
ในปีเดียวกันนั้นเอง Nissan จะต้องเตรียมเปิดตัว ทั้ง March และ Almera Full ModelChange เพื่อที่จะเข้าร่วมโครงการ ECO Car Phase 2 ของรัฐบาลไทยด้วย
ความเคลื่อนไหวล่าสุด ในตอนนี้ก็คือ มีผู้พบเห็น Nissan Micra จากยุโรป พรางตัว แล่นทดสอบ โดยสวมป้ายทะเบียน TC 191 ของทาง NMAP ไว้ โดย Micra หรือ March รุ่นนี้จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานโครงสร้างวิศวกรรม ร่วมกับ Almera โฉมต่อไป และมีแนวโน้มว่า ลูกค้าชาวไทย อาจได้ใช้เครื่องยนต์ลูกใหม่ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.0 ลิตร พ่วง Turbocharger จากเวอร์ชันยุโรป ก็เป็นไปได้ ชมภาพ Spyshot ได้ที่นี่
ขณะนี้ Nissan Thailand กำลังพัฒนา ทั้ง March และ Almera ใหม่ เพื่อให้ทันการเปิดตัว ในปี 2019 ซึ่งจะเป็นปีที่ดูเหมือนว่าตลาดรถยนต์ของบ้านเราจะกลับมาคึกคักเต็มรูปแบบกันอีกครั้ง แล้วหลังจากนั้น เราก็ต้องมาลุ่นกันต่อไป ว่า Nissan จะทำอย่างไรกับตลาดกลุ่ม Compact Class (C-Segment Sedan) ในเมืองไทย เราจะยังได้มีโอกาสเป็นเจ้าของ Sylphy รุ่นต่อไปกันหรือไม่ ตอนนี้ยังไกลเกินไปกว่าที่ Nissan จะมีคำตอบให้กับพวกเรา

Photo : roadandtrack.com (All Porsche pictures)
PORSCHE
- 2018 : Cayman GT-4/Boxster Spyder / Macan Minorchange
- 2019 : Porsche 911 (992)/ Mission-E
ปี 2018 น่าจะมีการเปิดตัวเวอร์ชั่นสูงสุดของฝาแฝด Cayman GT4 และ Boxster Spyder ซึ่งล่าสุดปลายปี 2017 มีช่างภาพสามารถถ่าย Spyshot ของ Cayman GT4 ซึ่งจอดไว้ริมทางโดยไม่มีการพรางตัวใดๆ และ รูปของ Boxster Spyder ซึ่งอยู่ในระหว่างการวิ่งทดสอบ
สิ่งที่เรายังต้องลุ้นกันอยู่คือเรื่องขุมพลังขับเคลื่อน ข่าวลือจากวงใน ระบุว่าฝาแฝดคู่นี้อาจได้ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบ Boxer ไร้เทอร์โบ ความจุเพิ่มจาก 3.8 เป็น 4.0 ลิตร ซึ่งจะเป็นเครื่องยนต์จาก 911 GT3 ที่นำมาลดทอนแรงม้าลง และในเวอร์ชั่นใหม่นี้จะมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดาและคลัตช์คู่ PDK

กระนั้น หลายฝ่ายยังไม่ละทิ้งความเป็นไปได้ที่ Porsche จะนำเครื่อง 4 สูบ 2.5 ลิตรจากรุ่น GTS มาปรับพลังเพิ่ม เพราะเครื่องยนต์ 4 สูบเหล่านี้สามารถทำพลังสูงกว่า 400 แรงม้าได้ไม่ยาก แต่อาจติดปัญหาเรื่อง Turbo Lag และการตอบสนองอย่างไม่เป็นธรรมชาติเท่าเครื่อง NA บล็อคโต
นี่คือเรื่องที่เรายังต้องมาลุ้นกันต่อไป

ในปี 2018 นั้น ก็ยังมี Macan ไมเนอร์เชนจ์รอคิวขึ้นอีกรุ่น โดยจะมีการปรับส่วนกันชนหน้าของรถเล็กน้อย แต่เปลี่ยนลักษณะของไฟท้ายใหม่ให้เป็นสีสันใกล้เคียงกับ Panamera และ Cayenne มากขึ้น ขุมพลังขับเคลื่อนอาจยังมีทั้งแบบ 4 สูบ และ V6 เทอร์โบอยู่ แต่อาจมีความเป็นไปได้ที่เครื่องยนต์ 2.9 ลิตร Bi-turbo บล็อคใหม่จาก Panamera และ Cayenne อาจได้มาอยู่ใน Macan ด้วย เพราะสามารถให้พละกำลังแรงม้าและแรงบิดเท่ากับเครื่องยนต์ 3.6 ลิตร ซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี 2014 แต่ประหยัดเชื้อเพลิงกว่า และมลภาวะน้อยลง
ที่สำคัญคือ การใช้เครื่องยนต์ 2.9 ลิตร ก็เท่ากับว่าสามารถนำระบบขับเคลื่อน E-Hybrid 462 แรงม้ามาใช้ได้ด้วย ซึ่งจะเปิดโอกาสในการขยายตลาดให้กับ Macan ซึ่งก็เป็นรถขายดีของทางค่ายอยู่แล้ว โดยเฉพาะตลาดที่กฎภาษีเอื้อเฟื้อแก่รถไฮบริดอย่างชัดเจนเช่นประเทศไทย

จากนั้นในช่วงปลายปี 2018 ถึงต้นปี 2019 เจ้าชายกบ 911 บอดี้ใหม่รหัส 992 ก็จะเปิดตัว รถรุ่นนี้จะใช้แพลทฟอร์ม MSB รุ่นใหม่ ซึ่งมีขนาดตัวรถสั้นเท่ากับคันเดิม แต่มีความกว้างเพิ่มขึ้น และทำสัดส่วนรถให้ดูเหมือนหน้ายาวขึ้น (รถคันในภาพยังเป็น Test Mule ซึ่งตัวถังหลายส่วนยังเป็น 991) รุ่นแรกที่เปิดตัว จะเป็น Carrera และ Carrera S ซึ่งอาจได้เครื่องยนต์ที่ปรับจูนให้แรงกว่าเดิมอีกเล็กน้อย
ส่วนเรื่องการใช้ขุมพลังไฮบริดใน 911 นั้น Oliver Blume CEO ของ Porsche บอกว่า อาจต้องดูกันในระยะยาว โดย Porsche จะพิจารณาจากเรื่องความต้องการของลูกค้า ว่าพวกเขาอยากได้รถไฮบริด/EV กันหรือไม่ และประการที่สองก็คือเรื่องการขับขี่ เพราะในขณะที่โมเดลอื่นๆไม่ได้เน้นเรื่อง Driving Purity มาก แต่ 911 นั้นยึดถือจนเป็นประเพณี ที่ผ่านมา Porsche ก็แอบลองทดสอบเรื่องการติดตั้งแบตเตอรี่ใน 911 และพบว่ายังไม่สามารถปรับจูนให้รถมีสมรรถนะการขับขี่ที่ดีอย่างที่พวกเขาต้องการ
ถ้า 911 ไฮบริดจะมา มันก็คงต้องเป็นหลังปี 2023 เป็นต้นไป หรือเมื่อเวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์ของ 992 เปิดตัวไปแล้วเท่านั้น


Porsche จะเปิดตัว Mission E ซาลูนพลังไฟฟ้าเวอร์ชั่นขายจริงภายในปี 2019 และอาจเป็นที่งาน Frankfurt Motorshow เดือนกันยายนในปีนั้น Oliver Blume (CEO ของ Porsche) กล่าวว่า Mission E รุ่นขายจริงจะมีหน้าตาต่างจากรถ Concept ที่โชว์โฉมในปี 2015 ไม่มาก และมันจะมาพร้อมกับแพลทฟอร์มใหม่ที่สร้างขึ้นสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของ Porsche, Audi และอาจรวมถึง Lamborghini
เวอร์ชั่นขายจริง จะวางแบตเตอรี่ลิเธียมไออ้อนไว้ที่พื้นรถ ระหว่างล้อคู่หน้าและหลัง ขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยมอเตอร์ 2 ตัว และอาจมาพร้อมกับระบบเลี้ยว 4 ล้อที่ประยุกต์มาจาก 911 มาพร้อมกับระบบชาร์จไฟที่ 800V ที่ Porsche พัฒนาขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะสามารถประจุไฟเข้าแบตเตอรี่ให้มากพอจน Mission E วิ่งได้ 400 กิโลเมตร ภายในเวลาแค่ 15 นาทีเท่านั้น เพียงแต่ว่าระบบดังกล่าวจะต้องอาศัยแท่นชาร์จเฉพาะของ Porsche
Mission E จะมีขายหลายรุ่น อาจมีพละกำลังไล่ตั้งแต่ 402, 536 และ 670 แรงม้า โดยจะวางตำแหน่งทางการตลาดสอดตรงกลางระหว่าง 911 และ Panamera แต่ราคาในรุ่นเริ่มต้นจะใกล้เคียง Panamera รุ่นล่างสุด และแพงกว่า Tesla เล็กน้อย (ประมาณ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับรถที่ขายในอเมริกา)

