• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N2308010_เอาค ละครส นต องมนต_part2

admin79 by admin79
August 20, 2025
in Uncategorized
0
N2308010_เอาค ละครส นต องมนต_part2

  • 2018 : Stinger / Sportage ? / Stonic…?

ผู้ผลิตรถยนต์ระดับยักษ์รองจากแดนโสม ร่วมเครือเดียวกันกับ Hyundai-Kia ทำตลาดในบ้านเรา ภายใต้การ ดูแล ของบริษัท Yontrakit Kia Motors  มานานหลายปีแล้ว และ ปีนี้ ในเมื่อบริษัทแม่ในเครือ เริ่มว่างขึ้นจากการหมดอายุสิทธิ์ทำตลาดรถยนต์ Audi พวกเขาก็เริ่มกลับมาดูแบรนด์ Kia อย่างจริงจังมากขึ้น

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา Kia ยังคงยืนหยัดฮึดสู้อยู่ได้ ด้วย New Grand Cranival รถตู้ MPV 11 ที่นั่ง ซึ่งน่าอัศจรรย์ว่า มีสมรรถนะการขับขี่ ดีที่สุด และ ใกล้เคียงกับรถเก๋งมากสุด ในบรรดารถตู้ทุกรุ่นที่จำหน่ายอยู่ในบ้านเรา โดยยังมี Kia Soul รุ่น Minorchange ขายอยู่แบบเรื่อยๆเปื่อยๆ อาจมีความพยายามเปิดตลาดใหม่ ด้วยการนำเข้า Kia Soul EV มาเปิดตัวในงาน BIG Motor Sales ช่วงเดือนสิงหาคม 2017 แต่กว่าจะประกาศราคา ก็ต้องรอถึงงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน ด้วยค่าตัวที่สูงถึง 2,279,000 บาท

กระนั้น สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็คือ ความกล้าหาญ ของ Yontrakit Kia Motors ในการสั่งนำเข้า Stinger รถยนต์ Sport Saloon 5 ประตู สุดโฉบเฉี่ยว เรียกเสียงฮือฮาจากผู้เข้าชมงาน ประเภทที่ชอบศึกษาเรื่องรถยนต์ ได้อย่างดีเยี่ยม แม้ว่าค่าตัวจะแพงไปหน่อยถึง 2,990,000 บาท จากผลของภาษีนำเข้า และภาษีสรรพสามิต ก็ตาม แต่นับเป็นนิมิตหมายที่ดี สำหรับการสร้าง Brand Image ว่า Kia ไม่ได้มีแค่รถตู้ขายในโชว์รูมเท่านั้น

ช่วงก่อนปีใหม่ ทีมผู้บริหารมีโอกาสเดินทางไปประชุม Global Dealer Conference ที่จัดขึ้นในต่างประเทศ แน่นอนว่า พวกเขาได้ไปเห็น Kia Stronic รถยนต์ Sub-Compact Crossover SUV ที่เพิ่งเปิดตัว เมื่อ 20 มิถุนายน 2017 ก่อนส่งไปอวดโฉมครั้งแรก ในงาน Frankfurt Motor Show ต้นเดือนกันยายน 2017

Kia Stonic มีเครื่องยนต์ให้เลือก 4 แบบ ทั้เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.0 ลิตร T-GDI 120 แรงม้า (PS) , เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.25 ลิตร 84 แรงม้า (PS) เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.4 ลิตร 99 แรงม้า (PS) และ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.6 ลิตร จาก Kia C’eed เวอร์ชันยุโรป 110 แรงม้า (PS)

รายละเอียดของ Kia Stronic อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ CLICK HERE

อีกรุ่นหนึ่งที่ต้องรอลุ้นกันต่อ นั่นคือ Kia Sportage ซึ่งจำใจ จำเป็นต้องหายหน้าหายตาไปนานหลายปี เพราะทำราคาไม่ได้ มันจะแพงกว่าคู่แข่งไปไกล เนื่องจากภาษีนำเข้า (อีกแล้ว) คาดว่า เวอร์ชันที่อาจเป็นไปได้ว่าควรจะมาจำหน่ายในบ้านเรา น่าจะเป็นแบบ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร พ่วง Common-rail Turbocahrger 185 แรงม้า (PS) มากกว่า

แน่นอนว่า ทั้ง บริษัทแม่ที่เกาหลีใต้ และ Yontrakit ก็สนใจจะสั่งรถยนต์ทั้ง 2 รุ่นนี้เข้ามาขาย ปัญหาติดอยู่เพียงแค่ว่า จะทำราคา รวมภาษี ให้สามารถต่อสู่กับคู่แข่งซึ่งมีโรงงานประกอบในประเทศ ซึ่งก็เป็นปัญหาเดียวกับ Compact SUV รุ่น Sportage และ City Car รุ่นเคยขายดีของ Kia อย่าง Picanto Generation ใหม่ เช่นกัน

ดังนั้น เราจึงได้แต่รอดูท่าทีว่า พวกเขาจะนำรถยนต์รุ่นใหม่ รุ่นใด เข้ามาสร้างสีสันกันในเมืองไทยอีก


LAND ROVER

  • 2018 : Range Rover & Range Rover Sport Plug-in Hybrid
  • 2019 : New Evoque / All New Defender

ปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตรถยนต์หรูขาลุย ในร่มเงาของเครือ JLR ร่วมกับ Jaguar ภายใต้เจ้าของเดียวกันคือ Tata Motors ภายใต้การทำตลาดของ Inchcape ทะยอยเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัว Discovery ใหม่ เมื่อ 21 กรกฎาคม 2017 จากนั้น ทิ้งช่วงไปเพียงเดือนเดียว พวกเขาก็เปิดผ้าคลุม Range Rover Velar เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2017 ถือเป็น Land Rover ที่เปิดตัวในเมืองไทย ตามหลังตลาดโลก เพียง 6 เดือน สั้นที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์บ้านเรา เพราะ Velar เพิ่งจะเผยโฉมในงาน Geneva Motor Show เมื่อ 3 มีนาคม 2017 ไปหมาดๆ

ไม่เพียงเท่านั้น Land Rover เริ่มพาแบรนด์ตัวเองไปสู่ตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้า กับเขาเป็นครั้งแรก ด้วยการเปิดตัว Range Rover Sport Plug-in Hybrid เมื่อ 7 ตุลาคม 2017 ตามมาติดๆด้วย Range Rover Minorchange + รุ่น Plug-in Hybrid เมื่อ 12 ตุลาคม 2017 โดยทั้งคู่ เผยโฉมในตลาดต่างประเทศเป็นครั้งแรก และยังไม่มาถึงเมืองไทย

รุ่นปกติ ของทั้ง Range Rover และ Range Rover Sport ยังคงใช้เครื่องยนต์เบนซิน และ Diesel เหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่รุ่น Plug-in Hybrid ที่เพิ่มเข้ามาของทั้งคู่ ใช้ขุมพลังเดียวกัน เป็นเครื่องยนต์ Ingenium เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ขนาด 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุดรวมกัน 404 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 640 นิวตันเมตร (61.54 กก.-ม.) จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 จังหวะ ส่งกำลังลงพื้นผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ full-time ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 6.7 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 220 กิโลเมตร/ชั่วโมง และชาร์จไฟให้เต็มในเวลาแค่ 2 ชั่วโมง 45 นาที แต่ ปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แค่ 64 กรัม/กิโลเมตร เท่านั้น!!

Range Rover Sport Plug-in Hybrid มีรูปแบบการขับขี่สามารถปรับได้ 2 แบบหลักคือ Parallel Hybrid (แบ่งเป็น SAVE function ซึ่งจะรักษาระดับแบตเตอรี่เอาไว้ให้อยู่ที่เท่าเดิม กับ Predictive Energy Optimisation (PEO) ที่ปรับการทำงานตามสภาพการจราจรใน GPS ) และแบบ EV ซึ่งสามารถเดินทางด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียว เป็นระยะทางสูงสุด 51 กิโลเมตร

มีความเป็นไปได้ว่า Inchcape Thailand จะสั่งนำเข้า พาหนะพลังเบนซิน +ไฟฟ้า เสียบปลั๊กชาร์จไฟบ้านได้ เข้ามาให้มหาเศรษฐีเมืองไทย ได้เป็นเจ้าของกัน ในปี 2018 นี้ ส่วนจะเป็นช่วงใดนั้น เดาได้ไม่ยากครับ ถ้าไม่ใช่ Bangkok Interntaional Motor Show ปลายเดือนมีนาคม ก็อาจเป็นช่วง ครึ่งหลังของปี 2018 หรืออาจเลยเถิดไปถึง Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2018 นั่นแหละ

Photo : Automedia (Headlightmag Partnership)

ต่อจากนั้น ก็จะถึงเวลาเปลี่ยนโฉม Full Modelchange ให้กับ Range Rover Evoque Premium Compact SUV รุ่นโฉบเฉี่ยวและขายดีที่สุดของพวกเขา เพราะนับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2012 จนถึงตอนนี้ ยอดขายทั่วโลก ก็ยังคงอยู่ในระดับ 100,000 คัน/ปี มาโดยตลอด ลูกค้าส่วนใหญ่ ตกหลุมรักในเส้นสายที่ลงตัวมาก จนกระทั่งแทบไม่กล้านึกต่อเลยว่า รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ จะสวยเท่าเดิมหรือเปล่า

รถต้นแบบที่กำลังแล่นทดสอบอยู่ในอังกฤษที่เพิ่งถูกบันทึกภาพได้ เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2017 สดๆร้อนๆ แสดงให้เห็นว่า Evoque รุ่นต่อไป จะยังคงยึดเส้นสายของรุ่นปัจจุบัน แต่จะปรับปรุงให้เฉียบคม และดูหรูหรายิ่งขึ้นไปอีก รถรุ่นใหม่จะยังคงใช้ platform ร่วมกับรุ่นปัจจุบัน แต่จะมีน้ำหนักเบาลง, ขับขี่และนั่งสบายกว่าเดิม แถมยังถูกพัฒนาให้รองรับขุมพลังทางเลือกต่างๆ ทั้ง Hybrid และ Plug-In Hybrid ตามมาในภายหลัง ส่วนเครื่องยนต์ธรรมดาจะมีให้เลือกทั้งเบนซิน และ Diesel Turbo ตามเคย

