ตลาดรถยนต์ในประเทศไทย ปี 2017 ที่ผ่านมา เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจนขึ้น จากสถานการณ์ของประเทศที่เริ่มนิ่งขึ้นบ้าง และ ตัวเลขทางเศรษฐกิจ ก็เริ่มดีขึ้น แม้ในบางภาคธุรกิจ อาจยังซบเซาอยู่ แต่หลายๆภาคส่วนก็มองเห็นถึงการเจริญเติบโต เพิ่มขึ้นจากปี 2016
แนวโน้มที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเกิดขึ้นต่อเนื่องมาถึงปีนี้ นั่นคือ ความนิยมในรถยนต์นั่งกลุ่ม SUV ทั้งขนาดเล็ก และ ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ การเติบโต ของกลุ่ม Sub-Compact (B-Segment) Crossover SUV ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ต่อเนื่องจากปี 2015 – 2016 เฉพาะแค่ในยุโรป ยอดขายปีก่อนนั้น ทำได้มากถึง 1.1 ล้านคันต่อปี มีสัดส่วนมากถึง 7% เมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ประเภทอื่น ๆ และมีแนวโน้มว่าตลาด B-SUV จะมียอดขายพุ่งสูงถึง 2 ล้านคัน/ปี ภายในปี 2020
อีกกระแสสำคัญ ก็คือ การที่ประชาคมสื่อมวลชน และ ผู้นำความคิด หรือผู้นำธุรกิจจากทั่วโลก ต่างมองว่า รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ทั้ง Hybrid , Plug-in Hybrid หรือ EV (อีเวร..เอ้ย Electric Vehicle) จะเริ่มได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ ควบคู่ไปกับการเตรียมพร้อมให้กับผู้บริโภค เพื่อเตรียมนำเทคโนโลยี รถยนต์ขับขี่เองอัตโนมัติ Autonomous Drive พร้อมกับระบบ Ai (Artificial Intelligence) เข้ามาใช้กับรถยนต์ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไป
หลายๆคนมองว่า รถยนต์พลังงานไฟฟ้า Pure EV (Electric Vehicles) จะเป็นกระแสที่กลายเป็นความจริง เร็วกว่าคาดคิด ทว่า เราคนไทยยังไม่ได้ถามตัวเองกันมากพอเลยว่า เราพร้อมแล้วจริงๆเหรอ? ที่จะใช้รถยนต์ไฟฟ้า
สิ่งที่เราอยากเห็นภาครัฐ ดำเนินงานควบคู่ไปกับภาคเอกชน ในช่วงที่เรากำลังจะเริ่มก้าวเข้าสู่ยุครถยนต์พลังงาน Hybrid หรือ ไฟฟ้าล้วน เต็มรูปแบบ นอกเหนือจากการให้ความรู้กับประชาชน และผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย ถึงคุณประโยชน์ และข้อควรระวังในการใช้งานรถยนต์เหล่านี้แล้ว เราควรเตรียมโครงสร้างพื้นฐาน เช่นสถานีชาร์จไฟแบบเร่งด่วน (Quick Charge) ตามสถานที่สำคัญต่างๆ ให้เพียงพอกับความต้องการที่จะค่อยๆเพิ่มมากขึ้น อาจต้องสร้างแรงจูงใจในการลงทุนให้กับภาคเอกชน ในการนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้า รวมทั้งสถานีชาร์จไฟ หรือ ตู้ชาร์จตามบ้าน มาผลิต/ประกอบในประเทศไทย เป็นกรณีพิเศษในระยะเวลาสั้นๆ ทั้งเพื่อการจำหน่ายในประเทศ และ การส่งออกไปยังต่างประเทศ
ขณะเดียวกัน เราจำเป็นต้องเร่งส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี และ องค์ความรู้ ให้กับนักเรียน นิสิต นักศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถาบันอาชีวะศึกษาทั่วประเทศ เพื่อผลิตบุคคลากรที่มีความรู้ความสามารถ และ เชี่ยวชาญในการซ่อมบำรุง การดูแลรักษา ไปจนึงการพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้า ให้เพิ่มมากขึ้นกว่านี้ เพื่อรองรับการขยายตัวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ไม่เพียงเท่านั้น เรายังต้องคิดและวางแผนเรื่องการกำจัดของเสีย แบตเตอรี่ชำรุดหมดอายุการใช้งาน และ ชิ้นส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นระบบ เข้มงวด รัดกุม และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของชุมชนให้น้อยที่สุดอีกด้วย

