• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N2308012_เลวกว าน กม ละครส นต องมนต_part2

admin79 by admin79
August 20, 2025
in Uncategorized
0
N2308012_เลวกว าน กม ละครส นต องมนต_part2

  • 2018 : Ranger RAPTOR / Ranger & Everest Minorchange / Mustang

ปี 2017 เป็นปีที่ Ford ไม่มีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในประเทศไทยเลย แถมยังเป็นปีที่ท้าทายทีมงานทุกคนบนตึกสูงย่านสาทร อย่างมาก เนื่องจากต้องเร่งทำยอดขายรถกระบะ Ranger ให้ถึงเป้าหมายที่บริษัทแม่ใน Detroit ตั้งไว้ ควบคู่ไปกับการเร่งเคลียร์ปัญหา Defect ของรถเก๋ง ทั้ง Fiesta และ Focus และ เท่าที่ ผู้บริหารของ Ford เคยให้สัมภาษณ์ไว้ เมื่อไม่นานมานี้ มีการออกมาแจ้งว่า Ford ได้ดูแลลูกค้า Fiesta ในกลุ่มที่ต้องขึ้นศาล โดยเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย จนครบเรียบร้อยทุกรายแล้ว จะเหลือก็แค่ ลูกค้า Focus เพียงรายเดียว ที่ยังต้องดำเนินการกันต่อไป เท่ากับว่า มหากาพย์ เกียร์ Dual Clutch เวรตะไล ที่ก่อเรื่องให้ ford แทบบรรลัย ก็น่าจะถึงจุดสิ้นสุดกันเสียที (ตามคำบอกเล่าของผู้บริหาร Ford ?!)

ทว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่า จะทำให้ยอดขายของ Fiesta และ Focus ดำดิ่งลงก้นอ่าวไทยไปจนแทบมิด เพราะปัญหา Defect ในระบบเกียร์ ระบบไฟฟ้า ฯลฯ ที่เกิดขึ้นกับ Fiesta และ Focus ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ลูกค้าเกือบทั้งหมด ต้องเสียเวลา และ เสียอารมณ์ในการนำรถเข้าแก้ไข ณ ศูนย์บริการต่างๆ เป็นอย่างมาก หลายๆคน ตัดสินใจ ขายรถทิ้ง และ บอกว่า จะไม่ขอเผาผีกับ รถเก๋ง Ford อีกต่อไป สถานการณ์เลื่องลือ ปากต่อปาก กันไปจนกระทั่งชื่อเสียงด้านลบ ขจรกระจายไปทั่ว ทำให้ลูกค้าใหม่ ที่พอจะศึกษาหาข้อมูลบน Internet จำนวนมาก เกิดความหวาดกลัว และ พากันเลิกอุดหนุนรถเก๋งของ Ford นั่นคือที่มาของตัวเลขยอดขาย ซึ่งลดลงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งพอเจอกับ Fiesta EcoBoost ที่ตั้งราคาไว้แพงลิ่วเกินชาวบ้านเขาไปพอสมควร ยิ่งทำให้ขายไม่ออกหนักเข้าไปอีก

Ford เองก็รู้ตัวดีว่า ปัญหาเหล่านี้ กระทบต่อรายได้ ผลกำไร และการทำธุรกิจในเมืองไทย อย่างมาก ช่วงปลายปี 2017 Ford จึงตัดสินใจ ขอถอนตัวจากการเข้าร่วมโครงการ ECO Car ทุก Phase ดังนั้น เราจึงอาจจะไม่ได้เห็นหน้า Fiesta ใหม่ กันอีกต่อไป เช่นเดียวกับ Focus ใหม่ ซึ่ง Ford Global ตัดสินใจ ย้ายฐานการผลิตทั้งหมด ไปไว้ที่ โรงงานในประเทศจีน ทำให้โอกาสที่จะมาผลิตขายในไทย เพื่อแข่งขันกันในตลาด C-Segment ซึ่งเข้มข้นดุเดือด และ ถูกยึดครองโดยชาวญี่ปุ่นไปจนหมดแล้วนั้น ยากเต็มที

เท่ากับว่า นับแต่นี้ Ford จะพักบทบาทการทำตลาดรถเก๋งของตนในประเทศไทย ไปจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ จึงต้องทำตัวเหมือนเพื่อนร่วมประเทศ อย่าง Chevrolet ในการเน้นขายแต่รถกระบะ กับ SUV/PPV ไปก่อนอีกสักระยะใหญ่ๆ

ดังนั้น Ford จะเริ่มประเดิมปี 2018 กันด้วย การเปิดผ้าคลุม Ranger RAPTOR รุ่นใหม่ถอดด้าม ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2018 นี้ ได้ยินว่า ทางบริษัทแม่ Ford Global ที่ Detroit ถึงขั้น บินมาจัดงานเปิดตัว ด้วยทีมงานของพวกเขาเองเลยทีเดียว

Ranger RAPTOR เป็นรถกระบะรุ่นย่อยใหม่ ที่เสริมเข้ามา เพื่อให้เป็นตัวแรงระดับ Top of the Line คราวนี้ จึงไม่ใช่แค่การตกแต่งภายนอก ให้เป็นรุ่นพิเศษเท่านั้น หากแต่จะเป็นการอัพเกรดทั้งดีไซน์ และ สมรรถนะให้มีความแข็งแกร่ง ทรหด ยิ่งกว่าเดิม โดยหน่วยงานรถยนต์สมรรถนะพิเศษ ” FORD PERFORMANCE ” ซึ่งถ้าจะเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ หน่วยงานนี้ ก็เป็นเหมือนกับ BMW M Power, Mercedes-AMG, NISMO ของ Nissan และ ล่าสุด GR (Gazoo Racing) และ TRD ของ Toyota นั่นเอง

