• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N2408026_อย าหลงเช อม จฉาช_part2

admin79 by admin79
August 22, 2025
in Uncategorized
0
N2408026_อย าหลงเช อม จฉาช_part2

ปีที่ผ่านมา Lamborghini เปลี่ยนมือผู้แทนจำหน่ายในไทย โดยจัดงานแถลงข่าวเมื่อ 2 สิงหาคม 2018 แต่งตั้ง ผู้แทนจำหน่าย ในประเทศไทยรายใหม่ Renazzo Motor (เรนาสโซ มอเตอร์) ในเครือ Sharich Holdings (ชาริช โฮลดิ้ง) ได้สิทธิ์ ” Lamborghini Bangkok ” จำหน่าย และ ให้บริการหลังการขายรถยนต์ Lamborghini ไปโดยเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงปี 2018 ที่ผ่านมา และได้ทำการเปิดตัว Urus SUV เวอร์ชั่นเครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร Twin TurboCharger 659 แรงม้า (PS) ไปเรียบร้อยแล้วเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2018 ก่อนส่งเข้างาน Motor Expo ทันทีในวันรุ่งขึ้น

หลังจากเริ่มต้นปี 2019 เป็นต้นไป Lamborghini Bangkok จะพยายามนำรถรุ่นอื่นเข้ามาขาย รวมถึงรุ่นพิเศษที่จะมีจำนวนจำกัดมากอย่าง Aventador SVJ ไปพร้อมกันกับการก่อร่างสร้างอาคารหลักของ Lamborghini ฺBangkok เพื่อใช้เป็นที่รับซ่อมบำรุงรถและเป็นโชว์รูมจัดจำหน่าย

สำหรับความเคลื่อนไหวในต่างประเทศนั้น เราจะได้เห็นเวอร์ชั่นพิเศษของ Lamborghini Huracan ตามมาในอีกไม่นานนัก ซึ่งอาจใช้ชื่อว่า Lamborghini Huracan SV ซึ่งใช้เครื่องยนต์เดิมแต่เพิ่มพละกำลังจาก 640 แรงม้า (PS) ในรุ่น Performante เป็น 660 แรงม้า (PS) โดยประมาณ หรืออีกนัยหนึ่ง อาจทำเป็นรุ่น Superleggera น้ำหนักเบาและสมรรถนะสูงออกมาเลย

ตามต่อด้วย Lamborghini URUS Plug-in Hybrid เวอร์ชันเสียบปลั๊กชาร์จไฟบ้านได้ ให้กำลังสูงสดถึง 748 แรงม้า (PS) และมีโปรแกรมการขับี่ให้เลือกถึง 3 Mode ได้แก่ EV Mode , Hybrid Mode และ Hold Mode มีกำหนดเปิดตัว ในปี 2019 แตกว่าจะเริ่มส่งมอบได้จริง คงต้องรอกันถึงปี 2020

กระนั้น Maurizio Reggiani : Chief Technical Officer ของ Lamborghini กล่าวว่า Lamborghini ยังไม่มีแผนที่จะทำรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Full EV ออกมาขายภายใน 5 ปีนี้ (แม้ว่าบริษัทแม่อย่าง Audi จะทำ e-tron ออกมาแล้วก็ตาม) ในทางตรงกันข้าม ทางค่ายกระทิงดุยังพยายามเรียกหาประสิทธิภาพจากเครื่องยนต์แบบไร้ระบบอัดอากาศ ซึ่งให้การตอบสนองต่อคันเร่ง และมีเสียงก้องกังวานสะใจลูกค้ามากกว่าเครื่องยนต์ Turbo หมายความว่า Super Car รุ่นใหญ่คันใหม่ ที่จะมาแทน Aventador ก็จะยังใช้เครื่องยนต์ V12 อยู่

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สามารถลดมลภาวะลง ตามกฎหมายของสหภาพยุโรปที่เข้มงวดขึ้น Lamborghini จึงถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องติดตั้งระบบ Hybrid ซึ่งอยู่ในระหว่างการพัฒนา ที่ยังมีความเห็นไม่ลงรอยกันระหว่างฝ่าย Product Development กับวิศวกร โดยในช่วงแรกระบุว่า Lamborghini Aventador V12 รุ่นใหม่จะใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็ก วิ่งแบบ EV mode ได้เป็นระยะทางสั้นๆ แต่ทาง Product Developement บอกว่าตลาดใหญ่อย่างจีนต้องการให้มันสามารถวิ่งโหมดไฟฟ้าล้วนได้ไกล 50 กิโลเมตร หรือมากกว่านั้น

การตัดสินใจนี้จะมีผลต่อน้ำหนักของตัวรถ ซึ่งแม้ทางวิศวกรจะพยายามใช้วัสดุน้ำหนักเบาขั้น Advance เข้ามาช่วยแล้ว น้ำหนักของ V12 Supercar คันใหม่ก็จะยังมากกว่าเดิม 150-300 กิโลกรัม

จากนั้น ในปี 2021 Lamborghini จะเปิดตัวรถเก๋ง Sport Saloon 4 Door ของค่าย ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยนำรถต้นแบบ 4 ประตูอย่าง Estoque ในภาพข้างบนนี้ เผยโฉมตั้งแต่งาน Paris Autoshow ปี 2008 หรือ 1 ทศวรรษมาแล้ว พร้อมกับประกาศจะสร้างรถสปอร์ต 4 ประตู รุ่นนี้ออกขาย ทว่าโครงการนี้กลับถูกดองนานพอๆกับวิสกี้เพราะ Lamborghini เอาทุนทรัพย์ไปวิจัยและพัฒนาโปรเจคท์ SUV ก่อน และออกมาเป็น URUS จนแทบจะเกลี้ยง

รถสปอร์ต 4 ประตูรุ่นใหม่นี้อาจมีดีไซน์ที่ใกล้เคียง Estoque แต่ต้องมีการปรับรายละเอียดกันอีกมากตามระยะเวลาที่ผ่านมา เครื่องยนต์ในรถต้นแบบ เป็นเครื่อง V10 TFSI 5.2 ลิตรของ Gallardo ดัดแปลงมาวางด้านหน้า แต่ทว่ารถเวอร์ชั่นผลิตขายจริง มีแนวโน้มสูงมากที่จะใช้แพลทฟอร์ม MSB ร่วมกับ Porsche Panamera รุ่นปัจจุบัน รวมถึงใช้ขุมพลังเดียวกันที่นำมาปรับแต่งให้มีแรงม้าสูงขึ้น อย่างเช่นเครื่องยนต์ 659 แรงม้าใน Urus รุ่นปัจจุบัน แน่นอนว่าเพื่อลดค่าเฉลี่ย CO2 ของรถทั้งค่าย Lamborghini Saloon รุ่นใหม่จะมีรุ่นไฮบริดให้เลือก โดยยกมาจาก Panamera Turbo S e-Hybrid