Land Rover มีกำหนดจะเปิดตัว Range Rover Evoque ใหม่ ในงาน Paris Motor Show เดือนกันยายน 2018 จากนั้น จึงจะทะยอยส่งไปเปิดตัวในตลาดโลกตามลำดับต่อไป คาดว่า ลูกค้าชาวไทยน่าจะได้สัมผัสคันจริง อย่างเร็วที่สุดคือ ในงาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม 2019

นอกจากนี้ ข่าวใหญ่ของ Land Rover ในปี 2018 คือ โครงการพัฒนารุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันในรอบ 70 ปี ของ Off-Road ตัวลุย อย่าง Land Rover Defender ที่ยังคงมีข่าวทะยอยออกมาเป็นระยะๆ หลังจากที่รถคันสุดท้าย (คันที่ 2,016,933) คลอดจากสายการผลิตในโรงงาน Solihull ที่ปรเทศอังกฤษ ไปแล้ว เมื่อ 29 มกราคม 2016

Defender คือ รถยนต์ ที่มีอายุตลาดยาวนานมากสุดในโลก คือ 68 ปี นับตั้งแต่ Series-1 รุ่นแรก ถูกผลิตขึ้นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี 1948 จุดเด่นที่ทำให้บรรดามือโปร ที่ทำงานในสาขาวิชาชีพที่แตกต่างไปจากมนุษย์โลกทั่วไป ตั้งแต่นักถ่ายภาพสารคดี นักอนุรักษ์วิทยา นักโบราณวัตถุ นักผจญภัย แพทย์ พยาบาล รวมทั้งบรรดานกเลง Off-Road ต่างพากันชื่นชอบใน Defender คือ ความทนถึกทรหด และพร้อมพาคุณลุยเข้าไปในทุกอุปสรรค อย่างไม่สะทกสะท้าน แม้แต่สมเด็จพระนางเจ้า Queen Elizabeth ที่ 2 ก็ทรงมีไว้ขับใช้งานส่วนพระองค์เอง 1 คัน!! และเรืองที่โคตรฮาของพวกเรา แต่เจ้าของรถน่าจะขำไม่ออก คือ หลังจากที่ Land Rover ประกาศเลิกผลิตรถรุ่นนี้ไป ยอดการถูกโจรกรรม ของ Defender ในอังกฤษก็พุ่งสูงขึ้นถึง 75% ทันที!!

Gerry McGovern Chief Designer ผู้บริหารฝ่ายออกแบบ Jaguar Land Rover ยังนำทีมออกแบบด้วยตัวเองเหมือนเช่นเคย ใครที่คิดว่าเส้นสายจะออกมาเหมือนกับรถยนต์ต้นแบบ DC100 ที่เผยโฉมออกมาตั้งแต่ปี 2011 Garry ยังคงยืนยันเช่นเดิมว่า “เลิกคิดเถอะครับ” เวอร์ชันจำหน่ายจริง จะมีเส้นสายภายนอก แตกต่างจากรถต้นแบบ DC100 คันที่คุณเห็นอยู่ข้างบนนี้ แน่นอน

Defender ใหม่จะเป็นรถที่แหกเหล่าแหกคอกด้านการออกแบบมากที่สุด ต่างจากตระกูล Discovery และไม่เหมือน Land Rover รุ่นใดๆมาก่อน Defender ใหม่จะมีความใกล้เคียงกับ Land Rover ยุคแรกๆ มากที่สุด คือเน้นการใช้งานจริง ลุยโหดจริงๆ กระแทกกระทั้นโหดๆ ได้จริง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แฟนพันธ์แท้ของแบรนด์นี้ รักและชื่นชอบ แต่จะมีงานออกแบบ ที่ดึงดูดกลุ่มลูกค้าของ Defender รุ่นปัจจุบัน และจับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ไปพร้อมๆกันอีกด้วย

ตัวรถจะถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานโครงสร้างวิศวกรรมของรุ่น Discovery แต่จะมีชิ้นส่วนจำนวนมาก ที่แตกต่างกันออกไป และใช้ร่วมกันไม่ได้ ที่แน่ๆตัวรถจะยังคงรักษาคุณสมบัติความถึกทรหดเอาไว้เช่นเดิม

ล่าสุด รถต้นแบบ Test Mule เริ่มออกวิ่งบนถนนสาธารณะในอังกฤษแล้ว คาดว่ากำหนดการเปิดตัว จะเกิดขึ้นในปี 2018 อย่างแน่นอน


Lamborghini

  • 2018 : URUS

ปีที่ผ่านมา ถือเป็นมรสุมลูกใหญ่ของ Niche Car ผู้นำเข้าและจำหน่าย Lamborghini อย่างเป็นทางการ จากผลของคดียาเสพติดของเศรษฐีฝั่งลาว อันโด่งดัง ที่เลยเถิดต่อเนื่องมาถึงการปราบปรามรถ Super Car เลี่ยงภาษี ที่ทำเอาทั้งการสั่นสะเทือนกันไปหมด ทุกคน ถึงกับตะลึงในข่าว สำนักงานคดีพิเศษ DSI บุกเข้าตรวจสอบโชว์รูมรถหรู 9 แห่ง เมื่อ 18 พฤษภาคม 2017 ซึ่ง 1 ใน 9 แห่งนั้น มี Niche Car ริมมอเตอร์เวย์ ย่านศรีนครินทร์ พระราม 9 รวมอยู่ด้วย

