กลับมาอีกครั้งกับมหกรรมงานจัดแสดงยานยนต์ซึ่งจัดโดยบริษัทสื่อสากล ซึ่งในปีนี้ การจัดงานอยู่ภายใต้แนวคิด “Whatever Changes will be…Move on” หรือ “พร้อมขับเคลื่อนไปในความเปลี่ยนแปลง” ไม่ว่ารูปโฉมของรถ หรือสิ่งที่ใช้เพื่อการขับเคลื่อนจะเปลี่ยนไปขนาดไหน เป้าหมายของการพัฒนาในอุตสาหกรรมรถยนต์ยังคงเดิม รถยนต์ถูกทำให้มีความปลอดภัยมากขึ้น และใช้เชื้อเพลิงอย่างคุ้มค่าขึ้น เช่นเดียวกับมลภาวะจากตัวลดที่ทุกค่ายพยายามลดกันอยู่ เพื่อการรถยนต์ เป็นรูปแบบของการเดินทางที่ยั่งยืนอยู่กับเราไปได้นานที่สุด

สิ่งที่ผมเห็นได้ชัดจากงานนี้ ก็คือ รถถ่านกำลังเข้าไปหามวลชนมากขึ้น จากเดิม หากคุณต้องการรถยนต์ไฮบริดหรือ EV ก็ต้องมีเงินถุงถัง แต่ในปัจจุบัน รถไฮบริดที่ถูกที่สุด กำเงินแปดแสนต้นๆก็ซื้อได้แล้ว อย่างเจ้า Honda City E-HEV (ถ้าเราไม่นับไฮบริดที่ยังใช้ความเป็นไฮบริดไม่ค่อยคุ้มอย่างสมัย Jazz GE Hybrid น่ะนะ) หรือถ้าหันไปดูทางรถแบบไร้เครื่องยนต์สันดาป หากเป็นเมื่อก่อน คุณมีเงินไม่ถึงล้าน ก็อย่าหวังรถคันใหญ่ไซส์เต็ม แต่วันนี้ MG EP กับราคา 988,000 บาท นั่งได้ 5 คน บรรทุกสัมภาระได้อีกเยอะ จำนวนผู้เล่นในตลาดรถถ่าน เพิ่มมากกว่าแต่ก่อน และยังขยับเข้าไปหาฐานลูกค้าที่เป็นชนชั้นกลางมากขึ้น ในขณะที่ตลาดระดับหรู ก็เอ็นจอยไปกับตัวเลือกพลังถ่านที่มากขึ้นในแต่ละปีเช่นกัน
ถึงเวลาได้แล้ว ที่เราจะเปิดใจรับพลังงานทางเลือกใหม่เหล่านี้ แล้วแทนที่จะกีดกัน ตีกรอบให้มันอยู่กับคำว่า ซ่อม แพง กลัวพัง เปลี่ยนเป็นการสนับสนุนคนที่อยากใช้ให้ได้ใช้ แต่เน้นการให้ความรู้เพื่อเตรียมรับขุมพลังใหม่นี้อย่างรอบด้าน และช่วยกันพัฒนาให้มันเป็นขุมพลังที่คนทั้งประเทศจะเลิกกลัว
อย่าลืมติดตามข่าวสารเพิ่มเติมจากทางเพจ Headlightmag ใน Facebook เพราะนอกจากจะมีบทความนี้แล้ว ทางคุณหมู ธีรพัฒน์ ยังได้ทำกระทู้เจาะลึกสำหรับรถรุ่นต่างๆ และมีรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับรถบางรุ่นที่คุณอาจสนใจเป็นพิเศษ
AUDI








