ถ้าคิดว่าอยากประหยัดงบลงมาสักหน่อย แต่เน้นความหรูฟู่ฟ่า ขับไปทำงานได้ทุกวัน
คงต้องมองไปที่ S-Class Coupe ใหม่ ซึ่งเผยโฉมไปแล้วในตลาดโลกตั้งแต่วันที่
11 กุมภาพันธ์ 2014 แต่จะมาถึงบ้านเรา พร้อมกันกับ AMG GT โดยจะมีให้เลือกใน
รุ่น S500 เพียงแบบเดียว เครื่องยนต์ V8 4,663 ซีซี Twin-Turbo 455 แรงม้า
(PS) แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร
จุดขายสำคัญ อยู่ที่การติดตั้งระบบ Magic Body Control ที่ช่วยควบคุมช่วงล่าง
ให้นุ่มนวล ขณะขับขี่ในเมือง เหมือน S-Class Saloon แต่เพิ่มมีฟังก์ชันปรับองศา
เอียงตอนเข้าโค้ง “ครั้งแรกในรถยนต์ที่ผลิตออกมาจำหน่ายจริง” ทำให้ S-Class
Coupe สามารถเอียงเข้าโค้งเรียบเนียนดุจนักเล่นสกีและนักขี่รถจักรยานยนต์
พร้อมกันนี้ยังติดตั้งระบบ Active Body Control ที่ช่วยปรับสตรัทผ่านลูกสูบ
ไฮโดรลิค ะช่วยทำให้ล้อแต่ละข้างกดพื้นกับถนน แม้กระทั่งตอนเลี้ยวเข้าโค้ง
ทำให้ตัวรถเอียงได้มากสุด 2.5 องศา แล้วแต่ความโค้งของถนนและความเร็ว
นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบตรวจส่องพื้นถนนด้วยกล้องแบบ Stereo ที่สามารถ
ตรวจจับถนนโค้งล่วงหน้าได้ 15 เมตร ก่อนที่จะกระตุ้นให้ระบบรองรับการ
เข้าโค้งทำงาน

นอกจากนี้ ใครที่รอ C-Class ประกอบในประเทศไทย รอพบ C 300 Bluetec
Hybrid ได้ก่อนเพื่อน ในช่วงกลางปี 2015 จากนั้น จะตามด้วยฝูง SUV ที่จะ
มีการปรับเปลี่ยนชื่อรุ่นใหม่ ตามตลาดโลก ทั้ง M-Class ที่จะเปลี่ยนชื่อเป็น
GLE มีทั้งตัวถังมาตรฐานที่ขายกันมา 2 ปีแล้ว รวมทั้ง GLE Coupe รุ่นใหม่
ล่าสุด ที่เพิ่งเผยโฉมกันไปหยกๆ เมื่อ 10 ธันวาคม 2014 ที่ผ่านมา เพื่อหวัง
ต่อกรกับ BMW X6 ใหม่
ส่งท้ายในช่วงสิ้นปี จะถึงคิวของ GLC ใหม่ ซึ่งต้องท้าวความกันก่อนว่า มันก็คือ
GLK Premium Compact Crossover SUV น้องเล็กสุดในตระกูล ที่เคย
ออกสู่ตลาดมาแล้วหลายปีนั่นเอง
เพียงแต่คราวนี้ พวกเขาจะส่งรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่หมดทั้งคัน Full Model Change มา
บุกตลาดเมืองไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรก ซึ่งจะมาพร้อมกับชื่อใหม่ GLC โดยวาง
เป้าหมายประกบและต่อกรกับ BMW X3 ความพิเศษอีกประการก็คือ การขึ้นสายผลิต
เวอร์ชันพวงมาลัยขวาเป็นครั้งแรก เพราะที่ผ่านมา GLK ไม่มีรุ่นพวงมาลัยขวามาก่อน
กำหนดเปิดตัว จะมีขึ้นในงาน Motor Expo เดือนพฤศจิกายน 2015
ส่วนใครที่รอดูความเคลื่อนไหวของ E-Class รุ่นต่อไป คาดว่า ในช่วงสิ้นปี 2015 นี้
เราอาจจะได้เห็นการเผยโฉมอย่างเป็นทางการของ ชายกลางแห่งตระกูล ผู้ครองความ
เป็นแชมป์รถยนต์นั่งระดับ Premium Mid-size ตลอดกาลในบ้านเรา กันเสียที โดย
คาดว่าจะมีเส้นสายตัวถัง ไม่ต่างไปจาก S-Class และ C-Class Saloon มากนัก
—————————————————-

MG-SAIC
2015 : MG 3 / MG6 Minorchange
2016 : New SUV
การกลับมาบุกตลาดเมืองไทย อีกครั้งของ MG หลังหายหน้าหายตาไปเกือบ 20 ปี
เริ่มต้นได้ไม่ค่อยดีอย่างที่คิด แม้ว่าความพยายามในการสร้างแบรนด์ ด้วยการโหม
โฆษณาในทุกสื่อ อย่างหนักหน่วง จะทำให้ลูกค้าในกลุ่มที่ไม่รู้เรื่องรถยนต์มากนัก
เข้าใจว่า MG คือรถยุโรป มาจากอังกฤษ เป็นผลสำเร็จ ทว่า ลูกค้าในกลุ่มคนรักรถ
ก็รู้อยู่เต็มอก ว่า MG ถูกซื้อกิจการไปอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ใหญ่สุดใน
เมืองจีน อย่าง SAIC มานานแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น แม้ว่า ลูกค้าจะยอมรับคุณภาพของห้องโดยสาร MG 6 รถยนต์นั่ง
C-Segment รุ่นแรกที่ใช้ในการเปิดตัวกลับคืนสู่ตลาดบ้านเรา แต่สมรรถนะของรถ
ในภาพรวม ยังไม่น่าประทับใจเพียงพอ “เครื่องอืด คันเร่งเหียก เกียร์ห่วย” เป็น
คำจำกัดความที่ตรงไปตรงมามากสุดสำหรับ MG6 รุ่นแรก นอกจากนี้ การขยาย
โชว์รูมผู้จำหน่าย ในช่วงแรก ยังล่าช้าไปกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ลูกค้าจึงยังไม่ค่อย
มั่นใจในการกลับมาของ MG ครั้งนี้ เท่าที่ควร
ฉะนั้น ปี 2015 จึงยังเป็นอีก 1 ปี ที่ MG จะยังมีเวลาแก้ไขในสิ่งที่พลาดไป ทั้งการ
ปรับปรุง MG 6 ใหม่ ในรุ่นปรับโฉม Minorchange ให้ดีขึ้นยิ่งกว่านี้ โดยเฉพาะ
ด้านสมรรถนะ การตอบสนองของคันเร่ง และเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch ที่ต้อง
ไวขึ้นกว่านี้ อีกทั้งต้องปรับให้เครื่องยนต์ 2,0 ลิตร ให้รองรับการเติมน้ำมันเบนซิน
แก็สโซฮอลล์ E85 ได้ คาดว่า MG 6 Minorchange น่าจะออกสู่ตลาดได้ในช่วง
กลางปี 2015

แต่ก่อนที่เราจะได้พบกับ MG 6 Minorchange กัน SAIC มีกำหนดจะส่ง MG3
Sub-Compact Hatchback 5 ประตู อันเป็นผลผลิตรุ่นที่ 2 ซึ่งเปิดตัวสู่ตลาดโลก
มาตั้งแต่ปี 2013 มาบุกตลาดเมืองไทย ในปี 2015 นี้ด้วยเช่นกัน MG เพิ่งส่ง MG 3
รุ่นตกแต่งพิเศษ ไปอวดโฉมต่อสายตาชาวไทย ในงาน Motor Expo เดือนพฤศจิกายน
2014 ที่ผ่านมา รวมทั้งหมด 3 คัน เพื่อให้คำมั่นกับลูกค้าชาวไทยว่า “มาแน่ๆ”
ตัวรถมีความยาว 4,018 มิลลิเมตร กว้าง 1,729 มิลลิเมตร สูง 1,507 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 2,520 มิลลิเมตร วางเครื่องยนต์ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,498 ซีซี
หัวฉีด Multi-Point Injection 106 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
137 นิวตันเมตร (13.96 กก.-ม.) ที่ 4,750 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์
ธรรมดา 5 จังหวะ เป็นพื้นฐาน และจะมีเกียร์อัตโนมัติให้เลือกด้วย
MG หมายมั่นปั้นมือจะให้ MG 3 เป็นทางเลือกใหม่ สำหรับลูกค้าที่อยากลองเปลี่ยน
จากรถญี่ปุ่น อย่าง Toyota Yaris , Honda Jazz , Mazda 2 หรือแม้แต่คู่แข่ง
จากฝั่งอเมริกาเหนือ อย่าง Ford Fiesta และ Chevrolet Sonic มาขับรถเก๋ง
ท้ายตัดสไตล์อังกฤษ (ลูกครึ่งจีน) ดูบ้าง โดยเวอร์ชันไทย จะมีให้เลือกทั้งแบบ
มาตรฐาน และแบบ Cross ยกสูงกว่ารุ่นปกติ เล็กน้อย
กำหนดการเปิดตัว ของ MG 3 จะเกิดขึ้นในช่วงงาน Bangkok Motor Show
เดือนมีนาคม 2015 และคาดว่าน่าจะพร้อมส่งมอบได้จริง หลังจากนั้นเล็กน้อย
โดยจะเปิดตัวก่อน MG 6 Minorchange

ส่วนปี 2016 MG เตรียมอาวุธเด็ดเอาไว้ นั่นคือ Crossover SUV รุ่นใหม่ล่าสุด
ในชื่อ MG CS ที่สร้างขึ้นบนพื้นตัวถังและโครงสร้างวิศวกรรมร่วมกันกับทั้ง
MG 5 และ MG 6
MG เคยเปิดเผยโครงการพัฒนา SUV รุ่นนี้ มาก่อนแล้ว ด้วยการเปิดตัวรถยนต์ต้นแบบ
CS-Concept ในงาน Shanghai Motor Show เมื่อเดือนเมษายน 2013 ตอนนี้
โครงการดังกล่าว เสร็จสมบูรณ์เป็นคันจริงแล้ว แต่ MG-SAIC เพิ่งเผยภาพถ่ายอย่างเป็น
ทางการของ Crossover SUV ที่ใช้ชื่อชวนให้นึกว่าเป็นรถสปอร์ต รุ่นนี้ออกมาเมื่อ
วันที่ 30 ธันวาคม 2014 สดๆร้อนๆนี่เอง!
ตัวถังมีความยาว 4,500 มิลลิเมตร กว้าง 1,675 มิลลิเมตร สูง 1,675 มิลลิเมตร
มีขุมพลังให้เลือก ในช่วงแรก 2 ขนาด ทั้เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร
Direct Injection Turbo 135 แรงม้า (PS) และขุมพลังเบนซิน 4 สูบ DOHC
16 วาล์ว 2.0 ลิตร Turbo 217 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร จับคู่
กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Dual Clutch มีทั้งรุ่นขับล้อหน้า และขับเคลื่อน 4 ล้อ
ส่วนขุมพลัง Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.9 ลิตร Common-Rail Turbo
จะตามออกมาให้เลือกสำหรับตลาดกลุ่มยุโรปในภายหลัง
คาดว่า MG CS น่าจะพร้อมส่งมาขึ้นสายการประกอบที่โรงงานของ SAIC จังหวัด
ระยอง ได้ ประมาณปี 2016 เป็นอย่างช้าที่สุด
—————————————————-