ล่วงเข้าสู่ปี 2022 ก็จะถึงเวลาเปลี่ยนโฉมใหม่ให้กับ Huracan ซึ่งอาจมาพร้อมชื่อรุ่นใหม่อีกตามเคย จากข้อมูลในปี 2017 บ่งชี้ว่า Lamborghini จะเลิกแชร์โครงสร้าง Platform และงานวิศวกรรมร่วมกับ Audi R8 เสียที โดยจะหันมาพัฒนาโครงสร้าง Carbon Fiber เพื่อใช้เป็นการภายในเอง นอกจากนี้ยังเคยมีข่าวว่า Lambochini รุ่นเล็กคันใหม่นี้ จะเลิกใช้เครื่อง V10 Non-Turbo และ เปลี่ยนมาวาง เครื่องยนต์ของ Porsche Panamera V8 DOHC 32 วาล์ว 4.0 ลิตร อย่างไรก็ตาม ผู้บริหาร Maurizio Reggiani ยืนยันเสียงแข็งว่า “ตราบใดที่ผมยังเป็น Chief Technical ที่นี่ ผมจะไม่ยอมเอาเครื่อง Turbo ใส่ในซูเปอร์คาร์ 2 ประตูของค่ายเด็ดขาด มันเป็นเรื่องของเสียงและอารมณ์ ถ้าขับแล้วไม่มีอารมณ์ มันก็ไม่ใช่ Super Car จากเรา”

อย่างไรก็ตาม เราคงต้องติดตามกันต่อไป ภายในปี 2020 อนาคตสำหรับรถรุ่นต่างๆน่าจะชัดเจนขึ้นกว่าในตอนนี้

____________________________

Mazda

  • 2019 : MY 2019 for 4 Models / Mazda 3 Full Model Change / CX-8 Minorchange (Thailand Premier)
  • 2020 : Mazda 2 (Global Launch + Mild Hybrid) / CX-5 Minorchange / BT-50 Pro “no SUV/PPV”

ปี 2018 นับเป็นปีที่ Mazda มียอดขายพุ่งทะยาน ขึ้นเป็น 70,475 คันเติบโตจากปี 2017 ซึ่งทำได้ 51,355 คัน และนั่นก็นำมาซึ่งปัญหาหลายประการ ตั้งแต่เรื่องศูนย์บริการทั่วไป มีคุณภาพและมาตรฐานตกต่ำลง วิเคราะห์ปัญหาลูกค้าไม่จบ ตามด้วยปัญหาน้ำดันใน CX-5 Diesel ปัญหาเขม่า ใน Mazda 2 Diesel รวมถึง ปั้มติ๊กเสียไว ใน CX-5 เบนซิน หรือแม้กระทั่งเกียร์อัตโนมัติ ใน Mazda 2 และ Mazda 3 จนผู้บริโภคอิดหนาระอาใจกันเป็นจำนวนมาก เท่านั้นไม่พอ Mazda ยังสร้างเรื้องอื้อฉาวให้ตัวเอง ด้วยการตัดสินใจ ฟ้องร้องดำเนินคดีกับลูกค้าที่สร้างความเข้าใจผิดให้เกิดขึ้นกับสาธารณชน ในประเด็นที่ต่อเนื่องตามมา แน่นอนว่า ทำให้หลายๆคน เกิดภาพลบในใจเป็นจำนวนมาก และยากจะหลีกเลี่ยง

ด้านรถยนต์รุ่นใหม่ ปีที่แล้ว Mazda กระตุ้นตลาดด้วยการปรับอุปกรณ์ ให้กับ Mazda 2 MY2018 เมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2018 จากนั้น ตามด้วย Mazda 3 MY2018 เมื่อ 19 มีนาคม 2018 รวมทั้ง Mazda MX-5 RF เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ในงาน Bangkok International Motor Show 26 มีนาคม 2018 ต่อด้วย Mazda CX-3 MY2018 เมื่อ 20 กรกฎาคม 2018 รวมไปถึง Mazda 3 Minorchange เมื่อกรกฎาคม 2018 ที่มาเสริมทัพหลังปรับอุปกรณ์ MY2018 ไปก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน และ ปิดท้ายด้วย BT-50 Pro Thunder เมื่อ 17 กันยายน 2018

ในปี 2019 Mazda จะมีความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ นั่นคือ การเปิดตัว Mazda 3 Full Modelchange ซึ่งเพิ่งเผยโฉมไปในงาน L.A.Auto Show เมื่อ 28 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา สดๆร้อนๆ

HighLight สำคัญของ Mazda 3 ใหม่ ก็คือ

  • KODO Design Version 2.0
  • การปรับปรุงงานออกแบบทั้งคัน และเลือกวัสดุภายในกับการเก็บเสียง โดยเทียบมาตรฐานใกล้เคียงรถยุโรปมากขึ้น
  • เครื่องยนต์ ที่มีทั้งการนำบล็อคเดิมมาปรับปรุงใหม่ทั้งเบนซินและ Diesel พร้อมขายในต้นปี 2019 และเครื่องยนต์ใหม่ SKYACTIV-X + M-Hybrid (Mild Hybrid System)
  • ครั้งแรกของ Mazda 3 ที่ใช้ช่วงล่างหลังแบบคานบิดแทนแบบอิสระ

เครื่องยนต์ในตลาดโลก มีให้เลือก 4 แบบ ดังนี้

เบนซิน 1.5  SKYACTIV-G (วางใน Mazda 3 ปี 2013 – 2018 และ MX-5 ND)

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,496 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 74.5 x 85.8 มิลลิเมตร กำลังอัด 13.0 : 1 กำลังสูงสุด 114 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตร (15.28 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที

เบนซิน 2.0 SKYACTIV-G (วางใน Mazda 3 ปี 2013 – 2018)

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,997 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.5 x 91.2 มิลลิเมตร กำลังอัด 13.0 : 1 กำลังสูงสุด 156 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 199 นิวตันเมตร (20.27 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที

เบนซิน 2.5 SKYACTIV-G (วางใน Mazda 6 และ CX-5)

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,488 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 89.0 x 100.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 13.0 : 1 กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 252 นิวตันเมตร (25.67 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที

Diesel 1.8 SKYACTIV-D Turbo (วางใน Mazda CX-3 Japan Version)

เครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,756 ซีซี. 4 สูบ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 79.0 x 89.6 มิลลิเมตร กำลังอัด 14.8 : 1 กำลังสูงสุด 116 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร (27.51 กก.-ม.) ที่ 1,600 – 2,600 รอบ/นาที

และเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด เบนซิน SKYACTIV-X 2.0

เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยีใหม่ SPCCI (Spark-Controlled Compression Ignition) ตัวเลขอย่างเป็นทางการของเครื่องยนต์ใหม่นี้ ยังไม่มีประกาศออกมา แต่ทาง Mazda ได้เผยข้อมูลเบื้องต้นว่าจะสามารถสร้างพละกำลังได้ราวๆ 187 – 190 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุดประมาณ 230 นิวตันเมตร ซึ่งผลจากการทดสอบ เครื่องยนต์ SKYACTIV-X จะให้พละกำลังเกือบเท่าเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร SKYACTIV-G แต่มีอัตราสิ้นเปลือง และ CO2 ต่ำเกือบเท่าเครื่องยนต์ SKYACTIV-D 1.5 ลิตร

หลังการเปิดตัวในตลาดโลกแล้ว Mazda 3 ใหม่ จะถูกนำมาขึ้นสายการผลิตในประเทศไทย และเปิดตัวอย่างฉับไว ตามเกาะติดตลาดโลก ช่วงประมาณ เดือนมิถุนายน – กรกฎาคม 2019 นี้ ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลา ไล่เลี่ยกันกับ Toyota Corolla Altis Full ModelChange พอดีๆ งานนี้ คงได้เห็นช้างสาร ทำศึกยุตหัตถีกันสนุกสนานแน่ๆ

ไม่เพียงเท่านั้น Mazda ยังวางแผนที่จะส่ง Mazda 3 ขุมพลัง เบนซิน 2.0 ลิตร Mild-Hybrid มาประกอบ และเปิดตัวในประเทศไทยอีกด้วย ซึ่งต้องรอดูนโยบาย และท่าทีของภาครัฐ ในการกำหนดอัตราภาษีต่างๆ ให้สอดคล้อง และเหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจของทุกฝ่ายในระยะยาว  คาดว่า อาจได้เห็นกันในช่วงปี 2020 เป็นอย่างเร็วที่สุด

ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน (J!MMY) คือ อย่าเพิ่งนำขุมพลัง SKYACTIV-X มาวางลงใน Mazda 3 รุ่นประกอบในประเทศ โดยเด็ดขาด ! จนกว่าจะมีการทดสอบเป็นเวลายาวนานมากพอให้มั่นใจได้ว่า จะไม่มีปัญหาใดๆกับคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศไทย ถ้าต้องทดสอบกันเป็นปี ก็ต้องทำ! จะได้ไม่ต้องไปเกิดปัญหาใดๆเมื่อถึงมือลูกค้า เหมือนเช่น Mazda หลายๆรุ่นในปัจจุบันนี้!

นี่ เตือนแล้วนะ!

ส่วนใครที่รอคอย การมาถึงของ Mazda CX-8 ข่าวอัพเดทล่าสุดก็คือ จากเดิมที่มีกำหนดเปิดตัว ในงาน Motor Expo 2018 ปรากฎว่า Mazda ตัดสินใจ เลื่อนเปิดตัว เป็นช่วงครึ่งหลังของปี 2019 เพื่อรอให้รุ่น Minorchange ออกสู่ตลาดในญี่ปุ่นเสียก่อน เพื่อจะได้นำรุ่นใหม่เข้ามาขายไปเลยทีเดียว ลดความเสี่ยงจากการโดนลูกค้าด่าลงไปได้บ้าง

CX-8 เผยโฉมครั้งแรกในญี่ปุ่น เมื่อ 20 กันยายน 2017 เป็นการนำ CX-5 มาเพิ่มความยาวตัวรถ เพื่อเพิ่มเบาะนั่งแถวที่ 3 เข้าไป ซึ่งเมื่อผู้เขียนลองนั่งจริง ที่ญี่ปุ่น ในงาน Tokyo Motor Show พบว่า หากคุณตัวสูงไม่เกิน 170 เซนติเมตร และต้องเข้าไปนั่งบนเาะแถว 3 ศีรษะของคุณจะไม่เฉี่ยวชนกับเพดานหลังคา

เครื่องยนต์ มีเพียงแบบเดียว เป็นขุมพลัง SKYACTIV-D Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,188 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 86.0 x 94.2 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 14.4 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด Common-rail Direct Injection พ่วง Turbocharger กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (PS) ที่ 4,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร (45.85 กก.-ม.) ที่ 2,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า และ ขับเคลื่อน 4 ล้อ Real-time AWD

กำหนดเปิดตัว Mazda CX-8 ในบ้านเรา น่าจะเกิดขึ้นได้ ราวๆ ปลายปี 2019 นั่นเท่ากับว่า งานนี้ Mazda ปล่อยให้ลาก Late ล่าช้ากว่าตลาดญี่ปุ่น ถึงเกือบ 2 ปี กันเลยทีเดียว!

ย่างเข้าปี 2020 รายการต่อไปที่เราจะได้พบกันอย่างแน่นอน คือ Mazda 2 Full ModelChange ซึ่งในตอนนี้ ยังไม่มีข้อมูลตัวรถออกมามากนัก เพราะทาง Mazda กำลังตัดสินใจกันอยู่ว่า จะุนำ Hatchback 5 ประตู เพื่อจับยกสูง ขายออกมาในแนว Small Crossover Hatchback หรือว่าจะยืนหยัดอยู่กับตัวถัง 5 ประตูแบบเดิม แล้วเพิ่มตัวถัง Sedan สำหรับหลายๆประเทศ นอกญี่ปุ่น เหมือนรุ่นนี้ตามเดิมกันต่อไปหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือจะมีขุมพลังเบนซิน Mild-Hybrid ให้เลือกในตลาดโลกอย่างแน่นอน

(Photo : theophiluschin.com)

ส่วนความคืบหน้าโครงการพัฒนารถกระบะ BT-50 PRO รุ่นต่อไป ที่ Mazda ตัดสินใจเซ็นใบหย่า กับ Ford แล้วหันไปสวมแหวนหมั้นกับเจ้าบ่าวคนเก่าที่คุ้นเคยอย่าง Isuzu นั้น มีความคืบหน้าเพิ่มเติมเพียงแค่การยืนยันว่า