จุดเด่นในการปรับปรุงครั้งนี้ อยู่ที่การวาง เครื่องยนต์ Diesel ใหม่ 2.0 EcoBlue Turbo เดี่ยว 190 แรงม้า และ Twin Turbo 215 แรงม้า (PS) พ่วงเข้ากับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ลูกใหม่ ปรับปรุงระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และ ช่วงล่างใหม่ ที่รองรับการลุยมากกว่าเดิม ตัวรถจะมีมัดกล้ามมากขึ้น ความกว้างช่วงล้อคู่หน้าและ หลังเพิ่มขึ้น งานออกแบบด้านหน้าและด้านหลังใหม่ ให้คล้ายกับ Ford F-150 RAPTOR เวอร์ชันอเมริกาเหนือมากขึ้น

การเปิดตัวจะมีขึ้นในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ นี้ โดย ประเทศไทย ได้รับเกียรติให้เป็นสถานที่ เปิดตัว Ranger RAPTOR เป็นแห่งแรกในโลก จัดกันที่ ลานกิจกรรมริมทะเลสาบ เมืองทองธานี (งานปิด และ เป็นงานสำหรับสื่อมวลชนจากทั่วโลกเท่านั้น ลูกค้าหมดสิทธิ์) อย่างไรก็ตาม ราคาขายสำหรับประเทศไทย จะประกาศตามออกมาอีกครั้งหนึ่ง

อ่านรายละเอียดเบื้องต้นของ Ranger RAPTOR ได้ ที่นี่ CLICK HERE

ภาพจากคุณ สันติ สันติ via Ford Ranger Club

ใช่ว่า Ranger ใหม่จะมีแค่รุ่น RAPTOR ออกมาอาละวาด เพราะ รุ่นมาตรฐานของ Ranger ก็จ่อคิวเปิดตัวรุ่นปรับโฉม Minorchange เช่นเดียวกัน และคราวนี้ เป็นไปได้ที่ Ford Ranger ใหม่ จะถูกส่งกลับไปเปิดตัวในสหรัฐอเมริกา และ Canada อีกครั้ง หลังจากหายตัวไปจากตลาดหลายปี

ล่าสุด คุณ สันติ สันติ via Ford Ranger Club ได้บันทึกภาพ Ranger Minorchange ขณะกำลังแล่นอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม Eastern Seaboard อ.ปลวกแดง จ.ระยอง อันเป็นที่ตั้งของทั้งโรงงาน AAT (Auto Alliance Thailand) และ FTM (Ford Thailand Manufacturing) ซึ่งเป็นฐานผลิตของ รถยนต์ Ford ทุกรุ่นในบ้านเรา โดยภาพนี้ ถูกบันทึกได้ช่วงหน้าโรงงาน Hori Glass (โฮริกลาส)

คาดว่าการปรับโฉมครั้งนี้ จะเกิดขึ้นโดยเน้นไปที่การเสริมหล่อ ด้วยกระจังหน้าแบบใหม่ ชุดไฟหน้าโคมโปรเจกเตอร์ LED ในหลายรุ่นย่อย แถมด้วยปุ่ม Push Start และ เพิ่มอุปกรณ์ต่างๆเข้า ไป ดังรายละเอียดในบทความนี้ CLICK HERE

Ranger Minorchange อาจถูกส่งไปอวดโฉมบนบูธของ Ford ในงาน Bangkok International Motor Show ก่อนจะมีกำหนดส่งขึ้นโชว์รูมในบ้านเราช่วง กลางปี 2018

ไม่เพียงแค่นั้น ใครที่เคยถามถึง Ford Mustang ใหม่ ว่าจะมาขายเมืองไทย หรือไม่ จะสมหวังดังใจปองเสียที เพราะ Ford Sales (Thailand) พร้อมแล้วสำหรับการสั่งนำเข้า Mustang Minorchange รุ่นปี 2018 เข้ามาเอาใจลูกค้าตีนหนักที่อยากสัมผัสบุคลิกตัวแรงสายพันธ์อเมริกันดูสักที หลังจากปล่อยให้พ่อค้า Grey Market สั่งรถรุ่นปีก่อนๆ เข้ามากวาดลูกค้าไปแทบจะเกลี้ยงแล้ว

Mustang รุ่นล่าสุด ถือเป็นรุ่นที่ 6 เปิดตัวมาตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2013 พร้อมกันทั้ง 6 เมืองใหญ่ทั่วโลก เป็นการประกาศว่า Mustang รุ่นนี้ จะถูกส่งออกไปจำหน่ายถึง 140 ประเทศ ใน 6 ทวีป ทั่วโลก และกลายเป็น 1 ใน Global Model ของ Ford อย่างแท้จริง ร่วมกับพี่น้องอย่าง Fiesta,Focus, Mondeo, Ranger และ Everest

ส่วนรุ่นที่จะเข้ามาเปิดตัวในบ้านเรา เป็นรุ่นปรับโฉม Minorchange รอบ 2 เป็นรุ่นปี 2018 เผยโฉมครั้งแรก เมื่อ 20 มกราคม 2017 มีตัวถังยาว 4,782 มิลลิเมตร กว้าง 1,915 มิลลิเมตร สูง 1,379 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,720 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า/
หลัง อยู่ที่ 1,584 และ 1,653 มิลลิเมตร

Mustang ใหม่ มีขุมพลังให้เลือกลดลงเหลือเพียง 3 ระดับความแรง เป็นแบบเบนซิน ทั้งหมด โดยเครื่องยนต์ V6 3.7 ลิตร 300 แรงม้า (HP) ถูกตัดออกไป เหลือเพียงดังนี้

– บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,253 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก 87.5 x 94 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.5 : 1 พร้อมเทคโนโลยี EcoBoost Turbocharger Direct Injection (GTDi) 310 แรงม้า (HP) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 ฟุต-ปอนด์ (48.3 กก.-ม.) ที่ 3,000 รอบ/นาที