Rolls Royce
- 2018 : Phantom / Cullinan SUV (World Premier)
- 2019 : Cullinan (Thailand Debut) / Ghost New Variation
- 2021 : Ghost Full ModelChange / Dawn MinorChange
ปี 2017 ที่ผ่านมา หากไม่นับการเผยโฉมรุ่นตกแต่งพิเศษ หลังคาผ้าใบ 3 สี 3 สไตล์ ของรถเปิดประทุน Dawn ในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2017 และการสั่งนำเข้ารุ่น Coupe อย่าง Wraith Black badge เข้ามาเอาใจลูกค้าชาวไทย 2 คัน แล้ว Hi-Light สำคัญของ ผู้ผลิตรถยนต์ระดับหรู จอม Slow Life ชาวอังกฤษ แห่งเมือง Goodwood คือการเปิดตัว รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน ของรถยนต์รุ่นแพงสุดระดับ Flagship ของตน อย่าง Rolls Royce Phantom VIII (Generation ที่ 8) เมื่อ 27 กรกฎาคม 2017 ในกรุง London โดยยังคงมีให้เลือกทั้งรุ่นมาตรฐาน และรุ่นช่วงล้อยาว Long Wheelbase เช่นเคย
จุดเด่นของ Phantom ใหม่ นอกจากจะเน้นการตกแต่งภายในให้หรูหรา Ultra Luxury ยิ่งขึ้นไปอีกด้วย ภายในห้องโดยสารแบบ The Gallery รวมทั้งการเปิดกว้างให้ลูกค้าได้เลือกประดับตกแต่งตามต้องการในระดับขีดสุด รวมทั้งสีตัวถังที่พร้อมจะส่งทีมงานไปเก็บตัวอย่างสีที่คุณต้องการเพื่อมาแปลงโฉมลงบนตัวรถให้คุณ อันเป็นมาตรฐานตามแบบฉบับของ Rolls Royce แล้ว รุ่นที่ 8 ของ Phantom ใหม่นี้ จะยังเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่ถูกพัฒนาข้น บนพื้นตัวถัง (Platform) ใหม่ ที่เรียกว่า “Architecture of Luxury” ซึ่งขึ้นรูปเป็นแบบ Aluminium Space Frame แทบทั้งหมด ทนต่อการบิดตัวได้ดีขึ้นถึง 30% สะดวกต่อการผลิตมากขึ้น ทั้งในมุมของ Rolls Royce เอง หรือ Supplier แน่นอนว่า Platform ใหม่นี้ จะถูกนำไปใช้กับ SUV ใหม่รุ่น Cullinan รวมทั้ง ตระกูลน้องเล็กขายดี ทั้ง Ghost , Wrath และ Dawn ใน Generation ต่อไป อีกด้วย!
ขุมพลัง เป็น เครื่องยนต์รหัส N73 เบนซิน V12 DOHC 48 วาล์ว 6,745 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 92.0 x 84.6 มิลลิเมตร Twin Turbo ให้กำลังสูงสุด 563 แรงม้า (BHP) ไม่ระบุรอบฯ แรงบิดสูงสุด 900 นิวตันเมตร (91.71 กก.-ม.) ที่ 1,700 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหลังด้วย เกียร์อัตโนมัติจาก ZF 8 จังหวะ พร้อมระบบ Satellite Aided Transmission ที่ช่วยเหลือการเปลี่ยนเกียร์จากการรับข้อมูลสภาพท้องถนนล่วงหน้า
Phantom รุ่นที่ 8 มีกำหนดจะเปิดตัวในประเทศไทย อย่างเร็วที่สุด ภายในงาน ฺBangkok International Motor Show เดือนมีนาคม 2018 นี้ คาดว่า ราคาในรุ่นเริ่มต้น อาจจะทะลุ 31 ล้านบาท ขึ้นไป เนื่องจากกลไกทางภาษีของบ้านเรา รายละเอียดเพิ่มเติมของตัวรถอันแสนจะอลังการงานสร้างกว่า Phantom ในอดีตทั้ง 7 รุ่น สามารถ คลิกอ่านต่อได้ที่นี่ / CLICK HERE

Photo : Automedia (Headlightmag Partnership)
ส่วนความเคลื่อนไหวของ SUV รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ 110 ปี ของพวกเขาอย่าง Rolls Royce Cullinan ที่จะใช้ Platform ” Architecture of Luxury ” ร่วมกับ Phantom ใหม่ นั้น ตอนนี้ ยังคงอยู่ในช่วงการส่งรถยนต์ Prototype ไปทดสอบตามสภาพถนนและภูมิอากาศในเขตต่างๆทั่วโลกกันอยู่ ล่าสุด เมื่อเดือนสิงหาคม 2017 ที่ผ่านมา มีภาพถ่าย Spyshot ขณะกำลังทดสอบอยู่บนสนาม Nurburgring ในเยอรมนี มาให้ได้รับรู้ว่า ยังคงทดสอบกันอยู่นะ ไม่ได้เงียบหายไปไหน
ในช่วงแรกที่ออกสู่ตลาด คาดว่า Cullinan น่าจะมีให้เลือกเฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ เบนซิน V12 DOHC 48 วาล์ว เทอร์โบชาร์จคู่ ขนาด 6.75 ลิตร ความจุกระบอกสูบ 6,745 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 92.0 x 84.6 มิลลิเมตรให้กำลังสูงสุด 563 แรงม้า (BHP) จาก Phantom และคาดว่า อาจมีระบบช่วงล่างแบบถุงลม Air Suspension มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน แต่หลังจากนั้น เราอาจได้เห็นขุมพลัง Plug-in Hybrid ตามออกมาในภายหลัง เพื่อให้มีทางเลือกสอดรับกับยุคสมัยแห่งรถยนต์พลังไฟฟ้าซึ่งกำลังจะมาถึง
Cullinan มีกำหนดชิงตำแหน่ง “ รถยนต์ SUV ที่ดีที่สุดในโลก ” คืนจาก Bentley Bentayga ซึ่งเคลมตัวเองว่าครองตำแหน่งนี้อยู่ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2018 โดยจะเผยโฉมได้ เป็นอย่างเร็วที่สุด ในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2018 แต่กว่าที่ทาง MGC-Asia (กลุ่ม Millennium) ผู้จำหน่าย Rolls Royce อย่างเป็นทางการในบ้านเราตอนนี้ จะพร้อมสั่งนำเข้า มาเอาใจมหาเศรษฐีในบ้านเราได้ คงต้องรอกันจนถึงปี 2019 ด้วยค่าตัวที่คาดกันว่าน่าจะแพงสูงลิ่วไปถึงระดับ 30 ล้านบาท ในรุ่นพื้นฐาน !!
หลังจากนั่น Rolls Royce จะขอทุ่มเวลาทั้งหมดที่มี ไปกับการผลิตรถยนต์ทุกรุ่น ให้สามารถส่งมอบลูกค้าได้ตามกำหนด อย่างน้อยๆ จนถึงปี 2019 จึงจะมี Ghost รุ่นพิเศษ เป็นการสั่งลา ออกมาให้ได้อุดหนุนกัน ก่อนที่เราจะได้พบกับ Ghost รุ่นใหม่ ที่ถูกสร้างขึ้นบน Platform “Architecture of Luxury” ตามออกมาในปี 2020 ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ Ghost ตัวถัง Coupe ในชื่อรุ่น Wraith และ รุ่นเปิดประทุนอย่าง Dawn จะต้องมีการปรับโฉม Minorchange อีกสักรอบหนึ่ง