MITSUBISHI MOTORS
2015 : All New Pajero Sport / Last year for “Lancer EX”??
2016 : Mirage Full Model Change (World First in Thailand)
2017 : Attrage Full Model Change (World First in Thailand)
การเปิดตัว Mitsubishi Triton ใหม่ เป็นครั้งแรกในโลก เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2014 ที่ผ่านมา
พร้มกับดึง พระเอกตลอดกาลติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี มาเป็น Presenter คือ ไฮไลต์ สำคัญสำหรับ
Mitsubishi Motors Thailand ในปีที่ผ่านมา น่าเสียดายว่า กระแสภาพหลุด จากโรงงาน ย่าน
แหลมฉบัง หลังงานเปิดตัวคู่แข่งอย่าง Nissan Navara เพียงวันเดียว จะทำให้หลายคนต่าง
พากันร้องยี้ และเลิกรอ Triton กันไปเลย แถมยังทำให้พนักงานในไลน์ผลิตที่เกี่ยวข้องต่าง
โดนไล่ออกไปถึง 4 คน ก็ตาม
ในเมื่อ Triton ใหม่ เปิดตัวแล้ว ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีเสียงของลูกค้าชาวไทย ถามไถ่กัน
ถึงคู่ปรับตลอดกาลของ Toyota Fortuner อย่าง Mitsubishi Pajero Sport ว่าจะเริ่ม
พร้อมขายได้เมื่อไหร่?
คำตอบก็คือ Pajero Sport รุ่นต่อไป กำลังอยูในระหว่างการพัฒนา ขั้นสุดท้าย เพื่อให้ทัน
กำหนดออกสู่ตลาดบ้านเราเป็นแห่งแรกในโลก ช่วงไตรมาส 3 ในปี 2015 คราวนี้ เส้นสาย
ได้รับการยืนยันว่า สวยงามมาก จนทำให้หลายๆคน ปันใจจาก Fortuner ใหม่ ไปเลยทีเดียว
อีกทั้ง การออกแบบด้านหน้าของรถ รวมทั้งภายในห้องโดยสาร ก็จะหรูขึ้นอย่างแตกต่าง
ไปจาก Triton อีกระดับหนึ่ง (ภาพสเก็ตช์นี้ อาจจะยังได้ไม่ถึงครึ่งของคันจริง)
รายละเอียดด้านเทคนิคนั้น ยกยวงมาจาก Triton ได้เลย แบบไม่ต้องคิดมาก แต่อาจมี
อุปกรณ์อำนวยความสะดวกบางอย่าง ที่เหนือชั้นกว่า Triton อย่างชัดเจน และอาจถือว่า
เป็นรายแรกในตลาดกลุ่ม SUV/PPV ก็เป็นได้
ความกระจ่างในประเด็นนี้ จะเกิดขึ้นในวันที่ Pajero Sport รุ่นต่อไป เผยโฉมในบ้านเรา
ช่วงไตรมาส 3 ปี 2015 คาดว่า ราคาขายน่าจะไม่ต่างไปจากรุ่นปัจจุบันมากนัก แพงขึ้น
กว่าเดิมนิดหน่อย
จากนั้นในปี 2016 และ 2017 จะถึงคิวของการเปลี่ยนโฉมใหม่ให้กับ 2 ECO Cars ทั้ง
Mitsubishi Mirage และ Attrage ตามลำดับ ปีละ 1 รุ่น โดยยังพอมีแนวโน้มอยู่บ้าง
ในระดับ แสงปลายอุโมงค์ ว่า เราอาจจะได้พบกับเครื่องยนต์ใหม่ 1.2 ลิตร พร้อมระบบ
อัดอากาศ Turbocharger ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มพละกำลังให้แรงขึ้นแล้ว ยังจะช่วย
ลดการปล่อยมลพิษลงให้ต่ำกว่า 100 กรัม / กิโลเมตร ตามข้อกำหนดของ ECO Car
Phase 2 ได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อยากจะขอฝากไปถึงคนญี่ปุ่นใน Mitsubishi Motors คือ การเปลี่ยน
โฉมในครั้งนี้ ควรจะมุ่งเน้นสร้างรถออกมาให้ เป็นเลิศในทุกด้าน อย่ามองแค่ว่ามันคือรถยนต์
ECO Cars เพราะผลตอบรับของ Mirage และ Attrage ที่ออกมาในตลาดโลกนั้น ไม่สู้ดี
เท่าที่ควร โดยเฉพาะตลาดอเมริกาเหนือ ดังนั้น ไหนๆก็ไหน ถ้าสามารถทำรถเก๋งเล็ก ให้มี
สมรรถนะดีในทุกด้าน มีการขับขี่ที่ดี นิ่ง มั่นใจได้ในความเร็วสูง แต่ต้องให้ความสะดวกสบาย
ในการเดินทางอย่างแท้จริง เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าชาวไทยได้ครบถ้วน
หากทำได้ตามที่บอกข้างบนนี้ โอกาสที่ Mirage และ Attrage รุ่นต่อไป จะมียอดขาย
เปรี้ยงปร้าง แซงเจ้าตลาด ก็เป็นไปได้สูง แถมยังสามารถส่งกลับไปขายในสหรัฐอเมริกา
ได้เยอะกว่าที่เป็นอยู่นี้แน่ๆ ขึ้นอยู่กับว่า ชาวญี่ปุ่นที่ MMC จะยอมละทิ้งความเชื่อมั่นใน
สิ่งที่ตนคิด และยอมเชื่อฟังเสียงของคนไทยให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่นี้ได้เมื่อไหร่
ส่วนอนาคตของ Lancer อาจจะต้องบอกว่า ยังคงไม่แน่นอนต่อไป เพราะแม้แต่ CEO
ของบริษัทอย่าง Osamu Masuko ยังให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อบินมาร่วมเปิดตัว Triton ใน
บ้านเรา ปลายปี 2014 ไว้ว่า เขายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับ Lancer
กระนั้น ปัญหาสำคัญที่ทำให้เราอาจได้เห็น Lancer EX ทำตลาดในบ้านเรา ปีนี้ เป็น
ปีสุดท้าย ก็คือ ความเข้มงวดของ การจัดเก็บภาศีสรรพสามิต อัตราใหม่ ที่ทำให้ค่าตัว
ของ Lancer EX อาจต้องเพิ่มขึ้น จนทำให้ ไม่คุ้มในการทำตลาดอีกต่อไป ดังนั้น เรา
จึงอาจจะได้เห็น Lancer EX รุ่นพิเศษ ล็อตพิเศษ ส่งท้าย และสั่งลาตำนาน Lancer
บนท้องถนนเมืองไทย ก็มีความเป็นไปได้สูง
—————————————————-

NISSAN
2015 : Juke Minorchange / NAVARA Single Cab
2016 : TEANA Minorchange / NAVARA SUV/PPV
2017 : ECO Car Phase 2 (NOTE?) / Sylphy Full Model Change
2018 : ALMERA
ปีที่ผ่านมา Nissan ส่ง รถกระบะรุ่นใหม่ พร้อมกับชื่อรุ่นเก่าผสมใหม่ NP300 Navara
ออกสู่สายตาชาวไทยเป็นครั้งแรกในโลก ช่วงเดือนกรกฎาคม ตามด้วย X-Trail ใหม่
ที่เลื่อนจากช่วงต้นปี มาเปิดตัวตอนปลายปี ก่อนงาน Motor Expo ไม่กี่วัน กระนั้น
สถานการณ์ยอดขายของ Nissan ก็ยังอยู่ในระดับทรงกับทรุดเรื่อยๆ
สาเหตุของปัญหาที่น่าเป็นห่วงของ Nissan ในช่วงที่ผ่านมา อยู่ที่ความพยายามใน
การปรับลดต้นทุนด้านงานวิศวกรรม เพื่อเอางบที่ประหยัดได้ ไปช่วยอัดออพชันให้
ตามใจลูกค้าเรียกร้องมากขึ้น จนกระทั่ง ตัวรถเริ่มมีคุณภาพลดลงหลังจากใช้งานไป
สักระยะ นี่คือสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะนั่นส่งผลต่อความเชื่อมั่นของแบรนด์ Nissan
ในระยะยาว
นอกจากนี้ การที่ยอดขายของ Nissan ลดลงนั้น ส่วนหนึ่ง อาจเป็นเพราะ การที่ทีม
วิศวกรและผู้บริหารชาวต่างชาติ ไม่สนใจความต้องการของลูกค้าคนไทย ที่อยากให้
ปรับปรุงตัวรถยนต์นั่ง ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซิน ให้เติมน้ำมัน แก็สโซฮอลล์ E85
ได้เสียที ต้องยอมรับกันว่า แม้ E85 จะสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากกว่า แต่ด้วยราคาขาย
ที่หน้าหัวจ่ายถูกกว่า ทำให้ลูกค้าคนไทย ซึ่งมีนิสัย มองอะไรไม่ค่อยขาด และมอง
แค่ความประหยัดในแบบที่ตนเห็นต่อหน้า ตรงหน้าหัวจ่าย พากันเติม E85 เพิ่มขึ้น
อย่างมาก และเรียกร้องให้ผู้ผลิตรถยนต์ทุกค่าย ต่างทำรถยนต์ให้รองรับ E85 ได้
จากโรงงาน ในเมื่อ Nissan ไม่สนองตอบต่อข้อเรียกร้องของลูกค้าในประเด็นนี้
จึงยากที่จะสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นทัดเทียมกับคู่แข่งเขาได้
ปี 2015 Nissan จะมีรถยนต์รุ่นใหม่ เพียงแค่ 2 รุ่นเท่านั้น เริ่มจากการปรับโฉม Juke
แบบ Minorchange อย่างรวดเร็ว ฉับไว ตามติดตลาดอินโดนีเซีย ซึ่งจะเปิดตัวในช่วง
เดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ จุดขายสำคัญอยู่ที่เรื่องออพชัน ชนิดที่ว่า ญี่ปุ่นออพชันไหน
เมืองไทยจะมีพอๆกัน! โดยเฉพาะการติดตั้งกล้องมองหลัง Around View Monitor
แบบเดียวกับ Teana และ X-Trail กำหนดเปิดตัว มาเร็วทันใจ ในเดือนกุมภาพันธ์นี้
ส่วนลูกค้าที่อยากได้ NP300 Navara ไปขนผักขนปลาส่งตลาดสด รุ่น Single Cab
กระบะช่วงยาวตอนเดียว จะพร้อมออกสู่ตลาดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – พฤษภาคม 2015
โดยประมาณ วางเครื่องยนต์แบบเดิมๆ ที่ประจำการอยู่แล้วใน Navara Single Cab
รุ่นปัจจุบัน สิ่งที่น่าจับตาดูกคือ อุปกรณ์บางอย่าง ที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในรถกระบะ
แบบ Single Cab ทุกคันในตลาด

