• Sample Page
Film
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Film
No Result
View All Result

N1009056_แค นม อย ามาอวด_part2

admin79 by admin79
September 8, 2025
in Uncategorized
0
N1009056_แค นม อย ามาอวด_part2

ด้านข้างพนักพิงเบาะโดยสารด้านหน้าฝั่งซ้าย จะมีสวิตช์ไฟฟ้าปรับเบาะ เพิ่มความสะดวกให้คนขับ สามารถปรับเบาะหน้าฝั่งซ้ายเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง หรือ ปรับพนักพิงเอนนอน และตั้งขึ้นมาได้ โดยไม่ต้องเอื้อมมือ หรือลงจากรถไปปรับเบาะ เพื่อเพิ่มพื้นที่วางขาให้ผู้โดยสาร แถว 2 ได้อย่างง่ายดาย

ด้านหลังพนักพิงเบาะหน้าฝั่งซ้าย มีช่องขอเกี่ยวสำหรับแขวนถุงช้อปปิ้ง หรือถุงพลาสติกเล็กๆมาให้ด้วย ใครอยากจะกินกล้วยปิ้ง หรือถั่วต้มระหว่างทาง ก็ซื้อขึ้นรถ แล้วแขวนไว้กับตะขอดังกล่าวได้เลย

บานประตูคู่หลัง เลื่อนเปิด – ปิดได้ด้วยไฟฟ้า จาก 3 วิธี ทั้งการกดสวิตช์จากรีโมทกุญแจ สวิตช์บนเพดาน บริเวณแผงไฟอ่านหนังสือคู่หน้า มือจับเปิดประตูด้านนอก และด้านใน เพียงแค่ดึง 1 ครั้งแล้วปล่อย หรือกดปุ่มบริเวณ พลาสติกบุเสาหลังคาคู่กลาง B-Pillar ด้านในรถ มีระบบ Jam Protection ดีดตัวเลื่อนกลับเองอัตโนมัติ เมื่อมีสิ่งของหรือวัตถุมากีดขวาง

บานประตูขนาดใญ่ และความยาวของรางเลื่อนที่มากโขอยู่ ทำให้ช่องทางเข้า – ออก จากบานประตูคู่หลังกว้างขึ้นกว่าบรรดารถตู้ทั่วไปที่ผมเคยเจอมานิดหน่อย ให้ความสะดวกทั้งการขึ้นลงจากเบาะแถว 2 หรือ แถว 3 ได้ดีทีเดียว

แผงประตูด้านข้าง ออกแบบมาอย่างดีจนเกินคาดคิด ประดับด้วยแถบ Trim Piano Black พร้อมพลาสติกเจาะช่องวงรี ในตัว ด้านล่าง เป็นช่องใส่ของจุกจิก และช่องวางขวดน้ำดื่มขนาดใหญ่ ระดับขวดลิตรได้สบายๆ

กระจกหน้าต่าง เลื่อนเปิด – ปิด ได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ซึ่งถูกติดตั้งในช่องที่เจาะขึ้นรูปให้เว้าลึกเข้าไปในแผงประตูนิดหน่อย ทว่า ไม่สามารถเลื่อนลงจนสุดขอบรางได้ หน้าต่างทั้ง 2 ฝั่ง มีม่านลดแสง แบบดึงยกขึ้นมาเกี่ยวกับตะขอด้านบน ติดตั้งมาให้ ต้องใช้ความระมัดระวังในการยกขึ้นใช้งาน เพราะแรงดีดค่อนข้างมาก อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่มือได้ หากไม่ระมัดระวัง

เบาะนั่งแถว 2 ไม่ได้หนานุ่มแบบเบาะคู่หน้าสุด ตัวพนักพิงหลังออกแบบมาให้แน่นเกือบแข็งนิดๆ คล้ายกับรถยุโรประดับเริ่มต้น รองรับแผ่นหลังและช่วงหัวไหล่ ได้เกือบเต็มพื้นที่ ทั้ง 2 ฝั่ง มีพนักวางแขนแบบยกพับเก็บ และล็อกตำแหน่งที่ต้องการไว้ มาให้เฉพาะด้านข้างพนักพิงหลัง ฝั่งที่ติดกับบานประตู ใช้งานได้ดี แต่หนังและฝีเย็บแอบแข็งไปนิดนึง ตัวพนักพิงหลังสามารถปรับเอนนอนได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่อาจเอนลงไปจนแบนราบได้ เพราะด้านหลังจะติดกับแผงผนังพลาสติกเหนือซุ้มล้อคู่หลัง

พนักศีรษะ เป็นรูปตัว L ต้องยกขึ้นใช้งาน มิเช่นนั้น ขอบล่างจะทิ่มตำต้นคอ ยังดีที่พอยกขึ้นใข้งานแล้ว จะพบความแน่นแอบนุ่มนิดๆ พอยอมรับได้ ส่วนเบาะรองนั่ง ค่อนข้างสั้น และเสริมฟองน้ำไว้ค่อนข้างแน่นเกือบแข็ง แม้จะมีปีกข้างมาโอบอุ้มช่วงด้านข้างต้นขาให้พอสบายกว่าเบาะแถว 3 อยู่บ้าง ก็ตาม

เบาะนั่งตรงกลาง ถูกออกแบบมาให้เป็นเบาะสำรองมากกว่าจะนั่งเดินทางเป็นเวลานานๆ พนักศีรษะ หากไม่ยกขึ้นใช้งาน ขอบล่างก็จะทิ่มตำช่วงต้นคอ พอยกใช้งาน ก็ได้แค่ 1 ตำแหน่ง เท่าน้้น พนักพิงหลัง แบนราบ รองรับแผ่นหลังได้ไม่มาก ส่วนเบาะรองนั่ง สั้นกว่า และมีมุมเงย พอกันกับเบาะรองนั่งแถว 2 ทั้งฝั่งซ้าย-ขวา หากจะพับพนักพิงหลัง ให้เอื้อมมือไปที่ด้านหลังพนักพิง ตรงกลาง ใต้พนักศีรษะ จะมีคันโยก ดึงเพื่อพับพนิกพิงลงมาใช้เป็นโต๊ะวางของ พร้อมช่องวางเครื่องดื่ม 2 ตำแหน่ง หรือถ้าจะยกพับเก็บเพื่อทำทางดินทะลุถึงเบาะหลังแบบ Walk Through ให้พับพนักพิงหลังก่อน แล้วจับด้านล่างเบาะตรงกลางให้มั่นคงแล้วพับเข้าหาเบาะนั่งหลักฝั่งซ้าย ก็เป็นอันเรียบร้อย

พื้นที่เหนือศีรษะ โปร่งโล่งสบาย ส่วนพื้นที่วางขา ขึ้นอยู่กับว่า คุณจะใช้คันโยกใต้เบาะรองนั่ง ปรับเบาะเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง แยกได้อิสระทั้งฝั่งซ้าย – ขวา มากน้อยแค่ไหน  จะมีจิตใจเมตตากรุณากับผู้ร่วมเดินทางแถว 3 (หรือ 4) บ้างหรือไม่…

เบาะนั่งแถว 3 ดูผิวเผินอาจเข้าใจว่า มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับเบาะแถว 2 เปี๊ยบ แต่ความจริงแล้ว เบาะผู้โดยสารฝั่งซ้าย และขวา จะมีขนาดเล็กกว่า เบาะนั่งตำแหน่งเดียวกันของ ชุดเบาะแถว 2 อยู่เล็กน้อย ทั้งความสูงของพนักพิงหลังที่เตี้ยกว่านิดนึง ไม่มีพนักวางแขนแบบพับเก็บได้ รวมทั้งความกว้างของเบาะรองนั่งที่จำเป็นต้องเล็กลง เนื่องจากโดนผนังซุ้มล้อคู่หลัง เบียดบังพื้นที่เข้ามา เท่านั้นเอง

เบาะแถว 3  น่าจะเหมาะกับเด็กอายุตั้งแต่ 12-13 ปี ขึ้นมาจนถึงไม่เกิน 19 ปี หรือผู้มีสรีระร่างผอมบาง แบบคุณเติ้ง Kantapong Somchana จาก The Coup Team ของเรา เหมือนที่เห็นในภาพนี้ มากกว่าจะให้คนตัวใหญ่นั่งโดยสาร เพราะพนักพิงหลังมาในสไตล์เดียวกับเบาะแถว 2 คือ แน่นเกือบแข็ง แม้จะรองรับแผ่นหลังรวมทั้งช่วงหัวไหล่ได้เกือบเต็มพื้นที่ก็ตาม ตัวพนักพิงหลังสามารถปรับเอนนอนจนแบนราบ หรือยกพับโน้มมาข้างหน้า

พนักศีรษะ เหมือนกับเบาะแถว 2 คือเป็นแบบตัว L คว่ำ ต้องยกขึ้นใช้งาน เพื่อที่ขอบด้านล่างจะได้ไม่ทิ่มตำต้นคอผู้โดยสารจนเกิดความรำคาญ ตัวพนักศีรษะเองแม้จะบุฟองน้ำ แต่ค่อนข้างแข็ง ไม่ดันท้ายทอย แต่ก็ยังไม่ถึงกับสบายนัก ส่วนเบาะรองนั่ง สั้นกว่าและแคบกว่าเบาะแถว 2 อีกนิดนึง มีมุมเงยเท่ากัน แต่นั่งไม่สบายเท่าไหร่

