ไทยแลนด์: ศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าแห่งอาเซียน – Great Wall Motor ทุ่ม 30 ล้านดอลลาร์ ตั้งโรงงานแบตเตอรี่ พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
ในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ประเทศไทยกำลังก้าวขึ้นสู่แถวหน้าของภูมิภาคอาเซียนอย่างเต็มภาคภูมิ ด้วยนโยบายที่เอื้ออำนวยและการลงทุนจากผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำระดับโลก หนึ่งในนั้นคือ Great Wall Motor (GWM) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากประเทศจีน ที่ได้ประกาศแผนการลงทุนครั้งสำคัญ มูลค่ากว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อจัดตั้งโรงงานประกอบแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศไทย
การลงทุนครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาคอาเซียนอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่เป็นการเพิ่มกำลังการผลิต แต่ยังเป็นการยกระดับห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทยให้มีความแข็งแกร่งและครบวงจรมากยิ่งขึ้น
GWM กับวิสัยทัศน์ระยะยาว: มากกว่าแค่การประกอบ แต่คือการพัฒนาและสร้างนวัตกรรม
คุณณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประเทศไทย (GWM) ได้เปิดเผยถึงแผนการลงทุนที่ครอบคลุมและมองการณ์ไกลมากยิ่งขึ้น ว่านอกจากการตั้งโรงงานประกอบแบตเตอรี่แล้ว สำนักงานใหญ่ของ Great Wall Motor ในมณฑลเหอเป่ย ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) ในประเทศไทยอีกด้วย
“ศูนย์วิจัยและพัฒนาแห่งนี้จะเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของ GWM ในภูมิภาค” คุณณรงค์กล่าว “เรามีเป้าหมายที่จะพัฒนาแบตเตอรี่ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง รวมถึงแบตเตอรี่ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของตลาดรถกระบะ ซึ่งเป็นเซกเมนต์ที่แข็งแกร่งในประเทศไทยและอาเซียน”
การลงทุนในการวิจัยและพัฒนาในประเทศไทย สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ GWM ในการปรับผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับความต้องการของตลาดท้องถิ่น และสร้างสรรค์เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่ล้ำสมัย พร้อมทั้งยังจะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนี้
Ora Good Cat: ต้นแบบความสำเร็จและการต่อยอดสู่การผลิตในประเทศ
ความสำเร็จของ GWM ในประเทศไทย เริ่มต้นขึ้นอย่างโดดเด่นในช่วงปลายปี 2565 ด้วยการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า Ora Good Cat ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยม จนก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดในประเทศไทย รุ่นที่เข้าถึงง่ายที่สุดมีราคาอยู่ที่ 828,500 บาท ก่อนหักลบเงินอุดหนุนจากภาครัฐ ซึ่งอยู่ที่ 230,500 บาท ทำให้ราคาจำหน่ายจริงน่าดึงดูดใจเป็นอย่างยิ่ง
คุณณรงค์ยืนยันว่า GWM มีแผนที่จะเริ่มการผลิต Ora Good Cat ในประเทศไทยภายในปีหน้า (2567) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการสร้างฐานการผลิตในประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น “เราจะพยายามเพิ่มสัดส่วนการจัดหาชิ้นส่วนและส่วนประกอบจากภายในประเทศให้มากขึ้น โดยเฉพาะแบตเตอรี่ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดในการรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลไทย” เขากล่าวเสริม
การผลิตในประเทศจะช่วยลดต้นทุนการผลิต ลดการพึ่งพาการนำเข้า และทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเข้าถึงผู้บริโภคชาวไทยได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
นโยบายภาครัฐ: กุญแจสำคัญสู่การพลิกโฉมอุตสาหกรรมยานยนต์
ประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก กำลังดำเนินนโยบายเชิงรุกเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า รัฐบาลไทยได้ตั้งเป้าหมายอันท้าทาย คือการปรับสัดส่วนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 30% ของยอดการผลิตทั้งหมด 2.5 ล้านคันต่อปี ภายในปี 2573
มาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลนำมาใช้ ทั้งการลดหย่อนภาษี การให้เงินอุดหนุน และการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน คือการดึงดูดผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกให้มาตั้งฐานการผลิตและพัฒนานวัตกรรมในประเทศไทย
โรงงานประกอบแบตเตอรี่ของ GWM ที่คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 500-1,000 ล้านบาท ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้ โดยขนาดที่แน่นอนของโรงงานจะถูกกำหนดภายใน 6 เดือนข้างหน้า และยังมีศักยภาพในการอัปเกรดเพื่อผลิตเซลล์แบตเตอรี่ได้โดยตรง หากความต้องการของตลาดและการสนับสนุนจากภาครัฐเอื้ออำนวย
ศักยภาพของโรงงานแบตเตอรี่ GWM: มากกว่าแค่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า GWM
คุณณรงค์ยังได้กล่าวถึงศักยภาพที่น่าสนใจของโรงงานแบตเตอรี่แห่งนี้ว่า “เราอาจก้าวไปสู่การเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่รายสำคัญ ที่สามารถทำสัญญากับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยได้ด้วย ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น”
การเป็นซัพพลายเออร์แบตเตอรี่ให้กับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มปริมาณการผลิตและสร้างรายได้ให้กับ GWM เท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันและพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ในประเทศไทยให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น
การแข่งขันในตลาดรถยนต์ไทย: การมาถึงของผู้เล่นรายใหม่ และบทบาทของผู้เล่นเดิม
แม้ว่าการลงทุนของ GWM และ BYD ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำจากจีน จะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของตลาดประเทศไทย แต่ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นอย่าง Toyota Motor และ Isuzu Motor ยังคงครองความเป็นผู้นำตลาดในประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มรถกระบะ ซึ่งมียอดขายมากกว่าครึ่งหนึ่งของตลาดรถยนต์โดยรวม
อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของ GWM และผู้เล่นรายอื่นๆ ไม่ได้หมายถึงการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดของผู้เล่นเดิม แต่เป็นการขยายตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโดยรวม และเป็นการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
Audi: นิยามใหม่ของสมรรถนะและความหรูหรา – TT RS Heritage Thailand Exclusive Edition เปิดตัวสุดเอ็กซ์คลูซีฟ
ในขณะที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ตลาดรถยนต์สมรรถนะสูง (High-Performance Cars) ก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่ชื่นชอบรถยนต์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและประสิทธิภาพการขับขี่อันน่าทึ่ง
Audi ประเทศไทย โดย Meister Technik Company Limited ได้เปิดตัว Audi TT RS Heritage Thailand Exclusive Edition ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นพิเศษที่ผลิตขึ้นเพียง 25 คันทั่วโลก เพื่อตอบสนองความต้องการของ Audi Fan ในประเทศไทยที่ให้การตอบรับอย่างอบอุ่นต่อ Audi TT Family
นายกฤษณะกร เศวตนันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Audi ประเทศไทย กล่าวว่า “กระแสตอบรับที่ยอดเยี่ยมจาก Audi Fan ในประเทศไทย ส่งผลให้ยอดขาย Audi TT Family ของเราในปี 2022 ขึ้นเป็นอันดับ 6 ของโลก และอันดับ 2 ในเอเชีย รองจากประเทศญี่ปุ่น การเปิดตัว Audi TT Coupé Final Icon Black ต้นปีที่ผ่านมา ก็ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม ทำให้ยอดขายกลุ่ม Audi TT ขึ้นเป็นอันดับ 5 ของโลก และอันดับ 2 ในเอเชีย”