ส่วนปี 2016 นั้น คาดว่าจะต้องมีการปรับโฉม Minorchange ให้กับ Teana เพื่อเร่ง
กอบกู้ยอดขายให้สูงขึ้นหว่านี้สักหน่อย เพราะตัวเลขในตอนนี้ ถือว่า น่าเป็นห่วงพอๆกันกับ
เมื่อครั้งที่ Teana J31 ยังอยู่ในตลาดราวๆ 8 ปีที่แล้ว ยอดขายตลอดช่วงขวบปีแรกที่
อยู่ในอายุตลาด Teana โดนคู่แข่งในกลุ่ม D-Segment Sedan ระดับเจ้าตลาดทั้ง
Honda Accord และ Toyota Camry แซงขึ้นหน้าไปไกล จนต้องทำอะไรสักอย่าง
สาเหตุ คาดว่ามาจาก การออกแบบของ Teana และ รุ่นน้องอย่าง Sylphy ดูเหมือนกัน
มากจนเกินไป อีกทั้ง การเรียงลำดับรุ่นรถยนต์ที่จะเปิดตัวในตลาดเมืองไทย ไม่เหมาะสม
เนื่องจากในต่างประเทศ Nissan เลือกเปิดตัว Teana รุ่นนี้ ในตลาดอเมริกาเหนือ ด้วย
ชื่อรุ่น Altima ก่อน แล้วจึงค่อย เปิดตัว รุ่นน้อง ในกลุ่ม C-Segment อย่าง Sylphy
(Sentra) ลูกค้าต่างประเทศ จึงเข้าใจว่า Teana / Altima มาก่อน Syphy / Sentra
แต่ในบ้านเรา Sylphy ถูกกำหนดให้เปิตตัวก่อน ดังนั้น เมื่อ Teana ออกสู่ตลาดตามมา
ลูกคาชาวไทยจึงเข้าใจว่า Teana เป็นเพียงแค่ Sylphy ที่สูบลมให้พองตัวเพิ่มขึ้น แต่
ลดทอนความหรูของห้องโดยสารลงจากรุ่นเดิม โดยเฉพาะแผงหน้าปัด ที่เคยเป็นจุดขาย
กลับไม่โดดเด่นเท่ารุ่นก่อนหน้านี้ ลูกค้าจำนวนมาก จึงไม่เกิดแรงจูงใจ ที่จะอุดหนุน และ
พากันหันไปซื้อ Accord ที่มีเส้นสายในสไตล์หรู มากกว่า
ดังนั้น การปรับโฉม Teana ให้เร็วขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง เพื่อสร้างความเคลื่อนไหว
ไม่ให้ดูกลืนหายไปจากการรับรู้ของลูกค้า การปรับโฉมเพียงเล็กน้อย และการปรับอุปกรณ์
อาจช่วยกระตุ้นตลาดได้ในระดับหนึ่ง
แต่ถ้าใครคิดว่า ควรเป็น Teana Hybrid นั้น บอกได้เลยว่า อาจไม่ใช่คำตอบที่เหมาะสม แม้
Nissan จะพัฒนาระบบ Hybrid ไว้แล้ว และในช่วงก่อนหน้านี้ ก็เคยมีการพูดคุยกันถึงความ
เป็นไปได้ในการนำระบบ Hybrid มาติดตั้งลงใน Teana และ X-Trail ด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือน
ว่า รถยนต์ Hybrid รุ่นแรกของ Nissan ในเมืองไทย ยังดูห่างไกลจากความจริง
นั่นเพราะ เทรนด์ของลูกค้าในบ้านเราเปลี่ยนไป และลูกค้าจำนวนไม่น้อย เริ่มถอดใจกับระบบ
Hybrid ในรถยนต์ Toyota จนยอมขายรถทิ้งเข้าสู่ตลาดรถมือสองด้วยราคาที่หล่นฮวบฮาบ
จากปัญหาราคาอะไหล่และการซ่อมบำรุงที่แพงมาก ราคาของแบ็ตเตอรี อาจเป็นส่วนหนึ่ง
แต่นั่นยังไม่ใช่สาเหตุหลักมากเท่ากับอุปกรณ์ต่อพ่วงกับแบ็ตเตอรีและมอเตอร์ไฟฟ้า นั่น
เป็นภาพตัวอย่างจากเจ้าตลาดเมืองไทย ที่ทำให้คนของ Nissan เอง ก็คิดหนักไม่น้อย
ว่าควรนำระบบ Hybrid เข้ามาขายในเมืองไทย หรือไม่?
อีกรุ่นหนึ่งที่เริ่มส่อแววว่า อาจต้องยุติบทบาทกันไปในอีกไม่นานนี้ คือ Pulsar เพราะต่อให้
พยายามเข็น พยายามลุ้น หรือแม้แต่ออกรุ่น Turbo มาเพื่อช่วยเสริมภาพลักษณ์ ปรากฎว่า
ไม่มีอะไรดีขึ้น ยอดขายก็ยังคงไม่เดิน ยกเว้นจัดโปรโมชัน ระบายสต็อก จึงจะพอไปได้
ดังนั้น เราจึงอาจไม่ได้เห็น เวอร์ชันปรับโฉม Minorchange ที่ยกงานออกแบบหน้า-หลัง
ใหม่จากเวอร์ชันยุโรป มาใส่ใน Pulsar เวอร์ชันไทย
กระนั้น Sylphy ที่ยังพอขายได้ ก็ต้องอยู่ในตลาดต่อไป และมีกำหนดเปลี่ยนโฉมใหม่
Full Modelchange ในปี 2017 ซึ่งเป็นปีที่ Nissan จะเริ่มกลับมามีรถยนต์รุ่นใหม่
เต็มพิกัดอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน ในปี 2016 นี้ เราคาดกันว่า อาจจะได้เห็น NP300 Navara ในรูปแบบ
SUV/PPV ซึ่งตอนนี้ ยังอยู่ในระหว่างถกเถียงกันอยู่ว่า ควรจะมาทำตลาดในไทย
ดีหรือไม่
จริงอยู่ว่า Nissan เตรียมงานการพัฒนารถรุ่นนี้มานนานแล้ว ถึงขั้นเตรียมระบบ
กันสะเทือนหลังแบบ 5 Link เอาไว้เรียบร้อย และการมาถึงของ รถรุ่นนี้ อาจช่วย
เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า และเสริมความแข็งแกร่งให้กับ Nissan ในบ้านเรา
แต่โอกาสที่ NP300 Navara SUV จะแย่งลูกค้าไปจาก X-Trail นั้น ขึ้นอยู่กับรูป
โฉมภายนอก ว่าจะสวยงามแค่ไหน และการใช้งานของเบาะแถว 3 จะสบายกว่า
X-Trail หรือไม่ ถ้าโจทย์ 2 ข้อนี้ คำตอบคือ ไม่ รถคันนี้ก็ไม่ควรถูกนำมาขายใน
บ้านเรา
นอกจากนี้ Nissan ยังต้องมองต่อไปว่า ถ้าจะให้ Navara SUV เข้ามาประกอบขาย
หากไม่สามารถทำยอดขายได้ดีนัก หรือตบตีแย่งชิงยอดขายกันเองกับ X-Trail ก็
อาจกลายเป็นภาระของโชว์รูมดีลเลอร์หนักเข้าไปอีก ทั้งการเตรียมงานขาย สต็อก
อะไหล่ ฝึกอบรมช่าง
แต่ถ้าจะมากันจริงๆ เราอาจได้เห็น Navara SUV/PPV กันได้ เร็วที่สุดคือปลายปี
2015 ช้าสุดคือ ไม่ควรเกินปี 2016 เพราะถ้าเกินกว่านี้ มันอาจสายเกินการณ์ไปแล้ว
เพราะ ภาษีสรรพสามิตพิกัดใหม่ จะทำให้รถยนต์ประเภทนี้ (ซึ่งปล่อยมลพิษสูง
กว่ารถยนต์ปกติ) ยิ่งมีราคาสูงขึ้นไปอีก จนเริ่มไม่คุ้มต่อการนำเข้ามาประกอบ
และทำตลาดในบ้านเรา
ส่วน ECO Car Phase 2 นั้น Nissan มีแนวโน้มที่จะยุติบทบาทของ March ในบ้านเรา
และด้วยการศึกษาตลาดมาอย่างดี ทำให้ฝรั่งมังค่า และญี่ปุ่นชาวแดนปลาดิบ อยู่ในช่วง
ตัดสินใจว่า จะเอา Note รุ่นต่อไป (ที่ไม่ใช่รุ่นปัจจุบันนี้) มาประกอบขายในบ้านเรา
แทน March หรือไม่ แต่กว่าจะมา ยังต้องรอกันจนถึงปี 2017
ขณะเดียวกัน ECO Car ตัวถัง Sedan อย่าง Almera ก็จะถึงเวลาเปลี่ยนโฉมใหม่ในปี
2017 – 2018 และคาดว่าจะถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นตัวถัง V-Platform รุ่นต่อไป ที่ถูกปรับปรุง
ให้ดีขึ้นทุกด้าน โดยเน้นปรับรูปลักษณ์ให้สวยงาม และมีบั้นท้ายลงตัวกว่ารุ่นปัจจุบันนี้
—————————————————-