เบาะนั่งสำรองแบบพับเก็บได้ตรงกลาง ก็เหมือนกับเบาะแบบเดียวกันของแถว 2 ไม่มีผิดเพี้ยน คือ ทำหน้าที่เป็นเบาะชั่วคราวหนะพอได้ เพราะพนักพิงหลังแบนราบ และมีขนาดเล็ก เช่นเดียวกับตัวเบาะรองนั่ง ที่สั้นกว่าเบาะแถว 3 แบบปกติไปอีก เหมาะกับคนตัวเล็ก หรือเด็กน้อย อายุ 9 – 12 ขวบ นั่งชั่วคราวพอได้ แต่ไม่เหมาะกับการนั่งเดินทางไปไกลๆ พนักศีรษะก็เกือบจะแข็ง แถมยกต้องขึ้นเพื่อไม่ให้ขอบล่างทิ่มต้นคอ อีกทั้งยังยกขึ้นได้แค่ตำแหน่งเดียว ยังดีที่สามารถพับเป็นโต๊ะวางของ พร้อมช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง ใช้งานได้จริง ผมว่า พับเป็นโต๊ะไปแบบนี้จะดีกว่า หรือถ้าจะพับเป็นทางเดินทะลุไปยังเบาะแถว 4 ก็ต้องพับพนักพิงหลังด้วยคันโยกด้านหลังพนักพิง ใต้หมอนศีรษะก่อน แล้วจึงจับด้านล่างเบาะตรงกลางให้มั่นคงแล้วพับเข้าหาเบาะนั่งหลัก เหมือนกัน

พื้นที่เหนือศีรษะ หายห่วง เหลือเยอะพอกันกับเบาะนั่งแถว หน้าสุด และแถว 2 ส่วนพื้นที่วางขา ขึ้นอยู่กับการปรับเลื่อนเบาะของผู้โดยสารแถว 2 เป็นหลัก ถ้ารู้สึกว่าไม่สบาย ก็สามารถปรับเลื่อนเบาะแถว 3 ขึ้นหน้า-ถอยหลัง ได้จากคันโยก ใต้เบาะรองนั่ง ทั้ง 2 ฝั่ง เหมือนเบาะแถว 2

แผงพลาสติกขนาดใหญ่ครอบทับซุ้มล้อคู่หลัง ออกแบบให้เป็นพื้นที่ติดตั้งลำโพง และเล่นระดับเป็นพื้นที่วางแขน ซึ่งวางได้ระดับกำลังดี มีช่องวางแก้วฝั่งละ 2 ตำแหน่ง วางแก้วแบบทั่วไปได้ แต่วางขวดน้ำ 7 บาทได้ไม่ดีนัก  นอกจากนี้ กระจกหน้าต่างคู่หลังสุด สำหรับผู้โดยสารแถว 3 และ 4 ยังมีม่านบังแดด แบบยกขึ้นเกี่ยวกับตะขอด้านบน เหมือนหน้าต่างของบานประตูเลื่อน

Grand Carnival เวอร์ชันไทย มีจำหน่ายเฉพาะรุ่น 11 ที่นั่ง หมายความว่า ต้องมีเบาะแถวหลังสุดเพิ่มเข้ามาอีก 1 แถว งานนี้ Kia ตัดสินใจ ออกแบบและพัฒนา เบาะแบบม้านั่งยาว Bench Seat ให้สามารถพับเก็บซ่อนลงไปแบนราบกับพื้นห้องโดยสารได้ เพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการขนคน และขนของ

การพับเก็บ ไม่ยากเย็นเลย แต่อาจต้องออกแรงเยอะสักหน่อย แค่ดึงสลักปลดล็อกด้วยเชือกผ้า ที่ติดตั้งบริเวณกลางพนักพิงหลัง แล้วใช้มืออีกข้าง ดันพนักพิงหลังพับลงไป ตัวเบาะจะถูกดันลงไปเก็บที่พื้นรถได้อย่างง่ายดาย หรือถ้าจะยกเบาะแถว 4 ขึ้นมาใช้งาน ก็ให้ดึงสลักปลดล็อกด้วยเชือกผ้า อีกครั้ง พนักพิงจะถูกดึงให้กางออกขึ้นมา พร้อมกับตัวเบาะทั้งหมดจะยกตัวขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนั่งปกติ จนเข้าล็อกเรียบร้อย

อย่างไรก็ตาม การนั่งโดยสารบนเบาะแถว 4 นั้น เหมาะสำหรับผู้โดยสารตัวเล็ก แม้พื้นที่เหนือศีรษะ ไม่เป็นปัญหา อาจจะพอเหลือ สำหรับคนตัวสูงไม่เกิน 170 เซ็นติเมตร แต่พื้นที่วางขาจะมีเหลือมากแค่ไหน ก็ต้องขึ้นอยู่กับความกรุณาของผู้โดยสารบนเบาะแถว 3 และ 2 ว่าพอจะเอื้อเฟื้อความสบายให้กับผู้โดยสารแถวหลังสุดได้หรือไม่

ตำแหน่งที่ น้องเติ้ง Kantapong Somchana แห่ง The Coup Team ของเว็บเรา นั่งให้ดูอยู่นี้ ถูกปรับตั้งเบาะเอาไว้ในระดับที่ผู้โดยสาร ทั้งแถว 2 3 และ 4 พอจะเหลือพื้นที่วางขาให้กับตนเอง คนละนิดคนละหน่อยแล้ว เท่านั้น จะเห็นได้ว่า หัวเข่านี่ แนบชิดกับ้านหลังของพนักพิงเบาะแถว 3 กันเลยทีเดียว

ตัวเบาะนั่ง ยิ่งไม่เหมาะกับผู้ใหญ่หนักเข้าไปอีก ตัวพนักพิงปรับเอนมากไม่ได้ เพราะจะติดบานประตูห้องเก็บสัมภาระ ต้องนั่งหลังตรง ซึ่งทำให้ศีรษะคุณจะไปติดกับเพด้านหลังคา แถมเบาะรองนั่ง ที่สั้นเอาการ ก็มีมุมเงยสูงพอกับเบาะแถว 3 ทำให้นั่งไม่สบายเอาเสียเลย พนักศีรษะ รูปตัว L คว่ำ ก็ต้องยกขึ้นใช้งาน มิเช่นนั้น ขอบล่างจะทิ่มตำกึ่งกลางแผ่นหลังอีก ดังนั้น ควรสงวนเบาะแถว 4 เอาไว้ให้พี่เลี้ยงเด็ก คนใช้ หรือบรรดา น้องหมาน้องแมว จะดีกว่า

ด้วยระบบรางเลื่อนของเบาะแถว 2 และ 3 ทำให้ ทุกคนสามารถแบ่งพับปรับเปลี่ยนการใช้งานเาะนั่งทั้ง 11 ตำแหน่ง ได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งการยกขึ้นมาใช้งานครบ 11 ที่นั่ง การพับเบาะแถว 4 ลงไปกับพื้นรถ เพื่อใหสามารถนั่งโดยสารได้ 8 คน แล้วยังมีพื้นที่วางกระเป๋าเดินทางของผู้โดยสารทั้งหมด หรือจะพับเบาะแถว 3 เพิ่ม เพื่อให้มีพื้นที่มากพอสำหรับขนจักรยานเสือภูเขา หรือจะพปรับเลื่อนเบาะแถว 2 ขึ้นไปอีก เพื่อเพิ่มพื้นที่จนสัมภาระชิ้นใหญ่ยักษ์ ได้มากขึ้น

จุดขายสำคัญของ Grand Carnival อยู่ที่ บานประตูห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง เปิดยกขึ้น และปิดได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ทั้งจากรีโมทกุญแจ (กดปุ่มบนรีโมท แล้วแช่ไว้ 2 วินาที ) หรือกดสวิตช์ไฟฟ้า เหนือกรอบช่องใส่ป้ายทะเบียนหลัง และสวิตช์บนเพดานหลังคา ใกล้กับไฟอ่านหนังสือคู่หน้า มาพร้อมระบบ Jam Protection ดีดกลับอัตโนมัติ เมื่อมีสิ่งกีดขวาง อีกทั้งยังสามารถตั้งความสูงของฝาท้าย ให้เปิดยกขึ้นในระดับที่คุณต้องการได้

ฟังก์ชันพิเศษที่ไม่อาจหาได้ในรถตู้ระดับเดียวกันนั่นคือ ถ้าคุณต้องการเปิดฝาท้ายขณะหิ้วถุงช้อปปิงพะรุงพะรัง ง่ายมากครับ แค่พกกุญแจรีโมท Keyless Entry แล้วเดินไปใกล้กับฝาท้าย ตัวรถจะส่งสัญญาณตอบกลับเป็นเสียง ปี๊บๆ พร้อมกระพริบไฟฉุกเฉิน ภายใน 5 ครั้ง ฝาท้ายจะยกเปิดขึ้นมาให้เอง โดยไม่ต้องเหวี่ยงเท้าไปหาเซ็นเซอร์ใต้เปลือกกันชนหลังแบบ BMW หรือ Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆ แต่ประการใดทั้งสิ้น!