– บล็อก V8 DOHC 32 วาล์ว 4,948 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 92.0 x 93.7 มิลลิเมตร พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Ti-VCT เพิ่มกำลังอัดจากเดิม 11.0 เป็น 12.0:1 แรงเพิ่มขึ้นเป็น 460 แรงม้า (HP) ที่ 6,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 420 ฟุต-ปอนด์ (57.96 กก.-ม.) ที่ 4,600 รอบ/นาที

– รุ่นแรงสุด Shelby GT350 มาพร้อมขุมพลัง V8 DOHC 32 วาล์ว 5,161 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 92.0 x 93.7 มิลลิเมตร กำลังอัด 12.0:1 Flat Plane Crank แรงขึ้นเป็น 526 แรงม้า (HP) ที่ 7,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 581 นิวตัน-เมตร (59.2 กก.-ม.) ที่ 4,750 รอบ/นาที

ทุกรุ่นเลือกได้ทั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ Select Shift 10 จังหวะ ลูกใหม่ ที่มาแทนเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะลูกเดิม พร้อมแป้น Paddle Shift หลังพวงมาลัย ยกเว้น GT350 และ GT350R ที่จะมีเฉพาะเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ แบบมาตรฐาน และแบบ TREMEC

ยืนยันว่า เวอร์ชันไทย จะมีให้เลือก ทั้งรุ่น 2.3 ลิตร EcoBoost และ V8 5.0 ลิตร อย่างแน่นอน ส่วนรุ่น V8 5.2 ลิตร ไม่ต้องไปเสียดายมากนัก เพราะค่าตัวคงแพงระห่ำจากภาษีนำเข้ายิ่งกว่าที่เป็นอยู่ ตอนนี้ Ford กำลังพยายามหาทาง นำ Mustang เข้ามาเปิดตัวในไทยอย่างเร็วที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างเร็วที่สุดก็คงงาน Bangkok International Motor Show 2018 นี้ เพื่อสนองความต้องการของลูกค้าที่ชื่นชอบในม้าป่าคันนี้

จากนั้น ในช่วง ไตรมาส 3 ของปี 2018 เราอาจได้เห็น รุ่นปรับโฉม Minorchange ของ Ford Everest ใหม่ เพื่อจะออกมาสู้รบกับเหล่า SUV/PPV ที่พร้อมใจกันปรับโฉม Minorchange กันแทบทุกรุ่น รวมทั้งรับมือกับการเปิดตัวน้องใหม่อย่าง Nissan Terra ด้วย โดยรายละเอียดอุปกรณ์ต่างๆ น่าจะถูก Upgrade เช่นเดียวกับ Ranger Minorchange เป็นหลัก


HONDA

  • 2018 : Civic 5 Door “RED” / HR-V Minorchange / Accord Full Model Change
  • 2019 : City & Jazz Full Model Change (Downsizing to ECO Car) / Civic Minorchange

หลังจากถล่ม เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ต่อเนื่องมาตลอดปี 2017 ทั้ง City Minorchange ในเดือนมกราคม Civic Hatchback ในเดือนกุมภาพันธ์ CR-V ใหม่ เดือนมีนาคม Jazz Minorchange เดือนพฤษภาคม และ Mobilio ในเวลาไล่เลี่ยกัน ก่อนจะตบท้ายด้วย Civic RED สีแดง Sedan ในงาน Motor Expo แทบจะทำให้ Honda คว้าแชมป์ตลาดรถเก๋งในประเทศไทยกันไปเลยทีเดียว

ดังนั้น ปี 2018 Honda จะเหลือรถยนต์รุ่นใหม่ ให้เปิดตัวกันเพียงแค่ 3 รุ่น โดยจะเริ่มจาก Civic RED Hatchback 5 ประตู สีแดง ซึ่งเป็นภาคต่อเนื่อง จาก Civic RED Sedan ที่เพิ่งออกจำหน่าย ในงาน Motor Expo ไปหมาดๆ โดยเป็นเพียงแค่การเพิ่มสีตัวถังใหม่เข้ามา ไม่มีความเปลี่ยนแปลงด้านงานวิศวกรรมใดๆทั้งสิ้น กำหนดขึ้นโชว์รูม ภายในไตรมาสแรกของปี 2018 นี้

ส่วนรุ่นปรับโฉม Minorchange ของ Civic ใหม่ จะยังไม่มีการเปิดตัวใดๆ อีกจนกว่าจะถึงปี 2019 ดังนั้น ถ้าใครจะรีบใช้รถ ก็ไม่จำเป็นต้องรอ แต่ถ้าไม่รีบร้อน จะรอถึงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2019 ก็ไม่มีใครว่า…

Photo : Syazwan Ali / Paultan.org

จากนั้น จะถึงคิวของ Honda HR-V Minorchange ซึ่งจะออกมาดักความร้อนแรงของคู่แข่งตัวฉกาจ อย่าง Toyota C-HR โดยการปรับโฉมครั้งนี้ จะมุ่งเน้นไปที่ การปรับอุปกรณ์ต่างๆ และเปลี่ยนงานออกแบบกระจังหน้า ชุดไฟหน้า เปลือกกันชนหน้าทั้งหมด รวมทั้งงานออกแบบชุดไฟท้าย และฝากระโปรงท้าย และถึงแม้ว่า เวอร์ชันมาเลเซีย อาจจะได้ใช้ขุมพลัง Hybrid แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว ค่อนข้างแน่นอนว่า จะยังยืนหยัดกับ เครื่องยนต์ เบนซิน 1.8 ลิตร และ ระบบส่งกำลัง CVT ตามเดิม จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น

กำหนดการเปิดตัวของ HR-V Minorchange ในเมืองไทย จะเกิดขึ้น พร้อมๆกับประเทศญี่ปุ่น ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2018 นี้ ต้องคอยดูกันว่า Honda จะจัดการกับ Defect ในการประกอบและชิ้นส่วนต่างๆ ของ HR-V ได้เรียบร้อยแล้วหรือยัง ไปพร้อมๆกับการเฝ้าดูอยู่ห่างๆว่า กรณีที่ Honda ต้องแจ้งความดำเนินคดีกับลูกค้า HR-V ที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในตอนนี้ จะลงเอยกันได้ด้วยดีหรือไม่