สำหรับแนวโน้มของตลาดรถยนต์ในปีนี้ น่าจะเริ่มกลับมาคึกคักขึ้น จากการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะรุ่นหลังสำคัญๆ ของปีนี้ ในกลุ่ม B-Segment Crossover SUV ซึ่งจะเป็นการห้ำหั่นกัน ระหว่างแชมเป์เก่า Honda HR-V ซึ่งจะต้องมีการปรับโฉม Minorchange เพื่อรับมือกับน้องใหม่ Toyota C-HR ที่จะเปิดตัวในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ ด้วยกันทั้งคู่
ขณะเดียวกัน ตลาดรถกระบะจะยังไม่โดดเด่นนัก มีเพียงแค่การปรับโฉม เพิ่มอุปกรณ์ เพิ่มรุ่นย่อยพิเศษ กันแทบทุกค่าย เพื่อประวิงเวลา รอความตื่นเต้นครั้งใหม่ที่จะไปเกิดขึ้นอีกที ในปี 2020
อีกแนวโน้มหนึ่งที่เราจะได้เห็นกันในปีนี้ คือ ตลาดรถยนต์ SUV/PPV ที่จะได้เวลาปรับโฉม Minorchange พร้อมเพรียงกันทุกค่าย รวมทั้งการมาถึงของน้องใหม่ อย่าง Nissan Terra ที่จะเข้ามาขอร่วมชิงส่วนแบ่งการตลาดกับเขาด้วย หลังจากที่ปลอ่ยให้ชาวบ้านชาวช่องเขาอิ่มหนำสำราญมานานเป็นสิบปีเข้าไปแล้ว
ส่วนตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก จะเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงจริงจังในปี 2019 เมื่อรถยนต์ B-Segment แบบปกติ อาจถูกรวมเข้ากับ ECO-Car ด้วยเหตุจากแรงจูงใจด้านภาษีสรรพสามิต จึงทำให้ผู้ผลิตทั้งหลาย พากันลดความจุกระบอกสูบ Downsizing แล้วเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ๆเข้าไปในเครื่องยนต์ ดังนั้น ผู้ผลิตที่ล้าหลัง ปรับตัวช้ากว่าชาวบ้าน อาจอยู่ไม่รอดในระยะยาว กระนั้น บรรดารถยนต์ขนาดเล็กทั้งหลาย จะเริ่มทะยอยเปิดตัวในบ้านเรา นับจากปี 2018 นี้ ต่อเนื่องไปจนสิ้นปี 2019
———————————-
เป็นประจำทุกต้นปีที่ J!MMY จะเขียนบทความสรุปความเคลื่อนไหวของปีก่อน และ สรุปความเคลื่อนไหว ของบรรดารถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่จะเปิดตัวในปีนี้ รวมทั้ง Update ข้อมูลการพัฒนา รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ล้ำไปไกลล่วงหน้าก่อนสื่อรายใดถึง 4 ปี เผยแพร่ลงในเว็บไซต์ ของเรา Headlightmag.com เป็นประจำในช่วงเดือนมกราคม เพื่อเป็นของขวัญ สำหรับคุณผู้อ่าน ใช้เป็นข้อมูลในการเตรียมวางแผนซื้อรถยนต์ล่วงหน้า หรือสำหรับเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ของผู้คนที่ทำงานในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ของบ้านเรา
ความเคลื่อนไหวในตลาดรถยนต์เมืองไทยนับจากปี 2018 นี้ จนถึงปี 2021 จะเป็นอย่างไร จะมีรถยนต์รุ่นไหนเข้ามาเปิดตัวในบ้านเรา รอให้ได้เป็นเจ้าของกัน และมีเทคโนโลยีอะไรที่จะเข้ามาให้ผู้บริโภคชาวไทยได้สัมผัสกันบ้าง ทุกอย่างทุกข้อสงสัย มีคำตอบให้คุณได้อ่านกันแล้ว…ข้างล่างนี้…!
—————————————–
***หมายเหตุ***
1. ปีนี้ บางค่าย จะไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่ทำตลาด อาจมีเพียงแค่รุ่นกระตุ้นตลาดเท่านั้น แต่เราก็ยังคงบรรจุแบรนด์เหล่านั้น ไว้ในบทความประจำปีนี้ เพราะในปี 2019 แต่ละค่ายเหล่านั้น จะกลับมามีความเคลื่อนไหวกันอีกครั้ง
2. ปีนี้ เรายังคงขอถอด Alfa Romeo, Citroen , Fiat, Lotus, McLaren, Peugeot, Proton ,Skoda รวมทั้ง Volkswagen ออกจากบทความ เพราะไม่สามารถสืบหาข้อมูลแผนการนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดในบ้านเราได้เลยจริงๆ และตลอดปี 2017 ที่ผ่านมา แทบทุกแบรนด์ที่เอ่ยนามมาข้างต้น ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆในตลาดบ้านเราเลย Alfa Romeo กับ Fiat ทางพระนครยนตรการ ยังคงมีศูนย์บริการอยู่ แต่เริ่มโละขายอะไหล่ทิ้งไปเยอะแล้ว ทางฝั่ง Peugeot อาจมีรถยนต์รุ่นใหม่ ออกขายอยู่ แต่ยากเกินจะสืบหาแนวทางว่าจะนำรถยนต์รุ่นใดเข้ามาจำหน่ายในอนาคต ขณะเดียวกัน Proton ก็ดูเงียบไป และ Citroen กับ Skoda ได้ยุติการทำตลาดในประเทศไทยไปเรียบร้อยแล้ว ในปี 2017 ที่ผ่านมา อย่างน่าเสียดายยิ่ง เหตุผลที่เราพอบอกได้ก็คือ ” มีปัญหาภายในองค์กรหลายประการ ”
ขณะเดียวกัน Volkswagen ก็ยังคงนิ่งเงียบ แทบไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆมาให้โลกภายนอกได้รับรู้กันบ้างเลยว่า ตกลงแล้ว จะยังคงวางแผนบุกตลาดเมืองไทยเองอยู่ตามเดิมหรือเปล่า ? มีเพียงแค่ ปล่อยให้ตัวแทนจำหน่าย ในบ้านเรา (ไทยยานยนตร์) ขายแต่รถตู้ Caravelle รุ่นล่าสุดกันต่อไป เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น เท่ากับว่า ไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นใดนอกเหนือจากนี้
ส่วนค่ายรถยนต์จากประเทศจีน ซึ่งเพิ่งตื่นนอน กำลังเตรียมอาบน้ำแต่งตัว เพื่อเริ่มทำธุรกิจในประเทศไทยอย่างจริงจัง ทั้ง BYD, Geely, Foton ฯลฯ ขอยังไม่นำมารวมในครั้งนี้ เนื่องจากนโยบายต่างๆของบริษัทเหล่านี้ ไม่ค่อยจะนิ่งพอ
อย่างไรก็ตาม เราขอนำ Tata Motors กลับเข้ามาอยู่ในรายชื่อของบริษัทรถยนต์ที่จะมีความเคลื่อนไหวในบ้านเราต่อไปอีกครั้ง เนื่องจากพวกเขากำลังพัฒนารถกระบะรุ่นใหม่ ที่มีกำหนดจะเปิดตัวทั่วโลก ราวๆ ปี 2019 ขึ้นไป
3. ข้อมูลทั้งหมดในบทความนี้ ได้รับการตรวจสอบและยืนยันแล้วว่าถูกต้อง ตรงกับข้อมูลที่เราได้รับจากหลายแหล่งข่าว ณ วันที่นำบทความชิ้นนี้ ขึ้นเผยแพร่ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป อาจมีข้อมูลดิบ และ/หรือ ข้อมูลที่กลั่นกรองแล้วปรากฎขึ้นอีกได้ตลอดเวลา ข้อมูลเหล่านั้น อาจคลาดเคลื่อนหรือเพิ่มเติมข้อมูลเดิมจากบทความชิ้นนี้ย่อมเป็นไปได้ เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น เนื่องจากรายงานข่าวประเภทเจาะโครงการลับ หรือ Spyshot นั้น ไม่มีสื่อมวลชนเล่มใดรายใดในโลก ที่รายงานได้ถูกต้อง ตรงกับความเป็นจริง 100% ต่อให้เป็นฝรั่งมังค่าก็ตาม
คุณผู้อ่านควรติดตามข่าว “ ด้วยวิจารณญาณ เหตุผลในเชิงตรรกะ หรือเกมการตลาดอย่างปราศจากอคติ ” รวมทั้งศึกษาจากข้อมูลที่ปรากฎอยู่ในสื่ออื่นๆ ประกอบกันด้วยอยู่เสมอ เพื่อความสดใหม่ของข้อมูล โดยเฉพาะ ช่วงหลังจากบทความนี้ เผยแพร่สู่สาธารณชนแล้ว
4. บทความนี้ ใช้อ้างอิงได้ 1 ปี คือนับจากวันที่ 1 มกราคม 2018 ถึง 31 ธันวาคม 2018 เท่านั้น หลังจากนี้ ให้ติดตามอ่านข้อมูลอัพเดทได้ จากบทความสรุปรถใหม่ 2019 – 2022 ในเดือน มกราคม 2019
5. ถ้าต้องการนำบทความนี้ ไปเผยแพร่ที่ไหน ติดต่อมาที่ JIMMY@headlightmag.com เพื่อ ขออนุญาตกันเสียให้ถูกต้องตามธรรมเนียม ก่อนจะนำไปเผยแพร่ ต่อไป ทั้งนี้ ขอสงวนสิทธิ์ในการอนุญาต เพื่อให้นำไปเผยแพร่ เพื่อเป็นประโยน์แก่สาธารณชน และ ไม่ใช่เพื่อนำไปใช้ในทางธุรกิจใดๆทั้งสิ้น
เมื่อได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ได้ ขอความกรุณา ขึ้นเครดิตของผู้เขียน และทำลิงค์ มายัง เว็บไซต์ Headlightmag.com ให้ถูกต้องเรียบร้อยด้วย การนำบทความไปเผยแพร่ต่อ โดยไม่ขึ้นเครดิต และไม่มีการบอกกล่าวมายังข้าพเจ้า หรือนำบทความนี้ไปดัดแปลงเป็นบทความของตนเอง ถือเป็นการ ละเมิดลิขสิทธิ์ ผู้ละเมิด จะถูกดำเนินคดี ตามที่ กฎหมายบัญญัติไว้ สูงสุด โดยไม่มีการยอมความใดๆทั้งสิ้น!
(โดยเฉพาะพวกหน้าด้าน copy ไปทั้งดุ้น หรือ Copy ไปดัดแปลง ตกแต่งแก้ไข เพื่อโพสต์ใน Website หรือ Facebook ของตนเองกันโครมๆ เรารู้นะ ว่าคุณชอบลอก ชอบก๊อปไปฟรีๆ ! ปีก่อนๆ ก็จัดการกันมาบ้างแล้ว ถ้ายังไม่ฟัง ก็จะต้องเจอไม้แข็งกันเสียบ้าง อย่าชุ่ย ! มักง่าย ! แค่ส่งอีเมลล์มาขอนำไปลงเว็บกันดีๆ เราก็อนุญาตแล้ว ไม่เห็นจะยากเย็นวุ่นวายนักหนา หาก ไม่ใช่เพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า ก็ยินดีอนุญาตให้นำไปเผยแพร่เกือบจะทุกรายอยู่แล้ว ใส่ ชื่อผู้เขียน ชื่อเว็บไซต์ และทำลิงค์ให้เว็บไซต์ของเราด้วย แค่นี้ หวังว่าคงไม่ยากไปนะครับ !
แต่สำหรับพวกที่อ้างตัวว่าเป็นสื่อมวลชน บางจำพวก ถ้าจะให้ดี ก็หัดหาข้อมูลเอง เขียนบทความเอง กันเสียบ้าง ไม่ใช่สักแต่ว่าจะลอกงานคนอื่นเขาไปเรียกยอดเพจยอด Like บ้าบอคอแตกกันอย่างหน้าด้านๆ ตามกมลสันดานที่มีมาแต่กำเนิดของคุณ!!)