PEUGEOT
2015 : 2008
ถึงแม้ว่าจะเป็นบริษัทรถยนต์ในเครือของกลุ่ม PSA Peugeot Citroen แต่ในเมืองไทย
การทำตลาด ของค่ายสิงห์สำอางเมืองน้ำหอมอย่าง Peugeot ถูกแยกออกจาก Citroen
ชัดเจน โดย Peugeot ยังคงอยู่ในการดูแของ บริษัท ยูโรเปียน ออโตโมบิลล์ จำกัด อดีต
บริษัทในเครือยนตรกิจ ที่ตอนนี้ แยกตัวจากกลุ่ม เดิมเรียบร้อยแล้ว ช่วงปีที่ผ่านมา พวกเขา
ยังคงทำตลาดแบบ Low Profile กันตามเดิม เหลือโชว์รูมในบ้านเรารวมแล้ว 5 แห่ง ทั้ง
ซอยทองหล่อ สุขาภิบาล 3 กรุงธนบุรี เชียงใหม่ และหาดใหญ่
ในปีที่ผ่านมา พวกเขาก็เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ แค่เพียงรุ่นเดียว นั่นคือ C-Segment SUV
5 ที่นั่ง ทรงประหลาด รุ่น 3008 วางขุมพลัง เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Direct
Injection พ่วง Turbo แบบ Twin Scroll 156 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 240
นิวตันเมตร เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อมถุงลมนิรภัย 6 จุด หลังคากระจก Moon Roof
ขนาดใหญ่ และอุปกรณ์ความปลอดภัยครบถ้วน ทั้ง ESP,ABS,EBD,EBA ขายในราคา
2,390,000 ล้านบาท มันถูกออกแบบมาอย่างแปลกๆ และคงต้องมีคนชอบของแปลก
อย่างนี้จริงๆ เท่านั้น ที่จะยอมรับมันได้
ส่วนปี 2015 พวกเขายังคงอยู่ในระหว่างการรอดูว่า จะสามารถนำเข้า Crossover
SUV รุ่นเล็กลงมา อย่าง Peugeot 2008 มาขายในบ้านเราได้หรือไม่ เพราะต้อง
ดูด้วยว่าใช้ชิ้นส่วนในกลุ่มประเทศ ASEAN ได้มากพอจนถึงขั้นที่จะได้รับสิทธิ์พิเศษ
ยกเว้นภาษี ตามข้อกำหนดเขตการค้าเสรี ASEAN (หรือ AFTA) ที่คิดภาษีนำเข้า
รถยนต์ ซึ่งใช้ชิ้นส่วน รวมทั้งประกอบในกลุ่มประเทศ ASEAN ด้วยกัน เหลือเพียง
0% ได้หรือไม่ และถ้ามาได้ จะมาช่วงใดของปี 2015?
2008 มีขนาดตัวถังไล่เลี่ยกันกับ Honda HR-V โดยเวอร์ชันมาเลเซีย วางขุมพลัง
4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,592 ซีซี พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VVT 122 แรงม้า (PS)
ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 160 นิวตันเมตร ที่ 4,250 รอบ/นาที เกียร์อัตโนมัติ
แบบ Auto adaptive Gearbox ดูแล้วเห็นว่าน่าจะเป็นสเป็กที่เหมาะสมกับตลาดใน
บ้านเรา มากที่สุดด้วยเช่นกัน
—————————————————-

PORSCHE
2015 : 911 GT3 RS / Cayman GT4
2016 : Panamera Minorchange
2017 : 960 / Cayenne Full ModelChange
ปี 2015 นี้ นอกจาก 911 Minorchange พร้อมกับขุมพลังที่จะแรงขึ้น ซึ่งคาดว่าน่าจะ
เผยโฉมช่วงครึ่งหลังของปีนี้แล้ว Porsche ยังมีการบ้านที่จะต้องจัดการต่อเนื่องจากปี
2014 นั่นคือ การเปิดตัวรุ่นน้ำหนักเบาสำหรับสนามแข่ง อย่าง 911 GT3 RS กันเสียที
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ มีรูปหลุดออกมา ในแบบของ รถจำลอง Scale Model ในเมืองนอก
911 GT3 RS ถือเป็นเวอร์ชันดิบเถื่อนที่สุด และมีน้ำหนักเบา กว่ารุ่นปกติ เพื่อการนำไป
แปลงร่างเป็นรถแข่งในสนามแข่ง วางเครื่องยนต์ Boxer 6 สูบนอน 3.8 ลิตร 475 แรงม้า
(PS) แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร แต่คราวนี้จะเชื่อมมากับเกียร์อัตโนมัติ PDK โดย
ไม่มีเกียร์ธรรมดาให้เลือกแต่อย่างใด
ความจริงแล้ว Porsche เคยตั้งใจจะเปิดตัว 911 GT3 RS ตั้งแต่ปี 2014 ทว่า ปัญหา
เครื่องยนต์ร้อนจัดจนไฟไหม้ และทำให้เกิดการ Recall ของ 911 GT3 รุ่นมาตรฐาน ทำให้
พวกเขาเลือกที่จะเลื่อนการเปิดตัวออกมา เพื่อแก้ไขปัญหาของตัวรถให้เรียบร้อยเสียก่อน
นอกจากนี้ในปี 2015 ฃยังมี Cayman GT4 เวอร์ชันแรงสะใจยิ่งกว่า Cayman GTS ด้วย
กำลังสูงถึง 400 แรงม้า (BHP) รวมทั้ง
ย่างเข้าปี 2016 Porsche Panamera Saloon หนึ่งเดียวของตระกูล จะถึงเวลาปรับโฉมใหม่
Minorchange ซึ่งคาดว่าจะมีการยกระดับสมรรถนะขุมพลัง Plug-in Hybrid ให้แรงขึ้น
ประหยัดน้ำมันขึ้น และปล่อยมลพิษน้อยลง
ส่วนโครงการพัฒนารถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางขนาดกลางค่อนข้างใหญ่รุ่นใหม่ รหัส 960
หรือการ Porsche Cayman มาขยายร่าง เพื่อต่อกรกับ Lamboghini Huracan หรือ
Ferrari 458 Italia ยังคงอยู่ในแผน แต่จะเปิดตัวในช่วงปี 2017 ต้องคอยดูว่า จะเข้ามา
ถึงเมืองไทยในปี 2017 หรือ 2018 ?
และในปี 2017 เราจะได้เห็น Cayenne ใหม่ ในเวอร์ชันที่ยาวขึ้นกว่าเดิม แรงกว่าเดิม
—————————————————-

PROTON
2015 : IRIZ
2016 : Saga / Iriz Sedan
ในงาน Motor Expo ที่ผ่านมา Proton แอบนำรถยนต์คันเล็กๆสีเขียว มาจอดซุกไว้
ในบูธ แล้วก็กั้นคอกไว้ บอกเพียงแต่ว่า เตรียมจะสั่งนำเข้ามาขายในปีหน้า
ครับ รถคันสีเขียวที่ว่านั้น ก็คือ Proton Iriz ใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวในมาเลเซียไปเมื่อวันที่
25 กันยายน 2014 ที่ผ่านมา ถือเป็นรถยนต์นั่งกลุ่ม Sub-Compact Hatchback
รุ่นใหม่ ที่จะทำตลาดแทน Proton Savvy 5 ประตูคันเล็ก ที่หลายๆคน คงจะยังพอ
จำได้ว่า หน้าตาของมันเป็นอย่างไร
จุดเด่นของ Iriz คือความพยายามในการยกระดับ Proton ทั้งในด้านงานออกแบบ
และคุณภาพของตัวรถ ขึ้นไปให้ทัดเทียมในระดับสากลมากยิ่งกว่า Preve และ
Suprema S เสียอีก ทั้งที่ตัวรถมีความยาวราวๆ 3,900 มิลลิเมตร เท่านั้น แต่การ
ออกแบบภายใน แม้จะยังหลงเหลือกลิ่นอายแบบ Proton อยู่บ้าง ทว่า ภาพรวม
ต้องถือว่า ดีขึ้นกว่า Proton ทุกคันเท่าที่พวกเขาเคยผลิตออกมาขาย
เครื่องยนต์ที่เชื่อมกับระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ถูกพัฒนาขึ้นใหม่แทบทั้งหมด ทั้งชุด
เสื้อสูบ ก้านสูบ รวมถึงท่่อนล่างของตัวเครื่องยนต์ มีให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่บล็อก
4 สูบ 16 วาล์ว 1.3 ลิตร 95 แรงม้า (PS) และ 4 สูบ 16 วาล์ว 1.6 ลิตร 115
แรงม้า (PS)
Proton ตั้งใจจะนเข้า Iriz มาเปิดตัวในบ้านเรา อย่างเร็วที่สุด คือช่วงเดือนมีนาคม
2015 ในงาน Bangkok Motor Show
หลังจากนั้น รถคันต่อไปที่ Proton คิดจะนำเข้ามาขายในบ้านเราคือ รุ่นเปลี่ยนโฉม
ใหม่ทั้งคัน Full Modelchange ของ Proton Saga Sedan คันเล้ก ยอดนิยม
ของมาเลเซีย คราวนี้ จะใช้เครื่องยนต์กลไกและโครงสร้างวิศวกรรม รวมถึงพื้นตัวถัง
ร่วมกันกับ Iriz เพื่อช่วยลดต้นทุนการพัฒนาลงไป ซี่ง Proton ก็ใช้วิธีการอันเป็น
รูปแบบสากลอย่างนี้มาแล้ว กับรถยนต์หลายรุ่น ในอดีต เพียงแต่เราอาจต้องรอให้
Proton พร้อมเผยโฉม Saga ใหม่ในมาเลเซียกันเสียก่อน คาดว่าน่าจะเป็นช่วง
เดือน สิงหาคม – กันยายน 2015 และกว่าจะนำเข้ามาขายในบ้านเราได้ คงต้อง
รอกันจนถึงงาน Motor Expo 2015 จนถึงต้นปี 2016 เป็นอย่างช้าสุด
—————————————————-

(ภาพถ่ายจากการเข้าเยี่ยมชมโรงงาน Rolls Royce ของผู้เขียน สิงหาคม 2014)
Rolls Royce
2015 – 2016 : Wraith Convertible
การจัดงานเปิดตัวรุ่นปรับโฉม Minorchange ให้กับ GHOST Series-II ในบ้านเรา
เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2014 ถือเป็นความเคลื่อนไหวสำคัญเพียงอย่างเดียว ของ
Rolls Royce ในบ้านเรา ภายใต้การทำตลาดของผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ อย่าง
Rolls Royce Motor Car Bangkok ในเครือของกลุ่ม Millennium
ในปี 2015 ค่ายรถยนต์ระดับหรู ที่ทำงานกันแบบพิถีพิถัน ประณีต อย่างใจเย็น จากเมือง
Goodwood ประเทศอังกฤษ ประกาศออกมาแล้วในเดือนสิงหาคม 2014 ที่ผ่านมาว่า
พวกเขากำลังพัฒนาเวอร์ชันเปิดประทุนของ รถยนต์ 2 ประตู รุ่น Wraith ซึ่งเพิ่งเปิดตัว
ไปทั่วโลก ช่วงปี 2013 – 2014 ที่ผ่านมานี่เอง
รายละเอียดงานวิศวกรรมหลักๆ ทั้งเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง จะไม่แตกต่างไปจาก
Wraith และ Ghost Series-II รุ่นมาตรฐาน แต่แน่นอนว่า ต้องมีการปรับปรุงงาน
วิศวกรรมโครงสร้างตัวถัง ระบบเปิด – ปิดหลังคา ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ฯลฯ อีกมาก ดังนั้น
กว่าที่ Wraith จะเข้ามาขายในบ้านเราได้ คงต้องรอกันจนถึงปี 2017 แน่ๆ
—————————————————-