การเปิดตัว TT RS Heritage Thailand Exclusive Edition เป็นการตอกย้ำความชื่นชอบของ Audi Fan ในประเทศไทยที่มีต่อ Audi TT AUDI AG และ Audi ประเทศไทย ได้ใช้เวลาเกือบ 2 ปี ในการสร้างสรรค์รถรุ่นพิเศษคันนี้ ซึ่งสะท้อนถึง DNA แห่งมอเตอร์สปอร์ตอันเป็นเอกลักษณ์ของ Audi Sport
Audi Sport: 40 ปีแห่งตำนานแห่งสมรรถนะ
ปี 2023 เป็นปีที่ Audi Sport ฉลองครบรอบ 40 ปี แห่งความสำเร็จในการพัฒนารถยนต์สมรรถนะสูงที่ไร้ขีดจำกัด ทั้งในด้านสมรรถนะและการออกแบบสไตล์สปอร์ต ตั้งแต่ปี 1983 Audi Sport ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการมอเตอร์สปอร์ต และเป็นที่ยอมรับของลูกค้าทั่วโลก
Audi TT RS ถือเป็นหนึ่งในรุ่นที่สำคัญภายใต้การพัฒนาของ Audi Sport รถสปอร์ตไอคอนอย่าง Audi TT ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1998 ได้ก้าวสู่ปีที่ 25 ด้วยการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์และสมรรถนะการขับขี่ที่เร้าใจ ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนถึงเจเนอเรชั่นที่ 3 ซึ่งใช้เทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปที่ทันสมัยที่สุด
TT RS Heritage Thailand Exclusive Edition: ความพิเศษที่หาที่เปรียบมิได้
Audi TT RS Heritage Thailand Exclusive Edition มาพร้อมราคา 5,899,000 บาท ซึ่งเป็นรุ่นพิเศษที่ผลิตขึ้นเพียง 25 คันทั่วโลก โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในเอเชียที่ได้รับสิทธิ์ในการเปิดตัวรุ่นพิเศษนี้ใกล้เคียงกับ World Premier
รถยนต์ในกลุ่ม RS ซึ่งมีรากฐานมาจาก Audi Sport ถือเป็นรถยนต์กลุ่ม High Performance ที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในประเทศไทย โดย Audi ประเทศไทย มีรถยนต์ในตระกูล High Performance ถึง 11 รุ่นย่อย 9 body types และครอบคลุมผลิตภัณฑ์รวมทั้งสิ้น 41 รุ่นย่อย 20 body types
ดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์: การผสมผสานสีสันและสไตล์ Black Edition
Audi TT RS Heritage Thailand Edition โดดเด่นด้วย 5 สีภายนอก ที่จับคู่กับ 5 สีภายใน อันได้รับแรงบันดาลใจมาจากสีที่ใช้ในรุ่น Ur-Quattro ซึ่งเป็น Iconic model ในช่วงปี 1980s ได้แก่ สี Alpine White, Helios Blue, Stone Grey, Tizian Red และ Malachite Green
มาพร้อมกับการตกแต่งภายนอกแบบ Black Edition ที่ให้ลุคดุดันรอบคัน, RS spoiler แบบ Winglets ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแอโรไดนามิก และลายล้อสุดพิเศษแบบ 5 ก้าน Anthracite Black diamond-turned ขนาด 20 นิ้ว
ประสบการณ์การขับขี่สไตล์สปอร์ต: เครื่องยนต์ 5 สูบ 400 แรงม้า
Audi TT RS เปรียบเสมือนซูเปอร์คาร์ย่อส่วนจากรุ่นพี่อย่าง R8 ด้วยเครื่องยนต์ 5 สูบ 20 วาล์ว ขนาด 400 แรงม้า ซึ่งได้รับรางวัล International Engine of the Year Awards ถึง 9 สมัยติดต่อกัน แสดงถึง DNA ของ Audi ได้อย่างแท้จริง
ระบบช่วงล่างแบบ Audi Magnetic ride สามารถปรับความแข็งอ่อนของโช๊คอัพได้อย่างอิสระ ทำให้รถขับขี่ได้อย่างสนุกสนาน และควบคุมได้อย่างมั่นใจในทุกสภาวะการขับขี่
Audi TT Coupé: ตำนานแห่งดีไซน์และสมรรถนะ
Audi TT เปิดตัวครั้งแรกในปี 1995 ที่งาน Frankfurt Motor Show และได้กลายเป็นไอคอนของรถสปอร์ต ด้วยดีไซน์ที่ร่วมสมัยเหนือกาลเวลา เส้นสายที่โดดเด่น โฉบเฉี่ยว และแตกต่างจากรถสปอร์ตอื่นๆ ในยุคนั้น ทำให้ Audi TT เป็นที่ครอบครองหัวใจของผู้ที่ชื่นชอบรถทั่วโลก
เจเนอเรชั่นที่ 2 ที่เปิดตัวในปี 2006 มาพร้อมการผสมผสานงานประกอบอลูมิเนียมที่ลงตัว และ Dynamic ในการขับขี่ที่ผสานระหว่างเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จและเทคโนโลยีช่วงล่าง Audi Magnetic Ride
ในปี 2009 Audi TT RS ได้เปิดตัวพร้อมเครื่องยนต์ 5 สูบแถวเรียง กำลัง 340 แรงม้า สร้างมาตรฐานใหม่ด้านสมรรถนะและนวัตกรรม