ASTON MARTIN / LAGONDA
- 2018 : All New Vantage / DB11 Volante (For Thailand)
: Next Vanquish - 2019 : DBX Crossover / Rapide E “Pure EV”
- 2020 : DBS Volante / LAGONDA Saloon
- 2021 : LAGONDA SUV
ออกจะเป็นเรื่องประหลาดอยู่สักหน่อย ที่ Aston Martin เปิดตัวรถสปอร์ต GT ของตน ถึง 2 รุ่น ในเวลาไล่เลี่ยกัน เริ่มต้นด้วยวันที่ 15 ตุลาคม 2017 กับ DB11 Volante (เวอร์ชันเปิดปะทุน ของ DB11 ซึ่งเพิ่งบินมาเปิดตัวในบ้านเรา ช่วงงาน Bangkok Interntaional Motor Show มีนาคม 2017) จากนั้นก็ตามด้วยรุ่นเปลี่ยนโฉม Full ModelChange ของน้องเล็กรุ่นทำเงินประจำตระกูล อย่าง All New Vantage ที่คลอดตามมาติดๆ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2017 ที่ผ่านมา จนชวนให้แอบคิดเล่นๆว่า ตกลงนี่ Aston Martin หรือ Toyota Yaris กันแน่? (Yaris ATIV เปิดตัว 15 กรกฎาคม 2017 ก่อนตามด้วย Yaris ปกติ ในอีก 1 เดือนถัดมาพอดี)
DB11 Volante วางขุมพลังเดียวกัน ร่วมกันกับ DB11 รุ่นหลังคาแข็ง กับเครื่องยนต์เบนซิน V8 DOHC 32 วาล์ว 3,982 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 92.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.5 : 1 Twin Turbo 510 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 675 นิวตันเมตร ที่ 2,000 – 5,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ พร้อมแป้น Paddle Shift เสริมด้วย Limited Slip Differential, ระบบควบคุมแรงบิด Dynamic Torque Vectoring, พวงมาลัยไฟฟ้า EPS และ ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ ส่วนโครงสร้างแข็งแรงกว่ารุ่นก่อนหน้า 5% แต่กลับมีน้ำหนักเบาลงกว่าเดิม 26 กิโลกรัม

New Vantage ใหม่ เป็นน้องเล็กในตระกูลที่ได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานความร่วมมือระหว่าง Aston Martin กับ Mercedes-AMG วางเครื่องยนต์เบนซิน V8 DOHC 32 วาล์ว ขนาด 4.0 ลิตร กำลังอัด 10.5 : 1 Twin Turbo พร้อม Intercooler ระบายความร้อนด้วยน้ำ ให้กำลังสูงสุด 510 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 685 นิวตันเมตร ที่ 2,000 – 5,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ จาก ZF ขับเคลื่อนล้อหลัง อัตราทดเฟืองท้าย 2.93 ให้อัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 3.5 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 313 กิโลเมตร/ชั่วโมง
แชสซีส์ของ All NEW Aston Martin Vantage เป็นแบบอะลูมิเนียม ซึ่งพัฒนาต่อมาจาก DB11 แต่ 70% ของแชสซีส์ที่ใช้รถยนต์คันนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะ ทำให้มีน้ำหนักเบา และ แข็งแรง โดยมีน้ำหนักตัวถัง 1,530 กิโลกรัม (หากเลือก Lightweight Option) ส่วนอัตราการกระจายน้ำหนักหน้า : หลัง อยู่ในสัดส่วน 50 : 50
DB11 Volante จะเริ่มส่งมอบได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2018 และ ถ้าโชคดี เราอาจได้เห็นรถคันนี้ มาจอดอยู่ในบูธของ Aston Martin กลางงงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2018
ส่วน All New Vantage จะเริ่มส่งมอบให้กับลูกค้าชาวยุโรป ได้ในช่วง ไตรมาสที่ 2 ของปี 2018 นั่นหมายความว่า กว่าที่คนไทยจะได้ยลโฉมคันจริง ก็คงต้องรอจนถึงงาน Motor Expo เดือนพฤศจิกายน 2018 เป็นอย่างเร็วที่สุด

ล่วงเข้าสู่ปี 2019 จะถึงเวลาของ Aston Martin DBX Coupe Crossover คันแรกในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ทุกฝ่ายต่างคาดหวังว่า SUV รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของพวกเขา จะนำพาให้บริษัทรถยนต์ขนาดเล็กที่มีอายุ 104 ปี ซึ่งผ่านมรสุมลูกแล้วลูกเล่ามาอย่างโชกโชน พลิกฟื้นพุ่งขึ้นสู่ความสำเร็จกันเสียที
ความเคลื่อนไหวล่าสุดที่เกิดขึ้นในปีนี้ก็คือ งานออกแบบเวอร์ชันจำหน่ายจริง ทั้งภายนอก และ ภายใน ได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้ว เมื่อเดือนสิงหาคม 2017 ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่า ตัวรถคันจริงจะถูกพัฒนาต่อเนื่องมาจากรถต้นแบบ Aston Martin DBX Concept ที่เผยโฉมในงาน Geneva Motor Show เมื่อ 3 มีนาคม 2015 ทว่า เวอร์ชันจำหน่ายจริง ก็จะมีหลายสิ่งที่แตกต่างไป
Andy Palmer CEO ของ Aston Martin (อดีต ผู้ดูแลการตลาดรถกระบะ Nissan Navara ช่วงปี 2013 ก่อนย้ายไปอยู่กับ Aston Martin ในเดือนตุลาคม 2014) กล่าวว่า DBX จะมาในรูปแบบตัวถัง Crossover SUV 5 ประตู ที่มีแนวหลังคา สูงกว่าเวอร์ชันต้นแบบ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานจริง จะติดตั้ง ขุมพลังเบนซิน V8 เพื่อขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าทั้ง 4 ล้อ แต่ถ้าปฏิกิริยาจากลูกค้า เรียกร้องเพิ่มเติมละก็ เราอาจได้เห็น เครื่องยนต์ V12 แบบแรงๆ เพื่อเอาใจลูกค้าที่ไม่แคร์เรื่องค่า CO2 ทันที
ด้านบุคลิกการขับขี่ Palmer มองและเทียบกับ Porsche Macan โดยยืนยันว่า DBX จะเป็นรถยนต์ที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับบรรดา SUV ทุกรุ่นในตลาดโลก
แน่นอนว่า โรงงาน St Athan ในแคว้น Wales จะถูกปรับปรุงขนานใหญ่ รวมทั้งมีการจ้างงานเพิ่มอีก 750 ตำแหน่ง เพื่อรองรับกับงานเตรียมสายการผลิตของ DBX ให้ทันต่อการเปิดตัวในปี 2019
พอย่างเข้าปี 2020 Andy Palmer ยืนยันแล้วว่า Aston Martin จะมีรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางลำตัว ออกมาให้ชาวโลกได้น้ำลายหกกัน โดยจะถูกพัฒนาขึ้นมาให้มีขนาดเล็กกว่ารถสปอร์ต Aston Martin Valkyrie (รหัสโครงการ AM-RB 001) ที่เพิ่งเปิดตัวในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2017
อย่างไรก็ตาม หลังจาก เปิดตัว Rapide-E เวอร์ชันไฟฟ้า แล้ว ดูเหมือนว่า Aston Martin ก็ไม่มีแผนจะทำอะไรกับ Sport Saloon 4 ประตู รุ่นนี้กันอีก เพราะดูเหมือนว่า พวกเขาอยากจะผลักดันแบรนด์เก่าที่เตรียมชุบชีวิตให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งอย่าง Lagonda มากกว่า ถึงขั้นระบุเอาไว้ในแผนงานเลยว่า Lagonda จะเริ่มต้นด้วย รถยนต์ Saloon 4 ประตู ระดับ ไฮโซ ในปี 2020 หลังจากนั้น จึงจะเป็นคิวของ SUV ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐาน Platform เดียวกันกับ รุ่น Saloon ในปี 2021
ทั้งหมดนี้ เชื่อแน่ว่า MGC ในกลุ่ม Millennium เขาคงเตรียมพร้อมจะ สั่งเข้ามาเอาใจเศรษฐีเมืองไทยกันเรียงลำดับตามปีที่เปิดตัว เพียงแต่ว่า อาจต้องรอคิวจากลูกค้าฝั่งยุโรปกันนานสักหน่อย แต่มาช้า ก็ยังดีกว่า ไม่มาเลย