ตอนแรกเขาบอกว่าเขายังไม่แตะรถ EV แต่พอลูกค้าส่งซิกว่ากระแส EV กำลังมา เขาก็เอา e-tron มาขายตั้งแต่มีนาคม 2019 และปีกว่าให้หลัง เมื่อเดือนตุลาคมนี้ ก็รุกต่อด้วย e-tron Sportback 55 quattro S line โดยเพิ่มราคาจากรุ่นปกติอีก 200,000 บาท ไปเป็น 5,299,000 บาท แลกกับมาดของรถที่ดูทะมัดทะแมงขึ้นจากหลังคาที่เตี้ย ลาด เส้นสาย ไฟหน้าและท้ายเหมือนสาวผู้ดีที่กำลังมีโมโหแต่เก็บอาการไว้อยู่ พลังขับเคลื่อนมาจากมอเตอร์คู่ หน้า/หลัง ที่สามารถสร้างพลังรวมได้ 360 แรงม้า กับแรงบิด 561 นิวตันเมตร แต่ถ้าหากถูกยั่วยุ ก็จะเข้าสู่ Boost Mode ที่เพิ่มแรงกระชากเป็น 408 แรงม้า และแรงบิด 664 นิวตันเมตร ใช้แบตเตอรี่ความจุพลังไฟ 95kWh ซึ่งส่งผลให้สามารถวิ่งได้ไกล 463 กิโลเมตรต่อการชาร์จในแต่ละครั้งตามมาตรฐาน NEDC
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่ยังไม่พร้อมจะปฏิวัติพลังงาน Audi ก็ยังมีรถตระกูล RS ซึ่งมีศักดิ์ศรีเปรียบได้กับ M หรือ AMG Car โดยในงานนี้ เป็นครั้งแรกที่ Audi RS4 Avant ได้มาโชว์ตัว นี่คือรถแวก้อนหน้าตารักครอบครัว แต่พร้อมจะท้าทายรถสปอร์ตด้วยขุมพลัง 2.9 ลิตร Bi-turbo ที่ให้แรงม้าสูงสุด 450 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ซึ่งเครื่องยนต์นี้ นับเป็นเครื่องสหกรณ์ตัวฉกาจในเครือของ VW Group เพราะนอกจากจะอยู่ใน RS4 แล้ว รถอีกรุ่นที่ใช้เครื่องบล็อคนี้ก็คือ Porsche Panamera S ดังนั้นจะพูดก็ได้ว่า RS4 คือส่วนผสมระหว่างเครื่อง Porsche+ระบบขับสี่ของ Audi+หน้าตาแบบนักบัญชีหนุ่มที่มีแต่ล้อ 20 นิ้วเท่านั้นที่บ่งบอกดีกรีความกร้าว ทั้งหมดนี้ในราคา 5,899,000 บาท
แพงกว่า A4 Avant 2.0 ลิตร 249 แรงม้าอยู่ 2,500,000 บาท แต่พลังก็เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว
และที่พลาดไม่ได้อีกกคันก็คือ Audi TT RS ซึ่งต้องติดแฮชแท็ก #เล็กแต่แสบ เพราะตัวกระจิ๊ดริดแต่ใช้เครื่องยนต์ 5 สูบเทอร์โบ 400 แรงม้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งหากใครที่ยังโหยหาอดีตอันน่าจดจำ ควรมีไว้ครอบครอง เพราะเจนเนอเรชั่นนี้ นอกจากจะเป็นร่างสุดท้ายของ Audi TT ที่มีจำหน่ายแล้ว ยังอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เครื่องยนต์สายพันธุ์แรลลี่ 5 สูบที่มีมาตั้งแต่ยุค 80s จะได้มีโอกาสประจำการใต้ฝากระโปรงของ Audi เครื่องสันดาปภายใน ชอบสไตล์ไหน เลือกเอาตามใจ
BMW/MINI