SSANGYONG
- 2018 : New Rexton
ตลอดปี 2017 ที่ผ่านมา ผู้ผลิตรถยนต์ SUV จากแดนกิมจิ ในเครือของกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรม Mahindra & Mahindra จากอินเดีย
แทบไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆในประเทศไทยเราเลย เพราะหลังจากการทดลองนำ Sub-Compact Crossover ใหม่รุ่น Tivoli เข้ามาทดลองตลาด 2 คัน ก็แทบไม่มีลูกค้ามาเหลียวมอง เพราะค่าตัวที่แพงถึง 1,500,000 บาท อันเป็นผลมาจากภาษีนำเข้า และสารพัดภาษีที่ต้องจัดเก็บบวกเข้าไปในราคาขายปลีก จึงต้องยุติแผนการทำตลาดไปอย่างช่วยไม่ได้
ถึงในบ้านเราจะเงียบ แต่ในเมืองนอก Ssangyong เพิ่งจะเปิดผ้าคลุม รุ่นเปลี่ยนโฉม Full ModelChange ครั้งแรกในรอบ 16 ปี ของ รถยนต์ SUV รุ่นขายดีของตน ภายใต้ชื่อ G4 Rexton ในงาน Seoul Motorshow เมื่อ 30 มีนาคม 2017 Johng-sik Cho : CEO ของ Ssangyong กล่าวว่า นับจากนี้ พวกเขาจะเปลี่ยนโฉม SUV ในตระกูลของตน ทุกปี จนกว่าจะครบทุกรุ่น !”
Rexton ใหม่ เป็น SUV ขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ (D-SUV) ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้รหัสโครงการ Y400 บนเฟรมแชสซีส์แบบ Quad Frame (Body on Frame) มิติตัวถัง 4,850 มิลลิเมตร กว้าง 1,960 มิลลิเมตร สูง 1,825 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,865 มิลลิเมตร
มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 แบบคือ e-XGDi 200T เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,998 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 86 x 86 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.6 : 1 หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ 225 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร (35.66 กก.-ม.) ที่ 1,500 – 4,500 รอบ/นาที มีทั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ (ขับล้อหลัง 4×2 เท่านั้น) และอัตโนมัติ 6 จังหวะ จาก AISIN (4×2 กับ 4×4 Part Time)
อีกรุ่นเป็นรหัส e-XDi 220 เครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,157 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 86.2 x 92.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 15.5 : 1 Common-Rail Turbo 181 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด ขึ้นอยู่กับระบบขับเคลื่อน หากเป็นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ จะอยู่ที่ 40.7 กก.-ม.ที่ 1,400 – 2,800 รอบ/นาที แต่ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ (Mercedes-Benz Sources) จะอยู่ที่ 42.8 กก.-ม.ที่ 1,600 – 2,600 รอบ/นาที เชื่อมกันได้ทั้งระบบขับเคลื่อนล้อหลัง 4×2 และ Part Time 4×4 ทั้ง 2 ขุมพลังผ่านมาตรฐาน Euro 6
พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเอร์ผ่อนแรงแบบ ” ไฮโดรลิค ” ระบบกันสะเทือนหน้าแบบ ปีกนกคู่ ด้านหลังแบบ 5-Link หรือ อิสระ ตามแต่ละประเทศต้องการ ดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมตัวช่วยทั้ง ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP พร้อม Traction Control และระบบช่วยลงเนิน Hill Descent Control(HDC) ระบบ Autonomous emergency braking (AEB) ระบบ Forward collision warning (FCW) ระบบแจ้งเตือนเบี่ยงเลน Lane departure warning (LDW) ไฟหน้า High beam assist (HBA) ระบบ Traffic sign recognition (TSR) ระบบแจ้งเตือนจุดบอด Blind spot detection (BSD) ระบบแจ้งเตือนรถตัดท้าย Rear cross traffic Alert (RCTA) และระบบ Lane change assist (LCA)
ได้แต่คาดว่า Ssangyong Thailand จะสั่งนำเข้า Rexton ใหม่ มาเปิดตัวในบ้านเรา อย่างเร็วที่สุดในงาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคมนี้ หรือไม่เช่นนั้น ก็คงจะต้องรอกันนานกว่านั้น แต่คาดว่า ไม่น่าจะเกินกว่าปี 2018 เพราะลำพังตอนนี้ จะให้ Ssangyong ทำตลาดแต่ รถตู้ Starvic เพียงอย่างเดียว ก็คงเหนื่อยยากลำบากสาหัส

SUBARU
- 2018 : Outback Minorchange / Forester (World Premier)
- 2019 : New Forester Made in Thailand !!
สำหรับ ค่ายดาวลูกไก่แล้ว 2017 เป็นปีที่เต็มไปด้วยเรื่องราวหวือหวาใช่เล่น หากไม่นับและการประกาศความร่วมมือระหว่าง FHI – Fuji Heavy Industries (หรือเปลี่ยนชื่อเป็น Subaru Corporation เมื่อ 1 เมษายน 2018) กับ กลุ่ม Tan Chong จากสิงค์โปร์ ก่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ของตนในเมืองไทยในชื่อ T.C.Manufacturing & Assembly (Thailand) หรือ TCMA TH เพื่อจะขึ้นสายการผลิตรถยนต์ Subaru ในประเทศไทย โดยกลุ่มตันจง จะถือหุ้น 74.9% ส่วน FHI จะถือหุ้น 25.1% เมื่อ 18 มกราคม 2018 และการกระตุ้นตลาด ด้วยการเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ Subaru Forester 2.0 i-P เมื่อ 29 มิถุนายน 2017 แล้ว
ข่าวใหญ่สำหรับ ค่ายดาวลูกไก่ ในเมืองไทย ภายใต้การทำตลาดโดยกลุ่ม Tan Chong ในปี 2017 คงหนีไม่พ้น การลาออกของแม่ทัพการตลาดคนสำคัญ อันเป็นจุดเริ่มต้นของการทะยอยลาออกตามมาของอดีตคนทำงานจำนวนมาก หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์บ้านเรา จะตั้งคำถามถึงอนาคตของ Subaru ในเมืองไทย ว่า บรรดาผู้มารับหน้าที่แทนคนเก่า ในแทบทุกหน่วยงานเหล่านั้น จะมีศักยภาพดีพอในการประคับประคองตลาดของ Subaru ในแดนสยาม ได้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปรับปรุงบริการหลังการขาย และความรวดเร็วในการสั่งอะไหล่จากต่างประเทศ
เพราะในช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน 2017 กลุ่มตันจง ที่เคยรับปากว่าจะเข้าร่วมงาน Motor Expo ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ก็กลับถอนตัวออกเสียดื้อๆ ทั้งที่ตนเองจะมีรถยนต์รุ่นใหม่อย่าง XV Generation 2 เตรียมเปิดผ้าคลุมกันในงานด้วยซ้ำ ร้อนถึงบรรดาดีลเลอร์ รายใหญ่ๆ ต้องนัดมารวมตัวพูดคุย เตรียมลงขันออกบูธกันเอง แต่แล้วจู่ๆ กลุ่มตันจง ก็กลับลำ ขอเข้าร่วมงาน Motor Expo และ ส่ง XV ใหม่ มาเปิดตัวในงานแบบเงียบๆ ได้ในท้ายที่สุด แถมยังกล้านำ XV รุ่นเดิมมาจอดเทียบข้างๆ ให้ลูกค้าเห็น และ สัมผัสความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 รุ่น กันไปเลย ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมืองไทยก็ว่าได้ ทำเอาทุกคน งงไปหมด
นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการทำงานในแบบ “สิงคโปเรียน” ที่ไม่พยายามเข้าใจตลาดรถยนต์เมืองไทยเลยว่า ” จำเป็นต้องวางแผน และ เดินหน้าตามแผนอย่างต่อเนื่อง ” ไม่ใช่นึกจะทำอะไรก็ทำ นึกจะปรับราคาขึ้นๆ ลงๆ ตามใจตน ราวกับราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ หนะ มันจะทำให้ลูกค้าใหม่ รู้แกว และ ลูกค้าเก่าเข็ดขยาด ซึ่งจะทำให้พวกเขาค่อยๆถอยห่างจากแบรนด์ Subaru ที่หลายๆคนอุตส่าห์ปลุกปั้นให้ฟื้นกลับมาอีกครั้ง จนพังทะลายไปได้อย่างไม่ควรเป็น
ถึงแม้ว่า XV ใหม่ จะถูกเปิดตัวไปแล้วในงาน Motor Expo แต่เนื่องจาก ปริมาณของ XV รุ่นเดิมในสต็อก ยังพอมีเหลืออยู่อีกนิดหน่อย T.C.Subaru จึงยังไม่เดินหน้าลุยโปรโมท เปิดตัว XV ใหม่มากนัก แต่ในวันที่ 19 มกราคมนี้ พวกเขาจะจัดกิจกรรมทดลองขับ ครั้งใหญ่ Mega Test Drive ในกรุงเทพหานคร ที่ห้างสรรพสินค้า SHOW DC ย่านพระราม 9 RCA หลังจากนั้น อาจมีการกระตุ้นตลาดเล็กน้อย ช่วงปลายปี 2018 ด้วยสีตัวถังพิเศษ พร้อมกับ Option ใหม่บางรายการ
รายละเอียดของตัวรถ และบทความทดลองขับ Full Review Subaru XV ใหม่ ใน Headlightmag.com ของเรา เสร็จเรียบร้อยแล้ว คลิกอ่านได้ที่นี่ CLICK HERE!
ขณะเดียวกัน 18 มกราคม 2018 Subaru จะจัดงานเปิดตัว Legacy และ Outback รุ่นปรับโฉม Minorchange ที่สิงค์โปร์ ซึ่งมีการเปลี่ยนกระจังหน้าใหม่ และปรับรายละเอียดการตกแต่งภายนอกและภายในอีกนิดหน่อย ก่อนที่ Outback จะถูกสั่งเข้ามาจำหน่าย ในบ้านเรา ในปริมาณไม่มากนัก เพื่อเอาใจลูกค้าที่อยากได้รถยนต์ Station Wagon ยกสูง ไว้เดินทางไกล ซึ่งมีจำนวนไม่เยอะ คาดว่า น่าจะเปิดตัวในงาน ฺBangkok International Motor Show เดือนมีนาคม 2018 เป็นอย่างเร็วทีสุด เนื่องจากรายละเอียดวิศวกรรม คล้ายคลึงกับรถรุ่นเดิม ดังนั้น คุณจึงสามารถอ่านรายละเอียดของ Outback ได้จาก Full Review ของเว็บเรา คลิกที่นี่ CLICK HERE