SKODA
2015 : The New Superb
ขณะที่ในเมืองไทย D.A.D Yontrakit (Skoda Thailand) ยังคงปวดกบาลกับปัญหา
dkiจดทะเบียนรถใหม่ ให้ลูกค้าล่าช้า ซึ่งมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการดำเนินเรื่องกับทาง
หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง จนทำให้ลูกค้าไม่พอใจและนำเรื่องสู่การพิจารณาคดีของศาล
หลายราย แต่ทุกอย่างก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป โดยหวังว่า ปัญหาต่างๆ ควรจะถูกแก้ไขให้
หมดสิ้นภายในกลางปี 2015 นี้
เพราะในเมืองนอก ความเคลื่อนไหวของ Skoda นั้น เกิดขึ้นเป็นระลอกอย่างต่อเนื่อง และ
พวกเขากำลังเตรียมจะเปลี่ยนโฉมใหม่ให้กับ Sedan รุ่นใหญ่สุดในตระกูลอย่าง Superb
ภายในช่วงต้นปี 2015 นี้
Superb ใหม่ จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นานโครงสร้างวิศวกรรม MQB ร่วมกับ Volkswagen
Golf รุ่นล่าสุด โดยมีรูปลักษณ์ภายนอก ที่ได้รับอิทธิพลการออกแบบมาจากรถยนต์ต้นแบบ
Skoda Vision C Concept ส่วนภายในห้องโดยสาร จะดูสวยงาม สุขุม และใหญ่ขึ้นยิ่งกว่า
Superb รุ่นปัจจุบัน ติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ MirrorLink สามารถเชื่อมต่อกับบรรดา
โทรศัพท์ Smart Phone ได้
กำหนดการเปิดตัวในตลาดโลก คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงต้นปี 2015 นี้ แต่กว่าจะส่งมาขาย
ในบ้านเราได้ อาจต้องรอไปถึงปี 2016 เป็นอย่างเร็วที่สุด
—————————————————-

SSANGYONG
2015 : B-Segment Crossover SUV (Tivoli)
ดูเหมือนว่าผู้ผลิตรถยนต์ชาวเกาหลีใต้ ผู้อุทิศตัวให้กับการผลิตแต่ SUV ในเครือของกลุ่ม
บริษัทอุตสาหกรรม Mahindra & Mahindra จากอินเดีย ซึ่งชนะการประมูลสำเร็จนั้น
แทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวในบ้านเราอย่างจริงจังตลอดปี 2014 เอาเสียเลย
แต่ในต่างประเทศ พวกเขาทะยอยเปิดตัวรถยนต์รุ่นปรับโฉม Minorchange ออกสู่ตลาด
ส่งออก กันเรื่อยๆ โดยเฉพาะ Actyon / Nomad รุ่นปรับหน้าตาใหม่ให้ดูลงตัวมากขึ้น
ในปี 2015 นี้ เวอร์ชันจำหน่ายจริงของ B-Segment Crossover SUV ขนาดเล็กกว่า
ในรหัสโครงการ X100 ที่สร้างขึ้นจาก รถยนต์ต้นแบบ Ssangyong XIV-1 กับ XIV-2
และ ‘XIV-Air’ / ‘XIV-Adventure ที่เพิ่งเผยโฉมใน Paris Motor Show เมื่อเดือน
กันยายน 2014 จะพร้อมออกสู่ตลาดในเกาหลีใต้ ในชื่อ Ssangyong TIVOLI
ฟังชื่อแล้วอาจเหมือน ช็อกโกแล็ตจากสวิสเซอร์แลนด์ แต่ความจริงนั้น Tivoli เป็นชื่อ
เขตเมืองตากอากาศเล็กๆแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ใกล้กรุง Rome ประเทศ Italy ซึ่งโดดเด่นด้าน
ศิลปวัฒนธรรมในอันดับต้นๆของประเทศ Italy การใช้ชื่อ Tivoli นั้น เพื่อสื่อถึงการ
ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน บนรถยนต์ ที่สร้างขึ้นจากฝีมือของผู้ผลิต SUV ประสบการณ์
ยาวนานกว่า 50 ปี
จุดเด่นของ Tivoli อยู่ที่ การออกแบบเส้นสายภายนอก และภายใน ภายใต้แนวคิด
Compact Deluxe ติดตั้งถุงลมนิรภัยมากถึง 7 ใบ (รวมถุงลมสำหรับหัวเข่าคนขับ)
และพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง ขนาด 423 ลิตร ใส่ถุงกอล์ฟขนาดมาตรฐานได้ถึง
3 ใบ โดยไม่ต้องพับเบาะหลังแถว 2 เลย!!
Tivoli จะถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเกาหลีใต้ เดือนมกราคม 2015 นี้ ก่อนจะเริ่ม
ทะยอยเปิดตัวสู่ตลาดทั่วโลก ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2015 และคาดว่า มีกำหนดจะ
ส่งมาเปิดตัวในบ้านเรา อย่างเร็วที่สุด คืองาน Bangkok Motor Show เดือนมีนาคม
2015 ที่จะถึงนี้
—————————————————-
SUBARU
2015 : BRZ Minorchange / XV Minorchange
ค่ายดาวลูกไก่ภายใต้การทำตลาดของ T.C.Subaru จากกลุ่ม Tan Chong Group
สิงคโปร์ เริ่มฉายแววการเติบโตให้บริษัทแม่อย่าง FHI (Fuji Heavy Industries)
ได้เห็นกันจนได้รับความไว้วางใจ ให้ประเทศไทยกลายเป็นสถานที่เปิดตัว Subaru
Legacyและ Outback ใหม่ ครั้งแรกในภูมิภาค Asia (ยกเว้นญี่ปุ่น) งานจัดขึ้น
ก่อน Motor Expo แค่เพียงวันเดียว
อย่างไรก็ตาม Legacy จะไม่ถูกนำเข้ามาขายในประเทศไทย เพราะต้องนำเข้า
ทั้งคันจากญี่ปุ่น ทำให้ค่าตัวสูงโดดจนหลายคนหนีไปเล่น Mercedes-Benz หรือ
BMW จึงมีเพียง Outback ใหม่ ทำตลาดโดยยืนราคาเดิมไว้ แต่ให้ข้าวของมา
ครบครันจนคุ้มค่าขึ้น
ขณะที่ XV ก็เริ่มเดินเข้าสู่ช่วงกลางอายุตลาด และต้องการความสดใหม่ เพื่อช่วยดึง
ยอดขายให้อยู่ในระดับ 100 คัน/เดือนได้ต่อไป รุ่นกระตุ้นตลาด แปะออพชัน STi
จึงถูกเปิดตัว ในช่วง เดือนตุลาคม – พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ในตลาดโลก XV มีคิวออกรุ่นปรับโฉม Minorchange ในช่วงปี 2015
คาดว่าน่าจะเป็นแค่การแต่งหน้าทาปากเล็กน้อย ในระดับ เติมแป้ง เติมลิปสติก ให้
ยังพอเฉิดฉายต่อไปได้อีกอย่างน้อย จนถึงปี 2017 ซึ่งจะถึงเวลาเปลี่ยนโฉมใหม่
ทั้งคัน Full Model Change
อีกรุ่นหนึ่งที่ถึงเวลาต้องปรับโฉม Minorchange กันแล้ว นั่นคือ BRZ รถสปอร์ต
ขับเคลื่อนล้อหลัง เพียงหนึ่งเดียวของค่าย ฝาแฝดของ Toyota 86 คราวนี้ คาดว่า
นอกจากจะมีหน้าตาใหม่แล้ว ยังน่าจะมีการปรับปรุงจุดด้อยของตัวรถในด้าน
ต่างๆ โดยยังไม่แน่ชัดว่าจะมีเวอร์ชันอัพเกรดขุมพลัง มาให้ลูกค้าบ้านเราได้
สัมผัสกันหรือไม่
ส่วนความเคลื่อนไหวของ Subaru LEVORG นั้น สงสัยเห็นทีจะยากเกินกว่า
นำเข้ามาขายในบ้านเราได้ เพราะเป็นรถยนต์ Station Wagon ที่สร้างขึ้นเพื่อ
เอาใจตลาดญี่ปุ่นเป็นหลักเท่านั้น
—————————————————-

SUZUKI
2015 : Ciaz Sedan 4 Door 1.2 Litre
2016 : SWIFT (with Longer Body)
2017 : B-Segment Crossover SUV (YRA ,VITARA or Hustler Wide Body)
การเปิดตัวเจ้าเปี๊ยก Suzuki Celerio 3 สูบ 1.0 ลิตร ช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
คือบทเรียนสำคัญที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นได้รู้ว่า อย่าคิดว่าจะตั้งราคารถยนต์แพงแค่ไหนก็ได้
ตราบใดที่แบรนด์ของคุณยังแข็งไม่เพียงพอ และนั่นก็สะท้อนกลับด้วยยอดขาย ที่แค่พอ
ขายได้ ไม่ถึงกับเป็นไปตามเป้าหมาย จึงต้องเบี่ยงไปมุ่งเน้นการส่งออกเป็นหลัก กระนั้น
รุ่นที่ขายดีสุดของเจ้าเปี๊ยก กลับเป็นรุ่นถูกสุด เกียร์ธรรมดา สำหรับลูกค้ารายได้น้อย แต่
เริ่มอยากจะสร้างเนื้อสร้างตัว หรือสร้างครอบครัว มักพบเห็นตามนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ
และนั่นคือสัญญาณที่ดี สำหรับการเติบโตของลูกค้ากลุ่มนี้ในวันข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม Suzuki Swift ยังคงเป็นตัวสร้างรายได้หลักให้กับ Suzuki Thailand
ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2012 จนถึงตอนนี้ และเพื่อกระตุ้นตลาด รวมทั้งปรับแก้ไขในสิ่งที่
ยังเป็นจุดด้อย ในปีที่ผ่านมา Suzuki จึงเปิดตัว Swift RX ช่วงก่อนงาน Motor Expo
โดยเพิ่ม Cruise Control รวมทั้ง เพิ่ม ABS,EBD ในรุ่นเกียร์ธรรมดัวท็อปให้แต่เพิ่ม
ค่าตัวแค่ 5,000 บาท เท่านั้น ช่วยกระตุ้นยอดขายเพิ่มขึ้นได้อีกนิดหน่อย ขณะที่เจ้า
Ertiga Minivan กลับขายไม่ดีเท่าที่ควร เพราะขุมพลัง 1.4 ลิตร น้อยเกินไปในสายตา
ของลูกค้า เมื่เทียบกับคู่แข่ง การมาถึงของ Hona Mobilio ยิ่งทำให้ Ertiga อาการยิ่ง
ไม่สู้ดีนัก
อย่างไรก็ตาม หมัดเด็ดของ Suzuki จะถึงเวลาออกโรงในปี 2015 นั่นคือ รถยนต์นั่ง
Sedan 4 ประตู พิกัด B-Segment ที่ใช้โครงสร้างวิศวกรรมพื้นฐานของ Swift โดยจะ
ใช้ชื่อว่า Ciaz ซึ่งมี เส้นสายภายนอก ยกมาจากรถยนต์ต้นแบบ Suzuki Authentic S
ที่เผยโฉมมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2013 ที่ผ่านมา เน้นขายความหรูหราที่สุดในกลุ่ม บน
รูปลักษณ์ที่สวยงามลงตัวมากสุดในกลุ่ม ECo Car Sedan เช่นเดียวกัน
เวอร์ชันไทย จะยังคงใช้เครื่องยนต์ 1,200 ซีซี แน่นอน มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ
และ เกียร์อัตโนมัติ CVT กำหนดเปิดตัว จะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม – พฤาภาคม 2015
เหมือนเช่นที่ Suzuki มักยึดถือในการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ในบ้านเรา ตั้งแต่ปี 2012