  1. ไม่ปิดโรงงาน AAT อย่างแน่นอน เพราะยังผลิตรถเก๋ง Mazda ขายทั่ว Asia/Oceania
  2. แต่จะโยกสายการผลิตรถกระบะรุ่นต่อไป จ้างให้ Isuzu ไปประกอบแทน
  3. เครื่องยนต์กลไก Frame Chassis ทั้งหมด ใช้ร่วมกับ D-Max รุ่นต่อไป !! (นั่นหมายถึง จะถ่ายทอดความประหยัด ตามมาด้วยครบถ้วน! เราจะได้เห็น BT-50 รุ่น 1.9 Ddi อย่างแน่นอน!)
  4. อย่างไรก็ตาม รูปลักษณ์ภายนอก Mazda จะขอออกแบบ BT-50 ใหม่เองทั้งคัน
  5. ยืนยันว่า ไม่ใช่แค่ D-Max ใหม่ เปลี่ยนโลโก้ที่กระจังหน้า แน่นอน!
  6. เพื่อประหยัดต้นทุน เสาและโครงหลังคา กระจกหน้า และโครงประตู จะใช้ร่วมกัน
  7. ไม่ใช่แค่นั้น Mazda จะขอเซ็ตช่วงล่างรถกระบะของตนเองอย่างหนักหน่วงเหมือนรุ่นเดิม

คาดว่า Mazda น่าจะร่วมกันพัฒนารถกระบะรุ่นใหม่กับ Isuzu แล้วเสร็จ จนสามารถกำหนดวันออกเรือน ส่งตัว และ จัดพิธีเลี้ยงฉลองมงคลสมรส ได้ อย่างช้าที่สุด ภายในปี 2020 ไม่ลากยาวไปจนถึง 2021 อย่างแน่นอน โดยจะปล่อยให้ฝาแฝดผู้พี่ อย่าง Isuzu D-Max ประเดิมเปิดตัวกันไปก่อน

สำหรับคำถามที่ว่าในเมื่อ จับมือกับ Isuzu อย่างนี้ แล้ว Mazda จะนำ MU-X รุ่นต่อไป มาปรับงานออกแบบ ออกจำหน่ายในแบรนด์ Mazda หรือไม่ คำตอบที่ผู้บริหาร Mazda ทั้งฝั่งญี่ปุ่น และฝั่งไทย ยืนยันหนักแน่นมาหลายรอบแล้วก็คือ “จะไม่มี SUV/PPV จาก Mazda อย่างแน่นอน”

____________________________

MASERATI

  • 2019 : Alfieri (World Premier)
  • 2020 : Alfieri (Thailand Premier) / Alfieri Cabriolet (World Premier)
  • 2021 : Alfieri EV version
  • 2022 : All New Quattroporte/ All New Levante / Smaller SUV / All New Ghibli

ความเคลื่อนไหวของแบรนด์รถยนต์ “ตรีศูล” ในเมืองไทย ภายใต้การดูแลของกลุ่ม MGC Asia (Millennium Group) ในปีที่ผ่านมา มีเพียงแค่การเปิดตัว Maserati Ghibli Saloon ใหม่ ครบทั้งขุมพลังเบนซิน และ Diesel Turbo เริ่มต้นที่ 6.99 ล้านบาท เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2018

สำหรับตลาดโลก Maserati เตรียมแผนการที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ว่าจะเปิดตัวรถอย่างน้อย 6 รุ่นภายในปี 2022 และทิศทางของค่ายนั้น ชัดเจนแล้วว่าจะทยอยยุติบทบาทของเครื่องยนต์ดีเซลที่ใช้ในรถรุ่นต่างๆลง และหันไปหาเทคโนโลยี Plug-in Hybrid หรือ Battery EV (รถพลังไฟฟ้าเพียว) โดยในการนำเสนอแผนธุรกิจ 5 ปีต่อผู้ถือหุ้นเมื่อกลางปี 2018 สิ่งเหล่านี้คือข้อมูลที่ผู้บริหารนำเสนอต่อที่ประชุม

รถสปอร์ตอย่าง Alfieri เผยโฉมเวอร์ชั่นต้นแบบมาตั้งแต่ปี 2014 กำหนดเดิมจะเผยโฉมในปี 2018 แต่ก็มีอันต้องเลื่อนไป เวอร์ชั่นผลิตจริงอาจโชว์หน้าตาได้อย่างเร็วสุดก็ปลายปี 2019 และกว่าจะผลิตพร้อมส่งขึ้นโชว์รูมจริงก็ต้องเป็นปี 2020 โดยในระหว่างนี้จะเป็นปีที่อ่อนแอของ Maserati เพราะไม่มีรถรุ่นใหม่สดเปิดตัวเลย

สาเหตุของความล่าช้าในการเปิดตัว Alfieri มีทั้งเรื่องวิศวกรรมและนโยบาย แรกเริมเดิมที รถรุ่นนี้ถูกกำหนดให้เป็นรถสปอร์ตพิกัดเล็ก แทรกตัวเข้าไปอยู่ข้างใต้ Maserati Gran Turismo โดยใช้เครื่องยนต์ V8 Fourcam 32 วาล์ว 4.7 ลิตร ไม่มี Turbochargerทว่า เมื่อ Ferrari ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์ป้อนให้ Maserati ยกเลิกแผนการทำเครื่องเบนซิน V8 แบบที่ไม่มีเทอร์โบและหันไปพึ่งเทคโนโลยีไฮบริด Maserati ก็ต้องปรับตัวตาม ประกอบกับตลาดรถสปอร์ตทั่วโลก ทำยอดขายได้น้อยลงทุกวี่วัน Alfieri จึงแปรบทจากน้องเล็ก กลายเป็นรถรุ่นใหม่ที่มาแทน Gran Turismo ไปเลย

แพลทฟอร์มของ Alfieri จะเป็นแบบใหม่ที่ไม่เคยใช้ที่ไหนมาก่อน ขุมพลังในช่วงเปิดตัว คาดว่าจะเป็นแบบ Plug-in Hybrid ประกอบไปด้วย เครื่องยนต์ V6 DOHC 24 วาล์ว ขนาด 2.9-3.0 ลิตร Turbocharger มีกำลังตั้งแต่ 416 – 527 แรงม้า (PS) เสริมพลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า และมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ออกมาประเดิมก่อน ในปี 2019

หลังจากปี 2020 เป็นต้นไป Maserati ก็จะเปิดตัวรุ่น Alferi Cabriolet เปิดประทุน และเวอร์ชั่น EV ล้วน ที่ใช้แบตเตอรี่ 800V แบบใหม่ ที่ทำมาเพื่อแข่งกับ Tesla โดยโฆษกของ Maserati บอกว่าเวอร์ชั่น EV ของ Alfieri จะสามารถเร่ง 0-100 ได้ภายใน 2 วินาที