Photo : AutoGuide.com by KGP Spy Photography
อย่างไรก็ตาม ปี 2018 นอกจากจะเป็นปีที่ Subaru ต้องโหมทำตลาด XV ใหม่แล้ว พวกเขายังอยู่ในระหว่างเตรียมความพร้อม ร่วมกับกลุ่ม Tan Chong ในการตั้งโรงงาน ขึ้นสายการผลิตรถยนต์ Subaru ในประเทศไทย เป็นครั้งแรก หลังจากที่ยกเลิกไปกว่า 30 ปี โดย รถยนต์รุ่นที่จะถูกนำมาประกอบขายในบ้านเราเป็นรุ่นแรกคือ Forester Generation ที่ 5 ซึ่งในขณะปิดต้นฉบับบทความนี้ ตัวรถยังอยู่ในระหว่างการทดสอบ ขั้นสุดท้าย โดยทีมวิศวกร Subaru เลือกใช้ Honda CR-V รุ่นปัจจุบัน และ Volkswagen Tiguan เป็น Benchmark ในการพัฒนา
Forester จะถูกสร้างขึ้น บนพื้นตัวถัง Platform ใหม่ Subaru Global Platform (SGP) เช่นเดียวกับ Impreza และ XV ใหม่ โดยจะมีเครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบนอน Boxer DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร จาก XV เป็นขุมพลังมาตรฐาน ส่วนเวอร์ชันที่ร้อนแรงกว่านั้น มีทั้งกระแสข่าวว่า จะมี และไม่มีขุมพลัง Turbocharger 250 แรงม้า (PS) มาให้เลือก ด้านรูปลักษณ์ ก็ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นหวือหวา เป็นเพียงการนำเส้นสายของ SUV 7 ที่นั่งไซส์ใหญ่ สำหรับตลาดอเมริกาเหนืออย่าง Subaru Ascent มาย่อส่วน ลดบุคลิกความเป็น ” ป้าขายข้าวแกง ” ในรถรุ่นปัจจุบัน ลงไป ก็เท่านั้นเอง
Subaru มีกำหนดเตรียมเปิดตัว Forester รุ่นใหม่ Generation ที่ 5 สู่สายตาชาวโลก ต้นปี 2018 นี้ ส่วนเวอร์ชัน Made in Thailand จะเริ่มผลิตออกสู่ตลาดได้จริง จากโรงงานแห่งใหม่ ย่านลาดกระบัง ประมาณเดือน มกราคม 2019 และยังอาจมีลุ้นได้ใช้ระบบ EyeSight ครั้งแรกในไทยกับรถรุ่นนี้อีกด้วย
เมื่อถึงตอนนั้น ลูกค้าชาวไทย น่าจะแยกความแตกต่างระหว่าง ตำแหน่งการตลาดของทั้ง Forester และ XV ได้เสียที โดย Forester จะเจาะตลาดกลุ่ม C-SUV แข่งกับ Honda CR-V , Mazda CX-5 , Nissan X-Trail ขณะที่ XV นั้น แม้ว่ามีขนาดตัวถังจัดอยู่ในกลุ่ม C-Segment Crossover แต่ด้วยราคา จึงทำให้ถูกจัดไปแข่งกับ Honda HR-V , Mazda CX-3 และ Toyota C-HR แทน
ดังนั้น ในปี 2018 นี้ สิ่งที่ T.C.Subaru จะต้องทำก็คือ พยายามแก้ไขปัญหาด้านบริการหลังการขายในภาพรวมของตนให้ดีขึ้นเสียที ควบคู่ไปกับการโหมทำตลาด XV ใหม่ และเตรียมความพร้อมในการทำตลาด Subaru Forester Made in Thailand ในช่วงต้นปี 2019 ให้ดีๆ ยังมีงานอีกมากมาย รอคอยชาวทุ่งเสรีไทย ย่านบางกะปิกันอยู่!

SUZUKI
- 2018 : SWIFT & ERTIGA Full ModelChange
- 2019 : Ciaz MinorChange / Jimny ?
การประคับประคองยอดขายของ ผู้ผลิตรถยนต์ชาวญี่ปุ่น จากเมือง Hamamatsu ในบ้านเรา ตลอดปี 2017 ที่ผ่านมา ถือว่า เหนื่อยหนักอยู่ไม่น้อย เพราะการไม่มีรถยนต์รุ่นเปลี่ยนโฉม หรือปรับโฉมใหม่ เปิดตัวออกมาเลย ในขณะที่เจ้าตลาด พยายามโหมส่งรถยนต์รุ่นใหม่ อย่าง Toyota Yaris ATIV เข้าตลาด ยิ่งทำให้ลูกค้ามองเมินจาก Suzuki Ciaz ไปมากอยู่ กระนั้น ด้วยจุดเด่นด้านขนาดตัวถังที่ใหญ่กว่า ภายในนั่งสบายกว่า และเครื่องยนต์ที่แรงกว่า ประหยัดน้ำมันกว่า นิดนึง รวมทั้งเพิ่งจะเพิ่มช่องแอร์ สำหรับผู้โดยสารบนเบาะหลัง ในรุ่น RS ในงาน Motor Expo เดือนพฤศจิกายน 2017 ที่ผ่านมาหมาดๆ ก็ยังพอช่วยให้ Ciaz สามารถรักษายอดขายไว้ที่ระดับเฉลี่ย 1,000 คัน/เดือนไว้ได้
ขณะเดียวกัน หัวโจกประจำค่ายอย่าง Swift Hatchback 5 ประตู เริ่มมียอดแผ่วลงไป อยู่ที่ระดับเฉลี่ย 500 – 700 คัน/เดือน เพราะลูกค้าเริ่มรอคอยการมาถึงของ Swift รุ่นใหม่ นอกนั้น ก็ยังพอจะมียอดขายจากกลุ่มลูกค้า SME ที่อุดหนุน รถกระบะ Carry นำเข้าจาก Indonesia ไปทำ Food Truck กันพอสมควร ตามด้วย ส่วน Ertiga กับ Celerio แทบไม่ต้องพูดถึงกันอีก เพราะยอดขายตายสนิท แข่งกันครองถ้วย ” บ๊วย Award ” ในตารางยอดขาย ECO Car กับ Honda Brio 5 ประตู กันอย่างเหงาๆ อยู่ 2 หน่อ
ต้นปี 2018 นี้ ใครที่รอ Swift ใหม่ ก็คงจะดีใจร้องลั่นบ้านกันเสียที เพราะ หลังจากที่แอบเอารถยนต์ต้นแบบพวงมาลัยซ้าย มาวิ่งทดสอบกันทั้งวันทั้งคืน (แม้จะดึกดื่น ช่วงเที่ยงคืน ยันตี 4 พี่ชายร่างสูงหน้าเหี้ยมๆ คนขับรถทดสอบก็ยังพา Swift น้อย ไปวิ่งเก็บข้อมูล แถวๆ บางนา-ตราด ยาวถึงระยอง กันอย่างต่อเนื่อง) ในที่สุด Suzuki Motor Thailand ก็ได้ฤกษ์ ขึ้นสายการประกอบ Swift ใหม่ รุ่นที่ 3 (นับจากปี 2004) อย่างเป็นทางการ ในบ้านเรา เสียที! หลังจากเปิดตัวในญี่ปุ่นกันตั้งแต่วัน Christmas ปี 2016 และทะยอยเปิดตัวในตลาดโลก โดยเฉพาะในยุโรป ตั้งแต่ Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2017 และ Swift Sport ในงาน Frankfurt Motor Show กันยายน 2017
จุดเด่นของ Swift ใหม่ เวอร์ชันไทย คือเทคโนโลยีที่อัดแน่นมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม ทั้งเครื่องยนต์ เบนซิน 1.2 ลิตร DualJet ที่อาจจะมีตัวเลขแรงม้า ลดลงจากเดิม 91 เหลือ 89 แรงม้า (PS) อันเป็นผลจากการปรับจูนให้ผ่านมาตรฐานไอเสียตามมาตรฐาน ECO Car Phase 2 แต่ด้วยการพัฒนาโครงสร้าง Platform ใหม่ ” HEARTECH ” จะช่วยลดน้ำหนักตัวรถลง ขณะที่ความแข็งแกร่ง จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น รวมทั้งจะมีอุปกรณ์ความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็น ถุงลมนิรภัยที่มากถึง 6 ลูก ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution) ระบบเพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน Brake Assist พร้อมระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP (Electronic Stability Program) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist และในรุ่น Top จะมีระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Touch Screen Navigation System ติดตั้งมาให้จากโรงงานอีกด้วย
กระนั้น น่าเสียดายว่า Swift ใหม่ จะยังไม่มีเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร BoosterJet หรือขุมพลัง 1.4 ลิตร Turbo จาก Swift Sport มาประกอบขายในบ้านเราอย่างแน่นอน ส่วนกำหนดการเปิดตัวของ Swift ใหม่ จะเกิดขึ้น ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2018 นี้ โดยคาดว่า ราคาจะเพิ่มขึ้นจากเดิม ไม่มากนัก