พอเข้าสู่ปี 2016 ก็จะถึงเวลาที่ Swift ต้องเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน Full Model Change
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ Suzuki ซุ่มพัฒนา รถยนต์นั่ง B-segment รุ่นใหม่ ที่มีหน้าตาคล้าย
Swift แต่ จะไม่ได้เน้นการขับขี่ที่เฉียบคมมากเท่า Swift เพราะคราวนี้พวกเขาตั้งใจเน้น
ให้มีพื้นที่ในห้องโดยสารเพิ่มขึ้น ด้วยการขยายตัวถังให้ยาวกว่าเดิม เพิ่มระยะฐานล้อ เพื่อ
ขยายพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง เอาใจลูกค้าทั่วไปมากขึ้น โดยยังอยู่บนพื้นฐาน ขุมพลัง
1,200 ซีซี แต่อาจจะพ่วง Turbocharger เหมือนที่มีกระแสข่าวในต่างประเทศ เพื่อ
เพิ่มสมรรถนะทั้งอัตราเร่ง ความประหยัดน้ำมัน ลดการปล่อยมลพิษลง กำหนดเปิดตัวใน
ช่วงต้นปี 2016
ส่วนโครงการต่อไปที่เราควรเริ่มจับตามองกันได้บ้างแล้ว คือ การเตรียมนำ B-Segment
Crossover SUV รุ่นใหม่หมดจด มาผลิตขายในเมืองไทย ช่วงปี 2016 – 2017
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ มีข่าวว่า Suzuki กำลังซุ่มพัฒนา B-Segment Crossover SUV
รุ่นใหม่ ภายใต้รหัสโครงการ YBA เพื่อเปิดตัวออกสู่ตลาด อินเดีย ในปี 2015 – 2016
อย่างที่เห็นในภาพข้างบนนี้

ขณะเดียวกัน Suzki ยังนำ Hustler มาอวดดโฉมในบ้านเรา ร่วมกับ Alto Lapin ใน
งาน Motor Expo ที่ผ่านมา ยิ่งส่งผลให้ ภาพของ SUV คันเล็ก จาก Suzuki สำหรับ
บ้านเรา ยิ่งเกิดทางเลือกที่หลากหลาย มากกว่าที่คิด
ทางเลือก ของโครงการนี้ มีอยู่ 3 ทาง
– นำ Vitara ใหม่มาประกอบขาย แน่นอนว่า Play safe ที่สุด แต่ทำใจได้เลยว่าลูกค้า
จะไม่ค่อยซื้อ เพราะหน้าตาของมัน เรียบง่ายเกินไป จืดชืดยิ่งกว่านมสดหนองโพ
– นำโครงการ YBA มาประกอบขายไปเลย นี่เป็นทางเลือกที่ดี และน่าจะได้ผลตอบรับ
ที่พอยอมรับได้
– นำ รถยนต์ Crossover พิกัด K-Car 660 ซีซี อย่าง Suzuki Hustler มาขยายตัวถัง
แบบ Wide Body ให้กว้างขึ้น และมีด้านหน้า ยาวขึ้นกว่านี้อีกนิดนึง วางเครื่องยนต์
1,200 – 1,300 ซีซี มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า
แล้วทำราคาออกมาให้อยู่ในระดับเดียวกับ Swift ในปัจจุบัน
การนำ Hustler มาขยายเป็นตัวถัง Wide Body ดูเป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับ
ประเทศไทย หาก Suzuki ต้องการสร้างความแตกต่าง และสร้างแบรนด์ให้อยู่ในใจของ
ลูกค้าชาวไทยในระยะยาว เพราะ Hustler ได้รับความสนใจจากลูกค้าชาวไทย ไม่แพ้
และไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า Alto Lapin เลย เพราะ กระแสของ Vitara ใหม่ในบ้านเรานั้น
เงียบสนิท ส่วน YRA นั้น แม้จะดูเหมาะกับตลาดบ้านเรามากสุด แต่ตัวรถก็ยังไม่ดึงดูดใจ
ลูกค้าชาวไทยมากพอ เมื่อเทียบกับ Hustler Wide Body 1.3 ลิตร CVT
ไม่ว่าคำตอบสุดท้ายในเวลานี้จะเป็นอย่างไร โอกาสที่เราจะได้สัมผัสกับ SUV คันเล็ก จาก
Suzuki ในเมืองไทย น่าจะเกิดขึ้น ช่วงปี 2016 – 2017 คาบเกี่ยวกับ Swift รุ่นต่อไป
—————————————————-
TOYOTA / LEXUS
2015 : Camry & Camry HYBRID Minorchange (March)
: ALL NEW HILUX (Project Code : IMV2) / (March)
: Fortuner May- July / Innova (Almost tin the same Period)
: LEXUS RC300h (March) / ES300h Minorchange
2016 : Vios Minorchange with CVT / Yaris Minorchange /
: Corolla Minorchange + Hybrid
: LEXUS Turbo Varient : RC200t & NX200t
2017 : Camry Full Model Change
ตลอดปี 2014 ที่ผ่านมา Toyota มีรถยนต์รุ่นใหม่ถอดด้าม เปิดตัวเพียงแค่รุ่นเดียว นั่นคือ ขวัญใจ
มหาชนและคน Taxi อย่าง Toyota Corolla Altis ที่เหลือ ก็ล้วนแต่เป็นรุ่นพิเศษกระตุ้นตลาด
จับเอาชุดแต่ง และชื่อ TRD Sportivo สวมเข้าไปให้กับบรรดารถยนต์รุ่นขายดีทั้ง Hilux Vigo
Fortuner รุ่นพิเศษ, Yaris TRD Sportivo และ Vios TRD Sportivo จะว่าไปก็ถือว่า ขาด
อยู่เพียงรุ่นเดียวที่ Toyota น่าจะลองทำขายดู คือ Commuter TRD Sportivo เอาใจนักซิ่ง
ประจำวินรถตู้อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ!
ขณะที่่แบรนด์หรูอย่าง Lexus ก็มีตัวเด่นเข้ามาเผยโฉมกันทั้ง ES300h ซึ่งยอดขายไม่ค่อยเดิน
ทั้งที่ตัวรถในภาพรวม น่าใช้กว่า E-Class ใหม่ด้วยซ้ำ แต่ด้วยชื่อชั้นของค่ายตราดาวที่ฝังแน่น
ในสังคมไทย เลยทำให้ Lexus ต้องเหนื่อยใจเอาเรื่อง กระนั้น การมาถึงของ Crossover SUV
อย่าง Lexus NX ก็ช่วยสร้างสีสันและยอดขายไปได้เยอะพอสมควรตามคาดเลยทีเดียว
แต่ในปีนี้ Toyota จะประเดิม ปีแพะ ด้วยการเปิดตัว Camry Minorchange ที่ยกทัพกันมาครบ
ไลน์อัพ ทั้งรุ่น Hybrid ที่ขายดี (เพราะ พี่โตดันใส่ออพชันรุ่น Hybrid ให้ดีกว่า เบนซิน 2.5 ลิตร)
รูปลักษณ์ภายนอก จะเหมือนกับ Camry ทั้งรุ่นธรรมดา และ Hybrid เวอร์ชันญี่ปุ่น / Russia เป๊ะ
แต่ทีเด็ดก็คือ เราอาจจะได้พบกับ เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร พร้อมระบบ
หัวฉีดจ่ายเชื้อเพลิง ตรงเข้าหองเผาไหม้ Direct Injection D4-S ซึ่งถือเป็นขุมพลังเบนซินลูกที่ 2
ที่ติดตั้งระบบนี้ในบ้านเรา ถัดจากรถสปอร์ต Toyota 86 ค่อนข้างชัดเจนว่าเหตุผลคือการปรับปรุง
ให้ประหยัดน้ำมันขึ้น และปล่อยมลพิษลดลงเป็นหลัก
กำหนดการเปิดตัว Camry Minorchange จะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างเดือน มกราคม – มีนาคม 2015
หลังจากนั้น จะถึงไฮไลต์สำคัญ ที่ผู้คนจำนวนมากรอคอย นั่นคือ การเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ
ผลผลิตตระกูล IMV Generation ใหม่ แม้จะเป็นการเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน Full ModelChange
ยกตระกูล ทั้ง Hilux Vigo , Fortuner และ Innova หากมองด้วยตาเปล่า แต่ความจริงแล้ว เป็น
การนำเอารถยนต์รุ่นเดิม มาปรับปรุงข้อดี – ข้อเสียต่างๆ รวมทั้งเปลี่ยนชิ้นส่วนตัวถังใหม่ เท่าที่จำเป็น
อธิบายให้ง่ายสุดก็คือ เป็น Biggest Minorchange หรือการปรับโฉมครั้งมโหฬาร จนดูราวกับว่า
เป็นการเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน เพราะมีการเปลี่ยนชิ้นส่วนตัวถังจำนวนมาก แต่ขนาดตัวถังจะแตกต่าง
จากรุ่นเดิม น้อยมาก คล้ายกับกรณีของ การเปลี่ยนโฉม Toyota Avanza จากรุ่นเดิม เป็นรุ่นใหม่
ในปัจจุบัน นั่นเอง!
เริ่มจาก Toyota Hilux Vigo ใหม่ ที่มีภาพ Spyshot หลุดออกมาตลอดช่วงปลายปีที่แล้ว ทั้งใน
บ้านเรา และในต่างประเทศ หลุดกันจนแทบไม่เหลืออะไรให้จินตนาการต่อเลยทีเดียว ที่แน่ๆ คราวนี้
Toyota จะเน้นการออกแบบให้ Hilux ใหม่ มีความทนทรหดเพิ่มยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพื่อรองรับลูกค้าใน
กลุ่มตลาดที่ใช้งานสมบุกสมบันกว่าเมืองไทย ทั้งในตะวันออกกกลาง และ Africa โดยมีฐานการ
พัฒนาหลักอยู่ที่ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และเมืองไทย
รูปลักษณ์ภายนอกจะได้รับอิทธิพลเส้นสายมาจาก Corolla Altis กันเต็มรูปแบบ ทั้งด้านหน้า
และแผงหน้าปัด จุดเด่นสำคัญ อยู่ที่การถือกำเนิดของเครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
ตระกูลใหม่ล่าสุด 2 ระดับความแรง ทั้งแบบ 2.2 ลิตร และ 2.8 ลิตร ที่ยืนยันเป็นการภายในว่า
“แรงสุดในตลาด ของจริง”
เหตุผลของการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ทั้งยวง ไม่มีอะไรในกอไผ่ ในเมื่อขุมพลังเดิมสามารถปรับปรุง
ให้ผ่านมาตรฐานมลพิษ ได้ถึงแค่รดับ Euro 4 หรือ ไม่เกิน Euro 5 เท่านั้น หากจะต้องเดินหน้า
ไปต่อ เพื่อให้ผ่านมาตรฐานที่สูงกว่านี้ในอนาคต จำเป็นที่ Toyota ต้องพัฒนาขุมพลังตระกูลใหม่
เพื่อแก้ปัญหานี้
กำหนดการเผยโฉม Hilux ใหม่ จะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก ที่ประเทศไทย เดือนมีนาคมนี้
ก่อนงาน Bangkok Motor Show เพียงเล็กน้อย โดยยังไม่แน่ใจว่าจะมีการเปลี่ยนชื่อรุ่นย่อย
หรือ Sub-name อย่าง “VIGO” หรือไม่ เพราะในอดีต เป็นธรรมเนียมที่จะต้องเปลี่ยนชื่อรุ่น
รถกระบะกันแทบทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนโฉมใหม่
แต่ถ้าให้เดาใจฝ่ายการตลาดของ Toyota ในเวลานี้ ผู้เขียนเชื่อว่า “ในเมื่อชื่อรุ่น Vigo มันได้
ติดปากคนไทยไปเรียบร้อยแล้ว จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปเปลี่ยนชื่อย่อย Sub-name
ให้เปลืองงบการทำตลาดกันอีก แถมในช่วงที่ผ่านมา คู่แข่งทั้งหลาย ก็ลด ละ เลิก ประเพณี
การเปลี่ยนชื่อรุ่นรถกระบะของตนกันไปมากแล้ว เป็นตัวอย่างให้กับ Toyota ว่าไม่จำเป็น
ต้องเปลี่ยนชื่อกันอีกต่อไป”