หากยังไม่ได้พับเบาะลงเลยแม้แต่แถวเดียว ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง จะมีขนาดแค่ 33 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA เยอรมนี แต่ถ้าพับเบาะลงเมื่อไหร่ ไม่ต้องถามแล้วละครับว่า ขนาดความจุหนะเท่าไหร่ เปลี่ยนมาตั้งคำถามใหม่ว่า คุณอยากบรรทุกอะไรเข้าไป น่าจะง่ายกว่า ด้านบนเพดานตรงกลาง เหนือปากทางเข้า – ออก ด้านหลัง มีไฟส่องสว่างในยามค่ำคืน พร้อมสวิตช์เปิด – ปิด เชื่อมการทำงานกับระบบล็อกประตูรถมาให้

ยางอะไหล่ ยังมีมาให้ แต่ไม่ต้องไปยกพรมท้ายรถหานะครับ ไม่เจอหรอก เพราะเขาย้ายตำแหน่งไปไว้ใต้ท้องรถ บริเวณใต้เบาะคนขับนั่นเอง! ส่วนแม่แรง และเครื่องมือประจำรถ ซ่อนเก็บอยู่หลังแผงพลาสติกบุผนังห้องเก็บของฝั่งซ้ายมือ

แผงหน้าปัดออกแบขึ้นใหม่ จนเปลียนไปจากรถเกาหลีแบบเดิมที่ผมคุ้ยเคยตลอดช่วง 10 ปีที่ผานมา ไปมากโข ครึ่งท่อนบนเป็นสีดำ ส่วนท่อนล่างเป็นสีเบจ เหมือนสของห้องโดยสารในภาพรวม แผง Trim ล้อมรอบชุดเครื่องปรับอากาศ รวมทั้งแผง Trim ประดับชุดเครื่องเสียงเป็นสีดำ Piano Black ขนาบข้างด้วยช่องแอร์คู่กลาง ล้อมกรอบด้วยพลาสติกชุบโครเมียมอย่างดี

พูดกันตรงๆเลยว่า การออกแบบและประดับตกแต่งด้วยวัสดุที่ดีเทียบเท่ารถเยอรมันขนาดนี้ ทำให้ผมคิดว่ากำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับของ Volkswagen Golf Mk7 หรือ Polo รุ่นใหม่ล่าสุด ที่เพิ่งเปิดตัวใน Frankfurt Motor Show  2017 มากกว่าคิดว่ากำลังนั่งอยู่ในรถเกาหลี!!

มองขึ้นไปข้างบน คุณจะพบว่า เพดานหลังคาบุด้วยวัสดุผ้านุ่ม สีเบจ ดุจรถยุโรปชั้นดีจากเยอรมนี แผงบังแดดมีขนาดใหญ่โตมาก
ฝังกระจกแต่งหน้าพร้อมบานเลื่อนเปิด – ปิด ขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน พร้อมไฟแต่งหน้า ฝังบนฝ้าเพดานข้างบน ถ้ายังบังแดดไม่มิด Kia เขาก็แถมแผ่นพลาสติกหดซ่อนเก็บไว้ข้างใน เพื่อให้คุณดึงกางออกมาเพิ่มพื้นที่บังแสงแดดให้สะใจกันไปเลย

ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสาร ติดตั้งคู่กับไฟอ่านแผนที่ การใช้งาน ออกจะงงงวยสักหน่อย ถ้าคุณต้องการเปิดไฟอ่านหนังสือจากเบาะหน้า นั่นย่อมได้ แต่ถ้าคุณอยากเปิดไฟเพดาน เหนือเบาะแถวกลาง คุณอาจต้องเปิดไฟทั้งคันรถ เพราะเราลองพยายามดูแล้ว มันแยกเปิดอิสระไม่ได้เสมอไป

สวิตช์เปิด – ปิด ประตูบานเลื่อนไฟฟ้า ทั้ง 2 ฝั่ง และฝาท้ายไฟฟ้า รวมตัวกันอยู่ติดกับไฟอ่านแผนที่คู่หน้า นอกจากนี้ ยังมีฝาพับเก็บกระจก Mini-Panoramic ขนาดเล็ก สำหรับผู้ขับขี่ ไว้สอดส่องดูแลบุตรหลาน ขณะนั่งโดยสารบนเบาหลังได้ ส่วนกระจกมองหลัง เป็นแบบตัดแสดงอัตโนมัติ จากโรงงาน

ดูเหมือนว่า แผงหน้าปัดจะได้รับอิทธิพลจาก รถยนต์ในเครือ Volkswagen มาไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่เว้นแม้แต่ไฟเรืองแสงบนแผงหน้าปัด ไล่จากฝั่งขวา มาทางซ้ายบนแผงประตูด้านข้างฝั่งคนขับ จะมีแผงสวิตช์ควบคุมกระจกมองข้าง ทั้งปรับและพับเก็บได้ด้วยระบบไฟฟ้า ตัวสวิตช์เป็นแป้นวงกลม กดใช้งานง่ายดาย ไม่ค้องเสียเวลาเรียนรู้ทำความเข้าใจ

สวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า มีมาให้ 4 บาน พร้อมสวิตช์ล็อกกันเด็กเปิดเล่น แต่จะมีแ่ค่หน้าต่างฝั่งคนขับเท่านั้น ที่มีระบบ One-Touch เลื่อนอัตโนมัติ มาให้ แถมยังมีเฉพาะตอนเลื่อนหน้าต่างลงเท่านั้น ไม่มีขาขึ้นมาให้ด้วย ทั้งที่อุตส่าห์ออกแบบตัวสวิตช์ ให้มีแถบโครเมียมประดับไว้นิดๆจนดูสวยงามแล้วสิน่า!

ใต้ช่องแอร์ฝั่งขวาด้านคนขับ เป็นสวิตช์ปรับระดับความสว่างของชุดมาตรวัดในตอนกลางคืน เสียดายว่า เวอร์ชันไทย ไม่มีสวิตช์ปรับระดับสูง – ต่ำของไฟหน้ามาให้ ถัดลงมาเป็นสวิตช์เปิดฝาถังน้ำมัน ตามด้วยฝาปิดแผง Fuse ระบบไฟในรถ ส่วนคันโยกเปิดฝากระโปรงหน้า ติดตั้งไว้ที่ฐานเสาหลังคา A-Pillar ฝั่งขวา

ก้านสวิตช์ฝั่งขวา ใช้ควบคุมชุดไฟหน้า ไฟเลี้ยว ไฟสูง และระบบเปิด – ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ Auto รวมทั้งสวิตช์ไฟตัดหมอกหน้า ส่วนก้านสวิตช์ฝั่งซ้าย ไว้ใช้ควบคุมใบปัดน้ำฝนคู่หน้าและด้านหลัง พร้อมหัวฉีดน้ำล้างกระจกบังลมหน้า – หลัง (ไม่มีใบปัดน้ำฝนแบบ Auto มาให้เลย) ปุ่มติดเครื่องยนต์ Push Start ติดตั้งไว้บริเวณด้านข้างช่องแอร์คู่หน้า ฝั่งซ้ายของมาตรวัดความเร็ว

พวงมาลัยของทกรุ่น เป็นแบบ 3 ก้าน ออกแบบข้นใหม่ ตามปกติรุ่น LX จะหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ แต่รุ่น EX จะหุ้มด้วยหนัง ตัดสลับกับลายไม้ที่ขอบวงพวงมาลัยด้านบน ปรับระดับสูง – ต่ำ และระยะใกล้ – ห่าง (Telescopic) ได้ เพียงแต่ว่า คุณควรระวังคันโยกเพื่อ ปลดล็อกพวงมาลัยสักหน่อย เพราะจังหวะดึงลงมา อาต้องใช้แรงนิ้วงัดค่อนข้างนาน ทำให้อาจปวดเมื่อยนิ้ว หรือเป็นแผลเกิดขึ้นได้

ก้านพวงมาลัยฝั่งขวา เป็นแผงสวิตช์ควบคุม หน้าจอ MID กับ ระบบล็อกความเร็วคงที่อัตโนมัติ Cruise Control ส่วนก้านพวงมาลัยฝั่งขวา เป็นแผงสวิตช์ควบคุมชุดเครื่องเสียง และการสั่งการโทรศัพท์