ลำดับถัดไป จะเป็นคิวของ B-Segment Minivan 7 ที่นั่ง สำหรับตลาด ASEAN อย่าง Suzuki Ertiga Full Modelchange ซึ่งหวังจะดับความร้อนแรงของ Mitsubishi Xpander และ Toyota Rush ที่เพิ่งเปิดตัวใน Indonesia ให้ได้
Suzuki พยายามเจาะตลาด Minivan ขนาดเล็ก 7 ที่นั่ง ใน Indonesia และ India มานานแล้ว แต่ต้องยอมรับว่า คู่แข่งสายโหดเจ้าตลาดอย่าง Toyota Avanza / Daihatsu Xenia ยังครองแชมป์เหนียวแน่น จนกระทั่งบรรลังค์เพิ่งสั่นคลอน เมื่อ Mitsubishi Motors เปิดตัว Xpander ออกมาในช่วงเดือนสิงหาคม 2017 และทำยอดจองสูงถล่มทะลาย มากถึง 6,000 คัน ทำเอา Suzuki เองก็ตกที่นั่งลำบาก จากยอดขาย Ertiga ที่ลดลงไปพอสมควร กระนั้น ผู้บริหาร Suzuki ที่ Indonesia ก็มั่นใจว่า Ertiga ใหม่ จะมีคุณงามความดีมากพอที่จะดึงลูกค้ากลับมาจากคู่แข่งได้
รายละเอียดด้านวิศวกรรมของ Ertiga ใหม่ จะถูกสร้างขึ้นบน Platform ใหม่ HEARTECH เช่นเดียวกับ Swift ใหม่ โดยจะยังคงมีเครื่องยนต์ให้เลือก ทั้งแบบ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.4 ลิตร ที่พัฒนาขึ้นจากบล็อกปัจจุบัน และ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร รุ่นใหม่ ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาขั้นสุดท้าย ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ แบบ AMT อย่างไรก็ตาม คาดว่า เวอร์ชันไทย อาจจะยังคงได้ใช้เกียร์อัตโนมัติ 4 หรือ 5 จังหวะ เหมือนเวอร์ชัน Indonesia
Suzuki ตั้งใจจะส่ง Ertiga เวอร์ชัน Prototype ขึ้นอวดโฉมในงาน Auto Expo ที่ India ต้นปี 2018 นี้ ก่อนที่จะเริ่มส่งเวอร์ชันจำหน่ายจริง ขึ้นโชว์รูม Indonesia ก่อนใครเพื่อน ราวๆ เดือนมีนาคม เป็นอย่างเร็วที่สุด จากนั้น ลูกค้าชาวไทยน่าจะได้จับจองเป็นเจ้าของกันภายในช่วงปลายปีนี้ ก่อนงาน Motor Expo เดือนพฤศจิกายน 2018 จะเริ่มขึ้นไม่นานนัก

ภาพจาก Motor1.com
อีกรุ่นหนึ่งที่ต้องจับตามองกันเลยว่า จะมีการปรับโฉม Minorchange ในปี 2018 นี้ด้วยหรือไม่ นั่นคือ Suzuki Ciaz ECO-Car Sedan ที่มีขนาดตัวถังใหญ่สุด และห้องโดยสารนั่งสบายมากสุดในตลาด
อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มสูงมากว่า หน้าตาของ Ciaz Minotchange อาจแตกต่างจาก เวอร์ชันจีน ในชื่อ Alivio Pro ที่เปิดตัวไปแล้วก่อนหน้านี้ ในงาน Cheng-tu Auto Show เมื่อ 27 สิงหาคม 2017 ที่ผ่านมา เป็นไปได้ว่า Ciaz จะมีกเปลือกกันชนหน้า และกระจังหน้าใหม่ ที่เล็กกว่า Alivio Pro รวมทั้งมีเปลือกกันชนท้าย ออกแบบขึ้นใหม่ ให้เรียบหรูและดูสปอร์ตไปพร้อมๆกัน ด้านขุมพลัง จะยังไม่มีการปรับปรุงใดๆ ทั้งสิ้น เว้นเสียแต่ว่า Suzuki เกิดคิดพิลึก นำเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร DualJet จาก Swift ใหม่ มาใส่ให้กับ Ciaz ซึ่งค่อนข้างเป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ
กำหนดเปิดตัว ของ Ciaz Minorchange จะเกิดขึ้นในตลาดโลก ภายในปี 2018 นี้ แต่สำหรับลูกค้าชาวไทย คงต้องรอลุ้นกันว่า Suzuki Motor Thailand จะยอมเปิดตัว Sedan รุ่นปรับโฉมใหม่คันนี้ ทันช่วงงาน Motor Expo ปลายปี 2018 หรือว่าจะลากยาวไปเปิดตัวในช่วงต้นปี 2019 กันไปเลย

TATA MOTORS
- 2018 : XENON MY 2018
- 2019 : XENON Full ModelChange
- 2020 : SUV / PPV ?
เหมือนจะหายหน้าหายตาไป แต่ความจริงแล้ว ผู้ผลิตรถยนต์ในเครือบริษัทอุตสาหกรรมหนักขนาดใหญ่จากเมือง Mumbi เขามัวแต่หันไปบุกเบิกตลาดรถบรรทุก TATA-DAEWOO จนคนไทยจำนวนมากแทบจะลืมไปแล้วว่า ตัวทำเงินเข้ากระเป๋าของพวกเขา อย่าง TATA XENON ก็ยังขายกันได้เรื่อยๆอยู่ ในกลุ่มลูกค้าที่นำไปใช้งานเชิงพาณิชย์เป็นหลัก
เพราะหลังจากเปิดตัว รถกระบะ XENON 4 ประตู รุ่นปรับโฉม Minorchange ทั้ง NXplorer และ NXTreme ในปี 2016 ตามด้วยการ เสริมทัพรุ่นย่อยใหม่ TATA XENON SC150NX-PERT 4X2 รถกระบะแบบ หัวเก๋งเดี่ยว Cab Chassis สำหรับให้ผู้ประกอบการ นำไปต่อเติมพื้นที่้ด้านหลังตามความต้องการ เมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2017 และการเปิดตัวรถบรรทุก 6 ล้อ TATA ULTRA ในงาน Bangkok International Motor Show เมื่อ 28 มีนาคม 2017 แล้ว พวกเขาก็ไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่อื่นใดชวนให้สนใจอีกเลย และนั่นเป็นเพียง 2 ความเคลื่อนไหวหลักของ TATA MOTORS ในเมืองไทย ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
เห็นเงียบๆอย่างนี้ ใช่ว่าหนีหน้า หายไปทำโรตี เพียงแต่ TATA กำลังซุ่มเงียบ พัฒนารถกระบะรุ่นใหม่อย่างเต็มที่ โดยตัวรถจะมีงานออกแบบบางส่วน รวมทั้งรายละเอียดทางวิศวกรรม และชิ้นส่วนอะไหล่บางรายการ ร่วมกับ TATA HEXA SUV Crossover-Minivan-SUV คันใหญ่ รุ่นใหม่ ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปในตลาดอินเดีย เมื่อ 18 มกราคม 2017
จุดเด่น ของ HEXA อยู่ที่ การยกระดับงานออกแบบ ความปลอดภัย และคุณภาพตัวรถให้เข้าสู่ระดับ Premium มากขึ้น เพิ่มระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบสวิตช์หมุนไฟฟ้า พร้อมโปรแกรมการขับขี่ Drive Mode ให้เลือก เหมือน Land Rover (บริษัทในเครือ TATA) และ ชุดเครื่องเสียง Infotainment เต็มพิกัด จาก Harman และลำโพง JBL รอบคัน
คาดว่า รถกระบะรุ่นใหม่ อาจได้ใช้เครื่องยนต์ Diesel ตระกูลใหม่ Varicor บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,179 ซีซี พ่วง Turbo จาก Hexa มีทั้งรุ่น Varicor 320 กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร (32.60 กก.-ม.) ที่ 1,500 – 3,000 รอบ/นาที เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และรุ่น Varicor 400 กำลังสูงสุด 156 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร (40.76 กก.-ม.) ที่ 1,700 – 2,700 รอบ/นาที เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือ อัตโนมัติ 6 จังหวะ ขับเคลื่อน ล้อหลัง 4×2 หรือแบบ 4 ล้อ 4×4 (มีเฉพาะเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ เท่านั้น)
กำหนดการเปิดตัวของ รถกระบะ TATA รุ่นต่อไป แบบ Full Model Change จะเกิดขึ้นในประเทศไทย ช่วงปี 2019 ซึ่งถือว่า เร็วกว่าคู่แข่งระดับเจ้าตลาดไปถึง 1 ปีเต็ม แต่ก่อนจะถึงวันนั้น คาดว่า ในปี 2018 เราอาจได้เห็น การปรับปรุง XENON รุ่นปัจจุบันเป็นครั้งสุดท้าย เป็นการขัดตาทัพและชิมลางไปพลางๆ คราวนี้ มีความเป็นไปได้ว่า พวกเขาจะถอดชุดพวงมาลัยลูกปืนหมุนวนแบบเดิม แล้วติดตั้ง พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียนเข้าไปให้แทน (เสียที)
แต่ถ้าถามว่า HEXA มีสิทธิ์จะส่งมาขายเมืองไทยหรือไม่ คำตอบก็คือ…อาจจะไม่ เพราะดูเหมือนว่า พวกเขากำลังเตรียมเวอร์ชัน SUV / PPV บนพื้นฐานร่วมกับ HEXA ออกมาลุยตลาดบ้านเรา และในอินเดียแทน แต่กว่าจะได้เห็น คงต้องรอกันจนถึงช่วงปี 2020 – 2021