สำหรับใครที่รอคอการมาถึงของ Honda Accord รุ่นที่ 10 คงต้องบอกว่า อาจจะต้องรอกันยาวนานต่อไปอีกพักใหญ่ๆ จนถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2018 ขึ้นไป และ อาจต้องรอให้ Toyota เปิดตัว Camry ใหม่ ออกมาก่อน ในช่วงต้นไตรมาส 3 ปี 2018 กันด้วยซ้ำ

เหตุผลที่ต้องรอคอกันนานขนาดนี้ มีหลายปัจจัย ทั้งจากเรื่องแผนการตลาด ความคุ้มทุนของการผลิต Accord G9 รุ่นปัจจุบัน ในภาพรวม โดยเฉพาะรุ่น Hybrid ซึ่งทำยอดขายได้ไม่มากเท่ารุ่น เบนซิน 2.0 ลิตร อันเป็นรุ่นขายดีสุดของ Accord อีกทั้งยังต้องมีการติดต่องาน สื่อสารแลกเปลี่ยนด้านต่างๆ กับทาง Honda R&D และ American Honda ซึ่งเป็นแม่งานในการพัฒนา Accord G10 รุ่นนี้อีกพอสมควร จะได้ไม่ต้องรีบปล่อยรถออกมาขาย แล้วเจอ Defect หลายรายการในช่วงแรกๆ เหมือนกรณีของ Civic FC รุ่นปัจจุบัน ที่กว่าจะแก้ไขไปได้จนเกือบหมด ก็เล่นเอาตาเหลือกตาถลนกันไปทั้ง Honda ทั้ง Supplier เลยทีเดียว !

Accord G10 ในสหรัฐอเมริกา มีเครื่องยนต์ให้เลือก 3 แบบ ดังนี้

เบนซิน 1.5 ลิตร Turbo

เครื่องยนต์ L15 เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,498 ซีซี หัวฉีด PGM-FI Direct Injection พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Dual VTC และ Turbocharger จาก Mitsubishi MHI รุ่น TD03 กำลังสูงสุด 192 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 5,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT หรือ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า (โดยเครื่องยนต์นี้จะมาแทนที่เครื่องยนต์ 2.4 ลิตรเดิม)

เบนซิน 2.0 ลิตร Turbo

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,996 ซีซี หัวฉีด PGM-FI Direct Injection พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Dual VTC และ Turbocharger จาก Mitsubishi MHI รุ่น TD03 กำลังสูงสุด 252 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตร (37.7 กก.-ม.) ที่ 1,500 – 4,000 รอบ/นาที จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ หรือ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า (ขุมพลังบล็อกใหม่นี้จะมาแทนที่เครื่องยนต์ V6 3.5 ลิตรเดิม)

ทั้ง 2 เครื่องยนต์ จะมาพร้อมกับโหมดการขับขี่ 2 รูปแบบ คือ Normal และ Sport

เบนซิน 2.0 Hybrid i-MMD (3rd Generation)

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,996 ซีซี หัวฉีด PGM-FI จุดระเบิดแบบ Atkinson Cycle ทำงานคู่กับ มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ E-CVT มีการปรับปรุงใหม่เป็นเจเนอเรชั่นที่ 3 มีการย้ายชุดแบตเตอรี่จากท้ายรถ มาไว้ที่ใต้เบาะนั่งด้านหลัง (ซึ่งในตอนนี้ยังไม่มีการประกาศตัวเลขสมรรถนะออกมา เพราะยังไม่ออกสู่ตลาดในสหรัฐอเมริกา จนกว่าจะถึงช่วงกลางปี 2018 ไปแล้ว) 

ยืนยันได้เลยว่า ภายในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ เราอาจจะยังไม่ได้เห็นโฉมหน้าใหม่แบบ Full Modelchange ของ Honda Accord G10 ในเมืองไทย อย่างแน่นอน พูดกันตรงๆก็คือ ถ้าคุณคิดว่า โฉมปัจจุบัน สวยกว่ารุ่นใหม่แล้วละก็ รีบซื้อไปได้เลย ก่อนที่รถจะตกรุ่น

หลังจากนั้น ในปี 2019 เราจะพบกับ รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ Full ModelChange ของ Honda City Sedan และ Honda Jazz Hatchback ซึ่งอาจมีแนวโน้มว่า น่าจะถูกจับลดขนาดเครื่องยนต์ ให้เหลือแค่ เบนซิน 1.3 ลิตร แล้วถูกจับเข้าร่วมโครงการ ECO Car Phase 2 เพื่อเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดกลุ่ม B-Segment ECO-Car เต็มตัว และเป็นการแก้มือจากโปรเจกต์ Honda Brio ที่ไม่ประสบความสำเร็จเอาเสียเลย กันเสียที

ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงรายละเอียดเบื้องลึก เนื่องจากโครงการยังไม่นิ่ง ดังนั้นได้แต่ฝากทาง Honda ไปด้วยว่า หากเป็นเช่นนั้นจริง กำลังเครื่องยนต์ เบนซิน 1.3 ลิตร จะต้องสูงกว่า 100 – 105 แรงม้า และ ต้องผ่านมาตรฐานมลพิษ ต่ำกว่า 100 กรัม/กิโลเมตร ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยากมากๆ เพราะลูกค้าในกลุ่มที่ซื้อ City / Jazz ในปัจจุบัน ยังคาดหวังความแรงในการเดินทางไกลอยู่ อีกทั้งหากมองย้อนกลับไป Honda เอง ก็เคยมีบทเรียนมาล้วกับการลดความแรงของ City รุ่นปี 2002 – 2003 ลงจาก 120 เหลือ 88 แรงม้า (PS) ว่ามันส่งผลต่อยอดขายตอนนั้นอย่างไร ดังนั้น ถ้าอยากรักษา Momentum ด้านยอดขาย และส่วนแบ่งตลาด ในช่วงปี 2019 – 2022 ต้อง ” คิดให้ดีๆ ”