คันเกียร์อัตโนมัติ หน้าตาดูราวกับว่าได้แรงบันดาลใจจาก Volkswagen อีกเช่นกัน  บริเวณฐานคันเกียร์ เป็นสถานที่สิงสถิตย์ของสวิตช์ต่างๆ ได้แก่ สวิตช์ Heater อุ่นเบาะคู่หน้า แยกฝั่งเบาะซ้าย – ขวา เลือกปรับความร้อนได้ 3 ระดับ ทั้งคู่ รวมทั้งสวิตช์เปิด – ปิด ระบบ Heater อุ่นพวงมาลัย ระบบโปรแกรมการขับขี่ Active ECO System เน้นความประหยัดน้ำมัน โดยควบุคมการทำงานของลิ้นคันเร่ง ระบบเกียร์และระบบปรับอากาศ (ซึ่งอัตราความสิ้นเปลืองจะเปลี่ยนตามลักษณะการขับขี่และสภาพถนน) และสวิตช์เปิด – ปิด เซ็นเซอร์ช่วยกะระยะขณะถอยหลังเข้าจอด ทั้งด้านหลังรถ (มีมาให้ทั้ง 2 รุ่นย่อย) และด้านหน้า (มีเฉพาะรุ่น EX)

ชุดมาตรวัด เปลี่ยนจากการออกแบบที่น่าเบื่อหน่าย มาเป็นเป็นแบบ 2 วงกลม ใช้ฟอนท์ตัวเลขที่มีขนาดเหมาะสม อ่านง่าย แม้ในย่านความเร็วสูงๆหน้าจอเรืองแสงสีขาว แต่มีเข็มสีแดง  มีมาตรวัดน้ำมันในถัง และมาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นมาให้ด้วย ตรงกลางเป็นจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID (Multi Information Display) แสดงข้อมูลทั้งอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแบบ Real-Time และแบบเฉลี่ย ระยะทางที่น้ำมันในถังยังเหลือพอให้รถแล่นไปได้อีก มาตรวัดความเร็วแบบ Digital ไฟบอกตำหน่งเกียร์ มาตรวัดอุณหภูมิอากาศภายนอกรถ มาตรวัดระยะทาง ทั้ง Odo Meter , Trip Meter A กับ B ฯลฯ นอกจากนี้ จอ MID ยังสามารถตั้งค่าการทำงานของระบบต่างๆภายในระได้ ผ่านทางสวิตช์บนก้านพวงมาลัยฝั่งขวา

จากฝั่งซ้าย เข้ามายังฝั่งขวา

ช่องเก็บของ Glove Compartment มี 2 ชั้น คือ ด้านบน สำหรับใส่แว่นกันแดด หรือโทรศัพท์ มือถือ ชั่วคราว การ เปิด-ปิด ค่อนข้าง ก๊องแก๊งแบบพลาสติกราคาถูกไปหน่อย แต่พอเป็นช่องเก็บคู่มือและเอกสารประจำรถ ชั้นล่าง กลับออกแบบให้เปิดอย่างนุ่มนวลแบบ Soft-Opener แถมยังมีไฟส่องสว่างในลิ้นชักมาให้อีกด้วย

ชุดเครื่องเสียง เป็นวิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD / MP3 เชื่อมต่อกับช่องเสียบ AUX,USB,iPod และระบบเชื่อมสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ Bluetooth พร้อมจอ Monitor สี LCD Touch Screen ใช้ระบบปฏิบัติการณ์ Andriod Kit Kat 4.4 และมีระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Navigation System ของ Hood Dood ฝังมาให้ พร้อมลำโพง 4 ชิ้น

หน้าจอ และ Human Interface ใช้งานง่าย เลื่อนด้วยนิ้วค่อนข้างคล่องมือ แต่คุณภาพเสียง จัดอยู่ในเกณฑ์แค่พอฟังได้ ไม่ถึงขั้นเทพอะไรนัก อย่าคาดหวังมาก ส่วนระบบนำทาง Hood Dood ที่แถมมากับรถนั้น ยืนยันว่า เปิด Google Map ในโทรศัพท์มือถือของคุณ ใช้งานไปดีกว่าครับ แม่นยำกว่า ไม่ต้องมารอจับสัญญาณดาวเทียม ซึ่งก็บอกตำแหน่งผิดเพี้ยนไปไกลโข

ถัดลงไปเป็น สวิตช์ไฟฉุกเฉิน  Hazzard Light ติดตั้งในตำแหน่งที่พอจะใช้งานได้ง่ายอยู่ ด้านข้างเป็นนนาฬิกา Digital สีแดง ด้านล่างลงไป เป็นสวิตช์ควบคุมเครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ (Auto Air-condition) แยกฝั่งปรับความเย็นอิสระ ซ้าย – ขวา และมีสวิตช์ เปิด – ปิด ควบคุมการทำงานของเครื่องปรับอากาศ สำหรับผู้โดยสารแถวหลังอีกด้วย เย็นเร็วทันใจ ไม่ต้องรอนาน แม้ในสภาพอากาศร้อนจัดก็ตาม

สำหรับรุ่น EX จะเพิมอุปกรณ์ด้านความบันเทิงสำหรับผู้โดยสารแถวหลัง เป็นจอ Monitor สี LCD ขนาด 14 นิ้ว รับสัญญาณภาพจาก ชุดเครื่องเสียงด้านหน้า ติดตั้งในประเทศไทย มาให้เสร็จสรรพ

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีสวิตช์ควบคุมระบบปรับอากาศ แบบ Digital บริเวณเหนือเสาหลังคา B-Pillar ฝั่งขวา พร้อมช่องแอร์ และไฟอ่านหนังสือ สำหรับผู้โดยสารแถว 2-3 และ 4 มาให้ครบถ้วนทั้งฝั่งซ้าย และขวา

ถัดจากคันเกียร์ ก็เป็นช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง ประดับ Trim ล้อมรอบด้วยสีดำ Piano Black เช่นเดียวกับแผงควบคุมสวิตช์แอร์ และเครื่องเสียง ตรงกลาง

กล่องเก็บของด้านข้างลำตัวผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า มีขนาดใหญ่โตมโหระทึกมาก! ฝาด้านบน หุ้มหนัง เป็นพื้นที่พักแขน สามารถเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง เพื่อความสะดวกในการวางแขนซ้ายของผู้ขับขี่ได้สบายๆ

พอเปิดยกขึ้นมา จะพบว่า มีถาดรูปตัว L เลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลังได้ สำหรับใส่ของจุกจิก แต่ถ้าคุณอยากเก็บของมีค่าไว้ในรถ โดยไม่อยากให้มันเตะตาขโมยขโจร ก็เพียงแค่ เลื่อนถาดตัว L ขึ้นมาด้านหน้าจนสุด คุณก็จะใส่ของลงไปในกล่องคอนโซลได้แล้ว พอปิดฝาพื้นที่พักแขนลงมา คนข้างนอกรถ ก็มองไม่เห็นแล้ว

ด้านในกล่องคอนโซล มีช่องปลั๊กไฟ 12V 1 ตำแหน่ง ช่องเสียบ USB แบบชาร์จไฟได้ 1 ตำแหน่ง ส่วนด้านหลังของกล่องคอนโซล ก็ยังมีช่องเสียบ USB สำหรับผู้โดยสารแถว 2 อีก 1 ตำแหน่ง พร้อมช่องวางของจุกจิก ปูด้วยยางกันลื่น รวมทั้งยังมีลิ้นชักด้านล่าง แปรสภาพเป็นถังขยะขนาดจิ๋วได้ชั่วคราว

ด้วยเหตุที่ตำแหน่งเบาะนั่งอยู่ในระดับเดียวกับ SUV/PPV ทั้งหลาย ทำให้ ตำแหน่งการมองเห็นรถคันข้างหน้า จึงอยู่ในระดับไม่แตกต่างไปจาก SUV / PPV เหล่านั้น มากนัก เมื่อเทียบกันแบบคร่าวๆ ตำแหน่งเบาะนั่งคนขับของ Grand Carnival จะเตี้ยกว่า เบาะนั่งของ Toyota Hiace / Commuter / Ventury รวมทั้ง Hyundai H-1 อยู่เล็กน้อย

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา ถูกออกแบบให้มีกระจก Opera สามเหลี่ยม ขนาดเล็กกว่า Toyota Alphard/Vellfire แต่ตัวเสา แอบหนากว่านิดหน่อย ดังนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อาจจะมีปัญหา เสาบดบังรถที่แล่นสวนมาตามทางโค้งขวาไดบ้าง แต่ก็ไม่เยอะนัก

กระจกมองข้าง มีขนาดใหญ่ กรอบด้านนอก ยังแอบมีพื้นที่ขอบฝั่งนอก บดบัง กินพื้นที่มุมล่างและฝั่งขวาของตัวกระจกพอประมาณ

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย แอบมีการบดบังรถที่แล่นสวนทางมา ขณะที่เรากำลังเตรียมเลี้ยวกลับรถอยู่บ้าง อาจต้องเพิ่มความระมัดระวังอีกสักหน่อย

กระจกมองข้าง ฝั่งซ้าย ก็เป็นเช่นเดียวกันกับฝั่งขวา คือมีขนาดใหญ่โตกำลังดี และอาจมีขอบเปลือกกระจกมองข้างด้านใน แอบกินพื้นที่เข้ามานิดๆ ถ้าปรับให้กระจกมองเห็นตัวถังรถน้อยๆ