คดีความจะเป็นอย่างไร เราไม่ทราบ และขอไม่พูดถึง เพราะเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะดำเนินการกันไป แต่ความเคลื่อนไหวของ Lamborghini ในต่างประเทศนั้น ยังคงมีอยู่ ล่าสุด ค่ายกระทิงพยศ จากอิตาลี เพิ่งเปิดผ้าคลุม URUS (อ่านว่า “อุรุส”) ไปสดๆร้อน เมื่อ 4 ธันวาคม 2017 ที่ผ่านมา

URUS ถูกสร้างขึ้นบน พื้นตัวถัง MLB Evo Platform ร่วมกับ Audi Q7 , Bentley Benteyga และ Volkswagen Touareg โดยมุ่งเน้นการลดน้ำหนักตัวรถให้ได้เบาที่สุด เลือกใช้วัสดุโลหะผสม และเหล็กกล้า ทำให้มีน้ำหนักตัวรถต่ำกว่า 2,200 กิโลกรัม

ขุมพลัง เป็นเครื่องยนต์เบนซิน V8 DOHC 32 วาล์ว 3,996 ซีซี. Bi-Turbo Twin-scroll กำลังสูงสุด 659 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 850 นิวตันเมตร ที่ 2,250 – 4,500 รอบ/นาที (Redline ที่ 6,800 รอบ/นาที) จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ (with front differential, center differential แบบ Torsen และ active torque vectoring rear differential) ความจุถังน้ำมัน 85 ลิตร ปล่อย CO2 : 290 g./km. พร้อมสารพัดเทคโนโลยีใหม่ๆ อัดแน่นเต็มคันรถ

URUS สามารถสร้างอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายใน 3.6 วินาที อัตราเร่ง 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายใน 12.8 วินาที และ ทำความเร็วสูงสุด Top Speed 305 กิโลเมตร/ชั่วโมง ฉีกแซงขึ้นหน้า Bentley Bentayga กลายเป็นรถยนต์ SUV ที่เร็วและแรง ที่สุดโลก ไปเรียบร้อย

หากไม่มีอะไรผิดพลาด URUS ควรจะถูกส่งมาเปิดตัวในประเทศไทย อย่างเร็วที่สุด ภายในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2018 ด้วยค่าตัว (รวมภาษีต่างๆแล้ว) ในระดับไม่น่าต่างจาก Bentley Bentayga คือราวๆ 25 ล้านบาท

รายละเอียดต่างๆของ Urus สามารถคลิกอ่านต่อได้ที่นี่ CLICK HERE

————————————————————————————

Mazda

  • 2018 : No New Models / Full ModelChange just Model Year 2018
  • 2019 : CX-8 (Thailand Premier) / Mazda 3 SKYACTIV-X
  • 2020 : All New BT-50 Pro

หลังการเปิดตัว ไฮไลต์ สำคัญประจำปี 2017 อย่าง CX-5 ใหม่ ผ่านพ้นไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา ก็ถือเป็นอันเสร็จสิ้นภาระกิจต่อเนื่อง ของผู้ผลิตรถยนต์สายเลือดนักสู้จาก Hiroshima ที่โหมกระหน่ำถล่มตลาดเมืองไทย ด้วยกองทัพรถยนต์รุ่นใหม่ ที่ใช้พื้นฐานเทคโนโลยี SKYACTIV ร่วมกัน มาตั้งแต่ปี 2013 กันเสียที จนทุกวันนี้ ลูกค้าวัยรุ่นส่วนใหญ่ ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วไทยเริ่มปันใจจาก Toyota และ Honda ไปถอย Mazda 2 และ Mazda 3 กันจนเกร่อ ทิ้งให้ 2 เจ้าตลาดรถยนต์นั่ง หาวเรอ รอรับแต่ลูกค้ากลุ่มคณาจารย์ และพนักงานในสถานศึกษาต่างๆไปพลางๆ

ดังนั้น ปี 2018 จะเป็นปีที่ ชาว Hiroshima เขาจะขอนั่งพักเหนื่อย หายใจแป๊บนึง อาจมีแค่เพียงการปรับอุปกรณ์ให้กับรถยนต์ที่ทำตลาดอยู่แล้ว แทบทุกรุ่น ทั้ง Mazda 2 , Mazda 3 ,CX-3 และ BT-50 PRO เพื่อกระตุ้นยอดขายให้ถึงเป้า ตลอดทั้งปี ก็เท่านั้น รุ่นแรกที่ปรับอุปกรณ์ก่อนใครเพื่อนคือ Mazda 2 เบนซิน 1.3 Skyactiv-G ในเดือน กุมภาพันธ์ อ่านรายละเอียดเบื้องต้นได้ที่นี่ นอกจากนี้สีแดง Soul Red Metallic ในทุกรุ่นที่มีสีนี้ ก็จะถูกเปลี่ยนเป็น Soul Red Crystal ทั้งหมดเช่นเดียวกับ CX-5

