ทำงานเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง (R) ระบบจะตรวจจับรถที่แล่นตัดผ่านด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด และส่งสัญญาณเตือน
ระบบความปลอดภัยเชิงรับ: ปกป้องทุกชีวิตในห้องโดยสาร
หากอุปกรณ์ Active Safety ไม่สามารถป้องกันอุบัติเหตุได้ อุปกรณ์ Passive Safety จะเข้ามาทำหน้าที่ปกป้องผู้โดยสาร
ถุงลมนิรภัย: ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ด้านข้าง, และม่านลมนิรภัย รวม 6 ใบ (รุ่น 3.2 Titanium+ 4×4 เพิ่มถุงลมนิรภัยหัวเข่าคนขับ เป็น 7 ใบ)
เข็มขัดนิรภัย: แบบ ELR 3 จุด ทั้ง 7 ที่นั่ง
จุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก: มาตรฐาน ISOFIX ทั้ง 2 ฝั่ง ของเบาะแถวกลาง
ระบบไฟฉุกเฉินอัตโนมัติ: ESS (Emergency Stop Signal)
ด้วยอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ครบครัน ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ได้รับมาตรฐานการทดสอบความปลอดภัยระดับ 5 ดาว จาก ANCAP (Australia) และคะแนนสูงสุดด้านความปลอดภัยผู้โดยสารผู้ใหญ่จาก ASEAN NCAP
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง: สมดุลระหว่างสมรรถนะและความประหยัด
ในยุคปัจจุบัน ความประหยัดน้ำมันกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อรถ SUV/PPV อย่าง ฟอร์ด เอเวอเรสต์
เราต้องเข้าใจว่า รถยนต์ที่มีน้ำหนักเกือบ 2 ตัน จะไม่สามารถประหยัดน้ำมันได้เทียบเท่ารถยนต์ Eco Car ได้อย่างแน่นอน
จากการทดสอบมาตรฐานของเรา:
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ 3.2 ลิตร 4×4: ทำได้ 11.16 กม./ลิตร (ระยะทาง 92.1 กม. ใช้น้ำมัน 8.25 ลิตร) ถือว่าน่าพอใจมากสำหรับเครื่องยนต์ขนาดใหญ่และน้ำหนักตัวที่มาก
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ 2.2 ลิตร 4×2: ทำได้ 12.59 กม./ลิตร (ระยะทาง 92.8 กม. ใช้น้ำมัน 7.37 ลิตร) ตัวเลขนี้ใกล้เคียงกับ ฟอร์ด เรนเจอร์ 4 ประตู 4×2 ที่เราเคยทดสอบเมื่อหลายปีก่อน
สำหรับการใช้งานจริง:
2.2 ลิตร 4×2: สามารถวิ่งได้ประมาณ 700 กม. ต่อการเติมน้ำมัน 1 ถัง
3.2 ลิตร 4×4: หากขับขี่อย่างนุ่มนวล อาจได้ถึง 520 กม. ต่อการเติมน้ำมัน 1 ถัง แต่ในการทดสอบของเรา อยู่ที่ประมาณ 450 กม.
ปัญหาประจำรุ่น: การเรียนรู้จากประสบการณ์
ตลอดระยะเวลาที่ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ วางจำหน่ายในตลาด ได้มีการรายงานปัญหา Defect บางประการเข้ามา ซึ่ง Ford ได้ดำเนินการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง
ปัญหาไฟไหม้ที่ออสเตรเลีย: เกิดจากการประกอบขั้วแบตเตอรี่ไม่แน่นหนา Ford ได้ปรับปรุงกระบวนการผลิตแล้ว
แป้นคันเร่งสั่น: อาจเกิดขึ้นหลัง 5,000 กม. สามารถแก้ไขได้ด้วยการอัปเกรด Firmware
ปัญหาระบบไฟฟ้า: แสดงสัญญาณเตือนต่างๆ บนมาตรวัด สามารถแก้ไขเบื้องต้นด้วยการดับเครื่องยนต์และสตาร์ทใหม่ หากไม่หาย ควรนำเข้าศูนย์บริการ
เสียงกระพือบริเวณหลังคา Panoramic Sunroof: เกิดในล็อตแรกๆ ปัจจุบันได้รับการแก้ไขแล้ว
สติกเกอร์ที่เพลาขับหลัง: เกิดจากการลืมดึงสติกเกอร์ออกก่อนส่งมอบ สามารถแก้ไขได้โดยการลอกสติกเกอร์ออก
EGR: อาจมีไฟเตือนรูปประแจขึ้น ต้องทำความสะอาดใหม่
CKP Sensor: ปัญหาเครื่องยนต์สวิงจนดับ เกิดในรุ่นที่ผลิตก่อนเดือนเมษายน 2016 Ford ได้เปลี่ยนอะไหล่ชิ้นนี้แล้ว
ซีลเดือยหมู/ซีลเฟืองท้าย: หากพบคราบ ให้เช็ดทำความสะอาดและสังเกตอาการอีกครั้ง
ช่องเสียบปลั๊กไฟ 220V: พบปัญหาฟิวส์ขาดและกลิ่นไหม้ในบางคัน