เว้นเสียแต่ว่า Honda จะทุ่มทุนสร้าง ในการนำเครื่องยนต์ใหม่ เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 998 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก 73.0 x 78.7 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.0 : 1 พร้อมระบบแปรผันวาล์ว ทั้งแบบ VTEC และ Dual VTC พ่วง Turbocharger แบบ Single Scroll ของ Borg Warner กำลังสูงสุด 129.2 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 200 นิวตัน-เมตร (20.38 กก.-ม.) ที่ 2,250 รอบ/นาที ผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro 6 (c) มาวางลงในทั้ง City และ Jazz ใหม่ สมรรถนะน่าจะเป็นที่ยอมรับของลูกค้าชาวไทยได้อย่างแน่นอน

ท้ายสุดนี้ ใครก็ตามที่ถามไถ่ว่า Honda Freed จะกลับมาขายในบ้านเราหรือไม่ ? ขอตอกย้ำค้ำยันให้มั่นเหมาะตรงนี้เลยว่า เลิกรอไปได้เลย เพราะจนถึงวันนี้ (มกราคม 2018) ทาง Honda Automobile (Thailand) ยังไม่มีแผนการนำเข้า Freed รุ่นใหม่ล่าสุด มาทำลาดในเมืองไทย ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมาในรูปรถนำเข้าทั้งคันจากประเทศเพื่อนบ้าน หรือ นำมาขึ้นสายการประกอบที่บ้านเราก็ตาม เหตุผลที่อธิบายได้ง่ายสุด ก็คือ ยังไม่มีการผลิตใน Indonesia และ ต่อให้มี ก็อาจจะ ” ทำราคาขายให้ถูกพอจะแข่งขันกับชาวบ้านเขา ไม่ได้ ”

เช่นเดียวกัน ใครที่เคยถามว่า Honda จะทำ CR-V เครื่องยนต์ Hybrid ออกมาหรือไม่ คำตอบในตอนนี้ ก็คือ ” ยังก่อน ” เพราะแค่ 2 เครื่องยนต์ ทั้งเบนซิน และ Diesel ก็ดูจะเหมาะกับความต้องการของลูกค้าจำนวนมากในเมืองไทยพออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีรุ่น Hybrid ให้เปลืองต้นทุนการพัฒนา และ การผลิต แถมยังไม่รู้ว่าจะขายได้มากพอจะคุ้มทุน ไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนเมื่อครั้ง Civic Hybrid กับ Jazz Hybrid ได้หรือเปล่า ?


HYUNDAI

  • 2018 : H-1 / Grand Starex Big Minorchange
  • 2021 : H-1 / Grand Starex Full Modelchange

ยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ ในการดูแลการทำตลาดในไทย ของบริษัทญี่ปุ่นอย่าง Sojitsu ยังคงไม่สนใจต่อความเปลี่ยนแปลงไปของ Hyundai ในตลาดโลกมากนัก เดินหน้าขายแต่รถตู้ H-1 กับ Grand Starex ต่อไป ท่ามกลางความฉงนสงสัยของผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์บ้านเรา ว่า เขาทำได้อย่างไร ขายรถตู้อย่างเดียว หล่อเลี้ยงบริษัทอยู่กันมาได้หลายปีขนาดนี้

อันที่จริง ต้องยกความดีให้กับ คุณเบิร์ต วิกรานต์ อมาตยกุล และ ทีมงานในยุคที่มานั่งเป็นผู้บริหาร ช่วงปี 2007 – 2008 ที่ได้พยายามต่อสู้จนประเทศไทย สามารถเปิดตลาด แบรนด์ Hyundai กลับมาอีกครั้ง ด้วยรถตู้คันใหญ่เท่าบ้าน แต่ตั้งราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท (ในช่วงแรกๆ) เป็นผลสำเร็จ และต่อยอดให้ คุณอุ๋ย สฤษฎร์พร สกลรักษ์ ผู้บริหารยุคต่อมา (ผู้ล่วงลับ) พา Hyundai ลงหลักปักฐานในตลาดรถตู้โดยสารของบ้านเราได้แข็งแกร่งขนาดนี้

จริงๆแล้ว Hyundai ไม่ได้อยากจะขายรถตู้กันเพียงอย่างเดียวหรอก แต่ด้วยปัญหาสำคัญก็คือ ” บริษัทแม่ที่เกาหลีใต้ ยังไม่ให้ความสำคัญกับประเทศไทย และ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ มากเกินไปกว่า การเป็นตลาดใหญ่สำหรับรถตู้ ” จึงทำให้การทำเรื่องขอรถยนต์รุ่นใหม่มาจำหน่าย เป็นเรื่องยากลำบากมากๆ เพราะภาษีศุลกากร และ สรรพสามิต ของประเทศไทย ทำให้รถยนต์นำเข้ามีราคาแพงมากเกินจริง (เนื่องจากรัฐไทย คิดได้แค่เพียงว่า รถยนต์เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย มีราคาแพง ต้องขูดรีดภาษีให้เยอะๆ) ทำให้ไม่สามารถตั้งราคาขาย สู้กับคู่แข่งได้ อีกทั้งเมืองไทย ไม่ได้ทำข้อตกลงทางการค้าเรื่องรถยนต์กับ เกาหลีใต้ จึงทำให้ต้องเสียภาษีเต็มอัตรา เหมือนรถยนต์ประกอบจากยุโรป อเมริกาเหนือ และญี่ปุ่น