มาบูธ BMW ตั้งแต่เช้าเพื่อเจอ 430i คันจริง พบว่าคลุมผ้าอยู่ แต่ขนาดคลุมผ้ายังเห็นมิติของกระจังหน้าทะลุผ้าคลุมออกมา แอบหวั่นใจในความใหญ่ของฟันหนูเหลือเกิน พอเปิดผ้าคลุมออกมาเท่านั้นแหละ..ก็ยังน่ากลัวอยู่ดี แต่ถ้าเราไม่ไปโฟกัสที่ไตขนาด 8XL คู่นั้นแล้วมองรถทั้งคัน ก็รู้สึกได้ว่า 4 Series G22 นี้ก็มีความเซ็กซี่ดุดันไม่เบา เตี้ย ล่ำ แหลม กว่าเดิม ส่วนหัวใจของรถ ก็ยังเป็นเครื่องยนต์ B48 ขนาด 2.0 ลิตรที่ได้รับการปรับจูนใหม่ จบที่ 258 แรงม้า นอกจากแรงแล้ว 4 Series ใหม่ยังเป็น BMW ยุคพัฒนาด้านอุปกรณ์เซฟตี้ ให้ระบบเตือนรถในจุดบอดด้านข้างตอนเปลี่ยนเลน ระบบเตือนรถเบี่ยงออกนอกเลน รถเบรกเบรกอัตโนมัติทั้งเดินหน้าและถอยหลัง พร้อม Radar Cruise Control ที่สามารถหยุดจนเหลือศูนย์ได้ เรียกว่าไม่น้อยหน้า 330 e เลยทีเดียว 430i M Sport นี้เป็นรถนำเข้าทั้งคัน ราคาอยู่ที่ 3,969,000 บาท อาจจะไม่ได้ถูกเมื่อเทียบกับคู่แข่ง แต่คุณได้ตัวรถสดสุดในตลาด และเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง กวาดท้ายเล่นสนุกได้
แต่ถ้าคุณมีครอบครัวแล้ว หรือถนนแถวบ้านน้ำท่วมบ่อย ดูรถอย่าง BMW X1 LCI ปรับโฉมใหม่ตามกาลเวลา ก็น่าจะเข้าที คราวนี้ มาพร้อมกับ 3 ตัวเลือกรุ่นย่อย X1 sDrive18i ICONIC เบนซิน 1.5 ลิตรเทอร์โบ 140 แรงม้า ราคา 1,999,000 บาท และขยับขึ้นมาเป็น sDrive20d xLine 2,359,000 บาท แล้วคุณจะได้เครื่องดีเซลแรงสูง 190 แรงม้า ส่วนรุ่น M Sport 2,559,000 บาท ก็ได้รับการเสริมแต่งออพชั่นให้ครบครันด้วยเบาะและพวงมาลัย M Sport การมาของ X1 ในเวลานี้ ค่อนข้างวัดใจกันอยู่บ้าง เพราะเบนซ์ก็เพิ่งเปิดตัว GLA ใหม่ และ Audi ก็ขาย Q3 มาได้สักพักแล้ว แต่เชื่อว่ายังมีลูกค้ารอช้อนอยู่อีกเยอะ
ปิดท้ายไฮไลท์บูธ BMW กับ 220i Gran Coupe ซึ่งมาทำตลาดแทน 218i Gran Coupe รุ่นเดิม รุ่นนี้นับว่าเป็นที่สุดแห่งความคุ้มค่าเลย (ถ้าไม่ใช่ว่าคุณออก 218i ไปแล้ว) เพราะได้รับพลัง 2.0 เทอร์โบ 192 แรงม้า แบบเดียวกับที่พบได้ใน MINI Cooper S แน่นอนว่ามากับเกียร์คลัตช์คู่ 7 จังหวะ และยังเพิ่มอุปกรณ์เข้าไปอีก อย่างหน้าปัดดิจิตอลแบบเต็ม เปลี่ยนแอร์เป็นแบบ 2 Zone Climate control เพิ่ม Cruise Control มาให้ สิ่งที่เคยขาดๆเกินๆใน 218i คราวนี้ มีมาครบแล้ว แต่ยังเซอร์ไพรส์ด้วยราคาที่ถูกลงกว่า 218i อีก 230,000 บาท BMW Thailand เดี๋ยวนี้ Pricing Strategy เขาดุจริงครับ