TOYOTA / LEXUS
- 2018 : C-HR / New Camry / Rush / Hi-Ace / Commuter / Lexus UX
- 2019 : Corolla ALTIS / Hilux Revo Minorchange / Next Vios?
2017 ถือเป็นปีที่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับ ยักษ์อันดับ 1 จากแดนอาทิตย์อุทัย ในบ้านเรา อย่างมาก แ้ม้ว่ายอดขายภาพรวมจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน แต่เมื่อแยกลงไปยัง Segment ต่างๆ จะพบว่า การแข่งขันรุนแรงขึ้นมาก จน Toyota แต่ละรุ่น เริ่มขายได้ลดลง เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่โตวันโตคืน การเปิดตัว ECO-Car รุ่นใหม่ ทั้ง Yaris ATIV เมื่อ 15 กรกฎาคม 2017 และ Yaris Hatchback Minorchange ในอีก 1 เดือนให้หลัง คือ 2 รถยนต์รุ่นสำคัญที่ช่วยสร้างยอดขายให้ค่ายสามห่วงในปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน Hilux Revo เอง ก็พบกับความเหนื่อยยากในการเข็นยอดขายขึ้นภูเขา จากหลายปัจจัยสำคัญ ทั้งคู่แข่งอย่าง Isuzu ที่มีรูปลักษณ์ เครื่องยนต์ใหม่ และศูนย์บริการที่ถูกใจลูกค้ามากกว่า หรือ รถกระบะจาก Ford ซึ่งมาแรงแซงทางโค้ง ขึ้นทะยานมาอยู่อันดับ 3 ในตลาดได้เพียงเพราะความสวยของตัวรถ รวมทั้งปัจจัยด้านงานออกแบบ ของ Revo ที่ยังไม่โดนใจลูกค้าชาวไทย อีกทั้งการซื้อรถกระบะ Toyota ในต่างจังหวัด เริ่มยากขึ้น เพราะไฟแนนซ์เข้มงวดมากขึ้น เนื่องจากปริมาณรถหาย มีบ่อยมาก
นอกจากนี้ อีกข่าวสำคัญที่จะเกี่ยวพันไปถึงรถยนต์รุ่นใหม่ๆในอนาคต ก็คือ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2017 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มีมติเห็นชอบให้ Toyota ขยายกิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Hybrid กำลังการผลิตปีละ 70,000 คัน การผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ปีละประมาณ 70,000 ชิ้น และชิ้นส่วนยานพาหนะ ปีละประมาณ 9,100,000 ชิ้น เงินลงทุนรวม 19,016 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรม Gateway City จังหวัดฉะเชิงเทรา นั่นหมายความว่า ต่อจากนี้ รุ่นรถยนต์ Hybrid ของ Toyota ในบ้านเราจะเพิ่มมากขึ้นจากปัจจุบันอย่างแน่นอน
สำหรับปี 2018 การบ้านสำคัญของ Toyota มี 3 ประการ คือ ทำอย่างไรที่จะให้ Hilux Revo มียอดขายสูงกว่านี้ ตามด้วย การแก้ไขปัญหาหลังบ้านในด้านต่างๆ รวมทั้งเรื่องบริการหลังการขาย แม้จะแกร่งในอันดับต้นๆ แต่เสียงเรียกร้องของลูกค้า ก็ยังมีมาเรื่อยๆ และประเด็นสำคัญสุดนั่นคือ จะทำอย่างไร ให้แบรนด์ Toyota เข้าไปนั่งในหัวใจลูกค้าวัยรุ่นยุคใหม่ ที่กำลังผละหนีจากพวกเขาไป เพราะเบื่อกับภาพลักษณ์ความเป็นรถยนต์สำหรับคนแก่รุ่นพ่อรุ่นแม่ จนกระทั่งหันกลับมาเลือกซื้อ หรือมีแบรนด์ Toyota อยู่ในตัวเลือก
งาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2017 ที่ผ่านมา Toyota เริ่มปล่อยแคมเปญโฆษณา ชุดใหม่ LIVE ALIVE เพื่อเป็นการสร้างแบรนด์ Toyota ให้เ้าถึงการรับรู้ของลูกค้าคนรุ่นใหม่ โดยชูเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่กำลังจะเข้ามาเปิดตัลาด พร้อมกันนี้ Toyota ยังนำ C-HR มาจัดแสดงอวดโฉมเป็นครั้งแรก ก่อนเปิดให้จองสิทธิ์ในการสั่งจองรถ (หวังว่าไม่งงนะ) ก่อนที่จะออกสู่ตลาดจริงในปีนี้กัเสียที หลังจากที่ปล่อยให้ลูกค้าชาวไทยรอคอยมานานเป็นปี พร้อมกับเผยรายละเอียดอุปกรณ์เบื้องต้นคร่าวๆ ออกมาแล้ว
C-HR เป็นรถยนต์ Toyota รุ่นแรกที่จะเปิดตัวในประเทศไทย ปี 2018 นี้ และเป็น Toyota รุ่นที่ 2 ซึ่งถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังใหม่ล่าสุด TNGA-C (Toyota New Global Architecture – Compact Class) เช่นเดียวกับ Prius ใหม่ รุ่นล่าสุด และ Corolla Altis สำหรับตลาดโลก โฉมต่อไป ในปี 2018 – 2019 โดยถูกพัฒนาขึ้นเพื่อประกบกับ Honda HR-V , Mazda CX-3 และ Nissan Juke
C-HR เวอร์ชันไทย จะมีให้เลือก 4 รุ่นย่อย บนพื้นฐานของเครื่องยนต์ 2 แบบ ดังนี้
เบนซิน 1.8 ลิตร :
เครื่องยนต์เบนซิน รหัส 2ZR-FBE 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว 1,798 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 80.5 x 88.3 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.0 : 1 พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VVT-i 141 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 177 นิวตันเมตร (18.03 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT ล็อคพูเล่ย์ 7 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า
เบนซิน 1.8 Hybrid
เครื่องยนต์เบนซิน รหัส 2ZR-FXE DOHC 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว 1,798 ซีซี. จุดระเบิดแบบ Atkinson cycle พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VVT-i 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร (14.46 กก.-ม.) ที่ 3,600 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 72 แรงม้า (PS) แรงบิด 163 นิวตันเมตร แบตเตอรี่แบบ Ni-MH
เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับ มอเตอร์ไฟฟ้าให้ กำลังสูงสุด 122 แรงม้า (PS) จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ แบบ CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า
Toyota มีกำหนดเปิดตัว C-HR ใหม่ ในประเทศไทย วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2018 นี้ โดยรุ่นเริ่มต้นของ C-HR 1.8 เบนซิน Base มีค่าตัวประมาณ 9xx,xxx บาท กับ 1.8 เบนซิน Top 1,0xx,xxx บาท ส่วนรุ่น 1.8 Hybrid ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1,0xx,xxx บาท และรุ่น Top สุด 1,1xx,xxx บาท
รายละเอียดตัวรถ เวอร์ชันไทย (เบื้องต้น) คลิกอ่านต่อได้ที่นี่ CLICK HERE
บทความ ทดลองขับ C-HR Hybrid เวอร์ชันญี่ปุ่น CLICK HERE

จากนั้น ในช่วงไตรมาส 3 เราจะได้พบกับรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน ของ Toyota Camry ใหม่ ที่เผยโฉมครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา มาตั้งแต่งาน Detroit Auto Show เมื่อเดือนมกราคม 2017 หรือ 1 ปีมาแล้วพอดีๆ
Camry ใหม่ เป็นรถยนต์คันที่ 3 ที่ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง TNGA โดยเป็นแบบ TNGA-D สำหรับรถยนต์นั่งขับเคลื่อนล้อหน้าขนาด
ใหญ่ โดยคาดว่าจะชูจุดเด่นด้านความสนุกในการขับขี่ที่เพิ่มขึ้นจากบุคลิกของรถเก๋งสำหรับผู้ใหญ่แบบเดิมๆที่เคยเป็นมา รวมทั้งด้านความปลอดภัย เพราะ Camry ใหม่ จะมาพร้อมชุดระบบ Toyota Safety Sense P เต็ม Packageชนิดใกล้เคียงกับเวอร์ชันญี่ปุ่นเลยทีเดียว
ด้านรายละเอียดทางเทคนิคของเวอร์ชันไทย ยังไม่มีหลุดเล็ดรอดออกมา แต่เชื่อแน่ว่า รุ่น 2.5 Hybrid น่าจะมีทางเลือกเครื่องยนต์ ใหม่ล่าสุด Dynamic Force Hybrid THS II รหัส A25A-FXS เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,487 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 87.5 x 103.4 มิลลิเมตร จุดระเบิดแบบ Atkinson Cycle 178 แรงม้า (PS) ที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 221 นิวตันเมตร (22.51 กก.-ม.) ที่ 3,600 – 5,200 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 120 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 202 นิวตันเมตร เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า จะได้พละกำลังสูงสุดรวม 211 แรงม้า (PS) จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ E-CVT แบตเตอรี่แบบ Lithium-ion (แบตเตอรี่ย้ายจากท้ายรถ ไปอยู่ใต้เบาะนั่งด้านหลัง)
Camry ใหม่ มีกำหนดเผยโฉมในบ้านเรา ต้นไตรมาส 3 ปี 2018 นี้อย่างแน่นอน และคาดว่า ราคาน่าจะแพงขึ้นกว่าเดิมอีกพอสมควร เนื่องจากตัวรถถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่หมด และใช้ชิ้นส่วนร่วมกับรถรุ่นปัจจุบันได้น้อยลง
พาไปชม Camry ใหม่ คันจริง ที่ญี่ปุ่น CLICK HERE