ตัวอย่างเช่น สมัยที่ Hyundai Sonata เข้ามาขาย เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ต้องตั้งราคาคันละ 1.8 ล้านบาท ขณะที่ Toyota Camry ประกอบในประเทศไทยตอนนั้น ราคารุ่น Top ยังอยู่แถวๆ 1.6 ล้านบาท (ในตอนนั้น) เป็นต้น นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ สารพัดรุ่นรถยนต์ Hyundai ในเมืองนอก ทั้ง SUV อย่าง Tucson (ที่เคยวางแผนจะนำเข้ามา แต่ราคาก็แพงกระโดดกว่าชาวบ้าน) จึงไม่อาจเข้ามาขายในเมืองไทย ได้ง่ายดายนัก เพราะมันไม่คุ้มที่จะทำตลาดต่อนั่นเอง

ส่วนรถตู้ ที่ขายกันอยู่ในปัจจุบัน ยังคงทำราคากันได้ เพราะรุ่นถูกสุด H-1 นำเข้าจากเกาหลีใต้ บริษัทแม่ตั้งราคาไม่สูงนัก เมื่อรวมภาษีจึงยังพอตั้งราคาขายไม่แพงมากได้ ส่วนรุ่น Grand Starex ขึ้นไป นำเข้าจากโรงงาน Hyundai ใน Indonesia ซึ่งเป็นประเทศที่ทำข้อตกลงทางการค้า AFTA ภาษีนำเข้า 0% กับไทย จึงทำให้ Hyundai นำเข้าตัวรถมาขายในราคาปัจจุบันได้

กระนั้น ถ้าจะขายรถตู้กันต่อไป โดยไม่กระตุ้นตลาดกันเลย ยอดขายก็คงจะเหี่ยวเฉาๆไปเรื่อยๆ การนำ คุณเปิ้ล นาคร ศิลาชัย และ ครอบครัว มาเป็น Presenter ภาพยนตร์โฆษณา ในช่วงฉลองการกลับมาทำตลาดครบรอบ 10 ปี ในประเทศไทยของ Hyundai ก็ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ายังคงจดจำแบรนด์ได้ ว่ายังอยู่ในตลาด ไม่หนีกลับไปซัดกิมจิที่บ้าน

อย่างไรก็ตาม เสียงเรียกร้องถามหา รถตู้รุ่นใหม่ ยังคงมีเข้ามาให้ได้ยินเรื่อยๆ ทำให้ Hyundai ตัดสินใจ ปรับโฉม Minorchange ครั้งใหญ่แบบสายฟ้าแลบ ให้กับรถตู้ H-1 และ Grand Starex ของตน ชนิดไม่ทันให้ใครตั้งตัวกันมาก่อน เผยโฉมแล้วในเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2017 ที่ผ่านมา สดๆร้อน ก่อนปีใหม่ เพียงแค่ 11 วันเท่านั้น !!

การปรับโฉมครั้งนี้ มุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้า (ไฟหน้า กระจังหน้า เปลือกกันชนหน้า ฝากระโปรงหน้า แผ่นตัวถังสำหรับซุ้มล้อคู่หน้า) ด้านข้างลำตัว (บานประตูข้าง และแผ่นตัวถังเหนือซุ้มล้อคู่หลัง) ฝาท้าย และแผงหน้าปัด ชุดมาตรวัด รวมทั้งเบาะนั่ง ให้สดใหม่ขึ้น ดูร่วมสมัย และคล้ายคลึงกับคู่แข่งตัวหลักในยุโรป อย่าง Volkswagen Caravelle / Multivan มากขึ้น ยกเว้นรุ่นเริ่มต้น และรุ่น 11 ที่นั่ง จะยังใช้แผงหน้าปัดแบบดั้งเดิมกันต่อไป

ด้านขุมพลัง ยังคงใช้เครื่องยนต์บล็อกเดิม รหัส D4CB Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,497 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก 91.0 x 96.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.4 : 1 Common-Rail Direct Injection VG-Turbo with Intercooler 175 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 441 นิวตันเมตร ที่ 2,000 – 2,250 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ พร้อม Sequential Shift ตามเคย ไม่เปลี่ยนแปลง

Grand Starex (H-1) ใหม่ เปิดตัว และออกสู่ตลาดเกาหลีใต้เรียบร้อยแล้ว แต่จะมาเมืองไทยเมื่อไหร่นั้น คาดว่า เร็วสุดน่าจะเจอกันช่วงครึ่งหลังของปี 2018 ขึ้นไป ในรูปแบบรถตู้นำเข้าสำเร็จรูปทั้งคันเหมือนเช่นเคย กระนั้น โอกาสที่จะถูกลากออกไปไกลถึงปี 2019 ก็มีสูง ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับทางโรงงานใน Indonesia ว่าจะพร้อมปรับโฉมรถตู้รุ่นใหม่ ตามติดตลาดเกาหลีใต้ด้วยเลยหรือไม่ (ซึ่งตามปกติ เป็นไปได้ยาก)

แล้วหลังจากนี้ละ เมื่อไหร่ รถตู้ Hyundai จะเปลี่ยนโฉมใหม่ Full ModelChange ทั้งคัน ? คำตอบก็คือ ปี 2021 เป็นอย่างเร็วสุด !


ISUZU

  • 2018 : MU-X Minorchange / D-Max 2.4 Ddi
  • 2019 : D-Max / MU-X MY 2019
  • 2020 : D-Max Full ModelChange (Include Hybrid ?)
  • 2021 : MU-X Full ModelChange (Include Hybrid ?)