Audi
- 2018 : A6 / A7 Sportback / A8 / e-tron SUV
- 2019 : Q8 / A3
การเปลี่ยนตัวผู้จำหน่ายหลัก จากกลุ่มยนตรกิจ เดิม มาเป็น บริษัท Meister Technik จำกัด เริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นชัดเจน จากนโยบายที่ตั้งใจจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ทั้งหมด รับประกัน 5 ปี 150,000 กิโลเมตร และจะรับซ่อม Audi ทุกคันในประเทศไทย ไม่ว่าจะซื้อจากที่ไหนมาก่อน (ถ้าซื้อจากผู้จำหน่ายรายเดิม เข้าซ่อมได้เลย แต่ถ้าซื้อจากพ่อค้ารายย่อย หรือ Grey Market อาจมีค่าแรกเข้าบ้างตามแต่ละรุ่นย่อย) ปริมาณรถยนต์ 4 ห่วง บนถนนเมืองไทย เริ่มกลับมาหนาตาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มันอาจจะต้องใช้เวลาพอๆกับ การปลูกผมบนศีรษะของคนหัวล้าน แต่ด้วยฝีมือหมอที่เคยผ่านยุทธภพการทำตลาด Mercedes-Benz ในบ้านเรามาก่อน ก็น่าจะช่วยให้ ประชากร Audi ในเมืองไทย ค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ มั่นคง พอๆกับเส้นผมเกิดใหม่ที่ถูกฝังรากหยั่งลึกลงไปใต้หนังศีรษะ
ปีที่แล้ว เราได้เห็นกองทัพ Audi รุ่นต่างๆ ทะยอยกันขนส่งมาเปิดตัวในบ้านเรากันหูดับตับไหม้ เริ่มจากช่วงเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เมื่อ 22 มีนาคม 2017 ขนกันมารวดเดียว 13 รุ่น กับ TT, A4 Saloon, A5 Coupe, A6, R8 , Q2 , Q3 , Q5 , Q7 โดยระหว่างปี ก็มีการปรับราคา และ สเป็ก ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าอยู่เรื่อยๆ ในบางรุ่น บางโมเดล
(รายละเอียดของรุ่นรถยนต์ และแผนบริการหลังการขาย รวมทั้งการขยายโชว์รูม คลิกอ่านได้ที่นี่ CLICK HERE)
จากนั้น พอถึง Motor Expo ทาง Meister Technik ก็ยังส่ง TTS , A5 Sportback และ A4 Avant Black Edition มาให้พ่อบ้านสายโหดได้น้ำลายหกกันเป็นแถว
สำหรับปี 2018 นั้น ทุกรุ่นที่ยังไม่ได้นำมาเปิดตัวในบ้านเรา จะถูกทะยอยสั่งนำเข้ามาในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ไม่ว่าจะเป็น A6 Avant , A7 Sportback รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไป รวมทั้งพี่ใหญ่สุดหรูอย่าง A8 โดยช่วงแรกจะยังเป็นเครื่องยนต์เบนซินปกติก่อน และ เป็นไปได้ว่า เราอาจได้เห็นรุ่น A8 Plug-in Hybrid ให้เลือกด้วยในภายหลัง
ขณะที่เมืองนอก จะมีการเปิดตัว e-tron SUV พลังไฟฟ้าล้วน ในปีนี้ แต่สำหรับบ้านเรา ยังไม่แน่ว่า Audi AG จะพร้อมส่งรถมาให้เมืองไทย หรือไม่
และ เมื่อถึงปี 2019 ที่สุดแห่ง SUV อย่าง Q8 จะพร้อมเปิดตัวสู่ตลาดโลก โดยวางตำแหน่งให้เหนือชั้นกว่า Q7 เพื่อมาท้าชนกับ BMW X7 ,Mercedes-Benz GLS และ Range Rover รุ่นมาตรฐาน ไม่เพียงเท่านั้น ตระกูล Compact อย่าง A3 ก็จะถึงเวลาเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันในช่วงปลายปี 2019 อีกด้วย เวลานี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปข้อมูลตัวรถ คงต้องรอให้เวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่งก่อน

BENTLEY
- 2018 : New Continental GT Coupe / Convertible
- : Bentayga Plug-in Hybrid
ปีที่แล้ว AAS Auto Service ผู้นำเข้า และ จำหน่าย Bentley อย่างเป็นทางการในบ้านเรา สั่งนำเข้า Bentley Bentayga SUV ที่ได้ชื่อว่า เร็ว แรง และ แพงที่สุดในโลก (ก่อนที่จะถูก Lamborghini URUS ชิงตำแหน่งแทนในขณะนี้) เข้ามาอวดโฉม และ เปิดให้อภิมหาเศรษฐีเมืองไทยได้จับจองกันอย่างเป็นทางการ เมื่อ 21 มิถุนายน 2017 ที่ผ่านมา ด้วยป้ายราคา เริ่มต้น 24.5 ล้านบาท แน่นอนว่า ขายดีในระดับที่สามารถพบเห็นบนถนนทองหล่อได้หลายคันไม่ซ้ำกันเลยทีเดียว !
ในงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2017 AAS ประกาศ เปิดรับจอง Bentley Continental GT ใหม่ ไปเรียบร้อยแล้ว แต่น่าเสียดายว่า ตัวรถคันจริง ยังไม่มาโผล่ให้เห็นกันในงาน
Bentley Continental GT ใหม่ เป็นรุ่นที่ 2 เผยโฉมครั้งแรกในโลก Online เมื่อ 29 สิงหาคม 2017 ก่อนจะถูกนำไปเปิดผ้าคลุม ณ งาน Frankfurt Motor Show เดือนกันยายน 2017 Wolfgang Durheimer ประธานบริหารของ Bentley กล่าวว่า ” Continental GT รุ่นล่าสุดนี้ เป็นการผสมผสานระหว่างประสิทธิภาพ ความหรูหรา และ เทคโนโลยี ที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา ”
เครื่องยนต์ เป็นแบบเบนซิน W12 สูบ DOHC 5,950 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 84.0 x 89.5 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 Direct Injection TSI (Twin Turbo) 635 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 900 นิวตันเมตร ที่ 1,350 – 4,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 8 จังหวะ ของ ZF ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ส่งกำลังแบบ 40 : 60 ปล่อย CO2 ที่ 278g./km.
จุดเด่นอยู่ที่แผงหน้าปัดแบบ Driver-focused instrument panel และ Bentley Rotating Display หน้าจอ Touch Screen 12.3 นิ้ว ที่สามารถสั่ง ให้หมุนปิดหน้าจอด้วยแผงลายไม้แท้กลมกลืนเรียบเนียน หรือหมุนเปลี่ยนเป็นมาตรวัดทรงกลมแบบเข็มสามช่องสไตล์คลาสสิก
รายละเอียดตัวรถเพิ่มเติม คลิกอ่านได้ที่นี่ / CLICK HERE
เศรษฐีชาวไทย น่าจะได้มีโอกาสเป็นเจ้าของ Continental GT ใหม่ อย่างเร็วที่สุด คือไตรมาสแรกของปี 2018 ก่อนงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ ส่วนรุ่นเปิดประทุน อาจจะตามมาในปลายปี 2018
หลังจากนั้น Bentley มีแผนจะส่ง Bentayga ขุมพลัง Plug-in Hybrid ออกสู่ตลาดโลกภายในช่วงต้นปี 2018 เพื่อตอบรับกระแสความนิยมรถยนต์พลังไฟฟ้า ทั้ง EV / Plug-in Hybrid ในหมู่ชนชั้นสูง ที่เพิ่มมากขึ้น ทั่วโลก และแน่นอนว่า เราอาจได้เห็น Bentayga Plug-in Hybrid มาเปิดตัวในเมืองไทย ตามเกาะติดตลาดโลก ภายในปี 2018 หรืออย่างช้าสุด ต้นปี 2019