หลังจากเปิดตัวรถสปอร์ตเสร็จ ก็จะเป็นคิวของรถอีก 4 รุ่น ซึ่งจะประกอบไปด้วย

  • Quattroporte Saloonโฉมใหม่
  • Levante SUV โฉมใหม่
  • SUV พิกัดเล็ก ขนาดตัวประมาณ Alfa Romeo Stelvio
  • รถใหม่ที่จะมาแทน Maserati Ghibli

โดยรถทั้งหมด จะมีโครงสร้างพื้นฐานวิศวกรรมแบบใหม่ ที่ต่างจาก Platform เดิมในปัจจุบัน ใช้เครื่องยนต์ V6 DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร พ่วง TurboCharger + มอเตอร์ไฟฟ้า แบบ Plug-in Hybrid เป็นตัวยืนพื้น และมีเวอร์ชั่น Full-Battery Electric ให้เลือกใช้ในทุกรุ่น ส่วนขุมพลัง V8 Fourcam 32 วาล์ว 3.9 ลิตร TurboCharger นั้น อาจถูกสงวนไว้เฉพาะใน Quattroporte หรือ Levante เวอร์ชั่นผลิตจำนวนจำกัดเท่านั้น

____________________________

McLaren

  • 2019 : 720S Spider (Thailand Premier) / Senna GT-R Limited Edition (Global)
  • 2020 : Speedtail (Start of delivery)

ถึงแม้จะเกิดเรื่องอื้อฉาว จาการบุกเข้าตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ DSI  เมื่อ 18 พฤษภาคม 2017 จนทำให้สิทธิ์ในการจำหน่าย Lamborghini ต้องถูกยกเลิกไป แต่ในปี 2018 ที่ผ่านมา บริษัท Niche Cars ได้เคลียร์ปัญหาเกี่ยวกับคดีซึ่งเกี่ยวพันกับ DSI จนจบ และได้แถลงข่าวพร้อมเดินหน้าต่อ ปัจจุบันนี้ Niche Cars ยังคงเป็นผู้แทนจำหน่ายของ McLaren และเดินหน้าพัฒนาอู่ซ่อมตัวถังและเทคนิค ทำการ Re-launch รุ่น 720S ใหม่ในช่วงกลางปีด้วยราคาที่ถูกลง และในช่วงงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา ยังมีการนำรุ่น 600LT ซึ่งถูกผลิตขึ้นในจำนวนจำกัด เข้ามาขาย รวม 2 คัน อีกด้วย จึงเป็นสัญญาณได้ว่าต่อจากนี้ McLaren ในไทยจะสามารถทำธุรกิจต่อได้อย่างเป็นปกติเสียที

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงรถรุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวนับจากนี้ ทาง Niche Cars ยังไม่สามารถยืนยันได้แบบ 100% ดังนั้นเราจึงต้องพิจารณาจากการเปิดตัวรถรุ่นหลักของเมืองนอก ซึ่งหากไม่นับบรรดารุ่นพิเศษต่างๆแล้ว ก็คงมีเพียงแค่ 720S Spider ซึ่งเปิดตัวไปในเดือนธันวาคม 2018 ที่ผ่านมา นี่อาจจะเป็นรถสปอร์ตเพียงรุ่นเดียว ที่มีแนวโน้มว่าจะนำมาเปิดตัวในเมืองไทย ภายในปีนี้

จุดเด่นของ 720S Spider อยู่ที่หลังคากระจก โครงเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ พัฒนาจนมีน้ำหนักเบาเพียงแค่ 49 กิโลกรัม และใช้เวลาในการเลื่อนเปิดหรือปิดแค่ 11 วินาที เร็วกว่าหลังคาของ 650S รุ่นเดิมถึง 6 วินาที ทางด้านขุมพลังเครื่องยนต์ ยังคงใช้เป็น รหัส M840T เบนซิน V8 Fourcam 32 วาล์ว 3,994 ซีซี. Twin TurboCharger 720 แรงม้า (PS) ที่ 7,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 770 นิวตันเมตร (78.46 กก.-ม.) ที่ 5,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Dual-Clutch 7 จังหวะ (SSG : Seamless Shift Gearbox) ขับเคลื่อนล้อหลัง ทำอัตราเร่ง 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 7.9 วินาที ตามหลังรุ่นหลังคาแข็งแค่ 0.1 วินาทีเท่านั้น

นอกจากนี้ ในปี 2019 McLaren Senna GTR ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นดิบเถื่อนสำหรับการวิ่งบนสนามแข่งเท่านั้น ก็จะเริ่มเข้าสู่การผลิตจริง พื้นฐานของรถรุ่นนี้ก็คือ McLaren Senna รถพิเศษที่สร้างขึ้นเป็นเกียรติให้กับอดีตนักแข่งของทีมอย่าง Ayrton Senna โดยผลิตมาแค่ 500 คันและถูกจับจองหมดตั้งแต่ล้อรถยังไม่แตะโชว์รูมด้วยซ้ำ

Senna GTR ใช้เครื่องยนต์ V8 Fourcam 32 วาล์ว 3,994 ซีซี Twin TurboCharger เหมือนรุ่นปกติ แต่จะมีการปรับเพิ่มแรงม้า จากเดิม 800 แรงม้า (PS) เป็น 825 แรงม้า (PS) หรือมากกว่า ในขณะที่น้ำหนักตัวจะเบาลง เปลี่ยนล้อและยางเป็นสเป็คสำหรับสนามแข่ง เพิ่มความกว้างของตัวรถและมีขนาดชุด Aero Part ที่ใหญ่ขึ้น ในย่านความเร็วสูง Senna รุ่นปกติจะสร้างแรงกดตัวถังได้เท่ากับน้ำหนัก 800 กิโลกรัม แต่ Senna GTR จะเพิ่มเป็น 1,000 กิโลกรัม อุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นจะถูกถอดออกทั้งหมด เกียร์ที่ใช้เป็นแบบที่จูนมาสำหรับการวิ่งในสนามโดยเฉพาะ

แม้ว่าใครก็ตามที่ซื้อ Senna GTR ไป จะขับมันได้เฉพาะในสนามแข่ง (เนื่องจากลักษณะและเสียงของรถไม่ผ่านกฎหมายสิ่งแวดล้อมของหลายประเทศ) แต่รถทั้งหมด 76 คันก็น่าจะขายได้หมดในเวลาอันรวดเร็วทั้งที่กำหนดผลิตและเริ่มส่งมอบคือเดือนกันยายน 2019