ทัศนวิสัยด้านหลัง แม้ว่าเสาหลังคาแต่ละตำแหน่ง จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่และหนา ทว่าพอมองจากตำแหน่งคนขับ กลับพบความโปร่งโล่งสบายตา เกินคาดหมายไปพอสมควร ถือเป็นตัวอย่างที่ดี ในการทำรถยนต์แบบ Station Wagon ,Minivan หรือ SUV ที่ควรจะดูภาพนี้ไว้เป็นแบบอย่าง

********** รายละเอียดด้านวิศวกรรมและการทดลองขับ **********

ในตลาดโลก Kia Grand Carnival ใหม่ จะมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ขนาด เท่านั้น โดยในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดหลัก จะวางเครื่องยนต์ Lambda II เบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว 3,342 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 92.0 x 83.8 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.6:1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วย หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ MPI (Multi-Point Fuel Injection)

กำลังสูงสุด 270 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 318 นิวตัน-เมตร (32.4 กก.-ม.) ที่ 5,200 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ

ตัวเลขจากโรงงานระบุว่า อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ที่ 8.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง ปล่อยก๊าคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ CO2 257 กรัม/กิโลเมตร ตามมาตรฐาน EURO 5 อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ใน Mode Combined ของ EPA สหรัฐอเมริกา อยู่ที่ 11.1 ลิตร / 100 กิโลเมตร หรือประมาณ 9.009 กิโลเมตร/ลิตร

แต่สำหรับ เวอร์ชันไทย และในอีกหลายๆประเทศทั่วโลก Grand Carnival จะมีขุมพลังทางเลือก เป็นเครื่องยนต์ Diesel รุ่น “R” บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,199 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 85.4 x 96.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 16.0:1 ลำดับการจุดระเบิด 1-3-4-2 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงตามราง Common-Rail แรงดันในระบบ 1,800 bar (26.1 ksi) ด้วยหัวฉีดความละเอียดสูง Piezoelectric Injectors จาก BOSCH พร้อมระบบ Turbo แบบแปรผันครีบ VGT (Variable Geometry Turbocharger) ฝาครอบเครื่องยนต์ และท่อทางเดินไอดี ทำจากพลาสติก

เครื่องยนต์รุ่นนี้ เปิดตัวครั้งแรก เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2009 ในงาน Advanced Diesel Engine Technology Symposium ครั้งที่ 8 ซึ่งจัดขึ้น ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนา Hyundai-Kia Namyang R&D Center ใกล้กับกรุง Seoul โดย ทีมวิศวกร 150 คน ใช้เวลา 42 เดือนในการพัฒนา ออกแบบ รวมทั้งสร้างเครื่องยนต์ต้นแบบเพื่อการทดสอบไปมากกว่า 500 เครื่อง และใช้เงินลงทุนไปมากกว่า 250 พันล้านวอน

Seong-Hyon Park, Senior Executive Vice President ของศูนย์วิจัยพัฒนา ระบบส่งกำลัง Power Train R&D center กล่าวว่า เหตุผลที่พวกเขาต้องพัฒนาเครื่องยนต์ ตระกูล R รุ่นนี้ เป็นเพราะความต้องการรถยนต์ Diesel ในตลาดฝั่งยุโรป (ในขณะนั้น) สูงขึ้น อีกทั้งมาตรฐานไอเสีย Euro 6 ที่สูงมาก กดดันให้ผู้ผลิตรถยนต์ ต้องทุ่มบประมาณมหาศาลในการปรับปรุงสมรรถนะเครื่องยนต์ จนอาจไม่คุ้มค่าใช้จ่าย ดังนั้น Hyundai-Kia จึงเลือกทำเครื่องยนต์ R ออกมา เพื่อให้รองรับมาตรฐาน Euro 5 แทนไปก่อน

กำลังสูงสุด ขึ้นอยู่กับมาตรฐานไอเสีย และคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีจำหน่ายในแต่ละประเทศ หากเป็นรุ่นที่ Tune ให้ผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro 4,5 และ 6) ตัวเลขจะอยู่ที่ 200 แรงม้า (PS) ที่ 3,800 รอบ/นาที แต่ถ้าเป็นประเทศที่ต้องเซ็ตให้ผ่านมาตรฐานไอเสียแค่ระดับ Euro 2 กับ 3 ตัวเลขจะลดลงเล็กน้อย เหลือเพียง 193 แรงม้า (PS) ที่ 3,800 รอบ/นาที ส่วนแรงบิดสูงสุด จะเท่ากัน คือ 440 นิวตัน-เมตร (44.83 กก.-ม.) ที่รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,750-2,750 รอบ/นาที

ตัวเลขจากโรงงานระบุว่า อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ที่ 8.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง ปล่อยก๊าคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ CO2 199 กรัม/กิโลเมตร ตามมาตรฐาน EURO 5 อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ใน Mode Combined ของ EPA สหรัฐอเมริกา อยู่ที่ 11.1 ลิตร / 100 กิโลเมตร หรือประมาณ 9.009 กิโลเมตร/ลิตร

สำหรับเวอร์ชันไทย นั้น ตัวเลขจาก Yontrakit Kia Motor ระบุว่า กำลังสูงสุด คือ 197 แรงม้า (PS) ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 441 นิวตัน-เมตร (44.9 กก.-ม.) ที่รอบเครื่องยนต์ ตั้งแต่ 1,750 – 2,750 รอบ/นาที ผ่านมาตรฐานไอเสียระดับ Euro 4 โดยตัวเลขจาก ECO Sticker ของรัฐบาลไทย Grand Carnival ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ต่ำเพียง 154 กรัม/กิโลเมตร เท่านั้น!?

ข้อมูลการบำรุงรักษา : น้ำมันเครื่องที่ ผู้ผลิตแนะนำคือ เกรด ACEA B4 หรือ SAE 5W-20 ( API SM, ILSAC GF-4 ) ปริมาณ 6.3 ลิตร

ถ่ายทอดกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อมโหมด +/- เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ได้เองตามต้องการ โดยเฉพาะเวลาขึ้น – ลง ทางลาดชัน หรือแนวเขาแถบภาคเหนือ ถ้าต้องจอดขวางชาวบ้านเขาในแบบ Pararell Parking ด้วยเหตุจำเป็น คุณสามารถปลดเกียร์ P ไปยังตำแหน่งเกียร์ N (Neutral เกียร์ว่าง) ได้ด้วยการกดปุ่ม Shift Lock บริเวณเหนือฐานรองคันเกียร์ แล้วลากคันเกียร์ไปยังเกียร์ N ก็ย่อมได้

อัตราทดเกียร์ ของรุ่นเครื่องยนต์ Diesel กับ เบนซิน นั้น มีความแตกต่างกันอยู่ ตัวเลขมีดังนี้

…………………………2.2 CRDi……..3.3 MPI

1…………………………..4.651…………..4.252

2…………………………..2.831…………..2.654

3…………………………..1.842…………..1.804

4…………………………..1.386…………..1.386

5…………………………..1.000…………..1.000

6…………………………..0.772…………..0.772

Reverse (R)……………3.393…………..3.393

อัตราทดเฟืองท้าย…….3.320…………..3.195

ข้อมูลการบำรุงรักษา : น้ำมันเกียร์ ควรใช้ SK ATF SP-IV หรือ Kia Genuine ATF SP-IV ปริมาณการเปลี่ยนถ่าย 7.7 ลิตร

สมรรถนะจะเป็นอย่างไรนั้น เรายังคงทำการทดลองจับเวลาหาอัตราเร่ง ตามมาตรฐานดั้งเดิมที่เราใช้กันมาตลอดตั้งแตปี 2002 โดยทำในเวลากลางคืน เปิดแอร์ เปิดไฟหน้า และนั่ง 2 คน โดยมีผม (น้ำหนัก 110 กิโลกรัม) กับน้อง Joke V10ThLnD สมาชิก The Coup Team ของเว็บเรา (น้ำหนัก 65 กิโลกรัม) มาร่วมทดลองกัน ตามปกติ ผลลัพธ์ที่ได้ เมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาดที่เราเคยทำตัวเลขกันไว้ มีดังนี้

เห็นตัวเลขแล้ว ต้องบอกว่า ไม่ธรรมดาเลย แถมยังทำผลงานได้ดีกว่าตัวเลขที่ทางโรงงานแจ้งไว้เสียอีก!

ทุกท่านครับ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ด้วยเครื่องยนต์ Diesel 2.2 ลิตร CRDi ของ Grand Carnival จะทำให้มันกลายสภาพเป็น รถตู้มหาประลัย พุ่งปรู๊ดแซงหน้าชาวบ้านชาวช่องเขามาจนขึ้นแป้นตำแหน่ง ที่ 2 ในบรรดารถตู้ทั้งหมดที่เราเคยทำรีวิวมา จะเป็นรองก็เพียงแค่ Toyota Alphard V6 3.5 ลิตร เท่านั้น!!!

และที่บ้าไปกว่านั้นคือ ตัวเลขอัตราเร่ง ทั้ง 0 – 100 และช่วงเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ของ Grand Carnival ยังเอาชนะบรรดา SUV / PPV ทุกคันที่ขายกันอยู่ในเมืองไทย เวลานี้ ไปหมดจนเกลี้ยงตารางเลยละ! น้องหมู Moo Cnoe แห่ง The Coup Team ของเว็บเรา ถึงขั้นเอ่ยปากเลยว่า

“นี่มันเป็น Suprise MPV สำหรับคุณแม่บ้านตีนผี ที่ตั้งใจตามไล่ล่าสามีหนีเที่ยวชัดๆ”!!

พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ ถ้าคุณคิดจะหนีเที่ยว โดยเอา Fortuner (เดิมๆ ไม่แต่ง ไม่ดันราง) หรือ Everest ออกจากบ้านแล้วละก็ อย่าหวังว่าจะรอดพ้นเงื้อมือคุณแม่บ้านใจกล้าที่คว้ากุญแจ รถตู้คันเท่าบ้าน วิ่งออกไปไล่กวดคุณ ได้ง่ายๆเลย ยังไงก็แพ้ หาข้อแก้ตัวดีๆละกัน

ส่วนการไต่ขึ้นไปถึงความเร็วสูงสุดนั้น ในช่วงจากจุดหยุดนิ่ง 0 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น ทำได้ไวจนเกินความคาดหมาย แต่เมื่อผ่านพ้น ระดับ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไปแล้ว เป็นธรรมดาของเครื่องยนต์ Diesel Turbo ซึ่งออกแบบมาให้มีแรงบิดสูงสุดในรอบต่ำๆ ดังนั้น พอพ้นจากช่วงหลัง 3,000 รอบ/นาที ขึ้นไป เข็มความเร็วจะเริ่มไต่ขึ้นไปช้าลง แม้จะยังคงความต่อเนื่องไว้อยู่ประมาณหนึ่ง จนกระทั่งถึงช่วงหลังจาก 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป รถจะไต่ความเร็วขึ้นไปช้าลงอีก กว่าจะขึ้นไปถึง Top Speed ก็ต้องแช่คันเร่งไว้นานพอๆกับการแช่ผ้าที่เปื้อนสิ่งสกปรกไว้ในน้ำผสมผงซักฟอก เพื่อรอคราบไคลค่อยๆสลายตัว

การทำความเร็วสูงสุด เราทำการทดลองในช่วงเวลากลางคืนและใช้ระยะเวลาสั้นๆ เราคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเราเอง รวมทั้งผู้ร่วมใช้เส้นทางอย่างเข้มงวด ด้วยเหตุผลของการให้ข้อมูลอ้างอิง เพื่อเป็นข้อมูลองค์ความรู้แก่มวลชนเท่านั้น โปรดอย่าไปทดลองด้วยคนเอง โดยเด็ดขาด เพราะนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังอาจก่ออันตรายถึงชีวิต ทั้งต่อตนเองและผู้บริสุทธิ์อื่นๆอีกด้วย! และหากเกิดเหตุการณ์ใดๆขึ้น เราจะไม่รับผิดชอบในทุกกรณี ! เพราะถือว่านำไปทำกันเอง ทั้งที่เราก็ได้เตือนและห้ามปรามกันแล้ว

ในการขับขี่จริง ผมถึงขั้นตั้งคำถามกับตัวเองเลยว่า นี่เราขับรถตู้กันอยู่จริงๆใช่ไหมเนี่ย?

เพราะทันทีที่กดคันเร่งออกตัว หากค่อยๆเดินคันเร่งทีละนิดๆ Grand Carnival ก็จะค่อยๆไต่ความเร็วขึ้นไปในแบบสุภาพ นุ่มนวล เหมือนคุณแม่ชาวเกาหลีใต้ยุคใหม่ ที่มาเช่าบ้านอยู่ใกล้ๆคุณ นางจะโอภาปราศรัยด้วยดี สุภาพ มีมารยาท แต่ถ้าคุณกดคันเร่งเต็มตีนตั้งแต่ออกตัว นางก็จะกลายร่างเป็น หญิงอารมณ์ร้อน กราดเกรี้ยว พุ่งพรวดขึ้นไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆทั้งสิ้น

ถูกแล้วครับ อัตราเร่งของ Grand Carnival ใหม่ ทำได้ดีเกินความคาดหมาย โดยเฉพาะในช่วงรอบแรงบิดสูงสุด 2,750 รอบ/นาที นั่นคือช่วงที่มีพละกำลังมากพอ มารอให้เรียกใช้งานอยู่ใต้เท้าขวาเลยละ! แต่พอพ้นจากช่วงดังกล่าวไปแล้ว  เป็นธรรมดาที่จะเริ่มมีอาการ “ปลายเหี่ยว” หลังจากผ่านรอบเครื่อยนต์ ระดับ 3,000 รอบ/นาที ขึ้นไป

ภาพรวมแล้ว บุคลิกของเครื่องยนต์ 2.2 CRDi บล็อกนี้ เน้นให้สมรรถนะในช่วงรอบต่ำและรอบกลางๆ ถ้าจะให้เปรียบเทียบแล้ว ต้องบอกว่า ตอบสนองพอกัน และแรงพอๆกันกับ Chevrolet Colorado 2.8 ลิตร เลยนะ เพียงแต่ว่า เครื่องยนต์ของ Grand Carnival เนี่ย มันมีขนาดแค่ 2.2 ลิตร! แถมยังต้องลากน้ำหนักตัวกว่า 2 ตันเข้าไปอีกแหนะ! อัตราเร่งที่ทำได้ดีขนาดนี้ แรงขนาดนี้ ผมว่า เหลือเฟือแล้ว สำหรับการใช้งานในประเทศไทย ถ้าใครอยากแรงกว่านี้ มีทางเดียว คือ ไปซื้อเครื่องยนต์จาก Ferrari มาวางเองซะ! (ถ้ามันวางได้หนะนะ)

การเก็บเสียงรบกวนในห้องโดยสารนั้น หากเป็นช่วงจอดนิ่ง เสียงเครื่องยนต์ Diesel ค่อนข้างเงียบกว่า Mercedes-Benz Diesel หลายๆรุ่น แต่ยังไม่ถึงขั้นเงียบเท่าเครื่องยนต์ของ Mazda 2 Diesel ขณะเดียวกัน การเก็บเสียงในช่วงความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร/ชัวโมง ทำได้ดีมาก เสียงเครืองยนต์เล็ดรอดเข้ามาในห้องดดยสารไม่มากนัก แต่พอพ้น 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป แม้จะยังไม่มีเสียงกระแสลมที่กระจกบังลมหน้า กับขอบหน้าต่างของบานประตูคู่หน้าเท่าใดนัก แต่บริเวณกรอบหน้าต่างด้านบนของบานประตูเลื่อนคู่หลัง และบริเวณซุ้มล้อหลัง เริ่มส่งเสียงลมไหลผ่าน และเสียงยางบดกับพื้นถนนเข้ามาให้ได้ยินอยู่ประมาณหนึ่ง

ภาพรวมด้านการเก็บเสียงนั้น ค่อนข้างเงียบ แม้จะยังทำได้ไม่ถึงขั้น Toyota Alphard/Vellfire แต่แน่นอนว่า เหนือกว่า Hyundai H-1 กับ Honda Odyssey แน่ๆ

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฮโดรลิค รัศมีวงเลี้ยว 5.6 เมตร พอๆกับรถเก๋งทั่วๆไป!!

ในช่วงความเร็วต่ำ น้ำหนักพวงมาลัย เหมือนจะหนืดและหนักปานกลาง แต่พอเริ่มออกรถไปแล้ว น้ำหนักจะเบาขึ้นเล็กน้อย จนใกล้เคียงกับ พวงมาลัยของ Volvo S90 ใหม่ ในโหมด Sport กล่าวคือ น้ำหนักขืนมือกำลังดี ให้ความมั่นใจในการบังคับควบคุมที่ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ดีมากๆ จนน่าชมเชย แถมยังช่วยให้ผม หมุนพวงาลัยเลี้ยวลัดเลาะไปมา ท่ามกลางสภาพการจราจรติดขัด ได้อย่างคล่องแคล่วอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ในช่วงความเร็วเดินทาง เกินกว่า 80 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป สัมผัสได้ว่า พวงมาลัยจะเบาขึ้น ในระดับที่ชวนให้นึกถึงพวงมาลัยของ Chevrolet Colorado / Trailblazer รุ่นล่าสุด 2016 – 2017 และ Ford Ranger กับ Everest รุ่นปี 2017 เอาไว้ เพราะ น้ำหนักในช่วงดังกล่าว เบาพอกัน เพียงแต่ว่า On-Center Feeling ทำได้ดีมาก ถือตรงได้ง่ายดาย น้ำหนักกำลังดี ไม่ต้องคอยเลี้ยงพวงมาลัยซ้ายทีขวาที ให้ปวดขมับ

การบังคับเลี้ยว ให้ความแม่นยำในระดับปกติของรถที่เซ็ตพวงมาลัยมา “กลางๆ” พวงมาลัยไม่ยาน และไม่ไวจนเกินไป มีอัตราทดเฟืองค่อนข้างเหมาะสมดีแล้ว โดยไม่ต้องแก้ไขอะไรเพิ่มเติม มากไปกว่า การเพิ่มน้ำหนักในช่วงความเร็วสูง ให้มากขึ้นอีกว่านี้อีกเพียงนิดเดียว ก็่เพียงพอที่จะทำให้พวงมาลัยของ Grand Carnival ประเสริฐและลงตัวกว่ารถตู้คู่แข่งคันอื่นๆในตลาดแล้ว