สำหรับกลุ่มลูกค้าที่อยากได้ความอเนกประสงค์ แบบ 7 ที่นั่ง แต่งบมีอยู่จำกัด มีข่าวว่า Toyota อาจสั่งนำเข้า Toyota Rush จาก Indonesia เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย แทน Toyota Avanza
Rush เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ Sub-Compact SUV ขนาดเล็ก ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย Daihatsu สำหรับตลาด ASEAN ดัดแปลงต่อเนื่องมาจาก Daihatsu Be:go สำหรับคลาดญี่ปุ่น รุ่นเดิมของ Rush เป็นรถยนต์ 5 ที่นั่ง แต่รุ่นล่าสุดที่เพิ่งเผยโฉมไปเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2017 ตัวรถถูกเปลี่ยนมาเป็นแบบ 7 ที่นั่ง โดยยังคงแนวคิด รถยกสูงราคาประหยัด เป็นฝาแฝดกับ Daihatsu Terios และจะแท็กทีมกันต่อกรกับ Honda BR-V และ Mitsubishi Xpander
ตัวรถมีความยาว 4,435 มิลลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,685 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดถึงพื้น Ground Clearance 220 มิลลิเมตร วางเครื่องยนต์ เบนซิน รหัส 2NR แบบ 4 สูบ DOHC 1.5 ลิตร Dual VVT-i 104 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 136 นิวตันเมตร (13.85 กก.-ม.) ที่ 4,200 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือ เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง
หาก Toyota Motor (Thailand) ตั้งใจจะสั่งนำเข้า Rush มาเปิดตลาดในเมืองไทยจริงๆ เราอาจต้องรอกันจนถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2018 โดยยังไม่แน่ชัดว่า Avanza จะถูกลดบทบาท ก่อนจะหายไปจากตลาดบ้านเราหรือไม่
รายละเอียด Toyota Rush คลิกอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ CLICK HERE

ส่วนความเคลื่อนไหวของรถตู้ยอดฮิตติดลมบนตลอดกาลในบ้านเราทั้ง Toyota HiACE / Commuter รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Model Change นั้น บัดนี้ เวลาผ่านไปแล้ว 1 ปี แต่ดูเหมือนไม่มีข่าวคราวใดๆเพิ่มเติมไปจากปลายปี 2016 เลย
ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของ HiACE / Commuter ใหม่ รุ่นที่ 6 คือ การย้ายตำแหน่งเครื่องยนต์ จากใต้เบาะนั่งคนขับและผู้โดยสาร ด้านหน้า ไปไว้ที่บริเวณหน้ารถ ด้วยเหตุผลเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ขณะเกิดอุบัติเหตุมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ HiACE / Commuter รุ่นปัจจุบัน เป็นรุ่นสุดท้ายที่จะมี หัวเก๋งแบบ ด้านหน้าสั้น 1 Box ซึ่งเป็นรูปแบบรถตู้ที่ชาวเอเซีย นิยมมาตลอด 40 กว่าปี เพราะนับจากนี้ไป รถตู้รุ่นใหม่จะมีด้านหน้า ยื่นออกไป เหมือนรถตู้ยุโรป อย่าง Volkswagen Caravelle หรือแม้กระทั่ง Toyota ProAce (พี่ชายที่ใหญ่กว่า HiACE, Toyota ร่วมมือกับ กลุ่ม PSA Peugeot / Citroen ผลิตขายเฉพาะในยุโรปเท่านั้น)
รายละเอียดด้านวิศวกรรม ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า จะใช้เฟรมแชสซีส์ ของ Hilux Revo , Fortuner , Innova นำมาดัดแปลง เพื่อความเหมาะสมกับลักษณะการใช้งานของตัวรถ รวมทั้งการขยายระยะฐานล้อของรุ่นมาตรฐาน ให้ยาวขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ตามรูปแบบการวางเครื่องยนต์และตำแหน่งล้อคู่หน้าที่จำเป็นต้องยื่นไปใกล้มุมหน้ารถมากขึ้น ด้านขุมพลัง คาดว่าจะมีเครื่องยนต์ Diesel Turbo ตระกูล GD จาก 3 ศรี พี่น้องตระกูล IMV มาเป็นตัวชูโรงอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปข้อมูลในเชิงลึก
กำหนดการเปิดตัว ของ HiACE / Commuter ใหม่ จะอยู่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2018 ไปแล้ว และกว่าจะมาถึงเมืองไทย ก็อาจต้องรอไปจนกระทั่งต้นปี 2019 เป็นอย่างเร็วที่สุด

Photo : Automedia (Headlightmag Partnership)
อีกโครงการหนึ่งที่น่าจับตามองของ Toyota สำหรับตลาดเมืองไทย คือ รุ่นเปลี่ยนโฉม Full ModelChange ของ Corolla ALTIS Sedan ใหม่ ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา และใกล้จะเปิดตัวในตลาดโลกเข้าไปทุกทีแล้ว
Corolla Altis ใหม่ จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง TNGA-C เช่นเดียวกับ C-HR ดังนั้น คาดหวังถึงความคล่องแคล่วและมั่นใจในการบังคับควบคุมที่เพิ่มมากขึ้นจากเดิมได้เลย รวมทั้งการเซ็ตช่วงล่าง ซึ่งน่าจะยังมีทั้งเวอร์ชันธรรมดา กับแบบสปอร์ต ให้ได้เลือกกันเหมือนรุ่นปัจจุบัน
ด้านขุมพลัง สำหรับประเทศไทยแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่า Corolla Altis อาจได้ใช้ขุมพลัง เบนซิน 1.8 ลิตร จาก C-HR และอาจมี Corolla Altis Hybrid ขุมพัง 1.8 ลิตร THS-II ตามมาให้เลือก และเชื่อว่า Toyota น่าจะยังเก็บเครื่องยนต์ เบนซิน 1.6 ลิตร ไว้ให้สำหรับกลุ่มลูกค้า Fleet และผู้ประกอบการ Taxi อีกตามเคย
Corolla ใหม่จะเริ่มเผยโฉมในตลาดอเมริกาเหนือก่อนเป็นแห่งแรก จากนั้นจะตามด้วยตลาดญี่ปุ่น และยุโรป ทั้งหมดนี้น่าจะเกิดขึั้นในปี 2018 สำหรับเวอร์ชันไทย กว่าจะพร้อมออกส่ตลาดจริง อาจต้องรอกันจนถึงต้นปี 2019

ส่วนตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก B-Segment นั้น หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า ในเมื่อ Toyota ตัดสินใจ นำ Vios เดิม มาเปลี่ยนเปลือกตัวถังใหม่ จับวางเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร แล้วออกขายในชื่อ Yaris ATIV จนขายดีชนิดที่ Vios เดิม ถึงขั้นขายไม่ออก คำถามก็คือ แล้ว Toyota จะทำอย่างไรกับ Vios?
เชื่อว่า Toyota น่าจะไม่ทอดทิ้งตลาดกลุ่มนี้ไปได้ง่ายนัก เพราะชื่อ Vios ก็ถูกปั้นขึ้นมาจนติดหูคนไทยไปแล้ว ทั้งในด้านความทนทาน ไว้ใจได้ และกลายเป็นรถยนต์รุ่นสำคัญที่เคยสร้างรายได้ให้กับ Toyota อย่างมหาศาล
หลังการประกาศเพิ่มการลงทุนใน TMAP-EM (Toyota Motor Asia-Pacific – Engineering & Manufacturing) จนกลายเป็น TDEM (Toyota – Daihatsu Engineering & Manufacturing) ไปเมื่อเดือนมกราคม 2017 พวกเขาก็เริ่มภาระกิจพัฒนารถยนต์นั่งสำหรับตลาดในภูมิภาค ASEAN รวมทั้งประเทศไทยทันที
หนึ่งในรถยนต์ต้นแบบที่มีแนวโน้มว่าอาจเปิดตัวในประเทศไทย ถูกส่งไปเปิดผ้าคลุมในงาน Gaiikindo International Motor Show ที่ Indonesia ในชื่อ Daihatsu DN-F Sedan ซึ่งถ้าพิจารณาจากเส้นสายตัวถังที่ไม่เหมือน Daihatsu ทุกรุ่นที่เคยมีมา รวมทั้งขนาดตัวรถที่ยาว 4,200 มิลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตร สูง 1,430 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อยาว 2,510 มิลลิเมตร และการติดตั้ง เครื่องยนต์เบนซิน รหัส 3NR-VE 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,197 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 72.5 x 72.5 มิลลิเมตร พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Dual VVT-i 88 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 10.8 กิโลกรัมเมตรที่ 4,200 รอบ/นาที แล้ว จะพบว่า รถคันนี้ มีเค้าลางที่ดูเป็นไปได้มากสุด หากจะนำมาพัฒนาต่อเนื่องเป็น Toyota Vios รุ่นต่อไป
หากเป็นไปตามการคาดเดาของผู้เขียน เชื่อว่า Toyota และ Daihatsu จะเปิดตัว Coupe-Like Sub-Compact Sedan คันนี้ ทั่ว ASEAN ในปี 2019 ภายใต้แบรนด์ที่แตกต่างกันของตน ในลักษณะรถยนต์ฝาแฝด