ปี 2017 ถือว่าเป็นอีก ปีทอง ของเจ้าตลาดรถกระบะอย่าง Isuzu เพราะ เป็นปีแห่งการฉลองครบรอบ 60 ปี ในการทำตลาดเมืองไทย แน่นอนว่าพวกเขายังคงรักษาแชมป์ยอดขายอันดับ 1 เอาไว้ได้อย่าง สบายๆ กระนั้น Tripetch Isuzu (ตรีเพชร อีซูซุ) ก็ยังคงกระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง ด้วยการส่ง MU-X 1.9 Ddi Minorchange แท็คทีมคู่กับ รถกระบะ D-Max Hi-Lander Limited จำนวนจำกัด 2,000 คัน ออกสู่ตลาด ในเดือนมีนาคม 2017 จากนั้น ทิ้งช่วง มาจนถึง เดือนพฤศจิกายน จึงปล่อย D-Max Minorchange ออกมา คราวนี้ นอกจากจะปรับปรุงหน้าตากันอีกรอบด้วย ไฟหน้าใหม่ เพิ่มคิ้วโครเมียมคาดแล้วชี้หางคิ้วขึ้นบน แล้ว ยังย้ายตำแหน่งปั๊มเพาเวอร์เพื่อลดเสียงรบกวนในการทำงาน  แถมยังปรับปรุงภายใน ด้วยการเพิ่มวัสดุนุ่มบุเพิ่มในหลายจุด จนดูน่าใช้ขึ้นมาทันที !

อย่างไรก็ตาม ปี 2018 น่าจะเป็นปีที่ Isuzu จะต้องเตรียมปล่อย MU-X รุ่นปรับโฉม เปลี่ยนแผงแดชบอร์ดหน้าใหม่ ให้เหมือนกับเวอร์ชันจีน ที่เพิ่งเปิดตัวไปสดๆร้อนๆ เมื่อ 26 ธันวาคม 2017 ที่ผ่านมา ไม่เพียงเท่านั้น ยังต้องรอดูว่า D-Max จะมีขุมพลัง 2.4 ลิตร Ddi Blue Power ออกมาแทนเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร เดิม ได้เมื่อไหร่ คาดว่า ภายในปี 2018 เราน่าจะได้เห็นกัน

พอถึงปี 2019 Isuzu อาจมีแค่เพียงการปรับปรุงอุปกรณ์ให้กับทั้ง D-Max และ MU-X อีกครั้งหนึ่ง พร้อมเพิ่มรุ่นพิเศษ กระตุ้นยอดขายอีกสักนิด ก่อนที่เราจะได้พบกับ รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน Full ModelChange ของ D-Max ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เป็นอย่างเร็วที่สุด

อย่างไรก็ตาม โครงการพัฒนา รถกระบะรุ่นใหม่ของ Isuzu นับจากนี้ จะไม่มีเงาของพันธมิตรเก่าแก่อย่าง General Motors (GM) / Chevrolet ที่เคยจับมือกันพัฒนารถกระบะ มาตั้งแต่ปี 1970 อีกต่อไป เพราะทั้งคู่ ประกาศขอยุติความสัมพันธ์ในการพัฒนารถกระบะร่วมกัน ตั้งแต่ 22 กรกฎาคม 2016 เป็นต้นไป ถือเป็นจุดสิ้นสุดการทำธุรกิจรถกระบะร่วมกัน ตลอด 45 ปี

เป็นเรื่องธรรมดาโลก ในเมื่อ GM ต้องการสร้างรถกระบะให้มีเอกลักษณ์ในแบบของตนเอง และพวกเขา ” เชื่อว่า ” สามารถลงทุนทำเองได้ตามลำพัง Isuzu จึงจำเป็นต้องมี พาร์ทเนอร์รายใหม่ มาร่วมแชร์ค่าใช้จ่ายในการพัฒนา มากขึ้น

ขณะเดียวกัน Mazda เอง ก็ทุ่มงประมาณ ร่วมพัฒนารถกระบะกับ Ford มาตลอด หลายสิบปีเช่นเดียวกัน พวกเขาตัดสินใจเลือกจะแยกทางกับ Ford โดยจะไม่พัฒนารถกระบะรุ่นต่อไปร่วมกันอีก จึงต้องหาใครสักคน ที่อยากจะทำรถกระบะด้วย แต่ต้องมีคนช่วยแชร์ค่าใช้จ่ายในการพัฒนา จึงจะอยู่ด้วยกันได้โดยรอดปลอดภัย และ Isuzu คือทางออกที่ดีสุดของ Mazda นั่นเอง

เราจะยังไม่ได้เห็นรุ่นเปลี่ยนโฉม Full ModelChange ของ D-Max ใหม่ ในช่วงปี 2018 – 2019 อย่างแน่นอน เพราะการพัฒนารถกระบะรุ่นใหม่ อาจต้องใช้เวลานาน 3 – 4 ปี และ โครงการดังกล่าว น่าจะยังอยู่ในขั้นตอนการออกแบบภายนอก และ ภายในอยู่ โดยขุมพลัง จะยังคงเป็น เครื่องยนต์ 1.9 ลิตร และ 2.4 Ddi Bluepower เหมือนเช่น D-Max รุ่นปี 2018 – 2019 และมีความเป็นไปได้สูงว่า Isuzu อาจกำลังซุ่มพัฒนารถกระบะ ขุมพลัง Diesel Hybrid เป็นอีกเวอร์ชันหนึ่งให้เลือกกันอีกด้วย! ซึ่งก็เป็นไปตามความคาดหมาย หลังจากการประกาศอัตราภาษีสรรพสามิต แบบใหม่ ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อรถกระบะและ SUV/PPV ขุมพลัง Hybrid มากขึ้น

D-Max ใหม่ Full ModelChange มีกำหนดเปิดตัวที่ยังไม่แน่นอน แต่คาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงปี 2020 และ MU-X ใหม่ Full ModelChange ในปี 2021