ระหว่างนี้ Mazda ก็ต้องหันไปทุ่มเทปรับปรุงคุณภาพบริการหลังการขาย ตามแผนที่วางไว้ รวมทั้งหาทางแก้ไขปัญหาของลูกค้าที่ใช้เครื่องยนต์ Diesel Skyactiv-D ใน Mazda 2 ให้เสร็จเสียที หลังจากเคลียร์ปัญหาให้ลูกค้า Mazda CX-5 รุ่นเดิม ไปเรียบร้อยแล้วในระดับหนึ่ง แต่บางส่วนก็ถึงขั้นต้องฟ้องร้องกันเลยทีเดียว จนเป็นกระแสหนักหน่วงต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ คดีนี้ ดูท่าน่าจะใช้เวลานานแน่ๆ

แต่ทันทีที่ปี 2019 ย่างกรายมาถึง ใครที่ยังรอ SUV 7 ที่นั่งจาก Mazda กันไหวถึงตอนนั้น น่าจะยิ้มออกเสียที เพราะ Mazda Sales (Thaland) มีแผนจะนำ CX-8 เข้ามาเปิดตลาดในบ้านเราอย่างจริงจัง กันในช่วงไตรมาสแรก ปี 2019

CX-8 เผยโฉมครั้งแรกในญี่ปุ่น เมื่อ 20 กันยายน 2017 เป็นการนำ CX-5 มาเพิ่มความยาวตัวรถ เพื่อเพิมเบาะนั่งแถวที่ 3 เข้าไป ซึ่งเมื่อผู้เขียนลองนั่งจริง ที่ญี่ปุ่น ในงาน Tokyo Motor Show พบว่า หากคุณตัวสูงไม่เกิน 170 เซนติเมตร และต้องเข้าไปนั่งบนเาะแถว 3 ศีรษะของคุณจะไม่เฉี่ยวชนกับเพดานหลังคา

เครื่องยนต์ มีเพียงแบบเดียว เป็นขุมพลัง SKYACTIV-D Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,188 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 86.0 x 94.2 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 14.4 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด Common-rail Direct Injection พ่วง Turbocharger  กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (PS) ที่ 4,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร (45.85 กก.-ม.) ที่ 2,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า และ ขับเคลื่อน 4 ล้อ Real-time AWD

รายละเอียดตัวรถเพิ่มเติม คลิกอ่านต่อได้ ที่นี่ CLICK HERE

จากนั้น ในปี 2019 เราจะได้สัมผัสกับ รุ่นเปลี่ยนโฉม Full ModelChange ของ Mazda 3 / Axela ใหม่ ซึ่งจะมีเส้นสาย ถอดแบบเค้าโครงมาจาก รถยนต์ต้นแบบ Mazda KAI Concept ที่เพิ่งเปิดผ้าคลุมครั้งแรกในโลก ณ งาน Tokyo Motor Show เดือนตุลาคม 2017

Mazda 3 รุ่นต่อไป จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานโครงสร้างวิศวกรรม ร่วมกับ รถรุ่นปัจจุบัน แต่จะมีการนำเทคโนโลยี SKYACTIV Generation 2 มาประยุกต์ใช้กับตัวรถทั้งคัน รวมทั้งจะถูกติดตั้งเครื่องยนต์ ใหม่ SKYACTIV-X (SPCCI : Spark Controlled Compression Ignition) แบบเบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร เป็นครั้งแรกในโลก ที่มีการผลิตเครื่องยนต์แบบกำลังอัดแปรผัน ออกจำหน่ายจริง (แม้จะมีหัวเทียนช่วยก็ตาม)

คาดว่า Mazda 3 ใหม่ SKYACTIV-X น่าจะพร้อมเผยโฉมได้ในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2019 และจะส่งถึงมือลูกค้าชาวไทยได้ ภายในช่วงปลายปี 2019 เป็นอย่างเร็วที่สุด

อ่านรายละเอียดเทคโนโลยีเครื่องยนต์ SKYACTV-X (SPCCI) ต่อได้ที่นี่ CLICK HERE

ส่วนความคืบหน้าโครงการพัฒนารถกระบะ BT-50 PRO รุ่นต่อไป ที่ Mazda ตัดสินใจเซ็นใบหย่า กับ Ford แล้วหันไปสวมแหวนหมั้นกับเจ้าบ่าวคนเก่าที่คุ้นเคยอย่าง Isuzu นั้น

ความจริงแล้ว ทั้ง Mazda และ Isuzu เคยจับมือเข้าสู่ประตูสมรสกันมาแล้วรอบหนึ่ง เมื่อปี 1989 – 1990 ในช่วงที่ Mazda ยุคผู้จำหน่ายรายเก่าอย่าง “กิจกมลสุโกศล” สั่งซื้อเครื่องยนต์ 4JA1 Diesel 2.5 ลิตร Direct Injection อันดังกระหึ่มทั้งยอดขายและเสียงเครื่องยนต์เอง จาก Isuzu ไปวางในรถกระบะ Magnum B2500 Thunder มาแล้ว เพียงแต่ว่า เมื่อ Ford เข้ามาบอกกับ Mazda ว่า “มาร่วมกันตั้งโรงงาน AAT ที่ระยอง เพื่อทำรถกระบะร่วมกันออกขายในปี 1997 เถอะ” Mazda ก็เลยต้องจำใจผละทิ้งจาก Isuzu ไปเสียแต่โดยดี