BMW / MINI
- 2018 : X2 / 3 Series Full Model Change / MINI LCi
- 2019 : X7 / X5 / 4 Series Full Model Change / MINI-e
5-Series G30 คือพระเอกของ BMW (Thailand) ในปีที่แล้ว เปิดตัวกันตั้งแต่งาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2017 ซึ่งมีรถยนต์เปิดตัว ทั้ง 320d M Performance, 320d GT LCI, 740Le Luxury Pure Excellence Plug-in Hybrid , M760Li xDrive และ i8 Protonic Dark Silver Edition
นอกจาก 5-Series ใหม่ จะสร้างยอดขาย จนคู่แข่งอย่าง Mercedes-Benz E-Class แอบมองค้อน เข้าให้แล้ว ค่ายใบพัดสีฟ้าเอง ก็ดูเหมือนจะทำนายตลาดผิดพลาด สั่งนำเข้า 520d Luxury มาตุนไว้เยอะมาก แต่พอเอาเข้าจริง 530i ที่สั่งเข้ามาน้อยกว่า กลับขายดีกว่า หมดเร็วกว่า เล่นเอาตาเหลือกกันพักใหญ่ ก่อนจะมีรุ่น 520d M Sport ประกอบในไทย เมื่อ 1 สิงหาคม 2017 ตามด้วย 530e Plug-in Hybrid ทั้ง Luxury และ M Sport ที่โผล่มาจ้ะเอ๋ ในงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2017 ร่วมกับทั้ง X3 ใหม่ G01 Generation ที่ 3 (xDrive20d), 630d GT M Sport , M2 LCI , M4 LCi , 320d GT M Sport , 330e Iconic , i8 Protonic Frozen Yellow Edition ถ้านับรวมกับงานก่อนหน้านี้ ถือว่า BMW (Thailand) ขยันเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่มากสุดในตลาด จนแทบจะตีคู่มากับ ค่ายรถยนต์ตราดาว เพื่อนร่วมชาติ กันเลยทีเดียว ต่างกันแค่ จัดงานเปิดตัวไม่บ่อยเท่า แค่นั้นเอง
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในปี 2017 เกิดขึ้นจากการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิต และ ภาษีนำเข้า ที่จัดเก็บโดยศุลกากร ทำให้ BMW (Thailand) จำเป็นต้องออกมาตรการใหม่ ปรับลดกลไกการคิดราคาโปรแกรมบำรุงรักษา BSI (BMW Service Inclusive) แบบใหม่ จาก 5 ปี 100,000 กิโลเมตร เหลือ 3 ปี 60,000 กิโลเมตร และถ้าลูกค้าอยากซื้อโปรแกรมเพิ่ม ก็ทำได้ตามแต่ละเงื่อนไขที่ต่างกันไป
รายละเอียดของ โปรแกรมบำรุงรักษา BSI แบบใหม่ อ่านได้ที่นี่ CLICK HERE
สำหรับปี 2018 BMW (Thailand) เตรียมเสริมทัพตระกูล SUV สายพันธุ์ X ของตน อย่างฉับไว ด้วยการเตรียมเปิดตัว BMW X2 Premium Small Crossover Coupe SUV ที่ตั้งใจจะชน Mercedes-Benz GLA โดยเฉพาะ ซึ่งถ้าพูดให้เข้าใจง่ายขึ้น นี่คือ X1 ในตัวถังที่ลาดลงกว่าเดิม ดูวัยรุ่นกว่าเดิม และ แน่นอนว่า ภายในรถอาจชวนให้อึดอัดคับแคบ และ เหมาะกับคนโสดมากกว่า X1 (ซึ่งโปร่งสบายตากว่ากันเยอะ) เพราะภายในห้องโดยสารนั้น ตั้งแต่แผงหน้าปัด แผงประตู ยันเบาะนั่ง ก็ยกชุดกันมาจาก X1 ทั้งยวง!
X2 เพิ่งเผยโฉมไปสดๆร้อนๆ เมื่อ 28 ตุลาคม 2017 ที่ผ่านมา หลังงาน Frankfurt Motor Show เพียง 1 เดือนเท่านั้น นับว่าเป็นเรื่องแปลกไปสักหน่อย แต่ก็พอเข้าใจได้ เพราะในงานดังกล่าว ค่ายใบพัดสีฟ้า ปล่อยของใหม่ ออกไปหลายรุ่น จนจำกันแทบไม่หวาดไหวแล้ว จึงต้องยอมเลื่อนให้ น้องเล็ก X2 เผยโฉมตามออกมาภายหลัง เพื่อให้มีพื้นที่ข่าวในสื่อทั่วโลก เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่าจะไปแย่งชิงความเด่นจากบรรดารถยนต์ต้นแบบอีก 5 คัน กับรถยนต์รุ่นใหม่พร้อมขายจริงอีกนับไม่ถ้วน ที่กรีฑาทัพเปิดผ้าคลุมกันในงานดังกล่าวไปจนหมดสิ้น
ช่วงแรกที่เปิดตัว X2 ในตลาดโลกจะมีเครื่องยนต์ให้เลือก 3 ขนาด ดังนี้
sDrive20i : เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,998 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 94.6 x 82.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 11.0 : 1 พ่วง Turbocharger กำลังสูงสุด 192 แรงม้า (HP) ที่ 5,000 – 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร (28.53 กก.-ม.) ที่ 1,350 – 4,600 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic DCT (Dual Clutch) 7 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 7.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 227 กิโลเมตร/ชั่วโมง
xDrive20d : เครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,995 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 90.0 x 84.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.5 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงตามราง Common-Rail พ่วง Turbocharger กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (HP) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร (40.76 กก.-ม.) ที่ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 จังหวะ พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 7.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 221 กิโลเมตร/ชั่วโมง
xDrive25d เครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,995 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 90.0 x 84.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.5 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงตามราง Common-Rail พ่วง Turbocharger กำลังสูงสุด 231 แรงม้า (HP) ที่ 4,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร (48.55 กก.-ม.) ที่ 1,500 – 3,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 จังหวะ พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 6.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 237 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เวอร์ชันไทย ยืนยันแล้วว่า เจอกันแน่ในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2018 โดยรุ่นที่คาดว่าน่าจะเปิดตัวก่อนอาจเป็นรุ่น sDrive20i หรือ xDrive20d
รายละเอียดเบื้องต้นของ BMW X2 ใหม่ คลิกอ่านต่อได้ ที่นี่ CLICH HERE!