เจเนอเรชั่นที่ 3 ที่เปิดตัวในปี 2014 มาพร้อมรูปลักษณ์ที่สปอร์ต ปราดเปรียว และเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น Audi Virtual Cockpit ฝาถังน้ำมันทรงกลมอันเป็นเอกลักษณ์ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน
RS 4 Avant Competition & RS 5 Coupé Competition: ยกระดับสมรรถนะและความหรูหรา
นอกเหนือจาก TT RS Heritage แล้ว Audi ประเทศไทย ยังได้เปิดตัว RS 4 Avant Competition และ RS 5 Coupé Competition สองรุ่นพิเศษที่มาพร้อมการอัพเกรดชุดแต่ง Competition Edition เพื่อมอบมาตรฐานใหม่ของรถยนต์สาย Performance และปลดล็อคสมรรถนะอันสมบูรณ์แบบ
RS 4 Avant Competition: สเตชั่นแวกอนสายพันธุ์แรง
RS 4 Avant Competition คือความสมบูรณ์แบบของยนตรกรรมสมรรถนะสูงในรูปแบบสเตชั่นแวกอน อันเป็นเอกลักษณ์ของ Audi ผสมผสานสมรรถนะสปอร์ตเข้ากับความหรูหราได้อย่างลงตัว ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro แบบไดนามิก มอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าจดจำ
มาพร้อมล้อขนาด 20 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ Audi Sport สีดำ Phantom black และทูโทน, คาลิปเปอร์เบรกสีแดงแบบ RS, ชุดตกแต่งภายนอก Glossy Black RS, Audi Ring และชื่อรุ่นสี Glossy Black, ระบบท่อไอเสีย RS Sports plus สี Matt Black
เครื่องยนต์ V6 biturbo ให้กำลัง 450 แรงม้า แรงบิด 600 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 4.1 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 290 กม./ชม.
ภายในห้องโดยสารตกแต่งอย่างพิถีพิถันด้วยเบาะนั่งคู่หน้า RS Sports ลาย Honeycomb ด้ายสีแดง, เบาะหลังหุ้มหนัง Fine Nappa, ลาย Matte Carbon Twill, ไฟ Ambient light 30 เฉดสี, พวงมาลัยสปอร์ตท้ายตัดหุ้ม Alcantara, จอ Virtual Cockpit 12.3 นิ้ว, ระบบ MMI Navigation plus 10.1 นิ้ว และเครื่องเสียง Bang & Olufsen
RS 4 Avant Competition มีราคาจำหน่าย 6,499,000 บาท พร้อมสีมาตรฐาน 6 สี และสีสั่งพิเศษเพิ่ม 300,000 บาท
RS 5 Coupé Competition: ความสปอร์ตหรูที่เร้าใจ
RS 5 Coupé Competition สะท้อน DNA ขุมพลังในสนามแข่งของ Audi Sport ด้วยดีไซน์ที่แม่นยำ ประสิทธิภาพ และความสวยงาม รูปลักษณ์ภายนอกผสมผสานความสปอร์ตสไตล์ Coupé เข้ากับความหรูหราได้อย่างแนบเนียน
มาพร้อมล้อขนาด 20 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ Audi Sport สีดำ Phantom black และทูโทน, คาลิปเปอร์เบรกสีแดงแบบ RS, ชุดตกแต่งภายนอก Glossy Black RS, Audi Ring และชื่อรุ่นสี Glossy Black
เครื่องยนต์ V6 biturbo 450 แรงม้า แรงบิด 600 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.9 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 290 กม./ชม. ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro มอบความมั่นคงในการขับขี่
ห้องโดยสารตกแต่งด้วยเบาะนั่งคู่หน้า RS Sports ลาย Honeycomb ด้ายสีแดง, คอนโซลกลางหุ้ม Alcantara, เบาะหุ้มหนัง Fine Nappa, ไฟ Projector LED แบบ RS Competition, ลาย Matte Carbon Twill, ไฟ Ambient light 30 เฉดสี, พวงมาลัยสปอร์ตท้ายตัดหุ้ม Alcantara, จอ Virtual Cockpit 12.3 นิ้ว, ระบบ MMI Navigation plus 10.1 นิ้ว และเครื่องเสียง Bang & Olufsen
RS 5 Coupé Competition มีราคาจำหน่าย 6,599,000 บาท พร้อมสีมาตรฐาน 6 สี และสีสั่งพิเศษเพิ่ม 300,000 บาท
Ora Grand Cat: ก้าวต่อไปของรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าจับตามอง
ในส่วนของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ยังมีอีกหนึ่งรุ่นที่น่าจับตามองอย่าง Ora Grand Cat จาก GWM ซึ่งมีสเปคที่น่าสนใจ โดยเฉพาะระยะทางวิ่งสูงสุดที่สามารถวิ่งได้ถึง 705 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
Ora Grand Cat เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ Auto Shanghai 2023 ด้วยสเปคที่น่าประทับใจ
ขนาดตัวถัง: ยาว 4871 มม., กว้าง 1862 มม., สูง 1500 มม., ฐานล้อ 2870 มม.
รุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว: กำลัง 201 แรงม้า, แรงบิด 340 นิวตัน-เมตร, แบตเตอรี่ Lithium iron Phosphate วิ่งได้ 705 กม./ชาร์จ (CLTC), ขับเคลื่อน 2 ล้อ, ชาร์จ DC 30-80% ใน 30 นาที
รุ่นมอเตอร์ไฟฟ้าคู่: กำลัง 402 แรงม้า, แรงบิด 680 นิวตัน-เมตร, อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 4.3 วินาที, แบตเตอรี่ Ternary lithium วิ่งได้ 600 กม./ชาร์จ (CLTC), ขับเคลื่อน 4 ล้อ, ชาร์จ DC 30-80% ใน 30 นาที
เทคโนโลยีและความปลอดภัยที่เหนือชั้น
Ora Grand Cat มาพร้อมเทคโนโลยีที่น่าสนใจมากมาย เช่น มือจับประตูแบบซ่อนอัจฉริยะ, ไฟหน้าอัตโนมัติ, กระจกมองข้างปรับไฟฟ้าพร้อมระบบทำความร้อนและไล่ฝ้า, ที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ, ประตูแบบไร้กรอบ และค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านลม 0.22Cd ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน
ระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ ORA-PILOT 3.0 ประกอบด้วยเซ็นเซอร์อัจฉริยะ 28 ตัว, กล้อง ADAS 1 ตัว, เรดาร์คลื่น 5 มม., เรดาร์อัลตราโซนิก 12 ตัว, กล้องมองภาพรอบทิศทาง 4 ตัว, กล้องจดจำใบหน้า 3 มิติ, แผนที่ความแม่นยำสูงผ่านดาวเทียม 5G และระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะบนทางหลวง
ความปลอดภัยระดับสูงสุด: การทดสอบการชนที่เหนือมาตรฐาน
Ora Grand Cat ยังได้ผ่านการทดสอบความปลอดภัยที่เข้มงวดเกินกว่ามาตรฐานแห่งชาติ ด้วยการทดสอบการตกจากความสูง 6 เมตร การหมุนเกลียวกลางอากาศ และการตกสู่พื้น จากการทดสอบดังกล่าว แบตเตอรี่ของรถยนต์ถูกตัดการทำงานทันทีด้วยไฟฟ้าแรงสูง และไม่มีการรั่วไหลของอิเล็กโทรไลต์ ทำให้ไม่เกิดการเผาไหม้
โครงสร้างตัวถังไม่บุบสลาย ห้องโดยสารยังคงสภาพดีเยี่ยม ถุงลมนิรภัยทำงานตามปกติ ประตูรถสามารถเปิดได้ และระบบ E-CALL สำหรับการกู้ภัยฉุกเฉินก็ทำงานได้ตามปกติ ผลการทดสอบนี้ยืนยันถึงความปลอดภัยระดับดีเยี่ยมของ Ora Grand Cat ในกรณีเกิดอุบัติเหตุ
Hyundai N Brand: สัมผัส DNA รถแข่งบนถนนจริง
ในอีกมุมหนึ่งของวงการยานยนต์สมรรถนะสูง Hyundai กำลังเดินหน้าสร้างการรับรู้แบรนด์ N Brand ที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสนามแข่งสู่รถยนต์ที่ใช้งานได้จริงบนท้องถนน Hyundai i30 N คือตัวอย่างที่ชัดเจนของรถแฮตช์แบ็กสายพันธุ์ดุ ที่พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ
แม้ว่า Hyundai Mobility ประเทศไทย ยังไม่มีแผนการทำตลาดรถยนต์รุ่นนี้อย่างเป็นทางการในปัจจุบัน แต่การที่ผู้บริหารและสื่อมวลชนได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรม Driving Experience 2023 ที่สนาม Ricardo Tormo ประเทศสเปน เพื่อทดลองขับ Hyundai i30 N นั้น แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความตั้งใจของ Hyundai ในการนำรถยนต์สมรรถนะสูงเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยในอนาคต
Hyundai Driving Experience: เรียนรู้ขีดจำกัดของรถและผู้ขับขี่
กิจกรรม Driving Experience 2023 ที่จัดขึ้นที่สนามแข่งระดับโลก เป็นการจำลองสถานการณ์การขับขี่ต่างๆ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสสมรรถนะ เรียนรู้ขีดจำกัดของรถ และฝึกฝนทักษะการขับขี่ในสภาวะที่อาจพบเจอได้ยากในชีวิตประจำวัน
ผู้เข้าร่วมได้ทดลองขับ Hyundai i30 N ซึ่งเป็นรถ Hot Hatch ที่ได้รับการปรับแต่งสมรรถนะจากเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร Direct Injection Turbo 280 แรงม้า มาพร้อมตัวเลือกเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์ดูอัลคลัตช์ 8 สปีด ชุดแอโรพาร์ทรอบคัน และช่วงล่างที่ได้รับการปรับปรุงใหม่
การฝึกฝนในสถานีต่างๆ เช่น การเบรก, การเบรกในโค้ง, เลนเชนจ์, จิมคาน่า, และ เจ-เทิร์น ช่วยให้ผู้เข้าร่วมเข้าใจพฤติกรรมของรถ และเรียนรู้วิธีการควบคุมรถในสถานการณ์ฉุกเฉิน
อนาคตของ Hyundai N Brand ในประเทศไทย
การที่ Hyundai Motors ประสบความสำเร็จในระดับโลกด้วยรถยนต์อเนกประสงค์, รถยนต์สมรรถนะสูงตระกูล N, และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% EV บ่งชี้ถึงศักยภาพที่จะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างแน่นอน รถยนต์ตระกูล N ที่ได้ทดลองขับในครั้งนี้ และการเข้าร่วมชมการแข่งขัน WRC โดย Hyundai Motorsport ยิ่งเป็นการปูทางสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสมรรถนะของแบรนด์
การเข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยอย่างเต็มตัวของ Hyundai จะนำมาซึ่งรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่รถยนต์ตระกูล N จะถูกนำเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยในอนาคตอันใกล้นี้
บทสรุป: การขับเคลื่อนสู่อนาคตยานยนต์ไทยที่สดใส
การลงทุนของ Great Wall Motor ในการจัดตั้งโรงงานประกอบแบตเตอรี่และศูนย์วิจัยและพัฒนาในประเทศไทย ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าประเทศไทยกำลังก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าแห่งภูมิภาคอาเซียน นโยบายเชิงรุกของภาครัฐ ประกอบกับการเข้ามาของผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำจากทั่วโลก กำลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้เติบโตและพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
ในขณะเดียวกัน การเปิดตัวรถยนต์สมรรถนะสูงสุดพิเศษจาก Audi และศักยภาพของ Hyundai N Brand ที่กำลังจะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ก็สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายและความน่าสนใจของตลาดรถยนต์ไทยที่กำลังเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง
หากคุณคือผู้ที่สนใจในเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า หรือกำลังมองหารถยนต์สมรรถนะสูงที่ตอบสนองทุกความต้องการ นี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตแห่งการขับเคลื่อนที่ไม่เหมือนใคร