คราวนี้ เมื่ออยู่กินกันมานาน ร่วมกันทำรถกระบะ Fighter/BT-50 รุ่นแรก และ BT50 PRO รวม 2 รุ่น นานวันเข้า ทั้งคู่ก็เริ่มแหนงหน่าย ประลองยุทธกันบ้าง ลงไม้ลงมือกันบ้าง ประท้วงขอขึ้นค่าแรงกับโบนัสกันบ้างตามธรรมเนียมทุกปลายปี (2017 นี่ก็เอาอีกแล้ว)

สุดท้าย Ford ก็บอกว่า เอาละ ฉันจะตั้งโรงงานของตัวเองละ และต่อจากนี้ จะทะยอยย้ายสายการผลิต รถกระบะ Ranger กับ SUV/PPV รุ่น Everest ไปไว้ที่นั่น จนจบ ในช่วงปี 2020 – 2021 เพื่อปล่อยให้ Mazda เป็นเจ้าของโรงงาน AAT ไปตามลำพังก็แล้วกัน

Mazda เลยยิ้มหวาน “เสร็จกูแล้ว ฮ่าๆๆ” ไปเจรจากับ Isuzu ว่า จะขอกลับมาคืนดีอีกครั้ง ผู้บ่าวคนเดิม ก็ดีใจและแอบกระหยิ่มยิ้มย่อง “เอาละวุ้ย มีคนมาช่วยแชร์ต้นทุนการทำ D-Max รุ่นต่อไปแล้ว สุดท้าย ก็กลับมาตายรัง หลังจากหลงไปอยู่กินกับฝรั่ง Ford ไปตั้ง 20 กว่าปี”

ข้อมูลของรถกระบะรุ่นต่อไปที่สามารถยืนยันได้แน่นอนแล้ว ในขณะนี้คือ

  1. ไม่ปิดโรงงาน AAT อย่างแน่นอน เพราะยังผลิตรถเก๋ง Mazda ขายทั่ว Asia/Oceania
  2. แต่จะโยกสายการผลิตรถกระบะรุ่นต่อไป จ้างให้ Isuzu ไปประกอบแทน
  3. เครื่องยนต์กลไก Frame Chassis ทั้งหมด ใช้ร่วมกับ D-Max รุ่นต่อไป !! (นั่นหมายถึง จะถ่ายทอดความประหยัด ตามมาด้วยครบถ้วน!)
  4. อย่างไรก็ตาม รูปลักษณ์ภายนอก Mazda จะขอออกแบบ BT-50 ใหม่เองทั้งคัน
  5. ยืนยันว่า ไม่ใช่แค่ D-Max ใหม่ เปลี่ยนโลโก้ที่กระจังหน้า แน่นอน!
  6. เพื่อประหยัดต้นทุน เสาและโครงหลังคา กระจกหน้า และโครงประตู จะใช้ร่วมกัน
  7. ไม่ใช่แค่นั้น Mazda จะขอเซ็ตช่วงล่างรถกระบะของตนเองอย่างหนักหน่วงเหมือนรุ่นเดิม

คาดว่า Mazda น่าจะร่วมกันพัฒนารถกระบะรุ่นใหม่กับ Isuzu แล้วเสร็จ จนสามารถกำหนดวันออกเรือน ส่งตัว และ จัดพิธีเลี้ยงฉลองมงคลสมรส ได้ อย่างช้าที่สุด ปลายปี 2020 ไม่เกิน 2021


MASERATI

  • 2018 : Ghibli Grand Lusso / Alferi (World Premier)
  • 2019 : Alferti (Thailand Premier) / Gran Turismo (World Premier)
  • 2020 : Gran Turismo (Thailand Premier)

หลังการเปลี่ยนผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ จาก บริษัท Empire Motorsport จำกัด (เครือของกลุ่ม บริษัท Firma อดีตผู้จำหน่าย Ferrari ในไทยเดิม) มาเป็น กลุ่มบริษัท Master Group Corporation จำกัด หรือกลุ่ม Millennium (MGC Asia) แบรนด์ตรีศูลจากเมือง Modena ประเทศอิตาลี ก็เริ่มกลับมามีสีสันขึ้นอีกครั้ง

การนำสื่อมวลชน 13 ชีวิต และ คณะ VIP อีก 25 คน เดินทางไปชมโรงงาน และ ทดลองขับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ถึงเมือง Modena ตามด้วยการพาไปดูบูธ Maserati ในงาน Geneva Motor Show ช่วงเดือนมีนาคม 2017 ก่อนจะเปิดตัวแบรนด์ แบบ (Re-Launch) อย่างเป็นทางการอีกครั้ง ในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนเดียวกัน พร้อมกับประกาศนำเข้า LeVante Diesel Turbo มาเปิดตลาดเป็นครั้งแรก ร่วมกับบรรดาพี่น้องในตระกูล ทั้ง Ghibli Quattroporte และ Gran Turismo ก่อนที่จะเสริมทัพด้วย LeVante เครื่องยนต์เบนซิน ในงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา ถือเป็นความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่ สำคัญ ในปีนี้ แน่นอนว่า LeVante มียอดขายในระดับ ดีใช้ได้ เมื่อเทียบกับบรรดา Premium Luxury Brand ด้วยกัน