อ้อ สำหรับคนที่ขับรถม้าต่ำกว่าห้าร้อยแล้วนอนไม่หลับ ..M5 ตัวปัจจุบันในงานนี้ มีส่วนลด 4 ล้านบาทนะครับ ลองไปเสนอคุณภรรยาดู เผลอๆ ภรรยาออก M5 ส่วนคุณก็ขับ 220i พอ
FORD






Ford ในงานนี้ มีรถที่เพิ่งเปิดตัวมา อย่างเช่น Ford Ranger ใหม่ใส่เหล็กดัดฟันที่กระจัง ได้ลุคแปลกที่ดูเด็กลงไปอีกแบบ รุ่น Wildtrak มีราคาตั้งแต่ 979,000-1,265,000 บาท เครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนเหมือนเดิม เพิ่มฝาท้ายแบบ Power Roller Shutter ส่วนบนเวทีนี่อย่างชอบ เพราะเขาเอารถกระบะ Ford ของทีม Ford Thailand Racing มาจอดคู่กับพันธุ์เตี้ยแต่แต่งแล้วสวยอย่าง Ranger XL Street ในราคาเพียง 669,000 บาท รุ่นนี้จะยังใช้เครื่อง 2.2 ลิตรเทอร์โบ 160 แรงม้า/385 นิวตันเมตร ไม่ต้องห่วง ใช้มานาน ช่างกระบะชาวฟอร์ดรู้วิธีโมดิฟายกันเยอะแล้ว ใช้ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะเพียงแบบเดียว คันจริงสวยแล้ว จับเปลี่ยนล้อหน่อยจบ
ส่วนรถที่ไม่ใช่รถกระบะหรือรถอเนกประสงค์ ขณะนี้ เหลือเพียงรุ่นเดียวคือ พี่ม้าแรงฤทธิ์ Ford Mustang รุ่นฉลองครบรอบ 55 ปี คันที่มาจอดโชว์ในบูธเป็นรุ่น GT เครื่องยนต์ V8 ไร้ระบบอัดอากาศใดๆ แต่ยังเค้นม้าออกมาเพ่นพ่านได้ 449 ตัว มีเบาะ Recaro และล้อ 19 นิ้ว พร้อมสัญลักษณ์ฉลองครบรอบ 55 ปีที่โลกได้รู้จัก Mustang รุ่น 4 สูบ Ecoboost ราคา 3,699,000 บาท ส่วนรุ่น 5.0 GT ราคา 4,899,000 บาท บางคนที่ไม่รู้เรื่องรถอาจจะถามว่าคุณจะบ้าซื้อ Ford ราคาเกือบห้าล้านไปทำไม พวกเขาคงไม่เข้าใจความศักดิ์สิทธิ์ของเสียง V8 ตอนคำราม กับตำนานม้าทุ่งอเมริกันที่อยู่มายาวนานไม่แพ้สปอร์ตยุโรปหลายตัว ที่สำคัญมีรถสองประตูม้าทะลุ 400 ที่ไหนราคาถูกกว่านี้มั้ย ให้ลองคิด
HONDA





สำหรับงานนี้ ต้องยกให้ City ครองความเด่นที่สุด เริ่มต้นจาก Honda City e:HEV ซึ่งจับเอาอีโคคาร์ที่คุ้นเคย มาใส่พลังไฮบริด เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 98 แรงม้า ทำงานคู่กับมอเตอร์ (1 Drive Motor+1 Generator) ทำให้ได้พลังรวม 109 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 253 นิวตันเมตร นับว่าแรงม้าอาจจะแพ้ตัว 1.0 TURBO แต่แรงบิดมากกว่ากันถึง 