จากนั้น ในช่วงกลางปี ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – มิถุนายน เราจะได้สัมผัสกับรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่
แบบ Full ModelChange ของ Toyota Fortuner คราวนี้ จะมาในมาดใหม่ ที่หรูหรา
ยิ่งขึ้นกว่าเดิม สลัดภาพลักษณ์การเป็น SUV ของลูกน้องเจ้าพ่อ ทิ้งไป เติมเส้นสายที่สวยงาม
โฉบเฉี่ยว และดูไฮโซยิ่งขึ้น จนภาพลักษณ์ทาบรัศมีตระกูล SUV อย่าง Land Cruiser และ
SUV ของ Lexus ได้เลยทีเดียว แถมยังใช้แผงหน้าปัด แตกต่างไปจาก Vigo ตามความตั้งใจ
ที่จะแยกภาพลักษณ์ของ Fortuner ออกจาก Hilux ให้ดูเป็นรถคนละคันกันอย่างชัดเจนกว่า
รุ่นปัจจุบัน ที่ยังอิงภาพลักษณ์ของ Hilux มากเกินไป
ขุมพลังยกชุดมาจาก Hilux ใหม่ เป็นเครื่องยนต์ใหม่ ทั้ง Diesel 2.2 ลิตร Common-Rail
Turbo Intercooler และ 2.8 ลิตร Turbo Intercooler การันตีว่าแรงสุดในตลาด คาดว่า
จะออกมาเอาใจบรรดาพ่อบ้านบ้าพลัง และกลุ่มเศรษฐีอารมณ์ดิบที่ชอบขับจี้ตูดชาวบ้านหนักกว่า
เดิม ในช่วงกลางปีนี้ อย่างแน่นอน โดยจะเปิดตัวคล้อยหลังจาก Hilux ไม่กี่เดือน ไม่ได้เปิดตัว
พร้อมกับ Hilux ใหม่แต่อย่างใด
ทั้ง 2 รุ่น จะยังถูกผลิตขึ้นจากโรงงานในเมืองไทย ทั้งที่บ้านโพธิ์ และสำโรง เพื่อส่งออกสู่ตลาด
ต่างประเทศ เหมือนรุ่นปัจจุบัน โดยเพิ่งมีการอัพเกรด เครื่องจักรในโรงงานบางส่วน ที่สำโรง
รองรับการผลิตรถรุ่นใหม่ ไปหมาดๆในช่วงปีใหม่นี้เอง
ขณะเดียวกัน เวอร์ชัน Minivan 7 ที่นั่ง บนเฟรมแชสซี รถกระบะ อย่าง Innova ก็จะถึงเวลา
เปลี่ยนโฉม Full ModelChange ในลักษณะเดียวกันกับพี่น้องตระกูล IMV ใหม่ ทุกประการ
ด้านหน้าและด้านหลัง จะโฉบเฉี่ยวขึ้น ภายในจะดูหรูหราไฮโซ เอาใจลูกค้าชาว Indonesia
ซึ่งเป็นลูกค้าหลัก ของรถรุ่นนี้มากขึ้น แต่จะใช้เครื่องยนต์เบนซินบล็อกใหม่ ที่แรงและประหยัด
น้ำมันขึ้นกว่าเดิม พัฒนาขึ้นสำหรับรถเพื่อการพาณิชย์โดยเฉพาะ กำหนดออกสู่ตลาด จะมีขึ้นใน
ช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับการเปิดตัว Fortuner และอาจจะคล้อยหลังจากนั้นไปสักหน่อย
เท่ากับว่า ในปี 2015 Toyota จะมีรถยนต์รุ่นใหม่เปิดตัวในบ้านเรารวมแล้วมากถึง 4 รุ่นหลัก
จาก 2 โครงการ ของ 2 แนก คือทั้งฝ่ายรถยนต์นั่ง และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ (Fortuner
กับ Innova จะถูกรวมเข้ากับกลุ่มนี้ เนื่องจากใช้เฟรมแชสซีร่วมกับ Hilux)
อย่างไรก็ตาม ปีนี้ เราอาจจะได้เห็น Toyota Prius ทำตลาดในเมืองไทย เป็นปีสุดท้าย และ
ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า จะไม่มีรุ่นใหม่ มาสานต่ออย่างแน่นอน เหตุผลเพราะยอดขายตลอดอายุ
ในตลาด ไม่ประสบความสำเร็จ เท่าที่ควร
สาเหตุ ไม่ได้มาจากตัวรถ ซึ่งทำสมรรถนะออกมาได้ดี ประหยัดน้ำมันได้ยอดเยี่ยม แต่
ปัญหาที่แท้จริง อยู่ที่ราคาอะไหล่ ผู้บริโภคจำนวนมาก ถึงกับช็อก เมื่อเจอบิลค่าอะไหล่
เช่นไฟหน้า คู่ละ 40,000 บาท ถือว่าโหดร้ายมากในสายตาลูกค้า หลายราย แค่เผลอ
เอารถไปทิ่มบั้นท้ายรถคันข้างหน้า เจอค่าซ่อมไปเป็นแสนบาท หงายเงิบไปเป็นแถว!
นั่นจึงทำให้พ่อค้ารถมือสอง ไม่ค่อยอยากรับ Prius เข้าเต๊นท์กันนัก หรือถึงขั้นต้องกด
ราคาซื้อเข้า ไว้ต่ำถึงระดับ 400,000 บาท เพื่อให้ขายออกในระดับ 500,000 บาท
(ราคาช่วงต้นปี 2015)
แนวโน้มนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในเมืองไทย แต่ถ้าดูตลาดรถยนต์ในอังกฤษ ก็เป็นเช่นกัน
และเหตุผลมาจากราคาอะไหล่ที่แพงมากเช่นเดียวกัน ดังนั้น ถ้า Toyota ต้องการขาย
รถยนต์ Hybrid ให้ได้มากกว่านี้ จะต้องหาทาง ทำราคาอะไหล่ที่เกี่ยวข้องกับระบบ
Hybrid ให้ถูกลงกว่าทุกวันนี้ มิเช่นนั้น รถยนต์ Hybrid หรือ รถยนต์พลังไฟฟ้าแบบ
อื่นๆ จะไม่มีทางเกิดได้เลย
พอล่วงเข้าสู่ปี 2016 Sub-Compact Sedan ที่ขายดีตลอดกาล อย่าง Vios ใหม่
จะถึงเวลาปรับโฉม Minorchange คราวนี้ ไฮไลต์สจะอยูที่ การเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติ
จากแบบ 4 จังหวะ ลูกเดิม ซึ่งลากใช้งานกันมา 13 ปีแล้ว มาเป็นเกียร์อัตโนมัติ CVT
คาดว่าจะเป็นลูกเดียวกันกับ Yaris รุ่นปัจจุบัน และอจจะมีการปรับปรุงเครื่องยนต์แบบ
1NZ-FE เพื่อให้รองรับกับการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต อัตราใหม่ เช่นเดียวกันกับการ
ปรับโฉมให้กับ Yaris ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการออกแบบชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้าขึ้นใหม่
ให้ดูลงตัว สอดรับกับบั้นท้ายของรถมากกว่านี้
ไม่เพียงเท่านั้น Corolla Altis ใหม่ ก็จะถึงเวลา ปรับโฉม Minorchange ด้วยเช่นกัน
ว่ากันว่า ในเมื่อ Prius ไม่ประสบความสำเร็จ Toyota เลยมองว่า อาจนำระบบ Hybrid
มาวางไว้ใน Corolla Altis แทน เหมือนเช่นที่ทำกับ Corolla Axio / Fielder
อยากจะฝากถึง Toyota ว่า ให้คิดดีๆ รู้ว่าแนวคิดนี้ มีมานานหลายปีแล้ว แต่ยอดขาย
ของคู่แข่งโดยตรงอย่าง Honda Civic Hybrid นั้น ก็ไม่ได้เยอะมาก ดังนั้น โอกาส
ที่ Toyota อาจไม่ประสบความสำเร็จกับ Altis Hybrid ก็น่าจะมีสูง เว้นเสียแต่ว่าจะ
ลดราคาอะไหล่ที่เกี่ยวข้องกับระบบ Hybrid และอัดออพชันเข้าไปเยอะๆ หนักๆ
แต่ต้องทำราคาขายให้โดนใจลูกค้า คือ ต้องไม่เกิน 1,100,000 บาท ก็อาจจะยังพอ
ทำยอดขายให้เป็นไปตามเป้าได้ในช่วง ขวบปีแรกของอายุตลาด แค่นั้น
ปี 2017 จะถึงเวลาเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันให้กับ Camry อีกครั้ง คราวนี้คาดว่าอาจ
ยืนหยัดแนวทางการพัฒนา 2 เวอร์ชัน เพื่อ 2 ตลาดที่แตกต่าง เหมือนเช่นรุ่นเดิม
แต่เวลานี้ ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงรายละเอียดของตัวรถ เพราะยังไม่มีข้อสรุป