ข้อมูลการบำรุงรักษา : น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ : PSF4 ปริมาณในการเปลี่ยนถ่าย 1.0 – 1.5 ลิตร

ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าเป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต คอยล์สปริง ช็อกอัพแก้ส HPD (High Performance Damper) ส่วนด้านหลัง เป็นแบบ Multi-Link คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลงทั้งหน้าและหลัง คือจุดเด่นสำคัญที่ทำให้ Grand Carnival โดดเด่นขึ้นมาเหนือชาวบ้านชาวช่องเขาแทบทั้งหมด เพราะมันถูกเซ็ตมาเอาใจคุณแม่บ้านตีนผี ที่อยากจะซิ่ง แต่ยังต้องการความมั่นใจได้ดีอยู่

การเซ็ตช่วงล่าง มาในสไตล์ “นุ่มและแน่น แบบรถที่มีน้ำหนักมาก กดทับลงบนช่วงล่างน้ำหนักเบา ไม่นิ่มแบบไร้สาระ” ในช่วงความเร็วต่ำ ช่วงล่างของ Grand Carnival พาคุณเดินทางไปตามสภาพพื้นผิวตรอก ซอก ซอย ที่เต็มไปด้วยฝาท่อ เนินสะดุด ลูกระนาด และผิวขรุขระ ได้อย่างนุ่มนวล เนียนๆนิ่งๆ สมดังคาดหวัง แต่ยังคงสัมผัสได้ถึงความแน่นอันเกิดจากน้ำหนักที่กดทับลงบนช่วงล่างด้วยอีกทางหนึ่ง

ไม่เพียงเท่านั้น ในช่วงความเร็วเดินทาง จนถึงย่านความเร็วสูง ตั้งแต่ 100 – 204 กิโลเมตร/ชั่วโมง บนมาตรวัด ตัวรถพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างนิ่งสนิท! ผมลองปล่อยมือจากพวงมาลัยดู ราวๆ 5 วินาที รถก็ยังไม่เสียการทรงตัวใดๆทั้งสิ้น อาจมีบ้างที่จะออกอาการกินซ้ายนิดๆ อันเป็นการปรับตั้งตามค่ามาตรฐานจากโรงงาน แต่ภาพรวมถือว่า ทรงตัวได้ดีเกินความคาดหมาย ไม่หวั่นแม้กระแสลมปะทะด้านข้างจะพัดเข้ามาแรงแค่ไหนก็ตาม

สำหรับการเข้าโค้งนั้น Grand Carnival ค่อนข้างได้เปรียบจากตัวรถที่กว้าง และมีความกว้างช่วงล้อซ้าย – ขวา มากกว่ารถตู้ทั่วไป แถมจุดศูนย์ถ่วงยังถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม ทำให้ตัวรถให้ความมั่นใจในขณะสาดเข้าโค้ง จนสร้างความประหลาดใจให้กับบรรดาผู้โดยสาร ที่แวะเวียนมาลองนั่งรถคันนี้ไปได้หลายคนแล้ว แม้จะยังมีอาการหน้าดื้อโค้งนิดๆไปก่อน ซึ่งมีเหตุผลมาจากน้ำหนักด้านท้ายรถที่เยอะจนส่งผลมายังการเข้าโค้งในช่วงเริ่มต้น แต่พออยู่ในโค้งแล้ว หากเร่งความเร็วเพิ่มขึ้น ตัวรถจะยังรับมือไหวได้ในระดับหนึ่ง ก่อนที่บั้นท้ายจะเริ่มสไลด์ออกด้านข้างนิดๆ แต่ไม่มากเลย

มาดูความเร็ว จากโค้งบนทางด่วนเฉลิมมหานคร ทั้ง 5 ตำแหน่ง ที่ผมมักใช้เป็นมาตรฐานในการทดลองดูแล้วกันครับ ในโค้งขวารูปเคียว เหนือทางด่วนย่านมักกะสัน อันเป็นโค้งที่สูงและแคบสุดในระบบทางด่วนของกรุงเทพฯ) ต่อเนื่องไปยังโค้งซ้าย ฝั่งตรงข้ามโรงแรม Eastin เพื่อเชื่อมเข้าระบบทางด่วนขั้นที่ 1 ผมพา Grand Carnival ใหม่ เข้าทั้ง 2 โค้ง ต่อเนื่องกันได้ โดยความเร็วบนมาตรวัดอยู่ที่ 100 และ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตามลำดับ

ส่วนโค้งขวา ซ้าย ขวา รูปตัว S ที่เชื่อมจากทางด่วนชั้นที่ 1 ช่วง สุขุมวิท 50 ขึ้นไปยังทางยกระบบูรพาวิถี Grand Carnival ใหม่พุ่งเข้าโค้งไปได้สบายๆ ด้วยความเร็วบนมาตรวัด 100 , 110 และ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งเทียบเท่ากับรถเก๋งทั่วไปชัดๆ!

ยิ่งการเปลี่ยนกระทันหันที่ความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั้น แม้ว่าจะมีอาการบั้นท้ายค่อยๆสไลด์ออกทางด้านข้าง ตามปกติของรถตู้ที่มีลำตัวและฐานล้อยาว แถมยังมีน้ำหนักตัวมากโข แต่การจัดระเบียบตัวถัง ทั้งในจังหวะที่เริ่มเปลี่ยนเลน จนกระทั่งกลับเข้ามาอยู่ในเลนถัดไป ทำได้เนียนมาก และไว้ใจได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว! ตัวรถจะค่อยๆเคลื่อนไปในเลนที่เราเลือกก่อน จากนั้นโครงสร้างตรงกลางจะประคับประคองและช่วยดึงบั้นท้ายให้เปลี่ยนเลนตามมา มีอาการสไลด์ออกด้านข้าง แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในเลนที่ต้องการแล้ว บั้นท้ายก็จะนิ่งสนิททันที! สารภาพว่าผมไม่กล้าทำเช่นนี้กับรถตู้รุ่นอื่นๆ เพราะโอกาสที่จะพลิกคว่ำ ณ ความเร็วระดับนี้ เป็นไปได้สูงมาก แต่ Grand Carnival ผ่านการทดลองในประเด็นนี้มาได้อย่างไม่ยากเย็น

ระบบห้ามล้อเป็นแบบ ดิสก์เบรก ทั้ง 4 ล้อ จานคู่หน้าและหลัง มีเส้นผ่าศนย์กลาง 320 และ 340 มิลลิเมตร เสริมการทำงานด้วยระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System) และระบบกระจายแรงเบรกตามน้ำหนักบรรทุด EBD (Electronics Brake Force Distribution)

จริงอยูว่า แป้นเบรกถูกเซ็ตมาให้มีความหนืดและน้ำหนักเบาอย่างเหมาะสม กับเท้าของทั้งผู้หญิง และผู้ชาย รวมทั้งมีระยะเหยียบที่ยาวประมาณหนึ่ง ทว่า ทันทีที่คุณเหยียบเบรกลงไปประมาณ 20 – 30% แรก รถจะเริ่มหน่วงความเร็วลงมานิดหน่อย พอเติมน้ำหนักเพิมอีกเพียงนิดเดียว เบรกจะทำงานเยอะขึ้นมากจนทำให้รถมีอาการเบรกจิกหัวทิ่ม

ในช่วงความเร็วต่ำ ขณะขับคลานๆ ในเมือง การเหยียบแป้นเบรกแบบเลียๆ อาจจะเพียงพอสำหรับการชะลอรถในสภาพคลานๆหยุดๆ ไปตามสภาพการจราจร แต่ในช่วงความเร็วสูง เบรกที่จิกเกินไปค่อนข้างน่าเป็นห่วงต่อคนที่ขับรถที่มีประสบการณ์ไม่มากนัก อาจเหยียบลงไปลึกจนทำให้รถเสียการทรงตัวได้ง่ายๆ

ผมอยากให้มีการปรับปรุงเรื่องการตอบสนองแป้นเบรก ให้มีความต่อเนื่อง (Linear) ดีกว่านี้ คือถ้าจะต้องเซ็ตเบรกให้เอาใจคุณแม่บ้านขี้ตกใจ มี 2 ทางเลือก คือ เซตให้เบรกทำงานมากกว่านี้ในช่วงระยะเหยียบ 20 – 30% แรก ไปเลย หรือไม่เช่นนั้น ก็เพิ่มความต่อเนื่อง ลดทอนการทำงานในช่วงระยะเหยียบที่ 40% ลงมานิดหน่อย แต่อาจต้องแลกกับเสียงบ่นของลูกค้าที่เข้าใจผิดว่า เบรกทำงานช้าไป คงต้องเลือกเอาทางใดทางหนึ่ง

อีกข้อด้อยที่สำคัญของ Grand Carnival คือ พอเห็นว่าคู่แข่งอย่าง Hyundai H-1 ไม่มีระบบช่วยควบคุมการทรงตัวใดๆมาให้ ทาง Yontrakit Kia Motor ก็เลยสั่งไปทางเกาหลีใต้ว่า ไม่ต้องติดตั้ง ระบบควบคุมการทรงตัว หรือระบบตัวช่วยป้องกันการลื่นไถลใดๆมาให้รุ่น 11 ที่นั่ง เลย!!