อีกรุ่นหนึ่งที่จะต้องมาตามลุ้นกัน นั่นคือ BMW 3-Series ใหม่ Full ModelChange ที่มีรหัสโครงการ/รหัสรุ่น G20 ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบเพื่อแก้ไขและ ปรับปรุงในประเด็นต่างๆ โดยภาพรวมแล้ว แทบจะเรียกว่า เป็นการย่อส่วน 5-Series รุ่นปัจจุบัน ลงมาอยู่ในตัวถังของ 3-Series กันเลยทีเดียว!
3-Series G20 จะถูกสร้างขึ้นบน โครงสร้างพื้นตัวถัง (Platform) และ งานวิศวกรรมร่วมแบบขับเคลื่อนล้อหลัง CLAR ร่วมกับ 5-Series รุ่นใหม่ล่าสุด โดยจะมีตัวรถใหญ่ขึ้นเพียงเล็กน้อย อันเป็นผลจากการขยายระยะฐานล้อ (Wheelbase) ระยะความกว้างของฐานล้อ (Front & Rear Thread) นอกจากนี้ การใช้วัสดุอะลูมิเนียม และ คาร์บอนไฟเบอร์ผสมในชิ้นส่วนโครงสร้างตัวถัง โดยเฉพาะในบางรุ่นย่อย สมรรถนะสูงๆ อาจมีการนำวัสดุดังกล่าว ไปใช้กับแผ่นหลังคา จะช่วยลดน้ำหนักตัวลงไปถึง 40 กิโลกรัมเลยทีเดียว
งานออกแบบภายในห้องโดยสาร ดูคล้ายคลึงกับ BMW Z4 Concept (Frankfurt Motor Show 2017) อยู่มาก โดยเฉพาะช่องแอร์คู่กลาง แน่นอนว่า จะมีการปรับปรุง ระบบ iDrive รวมทั้งเพิ่มมาตรวัดหน้าจอสี TFT และ จอมอนิเตอร์ Infotainment เข้ามาให้
ด้านขุมพลัง คาดว่า 3-Series ใหม่ G20 จะมีให้เลือกทั้ง เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ DOHC 1.5 ลิตร Turbo , เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Turbo, Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Turbo , เบนซิน 6 สูบ DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร พร้อมขุมพลัง Plug-in Hybrid ให้เลือกในบางรุ่นย่อยอีกด้วย
กำหนดการเปิดตัว 3-Series ใหม่ อาจเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2018 แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่า BMW อาจเร่งเผยโฉมให้เร็วขึ้นอีกนิดก็เป็นไปได้ ไม่เพียงเท่านั้น เวอร์ชันแรงทะลุพิกัดอย่าง M3 รวมทั้ง ตระกูล Coupe กับ Convertible เปิดประทุน อย่าง 4-Series ก็จะทะยอยคลอดตามออกมาในระยะเวลาไม่ห่างกันนานนักอีกด้วย คงต้องมาลุ้นกันว่า ลูกค้าชาวไทย จะได้เป็นเจ้าของ 3-Series ใหม่ กัน ทันช่วงปลายปี 2018 หรืออาจต้องลากยาวไปถึงต้นปี 2019 กันแน่ ?

ส่วนใครที่เคยถามถึง SUV รุ่นกลางอย่าง X5 รหัสโครงการ G05 ก็ยังอยู่ในช่วงทดสอบขั้นสุดท้าย ก่อนปล่อยออกสู่ตลาดจริง โดยเส้นสายตัวถัง จะยังคงยึดแนวโครงหลังคา และ เสากรอบประตูดั้งเดิม ดูแล้วเป็นการเปลี่ยนโฉมแบบทั่วไป เน้นหนักไปที่ด้านหน้า – ด้านหลัง (ชุดไฟหน้า กระจังห้าแบบใหม่ เปลือกกันชนหน้า ฝากระโปรงหน้าแบบใหม่ และ บั้นท้ายทั้งยวง) มากกว่าจะยกเปลือกกระดองใหม่ทั้งคัน เส้นสายจะคล้ายกับการนำ X7 กับ X3 รุ่นล่าสุด มาผสมผสานเข้าด้วยกัน กำหนดการเปิดตัวจะเกิดขึ้นภายในปี 2018
ขณะเดียวกัน พี่ใหญ่รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง X7 นั้น BMW เพิ่งปล่อยภาพถ่ายจากภายในโรงงาน Spartanburg มลรัฐ South Carolina สหรัฐอเมริกา ขณะกำลังอยู่บนสายพานการทดลองผลิต (ภาพชุดข้างบนนี้) เพื่อนำรถยนต์ต้นแบบ Pre-Production ทั้งหมดที่เห็นในรูปข้างบนนี้ เข้าสู่กระบวนการ Homologation เพื่อขออนุญาต ผลิต และ ออกจำหน่าย ในแต่ละประเทศ ที่จำเป็น รวมทั้งส่งไปทดสอบระยะยาว ภายใต้สภาพภูมิประเทศ และ ภูมิอากาศอันทรหดหลายรูปแบบ เช่น ทะเลทรายที่ Death Valley หรือ สภาวะเยือกแข็งที่ประเทศในแถบ Scandinavia
X7 มีกำหนดเปิดตัวออกสู่ตลาดจริง ในเดือนธันวาคม 2018 โดยก่อนหน้านั้น เราอาจจะเห็นเวอร์ชันพร้อมจำหน่ายจริง เปิดผ้าคลุมในงานแสดงรถยนต์สักแห่งตลอดช่วงปี 2018 แต่ถ้าถามว่า จะมาถึงเมืองไทยเมื่อใด คำตอบก็คือ เร็วสุด คาดว่าน่าจะเป็นช่วงต้นปี 2019 โดยจะถูกผลิต และ นำเข้าจากโรงงาน Spartanburg ล้วนๆ และยังไม่แน่ชัดว่าจะมีเวอร์ชันประกอบในเมืองไทยหรือไม่

ข้ามฝั่งมาดูแบรนด์น้องเล็กในเครืออย่าง MINI กันบ้าง ปี 2018 จะถึงเวลาที่ โรงงานใน Cambridge จะต้องปรับโฉม Minorchange (หรือ LCI : Life Cycle Impulse) ให้กับ MINI รุ่นมาตรฐานทั้งแบบ Hatchback 3 และ 5 ประตู พอดี
รูปลักษณ์ภายนอก ไม่แตกต่างจากเดิม มีเพียงแค่การปรับเปลี่ยนโคมไฟหน้า ให้มีโคมไฟหน้า และเปลือกกันชนทั้งหน้า-หลัง ดีไซน์ใหม่ นอกจากนี้ เราอาจได้เห็นชุดไฟท้ายลายลูกศร จากรถต้นแบบ MINI JCW GP Concept อีกด้วย
ด้านขุมพลัง จะเน้นการปรับปรุงเครื่องยนต์ชุดเดิมทั้งหมด ให้มีมลพิษต่ำลง ประหยัดน้ำมันขึ้น แต่พละกำลังทั้งแรงม้า หรือ แรงบิด ต้องเท่าเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่จะทำให้ไอเดียนี้เกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ นอกจากจะอยู่ที่ Software สมองกลเครื่องยนต์ชุดใหม่แล้ว ยังอยู่ที่การตัดสินใจ เปลี่ยนมาใช้ เกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch ซึ่งเป็นเรื่องแปลก เพราะต้นทุนเกียร์ประเภทนี้ สูงกว่า เกียร์อัตโนมัติแบบปกติที่ใช้กันอยู่ คาดว่า น่าจะผลิตโดย Getrag (ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ผลิตเกียร์เจ้าเดียวกับ Ford Fiesta ที่คนไทยคุ้นชินกันดีนั่นเอง!)