ข้ามมาดูฝั่ง Lexus กันบ้าง เนื่องจากในปี 2015 Toyota มีแนวคิดจะยกเลิกการ
ผลิตขุมพลังอะไรก็ตาม ที่เป็นเบนซิน ต่ำกว่า 3,000 ซีซี และไม่มี Turbo ทิ้ง
ทั้งหมด เพื่อเตรียมขยายการใช้ขุมพลังเบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร
Turbo ซึ่งออกสู่ตลาดในรุ่น NX และ RC ให้เต็ม Lineup มากกว่านี้
ดังนั้น ในช่วงปี 2015 เราอาจจะได้เห็น Lexus RC Coupe เปิดตัวในบ้านเรา
ด้วยรุ่น RC300h ขุมพลัง Hybrid กันก่อน แต่คงจะส่งลงเรือมาไม่มากนัก
เพราะค่าตัวน่าจะกระโดดขึ้นไปไกล ถึง 3 ล้านบาท ปลายๆ หรือ 4 ล้านต้นๆ
รวมทั้งรุ่นปรับโฉม Minorchange ของ ES300h ตามติดตลาดโลก ในช่วงงาน
Bangkok Motor Show มีนาคมนี้
แต่หลังจากนั้น กว่าที่เราจะได้สัมผัสกับขุมพลัง 2.0 ลิตร Turbo จาก Lexus
อาจต้องรอให้ขึ้นต้นศักราชใหม่ ปี 2016 กันก่อน จึงจะได้พบกับ NX200t
และ RC200t ตัวเป็นๆ จากการนำเข้าของ Toyota Motor Thailand ซึ่งเมื่อ
ถึงเวลานั้น ด้วยการปล่อยมลพิษที่ต่ำลง ช่วยทำให้ต้องเสียภาษีสรรพสามิต
ต่ำลง และอาจทำให้ค่าตัว ถูกลงกว่าปัจจุบันอยู่มาก จนแข่งขันกับชาวบ้าน
ค่ายอื่นเขาได้เสียที
—————————————————-

VOLVO
2015 : XC90 Full ModelChange SKD Malaysia launch in Thailand
2016 : New DRIVE-E 3 Cylinder Engine & 1.5 L Gasoline Turbo Engine
ความเคลื่อนไหวของ Volvo ในเมืองไทย ตลอดปี 2014 ที่ผ่านมา มุ่งเน้นไปที่ความ
พยายามแก้ไขปัญหา ด้านบริการหลังการขายให้กับลูกค้า ของ S60 และ V60 รุ่นปี
2012 – 2013 ที่อาจประสบปัญหากับระบบหัวฉีด จนทำให้เกิดอาการเครื่องยนต์ดับ
ขณะขับขี่ พวกเขากำลังแก้ปัญหานี้ ด้วยการสั่งหัวฉีดที่ปรับแก้วัสดุใหม่ มาถึงไทย
ล็อตแรก ในช่วงเดือนมกราคมนี้ เพื่อทะยอยแก้ปัญหาของลูกค้ากันไป
ด้านรถยนต์รุ่นใหม่ ไม่แปลกใจที่ยังไม่ค่อยมีของใหม่ เพราะเพิ่งกระหน่ำเปิดตัว
รุ่นปรับโฉม Minorchange ให้กับ S60 V60 XC60 S80 และเพิ่มรุ่น V40 Cross
Country ไปเมื่อปลายปี 2013 รวดเดียว ดังนั้น ปี 2014 จึงมีแค่การนำขุมพลังใหม่
พร้อมหัวฉีด i-ART มาเปิดตัวในประเทศไทย ณ งาน Bangkok Motor Show 2014
โดยวางใน S60 และ V60 ก่อน พร้อมแผนกระตุ้นตลาดใส่ชุดแต่ง R-Design ให้กับ
V60 ออกขายจำนวนจำกัด 60 คันเท่านั้น ออกขายเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2014 ก่อน
ตามด้วย Volvo XC60 D4 ขุมพลัง i-ART และปิดท้ายด้วยเวอร์ชันแรงพิเศษ S60
Polestar ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
ในต่างประเะทศ ข่าวใหญ่ของพวกเขาคือ การเปิดตัว XC90 รุ่นใหม่ เปลี่ยนโฉม
ใหม่ทั้งคัน Full Model Change ไปเมื่อ 27 สิงหาคม 2014 ที่ผ่านมา โดยล็อตแรก
First Edition จำนวน 1,927 คัน ถูกจำหน่ายหมดภายในระยะเวลาเพียง 47 ชั่วโมง
หลังถูกปรามาสจากสื่อมวลชนฝั่งยุโรป ว่าอาจทำยอดขายได้ ไม่สวยนัก
ปีนี้ Volvo XC90 ใหม่ จะทะยอยเปิดตัวสู่ตลาดนอกสวีเดน รวมทั้ง เมืองไทย กัน
เสียที โดยจะเป็นรุ่นนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคันจากสวีเดน กันก่อน ในเบื้องต้น ราคา
คาดว่าอยู่ที่ 6 ล้านบาท โดยประมาณ ก่อนจะเปลี่ยนมานำเข้าจาก มาเลเซีย หาก
สายการผลิตของพวกเขาพร้อม ซึ่งคงต้องรอกันจนถึงปี 2016 เป็นอย่างเร็วที่สุด
คงต้องสรุปเหมือนปีที่แล้วว่า การเช็คความความเคลื่อนไหวของ Volvo นั้น ให้ดู
ที่โรงงานในมาเลเซีย เป็นหลัก ถ้าพวกเขาเตรียมผลิตรถยนต์รุ่นไหน? เมื่อไหร่?
อีกสักพัก รถยนต์รุ่นนั้นจะถูกส่งเข้ามาขายในประเทศไทยของเราชัวร์ๆ แบบ
ไม่ต้องเดาให้เสียเวลา
ส่วนปี 2016 Volvo ประกาศแล้วว่า เราจะได้เห็นเครื่องยนต์ 3 สูบ บล็อกใหม่ และ
แบบ 4 สูบ 1,500 ซีซี Turbo จากตระกูล DRIVE-E ของพวกเขากันอย่างแน่นอน
โดยคาดว่าจะวางลงในตระกูล V40 กับ S60/V60 และ XC60 เป็นหลัก เพียงแต่ว่า
อาจต้องใช้เวลาในการเตรียมผลิตและส่งเข้ามาขายในเมืองไทย น่าจะเร็วสุดคือปี
2017
—————————————————-

VOLKSWAGEN
2015 : Just wait for the Big News!
จนถึงตอนนี้ สิทธิ์การทำตลาดรถยนต์ Volkswagen ในบ้านเรา ก็ยังอยู่กับ “ไทยยานยนตร์”
เหมือนเช่นเคย และปี 2013 ที่ผ่านมา ต้องถือว่า รถยนต์รุ่นใหม่ๆ แทบไม่มีเลย ถ้าไม่นับ
Volkswagen Amarok ซึ่งมีผู้สั่งจองไปทั้งหมด ราวๆ 20 – 30 คันเท่านั้น การส่งมอบจะ
เริ่มต้นขึ้นในช่วงหลังปีใหม่ รวมทั้ง รถตู้ยอดนิยม Caravelle ที่มีการตกแต่ง ภายในกัน
ในระดับ Minorchange มากถึง 2 รอบ
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวล่าสุดที่เกิดขึ้นในปี 2014 ก็คือ ไทยยายนตร์ จะหมดสิทธิ์
นำเข้ารถเก๋งของ Volkswagen มาทำตลาดเองแล้ว คงเหลือไว้เฉพาะสิทธิ์ในการทำตลาด
รถตู้ Caravelle ต่อไปเท่านั้น
แน่ละ นอกเหนือจากเยอรมันีแล้ว ก็มีเมืองไทยนี่แหละ ที่ขายรถตู้รุ่นนี้ได้เยอะมากเป็น
พิเศษ เพราะได้รับความนิยมจากบุคคลสำคัญในประเทศจำนวนมาก ซื้อหาไปดัดแปลง
เป็นรถตู้ใช้งานในชีวิตประจำวันกันเยอะ
แล้วอนาคตของ Volkswagen ในบ้านเราละ? จะเป็นอย่างไรต่อไป?
ช่วงปีที่ผ่านมา มีกระแสข่าวว่า Volkswagen AG กลับมาสนใจจะลงทุนตั้งโรงงานใน
บ้านเรากันอีกครั้ง และตั้งใจจะเข้าร่วมขอรับสิทธิพิเศษด้านภาษีในการประกอบรถยนต์
ECO Car Phase 2 โดยคาดกันในเบื้องต้นว่า รถยนต์รุ่นที่เหมาะสมมากสุดน่าจะเป็น
Polo Hatchback 5 ประตู เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ 1.2 ลิตร TSI Turbo แถมยังมีข่าว
เลยเถิดถึงขั้นว่า เริ่มออกประกาศรับสมัครพนักงานกันแล้ว แต่จู่ๆ ความเคลื่อนไหว
ดังกล่าว กลับเงียบหายไปอีกครั้ง
เราคงต้องรอดูกันต่อไปในอี 2015 ว่า VW AG จะเอาอย่างไรกับตลาดรถยนตในบ้านเรา
รวมทั้งภูมิภาค ASEAN เมื่อมาถึงจุดนี้ ผมยังคงต้องทิ้งท้ายกันเหมือนเดิมว่า