JAGUAR

  • 2018 : E-Pace (Thailand Premier) / i-Pace

ปีที่แล้ว Jaguar ผู้ผลิตรถยนต์ชาวอังกฤษ ในกลุ่ม JLR ในเครือ Tata Motors จากอินเดีย เจ้าของเดียวกับ Land Rover มีของใหม่ในตลาดต่างประเทศ 2 รุ่น นั่นคือ XF Sportbreak (ซึ่งดูเหมือนว่า คงจะไม่ข้ามาเมืองไทยแล้วละ) กับ Premium Small Crossover SUV รุ่นล่าสุด Jaguar E-Pace ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อ 14 กรกฎาคม 2017 ที่ผ่านมา แถมยังสร้างสถิติโลก ลง Guiness Book World Records ด้วยการขับรถยนต์ ควงสว่านหมุน 270 องศา ได้ไกลที่สุดในโลก (อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ CLICK HERE)

E-Pace เป็นรถยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อประกบกับ Audi Q3 ,BMW X1 (และ X2) กับ Mercedes-Benz GLA โดยมีตัวถังยาว 4,395 มิลลิเมตร กว้างถึง 1,984 มิลลิเมตร สูง 1,649 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,681 มิลลิเมตร วางเครื่องยนต์ให้เลือกถึง 5 แบบ ดังนี้

Gasoline 2.0 (P250)

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,998 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 83.0 x 92.3 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.5 : 1 พ่วง Turbocharger 249 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 365 นิวตันเมตร (37.19 กก.-ม.) ที่ 1,200 – 4,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD

Gasoline 2.0 (P300)

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,998 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 83.0 x 92.3 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.5 : 1 Common-Rail พ่วง Turbocharger 300 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร (40.76 กก.-ม.) ที่ 1,500 – 4,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD

Diesel 2.0 TD4 (D150)

เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,999 ซีซี. พ่วงเทอร์โบ กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 83.0 x 92.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 15.5 : 1 Common-Rail พ่วง Turbocharger 150 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร (38.72 กก.-ม.) ที่ 1,750 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือ อัตโนมัติ 9 จังหวะ มีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า FWD และ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD

Diesel 2.0 TD4 (D180)

เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว  1,999 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 83.0 x 92.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 15.5 : 1 Common-Rail พ่วง Turbocharger  180 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร (43.81 กก.-ม.) ที่ 1,750 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือ อัตโนมัติ 9 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD

Diesel 2.0 SD4 (D240) 

เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,999 ซีซี.  กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 92.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 15.5 : 1 Comon-Rail พ่วง Turbocharger 240 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD

ถ้า Inchcape ผู้นำเข้าและจำหน่าย Jaguar กับ Land Rover ในบ้านเรา รายล่าสุด อยากจะเร่งทำตลาดจริง เราคงได้เห็น E-Pace คันจริง ในงาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม 2018 นี้ เป็นอย่างเร็วที่สุด หรือไม่เช่นนั้น ก็คงจะขยับไปเป็นช่วง ครึ่งหลังของปีนี้

(รายละเอียดเพิ่มเติมของ E-Pace คลิกอ่านต่อได้ ที่นี่ CLICK HERE)

อีกรุ่นหนึ่งที่มีแนวโน้มว่าทาง Inchcape จะสั่งเข้ามา สร้างสีสันในตลาดรถยนต์บ้านเรา นั่นคือ เวอร์ชันจำหน่ายจริงของ Jaguar i-Pace ซึ่งในตอนนี้ มีเพียงแค่เวอร์ชันต้นแบบ ที่เปิดผ้าคลุมกันในงาน L.A. Auto Show เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2016

I-Pace เป็น SUV-Crossover สไตล์สปอร์ต แบบ 5 ที่นั่ง มิติตัวรถ ยาว 4, 680 มิลลิเมตร, กว้าง 1,890 มิลลิเมตร และ สูง 1,560 มิลลิเมตร ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ล้อคู่หน้า และหลัง ตำแหน่งละ 1 ลูก ให้กำลังสูงสุดรวม 406 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร (71.38 กก-ม.) ใช้แบตเตอรี่ขนาด 90 kWh คาดว่าสามารถเดินทางเป็นระยะทางสูงสุด 482 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง การชาร์จไฟจาก 0-80% ทำได้ภายในเวลา 90 นาที (1 ชั่วโมงครึ่ง) โดยที่ชาร์จ 50 kW แบบชาร์จเร็ว (Fast Charging) อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 4.0 วินาที ความจุที่เก็บสัมภาระด้านท้ายอยู่ที่ 530 ลิตร และ เนื่องจากไม่มีเครื่องยนต์จึงมีที่เก็บสัมภาระด้านหน้ารถอีก 36 ลิตร

ขณะนี้ Jaguar ถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณาเสร็จไปตั้งแต่ช่วงกลางปี 2017 แล้ว ดังนั้น คาดว่า เวอร์ชันจำหน่ายจริงของ i-Pace จะออกสู่ตลาดโลก ภายในปี 2018 ได้ทันตามกำหนดการเดิมแน่ๆ สำหรับเมืองไทย ก็น่าจะมีโอกาสได้เห็นคันจริง ภายในสิ้นปี 2018 หรือไม่ก็ต้นปี 2019


KIA MOTORS

Previous Post

N2308013_ถ_าอยากเจอคนด_ๆต_องเปล__ยนแปลงต_วเอง – ละครส__นต_องมนต_ฟ_ล_ม_1015225836242797_part2

Next Post

N2308017_คนม ปม ไม จำเป นต องอ อนแอ หน งส_part2

Next Post
N2308017_คนม ปม ไม จำเป นต องอ อนแอ หน งส_part2

N2308017_คนม ปม ไม จำเป นต องอ อนแอ หน งส_part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N2512034 กน องนะไม ใช ละครส นต องมนต part2
  • N2512033 เอาค ละครส นต องมนต part2
  • N2512049 ทำต วแบบน อย าเร ยกต วเองว าผ ชาย ละครส part2
  • N2512055 าวกล องสะท อนใจคน (ละครส น) part2
  • N2512039 คนม ปม ไม จำเป นต องอ อนแอ หน งส part2

Recent Comments

No comments to show.

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.