กำหนดเปิดตัว เดิมอยู่ในช่วงปลายปี 2017 ที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่า พวกเขาจะลากเวลาออกไปอีกหน่อย เพราะในอังกฤษเอง ก็มีรุ่นพิเศษ MINI 1499 GT ออกมาเป็นรุ่นพิเศษ Special Edition จำกัดจำนวน 1,499 คัน เท่านั้น คาดว่าต้องรอจนถึงช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ขึ้นไป เราถึงจะมีโอกาสได้เห็นการปรับโฉมของ MINI LCI กัน และกว่าจะมาถึงเมืองไทยนั้น คาดว่าต้องรอครึ่งหลังของปี 2018
หลังจากนั้น ปี 2019 MINI จะส่งเวอร์ชันขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า MINI-e ที่เคยเป็นรถยนต์ต้นแบบในงาน Frankfurt Motor Show เดือนกันยายน 2017 ออกสู่ตลาดเป็นลำดับถัดไป ตามด้วยการทะยอยปรับโฉม Minorchange (LCI) ให้กับญาติพี่น้องร่วมตระกูล อย่าง รุ่นเปิดประทุน MINI Convertible และ Clubman ในช่วงเวลาหลังจากนั้นไม่นานนัก

CHEVROLET
- 2018 : Colorado / Trailblazer Model Year 2018
- 2019 : Colorado / Trailblazer Model Year 2019
- 2020 – 2021 : Colorado / Trailblazer Full ModelChange
หลังจากปรับโครงสร้างองค์กรขนานใหญ่ Downsizing ลดพนักงาน ลดทุกสิ่งอย่าง แม้กระทั่งลดจำนวนรุ่นรถยนต์ ให้เหลือเพียงแค่ Colorado กับ Trailblazer เป็นหัวหอกหลัก โดยยังผลิต Captiva และ Cruze Minorchange ขายต่อไปจนกว่าชิ้นส่วนจะหมดโรงงาน และ จะไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่แบบเปลี่ยนโฉม Full ModelChange จนกว่าจะถึงปี 2020 – 2021
กระนั้น GM/Chevrolet ก็ยังไม่ท้อ การเปิดตัวรุ่นพิเศษ Chevrolet Colorado High Country Storm ในงาน Bangkok International Motor Show เมื่อ 28 มีนาคม 2017 ตามด้วยการดึง ศิลปินชื่อดัง ผู้มีแนวคิดเป็นตัวของตนเองอย่าง ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์ มาเป็น Brand Ambassador พร้อมกับการเปิดตัว Trailblazer รุ่นพิเศษ Z71 4×4 เมื่อ 18 สิงหาคม 2017 รวมทั้ง Chevrlet Colorado Centennial Edition 2018 รุ่นพิเศษ ฉลองครบ 100 ปี เมื่อ 7 พฤศจิกายน 2017 ก็แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการกระตุ้นตลาดของยักษ์จาก Detroit สะท้อนให้เห็นว่า พวกเขาเลือกเดินหน้าต่อ เพื่อรักษาแบรนด์ Chevy ในเมืองไทย ให้ลูกค้าได้รู้ว่า ” เรายังมีชีวิตอยู่นะ ” (แม้ว่าชื่อของ Chevy จะถูกลูกค้าหมางเมินใส่ เวลาเลือกซื้อรถใหม่กันเลยก็ตาม เนื่องจากปัญหาด้านบริการหลังการขาย ที่พวกเขาพยายามแก้ไขกันอยู่)
สำหรับปี 2018 GM / Chevrolet จะยังคงต้องพยายามประคับประคอง ยอดขายของ Colorado และ Trailblazer โฉมปัจจุบันกันต่อไป โดยปีนี้ ทั้ง 2 รุ่น น่าจะมีการปรับรายละเอียดการตกแต่งตัวรถภายนอกเพียงเล็กน้อย..น้อยมาก…น้อยจริงๆ น้อยจนแทบอยากจะบอกว่า ” ถ้าจะน้อยขนาดนี้ ผมว่าไม่ต้องปรับเปลี่ยนก็ได้มั้งพี่ ” เพื่อให้ออกมาเป็นรถรุ่นปี Model Year 2018 ก่อนส่งขึ้นอวดโฉมในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2018 นี้ และเดาได้ว่า น่าจะมีรุ่นพิเศษ ออกมากระตุ้นตลาดช่วงก่อนงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2018 กันอีกระลอกอย่างแน่นอน
ส่วนใครก็ตาม ที่ติดอกติดใจกับความอเนกประสงค์ และ พื้นที่เบาะแถว 3 ซึ่งดีที่สุดในตลาดของ Chevrolet Captiva ต้องขอแจ้งข่าวร้ายให้ทราบว่า ปี 2018 อาจเป็นปีสุดท้ายที่ C-Segment SUV รุ่นนี้ จะถูกผลิตจากโรงงานของ GM ที่ระยอง ดังนั้น คุณมีเวลาเหลือไม่มากนักที่จะอุดหนุน Captiva มือหนึ่ง ป้ายแดง ด้วยส่วนลดสูงถึงกว่า 200,000 บาท !! เช่นเดียวกันกับ Chevrolet Cruze Minorchange รุ่นสุดท้าย ที่ยังหลงเหลือในสต็อกอีกเพียงแค่จำนวนหนึ่งเท่านั้น

หลังจากนี้ละ ? อนาคตของ GM / Chevrolet ในเมืองไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป ? สิ่งที่ผมพอจะบอกได้ในตอนนี้ก็คือ พวกเขาจะยังคงยืนหยัดอยู่กับตลาด รถกระบะ และ SUV / PPV กันเพียง 2 รุ่น แบบนี้ อีกยาวๆ โดยแทบไม่เหลือความเป็นไปได้ ในการกลับมาผลิตรถเก๋งขายกันอีกครั้ง
ข่าวดีก็คือ GM เพิ่งเปิดไฟเขียวให้ มีการพัฒนารถกระบะ Colorado และ Trailblazer รุ่นต่อไป โดยจะยังคงให้ศูนย์การผลิตที่จังหวัดระยอง ยังคงเป็นฐานการผลิตสำคัญที่จะส่งออกทั้งรถกระบะ / SUV/PPV สำเร็จรูป และช้นส่วน CKD ไปยังตลาดโลก เหมือนเช่นรุ่นแรก และ รุ่นปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากแยกทางกับ Isuzu แล้ว GM ตั้งใจจะลงทุนพัฒนารถกระบะรุ่นใหม่ ด้วยตนเองต่อไปตามลำพัง โดยไม่ง้อใครทั้งสิ้น เหตุผล ที่ผู้บริหารของ GM แถลงไว้ในการ แยกทางกับ Isuzu ก็คือ “ เนื่องด้วยการแข่งขันที่รุนแรงในปัจจุบัน ทำให้ GM ต้องการสร้างรถกระบะ ให้มีเอกลักษณ์ในแบบของตนเอง มากขึ้น พวกเราต้องการจะฉีกหนี แนวทางการทำธุรกิจให้ต่างจากค่ายญี่ปุ่นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น Isuzu, Toyota, Mitsubishi ดังนั้นแนวทางการพัฒนาตัวรถ จึงต้องต่างออกไปด้วยเช่นกัน ทำให้ต้องยุติความสัมพันธ์ในครั้งนี้ลง ”
ขณะนี้ ทุกอย่างยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวถึง เนื่องจากยังเพิ่งเริ่มต้นการพัฒนา คาดว่า มีกำหนดออกสู่ตลาดเมืองไทย เป็นแห่งแรกในโลก เหมือนเช่นเคย ภายใน ช่วงปี 2020 – 2021 ซึ่งจะเป็นช่วงที่ตลาดรถกระบะจะกลับมาร้อนแรงอย่างหนักในบ้านเรากันอีกครั้งพอดี !
ส่วน Chevrolet Equinox ที่ผู้เขียนเคยกล่าวถึงไว้ในบทความ สรุปรถใหม่เปิดตัวในเมืองไทย 2017 – 2020 ช่วงปีที่แล้ว ว่า GM กำลังศึกษาความเป็นไปได้อยู่นั้น คงต้องบอกว่า ทำใจ เนื่องจากตัวรถถูกผลิตขึ้นมาเพื่อเอาใจตลาดอเมริกาเหนือเป็นหลัก ทำให้ฐานผลิตจึงถูกกำหนดให้มีเพียงโรงงานเดียว คือในทวีปอเมริกาเหนือ นั่นเอง ดังนั้น ภาษีนำเข้าจึงต้องคิดอัตราเต็มพิกัด ไม่ได้มีส่วนลดด้านภาษีจากเขตการค้าเสรี AFTA มาช่วยเลยแม้แต่น้อย แผนจึงต้องพับไปโดยปริยาย
อย่างไรก็ตาม มีกระแสข่าวลือว่า GM กำลังคิดอยากจะสั่งนำเข้า Chevrolet Camaro รถยนต์ Sport Coupe 2 ประตู แนว Muscle Cars อันโด่งดัง เข้ามาชิมลางตลาดเมืองไทย หลังจากปล่อยให้ พ่อค้ารายย่อย สั่ง Camaro รุ่นก่อนๆ เข้ามาขายกันเองนานแล้ว กระนั้น เราอาจยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่า ข่าวนี้ จะพลิกผันกลายเป็นความจริงได้หรือไม่