ปี 2018 นี้ MGC-Asia เตรียม สั่งนำเข้า Maserati Ghibli Grand Lusso ซึ่งเป็นรุ่นปรับโฉม Minorchange ของ Sedan รุ่นเล็กสุดในตระกูล แต่มีเอกลักษณ์ในแบบของตนเองมากพอ และ มีขนาดตัวถังใหญ่พอที่จะเทียบรัศมี บรรดา Mercedes-Benz E-Class , BMW 5-Series , Audi A6 ได้อย่างถึงพริกถึงขิง

ตัวรถเพิ่งเผยโฉมไปเมื่อ 28 สิงหาคม 2017 ที่ผ่านมา ณ งาน Chengdu Motor Show ที่เมืองเฉิงตู ประเทศจีน มีเครื่องยนต์เป็นแบบ V6 DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร ทั้งหมด แต่ให้เลือก 2 ประเภทเชื้อเพลิง 4 ระดับความแรง ทั้ง เบนซิน 350 แรงม้า (HP) กับ 410 แรงม้า (HP) และ Diesel Common-Rail Turbo 250 แรงม้า (HP) กับ 275 แรงม้า (HP)

การปรับโฉม เน้นไปที่การเปลี่ยนมาใช้ไฟหน้า Adaptive full LED พร้อม Matrix High-Beam ปรับดีไซน์กระจังหน้าให้มีขนาดกว้างขึ้น ตะแกรงกระจังหน้ามีความหนาเพิ่มขึ้น ปรับปรุงดีไซน์ช่องดักลมกันชนหน้าใหม่ เน้นแนวนอนมากขึ้น เปลี่ยนกันชนท้ายใหม่ และ เพิ่มระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ Advanced Driver Assistance Systems (ADAS) เต็มพิกัด ทั้งระบบเตือนเมื่อมีรถตัดผ่านขณะถอยหลัง Rear Cross Path ระบบช่วยเตือนในจุดอับสายตา Blind Spot Alert ระบบเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control ระบบแจ้งเตือนเมื่อออกนอกช่องจราจร Lane Departure Warning ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน Hill Descent Control กล้องด้านหลัง Rear View Camera ฯลฯ

คาดว่า เราจะได้เห็น Ghibli Grand Lusso ตัวเป็นๆ กันในงาน ฺBangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2018 นี้

รายละเอียดของ Ghibli Grand Lusso คลิกอ่านได้ที่นี่ CLICK HERE

ส่วน รถสปอร์ตขนาดเล็กกว่า Gran Turismo ในชื่อ Maserati Alfieri ซึ่งเคยมีการเปิดผ้าคลุมเวอร์ชันต้นแบบ ในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2014 มาแล้วนั้น ดูเหมือนจะเงียบหายไปเลย กระนั้น เราได้รับการยืนยันว่า โครงการนี้ ยังคงเดินหน้าต่อไป เพื่อให้เสร็จตามกำหนดเปิดตัว ที่ถูกเลื่อนมาเป็นช่วงปี 2018 นี้

Alfieri ได้รับแรงบันดาลใจ จากรถสปอร์ต Maserati A6 GCS/53 ซึ่งเป็นผลงานในปี 1954 ของ PininFarina ถือเป็น รถสปอร์ต Maserati ที่โด่งดังมากสุดในอดีต โดยชื่อรุ่นนำมาจาก Alfieri Maserati 1 ใน 5 พี่น้องตระกูล Maserati ผู้ก่อตั้งบริษัท เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 100 ปี ของแบรนด์ Maserati เมื่อปี 2015

รูปลักษณ์ภายนอกมาในแบบ Coupe 2+2 ที่นั่ง วางขุมพลังบล็อก V8 4.7 ลิตร ไร้ระบบอัดอากาศ 460 แรงม้า (BHP) ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตร ที่ 4,750 รอบ/นาที แต่เวอร์ชันผลิตออกขายจริง จะวางเครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร ในตอนแรก ค่ายตรีศูล ตั้งใจว่าจะมีเฉพาะรุ่น Coupe 2 ประตูเท่านั้น แต่ไปๆมาๆ มีแนวโน้มว่า อาจมีตัวถังเปิดประทุน พ่วงเข้ามาในแผนการพัฒนาด้วย

Maserati ประกาศว่า Alfieri จะพร้อมขึ้นสายการผลิตออกสู่ตลาดจริง ในปี 2018 แต่กว่าจะมาถึงเมืองไทยได้ อาจต้องรอกันจนถึงปี 2019 ซึ่งจะเป็นปีที่ ทีมวิศวกรในเมือง Modena จะเข็น Gran Turismo รุ่นใหม่ ออกสู่ตลาด ในช่วงเดียวกันพอดี แต่อาจจะเลื่อนไปถึงปี 2020 ได้ เพราะดูเหมือนว่า พวกเขายังไม่ค่อยรีบร้อนเท่าไหร่


Mercedes-Benz

  • 2018 : New CLS Full ModelChange /
  •           : C-Class Diesel + Minorchange
  •            : A-Class Sedan  / G-Class / S560e