สำหรับ McLaren Ultimate Series อันเป็นกลุ่มรถสปอร์ตระดับ Hyper GT Car นั้น พวกเขาเพิ่งเผยโฉม McLaren Speedtail  ไปแล้วอย่างเป็นทางการ เมื่อ 26 ตุลาคม 2018  แต่อันที่จริง ตัวรถยังต้องการเวลาสำหรับการทดสอบขั้นสุดท้ายก่อนเริ่มส่งมอบให้ลูกค้าได้ภายในปี 2020

Speedtail มีรหัสในการพัฒนาว่า P23 ก่อนหน้านี้ หลายคนเข้าใจว่า มันคือรถสปอร์ตที่จะมาแทน McLaren P1 แต่ความจริงแล้ว รูปแบบของรถ ทำมาเพื่อเน้นการขับความเร็วสูงและการวิ่งเป็นระยะไกล เน้นความสบายในการขับมากกว่า P1 หรือ Senna ดังนั้น มันจึงนับเป็นตัวแทนของ McLaren F1 ซูเปอร์คาร์ที่สร้างสถิติความเร็วโลกตั้งแต่ปี 1993

ด้านขุมพลังขับเคลื่อนนั้น McLaren ยังไม่บอกอะไรมากไปกว่าการใช้ระบบ Hybrid มีกำลังสูงสุดรวม 1,050 แรงม้า ด้วยน้ำหนักตัวเพียง 1,430 กิโลกรัม ทำอัตราเร่ง 0 – 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ใน 12.8 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 403 กิโลเมตร/ชั่วโมง Wayne Bruce โฆษกของ McLaren กล่าวไว้ในงานแถลงข่าวว่า “นี่คือรถคันแรกที่ถูกสร้างขึ้นให้คุณเดินทางด้วยความเร็วสูงมากๆ แต่ยังสามารถพาเพื่อนไปชมการแสดง Opera ได้ ้ด้วยยางชุดเดียวกัน”

สนนราคาในอังกฤษ จะอยู่ที่ประมาณ 1,750,000 ปอนด์หรือราว 68 ล้านบาท แพงกว่า Senna GTR อยู่ 20 ล้านบาทโดยประมาณ ที่สำคัญคือ McLaren จะผลิตเป็นจำนวนจำกัดแค่ 106 คันเหมือนรุ่น F1 โดยผู้ที่จะมีสิทธิ์ซื้อได้ ต้องเป็นลูกค้า Super VIP ที่ McLaren เชื้อเชิญเองเท่านั้น สำหรับอภิมหาอมตะโคตรเศรษฐีในเมืองไทย คงต้องบอกว่า ขอแสดงความเสียใจด้วย เพราะดูเหมือนว่า ทั้ง 106 คัน ถูกจับจองไปหมดเรียบร้อยแล้ว ก่อนงานเปิดตัวเสียด้วยซ้ำ!!!

นอกเหนือไปจากรถ 3 รุ่นนี้ อนาคตของ McLaren ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีการผลิตรุ่นไหน และกี่แรงม้า จากการแถลงแผนดำเนินธุรกิจของทางค่าย สรุป ณ ครึ่งปีแรกของ 2018 บอกว่าจะมีรถรุ่นใหม่ 17 โมเดล ซึ่งเมื่อหักลบ Senna GTR, Speedtail และรุ่นพิเศษของ 720S ออกไปแล้วก็น่าจะยังเหลืออีก 13-14 รุ่น ไม่มีการกล่าวถึงอนาคตของรถ 540C, 570S หรือ 720S มากไปกว่าเรื่องการใช้ขุมพลัง Hybrid สำหรับ Super Car เจนเนอเรชั่นถัดไป

ส่วนรถที่จะมาแทน P1 จริงๆนั้น ต้องรอไปจนถึงปี 2025 เพราะผู้บริหารบอกว่าเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่สามารถสร้างรถคันใหม่ที่เร็วกว่า P1 ได้อย่างเป็นรูปธรรม

สำหรับกระแสข่าวที่ว่า McLaren เริ่มสนใจที่จะสร้าง SUV นั้น Mike Flewitt : CEO ของค่าย ย้ำว่า พวกเขาจะไม่ทำ SUV ขายแน่นอน ตรงกันข้าม เขาเชื่อว่าโลกของ Performance Car ในยุคต่อไปนั้น จะแข่งกันที่ความเบา ไม่ใช่เรื่องแรงม้า และการทำ SUV นั้นขัดกับปรัชญาเรื่องความเบาของ McLaren ทั้งหมด

____________________________

Mercedes-Benz

  • 2019 : Thailand Premier : AMG CLS 53 Made in Thailand / AMG E 53 Coupe’ (CBU) / C-Class Plug-in Hybrid / AMG C43 Sedan / E-Class Plug-in Hybrid Facelift / A-Class Sedan / AMG A35 / EQC /  GLE / G-Class G350d
  • World Premier : CLA/ GLC Minorchange / E-Class Minorchange
  • 2020 : GLC Coupe Minorchange / EQA / S-Class Full ModelChange
  • 2021 : C-Class Full ModelChange (W206) / EQB

Mercedes-Benz เป็นค่ายยุโรปแบรนด์พรีเมียมที่ขยันเปิดตัวรถบ่อยที่สุด และสำหรับประเทศไทยนั้นก็นับว่าปล่อยหมัดชนิดไม่ยอมให้คู่แข่งได้พักหายใจกันเลยทีเดียว มาตั้งแต่ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา

สำหรับปี 2019 นี้ เตรียมพบกับ ” กองทัพรถใหม่มากกว่า 17 – 20 รุ่นย่อย ” ได้ในปี 2019 ที่จะถึงนี้ เริ่มกันด้วยการแถลงข่าวเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ครั้งแรก ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2019 นี้ ประเดิมกันด้วย Mercedes-Benz CLS 300d AMG Premium ประกอบในประเทศ ที่เพิ่งเปิดราคาอย่างเป็นทางการ 4,390,000 บาท ไปเมื่อ 21 มกราคม 2019 (รายละเอียดตัวรถ คลิกอ่านได้ที่นี่ CLICK HERE) 