80 นิวตันเมตร น่าจะแซ่บพอตัว แม้ว่าราคาเปิดมาหลายคนจะผงะกับตัวเลข 839,000 บาทไปบ้าง (แถมมีรุ่นย่อยเดียวจบๆ) แต่ก็มีการเพิ่มอุปกรณ์เข้าไปมากกว่าตัวซีดาน 1.0 TURBO พอสมควร อาทิ ดิสก์เบรกหลัง หน้าปัดแบบที่ดูทันสมัยขึ้น ไฟหน้าอัตโนมัติ เบรกมือไฟฟ้าพร้อมระบบ Auto Hold ระบบ Engine Remote Start ระบบ Walk Away Auto Lock ระบบความปลอดภัย Honda SENSING และ LaneWatch พูดง่ายๆคือเพิ่มไปจนใกล้เคียง Civic RS แต่ตัดระบบ Stop & Go ใน Radar Cruise Control ออก ถ้าไม่ใช่ว่าเพิ่มสิ่งเหล่านี้เข้าไป ราคาของมันก็น่าจะเท่าๆกับที่หลายคนคาดการณ์นั่นล่ะ
ส่วน City Hatchback เปิดตัวมา ก็มีวัยรุ่นให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก Honda สร้างรถรุ่นนี้มาเป็นทางเลือกใหม่เพื่อให้ใช้สิทธิสรรพสามิตอัตราอีโคคาร์ (ถูกกว่าเรตที่ใช้กับ Jazz) อย่างไรก็ตาม Jazz ตัวถัง GK ก็จะยังมีจำหน่ายต่อควบคู่กันไป ขนาดตัวถังเมื่อเทียบกันแล้ว City Hatchback จะยาวกว่ากันเป็นฟุต กว้างกว่ากันถึง 53 มิลลิเมตร แต่เตี้ยกว่า อย่างไรก็ตาม เพราะลูกค้าเดิมของ Jazz รัก Jazz ด้วยความอเนกประสงค์ City Hatchback ใหม่ก็ยังได้มรดกเป็นเบาะนั่งแบบ Ultra Seat ซึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับ Ultraman แต่หมายถึงเบาะหลังที่ปรับพับได้หลากหลาย เอาส่วนรองนั่งพับขึ้น วางต้นไม้กับกระถางได้ พับให้ราบหน้าถึงหลังวางของยาวก็ได้ หรือจะเอนเบาะหน้าลงมาเชื่อมต่อกันให้เหมือนเก้าอี้ยาวเอาไว้นอนรอแฟนช้อปปิ้งก็ได้
City Hatchback มีทางเลือก กับ 3 รุ่นย่อย ราคาตั้งแต่ 599,000 บาท ไปจนถึง 749,000 บาท (แพงกว่ารุ่น 4 ประตูประมาณ 10,000 บาท)
HYUNDAI




ยังไม่มีรถโมเดลใหม่มากระตุ้นตลาดท่ามกลาง MPV หลังคาเตี้ยแต่ใหม่สดอย่าง Kia Carnival กับรถตู้พันธุ์แท้ใหญ่บ้านบึ้มอย่าง Toyota Majesty วิธีที่จะรอดได้ก็คือ เอารุ่นปัจจุบันนี่ล่ะ มาเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ขายไปก่อน อย่างเช่น H-1 Impressive ซึ่งเป็นการนำรถรุ่นย่อย Elite มาเสริมแต่งอุปกรณ์เข้าไป ราคาเพิ่มอีก 100,000 บาท เป็น 1,629,000 บาท มีสีขาวเพียงสีเดียว เพิ่มชุดแต่งรอบคัน ล้ออัลลอย 17 นิ้ว เบาะนั่งแถวสองมีหมอนรองศีรษะทรงปีกผีเสื้อ ภายในตกแต่งด้วยเบาะหนังสีเบจ และลายไม้สีน้ำตาลโอ๊คแบบเฉพาะรุ่น เครื่องเสียง Pioneer พร้อมจอทัชสกรีน + จอ 10 นิ้วสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง 2 จอ ตบท้ายด้วยกล้องถอยหลัง และ Cruise Control