หน้าจอ Monitor ค้าง: ให้ปล่อยให้ระบบ Re-Boot เองประมาณ 5 นาที
สรุป: ฟอร์ด เอเวอเรสต์ – มาตรฐานใหม่แห่ง SUV/PPV
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ คือผลผลิตของการพัฒนานโยบาย Global Car ของ Ford ที่มุ่งเน้นการสร้างรถยนต์ที่สามารถขายได้ทั่วโลก พร้อมอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย เพื่อสร้างความรู้สึกว่า “Ford คือรถยนต์เทคโนโลยีล้ำสมัยในราคาสุดคุ้มค่า”
การใช้ Toyota Land Cruiser Prado เป็น Benchmark ในการพัฒนา U375 Project ทำให้ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ มีข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่งในหลายด้าน:
อุปกรณ์ความปลอดภัย Hi-Tech: ล้ำหน้าคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัด
ช่วงล่างที่หนักแน่น: สร้างความมั่นใจในการขับขี่
การบังคับขับขี่: คล่องตัวในช่วงความเร็วต่ำ และมั่นคงในช่วงความเร็วสูง
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ: ยกชุดมาจาก Land Rover
ภายในห้องโดยสาร: หรูหราสะดวกสบาย ใกล้เคียง Range Rover
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ได้ตั้งมาตรฐานใหม่สำหรับ SUV/PPV ที่ผลิตในประเทศไทยได้อย่างแท้จริง
ข้อด้อยที่ควรปรับปรุง:
น้ำหนักตัวที่มาก: ส่งผลต่ออัตราเร่งและอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
น้ำหนักพวงมาลัย: ควรหนืดขึ้นอีกเล็กน้อย โดยเฉพาะรุ่น 2.2 ลิตร
แป้นเบรก: ควรตอบสนองไวขึ้นตั้งแต่เริ่มแตะ
มาตรวัดรอบเครื่องยนต์: ขนาดเล็กเกินไป อ่านลำบาก
การเข้า-ออกเบาะแถว 3: ยากลำบากกว่ารุ่นก่อน
ระบบไฟฟ้าที่ซับซ้อน: อาจเป็นข้อกังวลในระยะยาวเรื่องการซ่อมบำรุง
คู่แข่งในตลาด SUV/PPV:
Chevrolet Trailblazer: แรง แต่ศูนย์บริการในอดีตมีปัญหากระทบภาพลักษณ์
Isuzu MU-X: ประหยัดน้ำมันที่สุด ศูนย์บริการดีเยี่ยม แต่ช่วงล่างแอบเด้ง
Mitsubishi Pajero Sport: ดีไซน์ล้ำสมัย ขับขี่ง่าย แต่ช่วงล่างนุ่มจนลดความมั่นใจ
Toyota Fortuner: เจ้าตลาด ช่วงล่างแข็งกระด้าง แต่ศูนย์บริการเยอะที่สุด
รุ่นย่อยที่คุ้มค่าที่สุด:
2.2 Titanium+ 4×2 6AT: อุปกรณ์ครบครัน คุ้มค่าที่สุดใน Line-up
3.2 Titanium+ 4×4 6AT: สำหรับผู้ที่ต้องการระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และมีงบประมาณเพียงพอ
บริการหลังการขาย: ความท้าทายที่ต้องก้าวข้าม
แม้ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ จะมีจุดเด่นในตัวรถที่แข็งแกร่ง แต่ปัญหาบริการหลังการขายของ Ford ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ ลูกค้าควรตรวจสอบข้อมูล และสอบถามเกี่ยวกับศูนย์บริการก่อนตัดสินใจซื้อ
สรุป: การตัดสินใจที่ชาญฉลาด
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ คือรถยนต์ SUV/PPV ที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี สมรรถนะ และความปลอดภัย หากคุณกำลังมองหารถยนต์ที่พร้อมพาคุณไปทุกที่ พร้อมตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ และให้ความสำคัญกับความล้ำสมัย ฟอร์ด เอเวอเรสต์ คือหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดในตลาดปัจจุบัน
หากคุณพร้อมแล้วที่จะสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ และเป็นส่วนหนึ่งของอนาคตแห่งยนตรกรรมอเนกประสงค์ อย่ารอช้า! ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ หรือทดลองขับ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ณ ผู้จำหน่ายฟอร์ดใกล้บ้านคุณวันนี้ เพื่อค้นพบมิติใหม่ของการเดินทางที่ไร้ขีดจำกัด.