Ferrari
- 2018 : Portofino (California Replacement) Start export.
- 2019 : Project F173 (488GTB Replacement)
- 2020 : GTC4 Lusso Replacement
- 2021 : Ferrari First SUV / Dino V6 (?)
เป้าหมายของ Ferrari คือต้องการขายรถให้ได้ปีละ 10,000 คัน ภายในปี 2025 ซึ่งถ้าต้องการจะทำเช่นนั้น ค่ายม้าลำพองก็ต้องยอมพลีชีพ ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ขายรถได้จำนวนมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวรถระดับ Entry level ที่ใหม่สด, ซูเปอร์คาร์ตัวเด็ดที่ได้รับความนิยม รวมถึงการยอมกลืนน้ำลายกับคำพูดที่ตัวเองเคยให้ไว้ไม่ว่าจะเป็น ” Ferrari จะไม่เน้นยอดขายเพราะต้องการความเป็น Exclusive car ” หรือ ” ถ้าให้ทำ SUV ขายแล้วล่ะก็ เอาปืนมายิงหัว CEO Sergio Marchionne เลยดีกว่า ”
เรื่องที่สำคัญก็คือการก้าวเข้าสู่ยุค ” ม้าแบกถ่าน ” ซึ่ง Marchionne เองก็ได้กล่าวไว้ว่า เนื่องจาก Ferrari จะมียอดขายต่อปีแตะระดับหมื่นคัน ทำให้ไม่สามารถขอสิทธิพิเศษในด้านมาตรฐานมลภาวะแบบที่ใช้สำหรับรถยนต์ผลิตจำนวนน้อย (Niche Market) ได้อีกต่อไป ดังนั้นนับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นไป Ferrari ทุกรุ่นจะต้องมีระบบ Hybrid ! (-_-‘)
งานสำคัญของค่ายม้าลำพองในปี 2018 คือการนำ Portofino (รถสปอร์ตเปิดประทุนรุ่นใหม่ ที่มาแทน California T) ซึ่งเพิ่งจะเผยโฉมอย่างเป็นทางการในงาน Frankfurt Motorshow เมื่อ 11 กันยายน 2017 ไปเปิดตัวในตลาดต่างๆจนครบภายในปี 2018 รถรุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์ V8 DOHC 32 วาล์ว 3.9 ลิตร Twin Turbo ให้กำลังสูงสุดถึง 600 แรงม้า (HP) มีโครงสร้างหลักที่เบาลงกว่าเดิม และเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายใน ทันสมัยด้วยระบบ Multimedia ในรถซึ่งเป็นเวอร์ชั่นใหม่

จากนั้นในปี 2019 ก็จะเป็นคิวของ ” Project F173 ” รถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางลำตัว รุ่นใหม่ที่จะมาแทน 488 GTB ซึ่งจะถูกสร้างขึ้นบนแพลทฟอร์มใหม่หมดจด 100% ใช้โครงสร้างที่มีน้ำหนักเบาลง ใช้ขุมพลัง V8 DOHC 32 วาล์ว 3.9 ลิตร Twin Turbo จาก Portofino แต่พ่วง มอเตอร์ไฟฟ้า ติดตั้งอยู่ระหว่างเครื่องยนต์กับระบบส่งกำลัง ให้กำลังสูงสุด 723 แรงม้า (HP) เพิ่มจาก 488GTB เดิมที่มีอยู่ 661 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุดจะพุ่งทะลุมากกว่า 1,000 นิวตัน-เมตร (101.9 กก.-ม.) เพิ่มจาก 488 GTB ที่มีเยอะอยู่แล้วถึง 760 นิวตัน-เมตร ( 77.44 กก.-ม.)
ที่สำคัญก็คือ แพลทฟอร์มใหม่ที่จะใช้กับ F173 นั้น มีการออกแบบเผื่อที่ส่วนหน้ารถให้สามารถติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่ล้อแต่ละข้างได้อีกด้วย ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ Ferrari จะสร้างซูเปอร์คาร์เครื่องยนต์วางกลางลำขับเคลื่อน 4 ล้อออกมา หรืออาจเป็น F173 รุ่นย่อยพิเศษก็เป็นได้

ภาพ render จาก supercarblog
นอกจาก F173 แล้ว Ferrari ยังได้นำโครงสร้างพื้นฐานเดียวกันนี้ ไปพัฒนาต่อเป็นซูเปอร์คาร์ขนาดเล็ก โดยขุดเอาแบรนด์ ” Dino ” ซึ่งตั้งตามชื่อลูกชายของ Enzo Ferrari กลับมาทำตลาดใหม่อีกครั้ง มันเป็นรถเครื่องยนต์วางกลางลำที่มีขนาดลำตัวและระยะฐานล้อสั้นกว่า F173 และ ใช้เครื่องยนต์ V6 (วี-หก พิมพ์ไม่ผิด) ขนาด 2.9 ลิตรทวินเทอร์โบบวกมอเตอร์ไฟฟ้า ที่น่าจะสร้างพละกำลังได้ 610 แรงม้า (HP) ทำตลาดอยู่ในกลุ่มใกล้เคียงกับ Portofino และ มีราคาถูกกว่า F173
ปัญหาของ Project Dino ก็คือ มันต้องช่วงชิงความสำคัญในองค์กร กับรถอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งไม่แน่ใจว่ารถรุ่นไหนจะได้ไฟเขียวให้เป็นโครงการที่มีความสำคัญมากกว่ากัน ถ้าโชคดี Dino อาจจะออกมาดูโลกได้ตั้งแต่ปี 2021 แต่ถ้าทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เราก็อาจจะต้องรอจนถึงปี 2023

ภาพ render จาก Carmagazine.co.uk
และรุ่นที่มีผลกับอนาคตของ Dino ก็คือเจ้า SUV รุ่นหักปาก CEO คันนี้ ซึ่งมีรหัสโครงการว่า F16X งานนี้ Ferrari จะอาศัยความรู้ที่ได้จากการผลิตรถอย่าง GTC4 Lusso มาเป็นจุดเริ่มต้น เพราะต้องอาศัยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อชุดเดียวกัน โดยที่ Ferrari เองก็กำลังพัฒนาเจนเนอเรชั่นถัดไปของ GTC4 ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในปี 2020 ดังนั้น F16X ก็น่าจะต้องเปิดตัวปี 2021 หรือช้ากว่านั้น
F16X อาจใช้เครื่องยนต์ V8 DOHC 32 วาล์ว 3.9 ลิตร Twin Turbo ที่พัฒนาต่อจาก Portofino และ Lusso T แต่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 161 แรงม้า (HP) ช่วยเพิ่มพลัง และลดมลภาวะให้ได้ตามที่กฎหมายกำหนด แต่ในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลใดๆเปิดเผยออกมามากกว่านี้ รวมถึงการที่จะยอมให้ SUV คันแรกของค่ายใช้เครื่องยนต์ V12 แบบรถรุ่นเรือธงหรือไม่ เนื่องจากการที่เป็นเครื่องยนต์วางหน้า ใช้แพลทฟอร์มเดียวกับ Lusso ซึ่งสามารถรองรับได้ทั้ง V8 และ V12 ทำให้ยังมีความเป็นไปได้ที่ Ferrari จะกล้าทำเช่นนั้น