2017 เป็นอีกหนึ่งปีที่ต้องจดจำไว้ในประวัติศาสตร์วงการรถยนต์เมืองไทยว่า ค่ายรถยนต์ตราดาวจากเมือง Stuttgart สหพันรัฐเยอรมนี กลายเป็นบริษัทที่ทำสถิติจัดงานเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ บ่อยที่สุดในปีที่แล้ว กันไปเลย เยอะกันจนจำแทบจะไม่หวาดไหวอีกต่อไปแล้ว ทั้งที่ปริมาณรถยนต์รุ่นใหม่ ก็มีทั้งหมด 11 รุ่น ได้แก่ E220d CKD ประกอบไทย, C350e ปรับสเป็ก 2 รอบ ช่วงต้นและกลางปี , E350e , E300 Coupe , GLA Facelift ประกอบไทย, AMG GLA 45 Facelift, E300 Cabriolet, S350d Facelift, Maybach S560 Facelift , AMG GT-C เปิดประทุน และ AMG GT-R

ไม่เพียงเท่านั้น ความกล้าหาญในการตัดรุ่นย่อย เครื่องยนต์สันดาปปกติ ออกไปจาก C-Class และ E-Class จนหมดสิ้น ส่งผลกระทบที่ตามมาอย่างหลีกเลียงไม่ได้ ทั้งปัญหาจากตัวรถ จนถึงปัญหาของระบบขับเคลื่อน Hybrid ที่เกิด Defect ขึ้นกับลูกค้าจำนวนมาก ทำให้เสียงร่ำลือปากต่อปากกระจายกันไปไกล ทำให้ในที่สุด Mercedes-Benz (Thailand) ต้องกลับมาทบทวนนโยบายดังกล่าวอีกครั้ง และ พยายามหาทางแก้ปัญหาดังกล่าว ด้วยการเตรียมเสริมทางเลือกเครื่องยนต์สันดาปกลับเข้าไปในตระกูลกันอีกครั้ง

ย่างเข้าปี 2018 Mercedes-Benz (Thailand) จะประเดิมกันด้วย  The New CLS ใหม่ Generation ที่ 3 ซึ่งเพิ่งเผยโฉมไปสดๆร้อนๆ ในงาน LA.Auto Show ที่ Los Angeles เมื่อ 30 พฤศจิกายน 2017 ที่ผ่านมา โดยยังคงแนวทางในการเป็น รถยนต์ Coupe 4 ประตู ที่คั่นกลางระหว่าง E-Class และ S-Class เอาไว้เช่นเดิม เพียงแต่ว่า CLS ใหม่ จะเป็น Mercedes-Benz รุ่นแรก ที่ปรับเปลี่ยนงานออกแบบชุดไฟหน้า มาเป็นแบบเดียวกับรถต้นแบบ Vision EQA ซึ่งเราจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ ในรถยนต์ตราดาวรุ่นต่อๆไป หลังจากนี้

ช่วงแรกที่เปิดตัว CLS ใหม่ ในตลาดโลกจะมีให้เลือก 2 ขุมพลัง 3 ระดับความแรง เริ่มจากเครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ ดังนี้

  • CLS350d 4MATIC

เครื่องยนต์รหัส OM656 Diesel 6 สูบเรียง DOHC 24 วาล์ว 2,927 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 82.0 x 92.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 15.5 : 1 พ่วง Turbocharger 286 แรงม้า (PS) ที่ 3,400 – 4,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร (61.14 กก.-ม.) ที่ 1,200 – 3,200 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC

  • CLS400d 4MATIC

เครื่องยนต์ เหมือนกันกับ CLS350d ทุกประการ แต่ปรับแต่ง จนแรงขึ้นถึง 340 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 – 4,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร (71.33 กก.-ม.) ที่ 1,200 – 3,200 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC

  • CLS450 4MATIC (EQ Boost Assist Hybrid)

รายละเอียดเบื้องต้น อย่างไม่เป็นทางการ เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง DOHC 24 วาล์ว 2,999 ซีซี. 372 แรงม้า (PS) แรงบิด สูงสุด 500 นิวตันเมตร (50.95 กก.-ม.) พร้อมระบบ EQ Boost Assist ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 22 แรงม้า 250 นิวตันเมตร 48V Onboard เพื่อช่วยในเรื่องของอัตราเร่ง จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC

ทาง Mercedes-Benz Thailand เตรียมสั่งนำเข้ามาเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2018 นี้ โดยคาดว่า รุ่น CLS350d น่าจะเพียงพอต่อการใช้งานของลูกค้า และ การทำราคาของบริษัทแม่ ไม่ให้แพงเกินไปนัก

รายละเอียดอื่นๆ ของ CLS ใหม่ คลิกอ่านได้ ที่นี่ CLICK HERE!

ตามกันมาติดๆด้วย การปรับโฉมครั้งใหญ่ ในรอบหลายปี ของพี่เบิ้มจอมลุย อย่าง G-Class ซึ่งจะเกิดขึ้นในงาน Detroit Auto Show 15 มกราคม 2018 นี้

Previous Post

N2308011_เม ยท ไร วตน_part2

Next Post

N2308007_กรรมท หน ไม ได_part2

Next Post
N2308007_กรรมท หน ไม ได_part2

N2308007_กรรมท หน ไม ได_part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N2512033 เอาค ละครส นต องมนต part2
  • N2512049 ทำต วแบบน อย าเร ยกต วเองว าผ ชาย ละครส part2
  • N2512055 าวกล องสะท อนใจคน (ละครส น) part2
  • N2512039 คนม ปม ไม จำเป นต องอ อนแอ หน งส part2
  • N2512041 สาม จอมงก part2

Recent Comments

No comments to show.

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.