สำหรับแบรนด์หรู ของ Toyota อย่าง Lexus หลังจากที่ปล่อยเวอร์ชันจำหน่ายจริงของ LS Generation ที่ 5 ออกสู่ตลาดทั่วโลก รวมทั้งเมืองไทย เรียบร้อยแล้ว เมื่อช่วงก่อนงาน Motor Expo เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เพียงไม่กี่วัน ความเคลื่อนไหวต่อไปที่น่าจับตามองของ Lexus คือ Premium Sub-Compact Crossover ในชื่อ Lexus UX รหัสโครงการพัฒนา 100B ซึ่งเคยเผยโฉมในฐานะรถยนต์ต้นแบบ ในงาน Paris Motor Show เดือนกันยายน 2016
Lexus UX จะถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นตัวถัง TNGA-C ร่วมกับ Toyota C-HR โดยคาดว่า จะมีขุมพลังให้เลือก 2 ระดับความแรง ทั้ง UX200 และ UX250 เพื่อทำตลาดแทน Lexus CT200h Compact Hatchback ที่ทำยอดขายไม่ดีเลยตลอดอายุตลาดของมัน และเตรียมจะถูกปลดระวาง ภายในปี 2018 นี้
จุดเด่นสำคัญของ UX ไม่ใช่แค่เป็นเพียงเป็น Premium Small Crossover ขนาดเล็กสุด รุ่นแรกของ Lexus ที่จะต่อกรกับ BMW X1, Mercedes-Benz GLA, Audi Q3, Jaguar E-Pace หากแต่ตัวรถยังถูกกำหนดทิศทางการพัฒนาโดย หัวหน้าทีมวิศวกร (Chief Engineer) ผู้หญิง คนแรกในประวัติศาสตร์ของ Toyota !! ดังนั้น ความน่าสนใจจึงอยู่ที่ว่า ด้วยแนวคิดของสตรียุคใหม่ จะนำพาให้ตัวรถ เวอร์ชันจำหน่ายจริง ที่จะออกสู่ตลาดในต่างประเทศ ช่วงกลาง ปี 2018 นี้ ให้โดนใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย อันได้แก่ เศรษฐีวัยรุ่นยุคใหม่ ที่ใช้ชีวิตในเมืองเป็นหลัก ได้อย่างไร

VOLVO
- 2018 : New XC40 (Thailand Premier) / All New S40 (World Premier)
- 2019 : All New S40 (Thailand Premier) / V40 (World Premier)
- 2020 : All New S60 / V60
การประกาศว่า “รถยนต์ Volvo ทุกรุ่นทุกคัน ที่เปิดตัวหลังจากปี 2019 เป็นต้นไป จะต้องใช้ขุมพลัง Hybrid หรือ ไฟฟ้าล้วน โดยจะไม่ใช้เครื่องยนต์สันดาปเพียวๆ เพียงอย่างเดียว อีกต่อไป” ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ Hakan Samuelsson CEO ของ ผู้ผลิตรถยนต์ชาวสวิดิช จากเมือง Gothenberg ได้สร้างเสียงฮือฮาไปทั่วโลก เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2017 ที่ผ่านมา
หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องหาญกล้าและบ้าบิ่นมากที่ทำเช่นนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว เหตุผลเบื้องหลังการประกาศเช่นนี้ นั่นคือ ความเข้มงวดของมาตรฐานมลพิษ Euro 6 ที่กำลังจะเริ่มบังคับใช้ในยุโรป ยิ่งทำให้การพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปในปัจจุบัน ให้ปล่อยไอเสียน้อยเทียบเท่ามาตรฐานดังกล่าว ต้องใช้งบประมาณสูงมาก หรือถ้าทำได้ ก็ใกล้จะถึงทางตันเต็มที การนำระบบมอเตอร์ไฟฟ้า เข้ามาช่วย สามารถลดมลพิษลงไปได้มาก รวมทั้งลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลงได้ ไม่เพียงเท่านั้น แนวโน้มการใช้รถยนต์พลังไฟฟ้า ทั้ง EV และ Plug-in Hybrid เริ่มกลายเป็นเครื่องบ่งบอกสถานะของชนชั้นสูง ทั้งในยุโรป และสหรัฐอเมริกามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ความต้องการรถยนต์ประเภทนี้ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกมากในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้ง 2 ประเด็นดังกล่าว จึงเป็นปัจจัยให้ Volvo กล้าประกาศออกมาอย่างที่เห็น
แต่ก่อนที่เราจะเดินทางไปถึงตรงนั้น แผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ของ Volvo นับจากปี 2015 จนถึง 2021 ยังไม่จบ และเพิ่งเดินมาถึงเพียงครึ่งทางเท่านั้น รุ่นต่อไปที่คนไทยจะได้สัมผัสกันต่อจาก XC90 (2015) , S90 D4 (Motor Expo 2016) , V90D4 (Bangkok International Motor Show มีนาคม 2017) , S90 T8 (ปลายปี 2017) และ XC60 ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในบ้านเราในงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2017 นั่นคือ Volvo XC40 รุ่นใหม่ล่าสุดนั่นเอง
XC40 เป็นรถ SUV น้องเล็กสุดของค่าย ถูกพัฒนาขึ้นเนื่องจาก Volvo ทนเห็นความเย้ายวนใจของยอดขายรถยนต์กลุ่ม Premium Sub Compact SUV ทั้ง BMW X1, Mercedes-Benz GLA, Audi Q3, Jaguar E-Pace ที่โตวันโตคืน และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องไปจนถึงปี 2025 ดังนั้น Volvo จึงเร่งพัฒนา XC40 ขึ้นมาให้เป็น SUV รุ่นเล็กสุดในตระกูล เพื่อมาเสริมทัพให้กับ รุ่นพี่ทะั้ง XC60 และ XC90 ที่เปิดตัวไปแล้วก่อนหน้านี้ โดย XC40 ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง Modular Platform ใหม่ล่าสุด CMA (Compact Modular Architecture) โดยยังคงอัดแน่นไปด้วยสารพัดอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยสุดไฮเทคเหมือนเช่นญาติพี่น้องร่วมตระกูลแดนไวกิ้งทุกประการ
ในช่วงแรกที่เปิดตัว XC40 มีทางเลือกขุมพลังแค่ 2 แบบ ดังนี้
D4 AWD : เครื่องยนต์ รหัส รหัส D4204T12 Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,969 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 82.0 x 93.2 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 15.8 : 1 Twin Turbo กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (HP) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร (40.76 กก.-ม.) ที่ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ความจุถังน้ำมัน 54 ลิตร (ตัวเลขโรงงาน : อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ใน 7.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง)
T5 AWD : เครื่องยนต์ รหัส B4204T14 เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,969 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 82.0 x 93.2 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.8 : 1 พ่วง Turbocharger กำลังสูงสุด 247 แรงม้า (HP) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร (35.66 กก.-ม.) ที่ 1,800 – 4,800 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ความจุถังน้ำมัน 54 ลิตร (ตัวเลขโรงงาน : อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ใน 6.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 230 กิโลเมตร/ชั่วโมง)
คาดว่า XC40 เวอร์ชันไทย จะเปิดตัวได้อย่างเร็วที่สุดในงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2018 โดยน่าจะมาพร้อมกันทั้งรุ่น D4 และ T5 ประกอบในมาเลเซีย ตามเดิม
รายละเอียดเบื้องต้นของ XC40 ใหม่ คลิกอ่านต่อได้ ที่นี่ CLICK HERE!

ขณะที่ลูกค้าบางส่วนในเมืองไทย กำลังรอคอยการมาถึงของ XC40 ใหม่ ชาวสวิดิช ที่ Gotenberg เขาก็กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมงานเปิดตัว Volvo S40 / V40 Premium Compact Sedan รุ่นใหม่ ที่จะมีรูปโฉม ถอดแบบมาจาก Volvo 40.2 รถยนตต้นแบบ ซึ่งเผยโฉมออกมา ในเวลาเดียวกับ XC40 คันต้นแบบ (Volvo 40.1) เมื่อ 2 ปีก่อน
S40 / V40 ใหม่ จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง CMA (Compact Modular Architecture) เช่นเดียวกัน กับ XC40 นั่นหมายความว่า โอกาสที่ ทั้ง XC40 และ S40 / V40 จะมีขุมพลังให้เลือก เหมือนๆกัน นั้น เป็นไปได้สูงมากๆ
กำหนดการออกสู่ตลาดของ S40 / V40 ใหม่ ในตลาดโลก น่าจะเกิดขึ้น ณ งาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2018 และคาดว่าจะพร้อมเปิดตัวในประเทศไทย เร็วสุดคือ ต้นปี 2019