นี่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง รถตู้ 11 ที่นั่ง ราคาคันละตั้ง 1.9 ล้านบาทเศษ กลับไม่มีระบบนี้มาให้ ถ้าอยากได้ คุณต้องปีนขึ้นไปเล่น Grand Carnival รุ่น 7 ที่นั่ง ราคา 2.99 ล้านบาท จึงจะได้อุปกรณ์เหล่านั้นติดมาครบคัน ทั้งที่ Option แบบนี้ เป็นอุปกรณ์พื้นฐาน ที่รถยนต์ระดับราคาตั้งแต่ 500,000 บาทขึ้นไป เขาติดตั้งกันมาให้หมดแล้ว

ด้านความปลอดภัย โครงสร้างตัวถังของ Grand Carnival ใหม่ ไดรับการออกแบบให้แข็งแกร่งและกระจายแรงปะทะจาการชนได้ดียิ่งขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการเลือกใช้เหล็กแบบ AHSS (Advanced High Strength Steel) จาก Hyundai Steel มากถึง 52% จากโครงสร้างตัวถังทั้งหมด

การออกแบบยังคำนึงไปถึงการใช้งานจริงในรูปแบบต่างๆ ทำให้มีการออกแบบโครงสร้างเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar แบบ Multi-Road Pass ซึ่งถูกจดสิทธิบัตรเอาไว้เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งเพิมการใช้เหล็กแบบ Hot Stamping เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างบริเวณห้องเครื่องยนต์ และคาน Side member และการออกแบบโครงสร้างเสากลาง B-Pillar เพื่อรองรับการพลิกคว่ำ พร้อมคานกันกระแทกในประตูทุกบาน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในเวอร์ชันเกาหลีใต้ และรุ่นส่งออกไปยังประเทศต่างๆ จะอัดแน่นด้วยถุงลมนิรภัย 6 ใบ ระบบเตือนว่ามีรถกำลังจะเร่งแซงขึ้นมาทางด้านข้าง บนกระจกมองข้าง Blind Spot Monitoring ระบบเตือนเมื่อมีรถแล่นผ่านตัดหลังขณะกำลังถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ระบบช่วยเบรกขณะเข้าโค้ง CBC (Cornering Brake Control) ฯลฯ

แต่สำหรับ Grand Carnival เวอร์ชันไทย กลับมีเพียงแค่ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า เข็มขัดนิรภัย ELR 3 จุด ทุกตำแหน่ง มาให้ แค่นั้น! นี่เป็นเรื่องน่าเศร้า ที่อุปกรณ์ความปลอดภัยสมัยใหม่ กลับถูกตัดออกไปอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะเหตุผลว่า ต้องทำราคาขายให้ได้ เนื่องจากเสียภาษีนำเข้ามาแพงมากแล้ว

มันเหมือนกับบริกร กำลังนำอาหารมาเสริฟให้คุณตรงหน้าแล้ว พอคุณกำลังจะยกช้อนตักเข้าปาก บริกรคนเดิมกลับยกจานอาหารนั้นออกไป และบอกเพียงแต่ว่า “มันไม่ใช่ของพี่ครับ ผมเสริฟผิดโต๊ะ!”

เซ็งวะ!

https://youtube.com/watch?v=Hhu5ljtp_iU%3Ffeature%3Doembed
https://youtube.com/watch?v=mTP7Ia9zWqo%3Ffeature%3Doembed
https://youtube.com/watch?v=Zmhk4uvGqsU%3Ffeature%3Doembed

ในตลาดต่างประเทศ Kia Grand Carnival (ในชื่อ Kia Sedona) ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยจากการทดสอบชน ของหน่วยงานความปลอดภัยด้านการจราจรบนทางหลวงของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา NHTSA (National Highway Traffic Safety Administration โดยได้คะแนน 5 ดาว ในหมวดทดสอบการชนด้านหน้า ทั้งเต็มพื้นที่ และ 40% ของพื้นที่ Offset Crash การชนด้านข้าง และ 4 ดาว จากการทดสอบพลิกคว่ำ

รวมทั้งได้รับเลือกให้เป็น 2017 Top Safety Pick จาก สถาบันประกันภัย เพื่อความปลอดภัยบนทางหลวง IIHS (Insurance Institute for Highway Safety ซึ่งขยันคิดค้นการทดสอบประเภทแปลกๆขึ้นมา เพื่อหาทางให้ผู้ผลิตรถยนต์ใส่ใจกับความปลอดภัยมากขึ้น มิเช่นนั้น รถของพวกเขา จะถูกหาเรื่องจัดเรตค่าประกันภัยแพง จนทำให้ส่งผลต่อการขายรถใหม่ได้

อีกสถาบันที่ให้การรับรองคือ ANCAP (Australia New Car Assesment Program) คณะกรรมการประเมิณความปลอดภัยรถยนต์รุ่นใหม่ ในออสเตรเลีย ที่อิงมาตรฐานของ EuroNCAP แต่ปรับให้เข้มงวดขึนอีกนิดหน่อยให้เข้ากับประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ให้คะแนน Grand Carnival ใหม่ไว้ที่ระดับ 5 ดาว เช่นเดียวกัน

รายละเอียดต่างๆ เข้าไปดูได้ที่
https://www.nhtsa.gov/vehicle/2018/KIA/SEDONA/VAN/FWD
http://www.iihs.org/iihs/ratings/vehicle/v/kia/sedona-minivan/2017
https://www.ancap.com.au/safety-ratings/kia/carnival/f19b4b

กระนั้น ต้องหมายเหตุด้วยดอกจัน ตัวโตๆ ว่า ถึงแม้ Grand Carnival จะใช้โครงสร้างตัวถังเดียวกันหมดทั่วโลก และให้ผลการทดสอบชนด้านหน้า ทั้งแบบเต็มและไม่เต็มพื้นที่ด้านหน้ารถ ดีเยี่ยม แต่สำหรับการทดสอบชนด้านข้าง รถยนต์ที่เข้าร่วมทดสอบในต่างประเทศ ถูกติดตั้งถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านลมนิรภัย ซึ่งไม่มีในรถยนต์รุ่นที่จำหน่ายในประเทศไทย

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

เมื่อได้เห็นสมรรถนะจากเครื่องยนต์ Diesel Common-Rail Turbo รุ่นใหม่แล้วว่า ให้อัตราเร่งดีเกินคาดขนาดนี้ หลายคนคงอยากรู้ว่า แล้วความประหยัดน้ำมันละ Grand Carnival ใหม่ จะทำตัวเลขออกมาได้ดีเพียงใด?

เราจึงยังคงใช้วิธีการทดลองตามมาตรฐานดั้งเดิม คือการพารถไปเติมน้ำมัน Diesel Techron Power-D ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex บนถนนพหลโยธินใกล้กับ สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ ในช่วงกลางคืน

อย่างไรก็ตาม ลูกค้าที่ซื้อรถตู้แบบนี้ มักไม่ได้ซีเรียสกับตัวเลขกันมากขนาดนั้น เราจึงตัดสินใจเติมน้ำมัน แค่ให้หัวจ่ายตัดการทำงาน ก็พอ ไม่ต้องเขย่ารถ อย่างเช่นที่ต้องทำกับรถยนต์นั่งต่ำกว่า 2,000 ซีซี และรถกระบะ ให้ปวดเมื่อยไปทั้งตัวโดยไม่จำเป็น

สักขีพยานและผู้ช่วยทดลอง ยังเป็นคนเดิม น้อง Joke V10ThLnD จากกลุ่ม The Coup Team ของเรานั่นเอง น้ำหนักตัว 65 กิโลกรัม

Previous Post

N1009057_เศรษฐ สตร เร อน ตอน_part2

Next Post

N1109013_Ep1 สาวเม องกร งมาเท ยวหาป แต นตกหล มร กหน มบ านนา_part2

Next Post
N1109013_Ep1 สาวเม องกร งมาเท ยวหาป แต นตกหล มร กหน มบ านนา_part2

N1109013_Ep1 สาวเม องกร งมาเท ยวหาป แต นตกหล มร กหน มบ านนา_part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • N3112064 เพ อนท เขาไม ทำก บเพ อนแบบน part2
  • N3112072 เธอถอดบsาต อหน แต มไปว าเค ามอง(ไม )เห part2
  • N3112076_กผอ. ไม พอใจท กภารโรงใส ดว ายน ำเหม อนเขา_part2
  • N3112074 ทำนาอย ๆม คนมาขอความช วยเหล part2
  • N3112069 อให แฟนไม แต แม แฟนร กส ดห วใจ part2

Recent Comments

No comments to show.

Archives

  • December 2025
  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.