เรียกได้ว่า เป็นการนำเสนอความคุ้มค่าจากการติดตั้งอุปกรณ์โดยอาศัยประสบการณ์จากฝ่ายขายที่ทราบว่าเวลาลูกค้าตัวจริงซื้อรถ ชอบสั่งอะไรเพิ่มบ้าง ถ้าคุณยังรัก H-1 อยู่ ก็ต้องรีบหน่อย เพราะรุ่นพิเศษอย่าง Impressive นี้จะผลิตขายจำกัดแค่ 200 คันเท่านั้น
ISUZU






เพิ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการไป 28 ตุลาคม ก็ขนมาโชว์กันในงานนี้กับ Isuzu MU-X รถตรวจการณ์พลังดีเซล 1.9 และ 3.0 ลิตร ซึ่งพลิกโฉมรอบคัน ต่างจากรถรุ่นเดิมชนิดไม่รู้เลยว่ามีพ่อมีแม่เดียวกัน เลิกใช้ดีไซน์เอาใจวัยกลางคน หันมาหาสัดส่วนที่ดูเป็นวัยรุ่นขึ้น กระจกบานเล็ก ทำให้ส่วนหลังคาของรถดูเตี้ยเหมือนรถเล็กเวลาจอดอยู่เดี่ยวๆ แต่จริงๆแล้วขนาดของตัวใหม่นั้นขยายขึ้นในทุกมิติ ภายในรถแม้จะเห็นเส้นสายแดชบอร์ดแบบ D-Max อยู่ แต่ก็พยายามปรับให้หรูขึ้น หน้าปัดเปลี่ยนใหม่ เล่นแสงสีดิจิตอลให้ทันคู่แข่ง มีการใช้ Ambient Light ตกแต่งบรรยากาศในห้องโดยสาร ที่สำคัญที่สุด Isuzu รุกคืบเอาเทคโนโลยีความปลอดภัยใหม่ๆมาใส่มากขึ้น อาทิ ADAS ระบบเตือนสารพัด เตือนตอนถอย เตือนรถในจุดบอด เตือนก่อนชนด้านหน้า อีกทั้งยังมีระบบเบรกอัตโนมัติและ Radar Cruise Control แปรผันความเร็วตามรถคันหน้า พร้อมระบบ Stop & Go ราคาเริ่มต้น 1,109,000 บาท และรุ่นท้อปจบที่ 1,579,000 บาท
สำหรับลูกค้ากระบะ เน้นสไตล์การตกแต่งสปอร์ตใช้งานได้ ก็มี D-Max X-Series ภายนอก สีขาว/ดำ ตัดด้วยแดง ล้ออัลลอยสีดำ ขนาด 17 นิ้วในรุ่น Cab และ 18 นิ้วในรุ่นสี่ประตู Hi-lander ภายใน สีดำตัดแดง เครื่องปรับอากาศธรรมดา แต่ได้จอกลางขนาดใหญ่ 7 นิ้ว พร้อมระบบความปลอดภัยพื้นฐาน ระบบกันไถล ระบบรักษาการทรงตัวมีมาให้ครบ รถ X-Series มีทั้งรุ่นตัวเตี้ย “SPEED” 2 และ 4 ประตู ราคา 723,000-814,000 บาท และรุ่น Hi-lander ยกสูง 2-4 ประตู ราคา 838,000-967,000 บาท มีเกียร์อัตโนมัติเฉพาะรุ่น 4 ประตูยกสูง ส่วนถ้าใครต้องการตัวเตี้ยเกียร์อัตโนมัติ จะมีรุ่นธรรมดาที่ไม่ใช่ X-Series ให้เลือก