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีแนวโน้มว่า Mercedes-AMG CLS 53 อันเป็นตัวแรงสุด อาจถูกนำเข้ามาประกอบในประเทศไทย หลังจากถูกสั่งเข้ามาเปิดตัวในบ้านเรา กันแบบคาดไม่ถึง ในงาน Motor Expo เมื่อ 28 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา คาดว่าจะมีการประกาศข่าวนี้ ในงานแถลงข่าว วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2019 นี้ เช่นเดียวกัน (รายละเอียดของตัวรถ สามารถ คลิกเข้าไปอ่านในบทความทดลองขับ ของ J!MMY จากประเทศสเปน ได้ที่นี่ CLICK HERE)

เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีกระแสข่าวตามมาอีกว่า ในงานแถลงข่าววันเดียวกัน Mercedes-Benz Thailand ก็จะประกาศ นำเข้า เวอร์ชันแรงสุดในตระกูล E-Class Coupe อย่าง Mercedes-AMG E53 Coupe 4MATIC+ (C238) เข้ามาจำหน่ายด้วย เพื่อเสริมทัพกับ E-Class Coupe ทั้ง E300 และ ตามมาด้วย E200 ที่เปิดตัวไปตั้งแต่งาน Bangkok International Motor Show เมื่อ 28 มีนาคม 2018 รายละเอียดเบื้องต้น คลิกอ่านได้ ที่นี่ CLICK HERE

ยังครับ ยังไม่จบ คิวถัดไป จะเป็นตระกูล C-Class Minorchange ระลอก 2 หลังจากช่วงปลายปี 2018 Mercedes-Benz Thailand ใช้เวที งาน Motor Expo (28 พฤศจิกายน 2018) จัดหนัก ส่ง C-Class Minorchange C 220d Diesel รุ่น Avantgarde / Exclusive / AMG Dynamic เปิดตัวใน ที่อัดทั้งอุปกรณ์และราคามาอย่างน่าสนใจ และมีจำนวนจำกัดแค่ ประมาณ 1,400 คัน เท่านั้น รวมทั้ง C200 Coupe 1.5 ลิตร Turbo  EQ Boost กับ Performance Car อย่าง Mercedes-AMG C43 Coupe Facelift

คราวนี้ก็จะได้เวลาสานต่อ ด้วย Mercedes-AMG C 43 Saloon รุ่นประกอบไทย ซึ่งเห็นตั้งท่าจะเอามาประกอบขายตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว หากยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจไปเสียก่อน ก็น่าจะได้เห็นกันในช่วงต้นปี 2019 ด้วยค่าตัวที่คาดว่าน่าจะไล่เลี่ยกับรุ่น Coupe

นอกจากตัวแรงแล้ว Mercedes-Benz C-Class รุ่นสามัญชนคนเดินดิน (แต่รวย) ก็จะมีการอัปเดตเช่นเดียวกัน ที่ผ่านมา รุ่น C 220d โดยเฉพาะตัวท้อป AMG Dynamic ได้รับความนิยมเหลือล้นจนขายหมดเร็วกว่าที่คาดเอาไว้ คงเหลือแต่รุ่นย่อย Avantgarde ที่ยังพอเหลือให้ซื้อหากันอยู่บ้าง และในช่วงไตรมาสแรกของปีอาจมีการเสริมรุ่นย่อยใหม่ให้กับ C 220d เพื่อดึงความสนใจตลาดต่ออีกระยะ แต่ยังไม่ทราบว่าจะเป็นรุ่นย่อยที่มีอุปกรณ์มากหรือน้อยเพียงใด..ทราบแต่เพียงว่าถ้าคุณอยากได้ C-Class แล้วไม่ชอบรถไฮบริด คุณเหลือเวลาน้อยแล้วล่ะครับ เพราะตอนนี้ 1,400 คันที่พวกเขาเตรียมไว้ขาย ใกล้หมดเต็มแก่แล้ว

ส่วน C 300e Plug-in Hybrid ก็จะมาเป็นน้องใหม่ที่ถูกเล็งไว้ว่า จะผลิตขายในบ้านเรา อย่างจริงจัง เป็นลำดับถัดไป โดยมีให้เลือก 3 ระดับความหรูตามประเพณีของ C-Class โดยแม้จะไม่มีการเผยกำหนดเปิดตัว C300e จาก Mercedes-Benz Thailand ก็ตาม เราทราบว่าทาง Mercedes-Benz Australia จะนำรถรุ่นนี้มาขายในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ดังนั้นการเปิดตัวในตลาดประเทศไทยจึงไม่น่าตามหลังนาน และอาจมาทัน Bangkok International Motorshow ปลายเดือนมีนาคม 2019 นี้

นอกจาก C300e แล้ว Mercedes-Benz E-Class รุ่น E350e Plug-in Hybrid เดิมก็จะถูกแทนที่ด้วย E300e Plug-in Hybrid ใหม่ เช่นเดียวกัน แต่ E-Class อาจจะไม่ได้เปิดตัวพร้อม C-Class ตั้งแต่ต้นปี เพราะจนถึงตอนนี้ E 350e ยังมีรถที่ค้างอยู่ในสต็อคอีกพอสมควร ต้องหาทางระบายออกให้หมดเสียก่อน

ทั้ง C 300e และ E 300e จะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Turbocharger พ่วงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมสูงสุด 320 แรงม้า (PS) แรงกว่าเดิมประมาณ 40 แรงม้า (PS) ส่วน แรงบิดรวมสูงสุด อยู่ที่ 700 นิวตันเมตร (71.33 กก.-ม.) และเปลี่ยนขนาดแบตเตอรี่จาก 6.38 kWh เป็น 13.5 kWh เพิ่มพิสัยการวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วน จาก 30 เป็น 50 กิโลเมตร ส่วนเรื่องราคานั้น ไม่ต้องกลัวว่าจะโดดไปไกลมาก เพราะพิจารณาจากวิธีการจัดรุ่นจัดอุปกรณ์ของ Mercedes-Benz Thailand ในระยะหลังๆมานี้มีลูกล่อลูกชนน่ากลัวกว่าสมัยก่อนนัก ขึ้นชื่อว่าเป็นรถประกอบในประเทศเมื่อใด ราคาต้องได้ และออพชั่นต้องโดน ถ้าไม่เจอรถมีปัญหา Defect อย่างที่แล้วมา ก็คงไม่มีอะไรหยุดค่ายนี้ได้

อย่างไรก็ตาม ต้องบอกคุณผู้อ่านไว้ด้วยว่าในช่วงเวลาที่ท่านกำลังอ่านบทความนี้ Mercedes-Benz ที่เยอรมนีก็กำลังนำ E-Class Minorchange ออกวิ่งทดสอบอยู่ ทั้งบอดี้ซาลูน และ E-Class Coupe ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะการออกแบบในส่วนหน้ารถ เห็นได้ชัดว่ายังไม่ได้ใช้ไฟหน้าตามแนวทางการออกแบบใหม่อย่างที่เราเห็นในรุ่น CLS แบบ 100% ถ้าหากกะตามระยะเวลาทดสอบและนำรถสู่ตลาดเท่าที่สังเกตได้ เวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์ของ E-Class น่าจะเผยโฉมในตลาดโลกช่วงปลายปี 2019 หรือช้าสุดคือมีนาคม 2020 แต่ยังไม่ทราบว่าจะมาถึงเมืองไทยเมื่อใด

หากพูดถึงรถเล็กอย่าง A-Class นั้น ทางผู้บริหาร Mercedes-Benz ไทยยืนยันนั่งยันนอนยันว่า ตัวถัง Hatchback ไม่มาจำหน่ายในบ้านเรา เพราะเหตุผลที่ตรงไปตรงมามากๆ ว่า “เห็นอยากได้กัน แต่พอเอามาก็ขายได้อยู่แป๊บเดียวก็ร่วง” ทว่า A-Class Sedan 4 Door นั้น มาแน่นอน เพียงแต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะเปิดตัวในเดือนใดของปี 2019

ไม่เพียงเท่านั้น จนถึงตอนนี้ เราก็ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่า A-Class Sedan เวอร์ชันไทย จะได้ใช้ขุมพลังใดบ้าง แต่คาดว่าน่าจะมีรุ่น A 200 เครื่องยนต์ เบนซิน 1.3 ลิตร Turbocharger 163 แรงม้า (PS) เป็นตัวตั้ง และมีเครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Turbocharger เป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการความแรงมากขึ้น แต่การจะได้เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร 188 หรือ 221 แรงม้า (PS) หรือไม่นั้น ยังคาดเดาได้ยาก

ส่วน Mercedes-AMG A 35 Sedan 306 แรงม้านั้น มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะมา เพราะช่วงหลังมานี้ทีมงาน Mercedes-Benz (Thailand) เน้นการผลักดันแบรนด์ ” Mercedes-AMG ” อย่างจริงจัง และกำลังเฟ้นหา AMG รุ่นล่างราคาถูกมาป้อนลูกค้า

สิ่งหนึ่งที่เรายังบอกไม่ได้ก็คือ เมื่อทางไทยเอา A-Class 4 ประตูมาขายแล้วอนาคตของ CLA จะเป็นอย่างไรในเมื่อรูปแบบของรถนั้นใกล้เคียงกัน แต่ก็ยังมีช่องว่างในการทำตลาดสำหรับคนที่ต้องการความโฉบเฉี่ยวของหลังคาแบบคูเป้

Mercedes-Benz CLA Generation ที่ 2 เพิ่งเผยโฉมเป็นครั้งแรกในโลก ณ งาน CES The International Consumer Electric Show 2019 ที่ Las Vegas มลรัฐ Nevada สหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกที่ Mercedes-Benz เลือกเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ในงานแสดงเครื่งไฟฟ้า และอุปกรณ์ Electronics จากทั่วทุกมุมโลกเช่นนี้

ไม่ต้องแปลกใจ เพราะ Mercedes-Benz เลือกใช้งานนี้ ในการเปิดตัว ระบบควบคุมอุปกรณ์ในรถ รุ่นใหม่ล่าสุดในชื่อ Mercedes-Benz UX Interface และ CLA ก็จะเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่ได้ใช้ ระบบใหม่นี้ นั่นเอง ช่วงแรกที่เปิดตัว CLA ใหม่ มีเครื่องยนต์ M260 เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,991 ซีซี Turbocharger 225 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร (35.66 กก.-ม.) ที่ 1,800 – 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ Dual Clutch 7G-DCT 7 จังหวะ ับเคลื่อนล้อหลัง ปล่อยก๊าซ CO2 141 กรัม/กิโลเมตร เพียงแบบเดียว

ส่วนเวอร์ชันแรงอย่าง Mercedes-AMG CLA 35 รุ่น 306 แรงม้า (PS) และ Mercedes-AMG CLA45 ที่อาจมีพลังสูงกว่า 400 แรงม้า (PS) พร้อมระบบ Hybrid แบบ EQ Boost ก็จะเผยโฉมตามออกมาภายในปี 2019 เช่นเดียวกัน แต่จนถึงป่านนี้ ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปว่า CLA ใหม่ จะถูกสั่งนำเข้ามาจำหน่ายในบ้านเรา ช่วงใดของปี 2019

ในฐานะที่ ผู้เขียน (J!MMY) ไปสัมผัสคันจริงในงาน CES 2019 มาเรียบร้อยแล้ว ขอเรียนให้ทราบว่า อย่าคาดหวังกับความเปลี่ยนแปลงด้านสรีระศาสตร์ใดๆ กับภายในห้องโดยสารของ CLA ใหม่เลย เพราะนอกจาก การเข้า – ออก จากบานประตูคู่หน้า และด้านหลัง แทบไม่แตกต่างจากรุ่นปัจจุบันแล้ว พนักศีรษะเบาะนั่งคู่หน้า (ซึ่งออกแบบรวมเข้ากับพนักพิงเบาะหน้าไปเลย) มันก็ดันหัวกบาลตามเดิม แถมพื้นที่โดยสารด้านหลัง ก็ยังไม่เหลือ Headroom มาให้เหมือนเดิม นั่นแปลว่า ถ้าคุณตัวสูง 170 เซ็นติเมตรแล้วละก็ ทำใจได้เลย นั่งเบาะหลังแล้ว หัวจะติด ชนเพดานหลังคาเหมือนรุ่นปัจจุบัน เป๊ะ!

Previous Post

N2408027_ให แต เง นแม แต ไม ให เง นเม_part2

Next Post

N2408021_อย_าเร_ยกต_วเองว_า _คน__ละครส__น__1854816041650310_part2

Next Post
N2408021_อย_าเร_ยกต_วเองว_า _คน__ละครส__น__1854816041650310_part2

N2408021_อย_าเร_ยกต_วเองว_า _คน__ละครส__น__1854816041650310_part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N2412071 มตรแท แอร พรสวรรค part2
  • N2412073 ฝนท พย หลอกหล part2
  • N2412059 ไม เช อส งท คนอ นพ ดส ดท ายเห นก บตาเส ยใจมาก part2
  • N2412065 โจ ปากแจ วถามก ญแจรถอย ไหน part2
  • N2412067 เม ยเบอร หน งไม เป นรองใคร part2

Recent Comments

No comments to show.

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.