ในโลกแห่งยนตรกรรมสมรรถนะสูงที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการมาถึงของเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดที่ล้ำสมัย การหวนกลับมามองรถยนต์ที่เปรียบเสมือนหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์ยานยนต์นั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และหากจะเอ่ยถึงรถสปอร์ตที่สร้างปรากฏการณ์และท้าทายขนบเดิมๆ ได้อย่างถึงแก่นแล้ว Nissan GT-R เจเนอเรชัน R35 โดยเฉพาะรุ่นปี 2018 คือหนึ่งในตำนาน “Godzilla” ที่ยังคงคำรามก้อง และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คนทั่วโลก แม้ว่าเราจะก้าวเข้าสู่ปี 2025 แล้วก็ตาม
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ที่มีประสบการณ์มากกว่าทศวรรษ ผมกล้ากล่าวได้ว่า Nissan GT-R 2018 ไม่ใช่แค่รถยนต์ แต่เป็นวิศวกรรมชิ้นเอกที่ผสมผสานความหลงใหล เทคโนโลยี และปรัชญาการขับขี่เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี แต่คุณค่าและความน่าเกรงขามของมันกลับไม่ลดน้อยลงเลย กลับกัน มันได้กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับนักสะสม ผู้ที่มองหาสมรรถนะระดับซูเปอร์คาร์ในราคาที่เข้าถึงได้ หรือผู้ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่ดิบ เกรี้ยวกราด และเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งความเร็ว
การออกแบบที่เหนือกาลเวลา: ความดุดันที่ยังคงสะดุดตาในทุกมุมมอง
เมื่อพูดถึง Nissan GT-R 2018 สิ่งแรกที่หลายคนนึกถึงคือรูปลักษณ์ภายนอกที่ดุดัน มีมิติ และเปี่ยมด้วยจุดประสงค์ทางอากาศพลศาสตร์ แม้การออกแบบพื้นฐานจะยึดตามแนวทางของ R35 มาตั้งแต่ปี 2007 แต่รุ่นปี 2018 ได้รับการปรับปรุงรายละเอียดให้มีความทันสมัยและเฉียบคมยิ่งขึ้น สิ่งที่ทำให้ GT-R โดดเด่นมาโดยตลอดคือการผสมผสานความสวยงามเข้ากับฟังก์ชันการใช้งาน ทุกเส้นสายบนตัวถังไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่ยังคงทำหน้าที่สำคัญในการจัดการการไหลเวียนของอากาศ ช่วยสร้างแรงกด (downforce) และลดค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ (drag coefficient) ให้ดีที่สุด
จากด้านหน้า กระจังหน้า V-Motion อันเป็นเอกลักษณ์ของ Nissan ได้รับการขยายให้ใหญ่ขึ้นเพื่อเพิ่มการระบายความร้อนของเครื่องยนต์และระบบเบรก ช่องดักอากาศขนาดใหญ่ที่กันชนหน้าเน้นย้ำถึงสมรรถนะที่ซ่อนอยู่ภายใน ไฟหน้า LED รูปทรงเพรียวคม ผสานกับไฟ DRL ที่โดดเด่น ทำให้รถมีบุคลิกที่ทันสมัยและดุดัน เส้นสายด้านข้างที่ลากยาวอย่างมีพลัง พร้อมซุ้มล้อที่โป่งออก บ่งบอกถึงความกว้างของฐานล้อและการยึดเกาะถนนที่เหนือชั้น
แต่สิ่งที่ถือเป็น “ลายเซ็น” ที่ไม่มีวันเสื่อมคลายของ GT-R คือไฟท้ายทรงกลมคู่สองชั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่สืบทอดมาจากตำนาน Skyline GT-R ในอดีต และยังคงเป็นจุดเด่นที่ทำให้รถคันนี้เป็นที่จดจำ แม้แต่ในยุคที่รถยนต์ส่วนใหญ่หันไปใช้ไฟท้าย LED แบบเส้นยาวหรือรูปทรงแปลกตา ไฟท้ายของ GT-R ก็ยังคงให้ความรู้สึกคลาสสิกแต่ร่วมสมัยอย่างน่าทึ่ง เมื่อมองจากด้านหลัง สปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การตกแต่ง แต่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยสร้างแรงกดในความเร็วสูง เพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่ได้อย่างมหาศาล ท่อไอเสียสี่ปลายขนาดใหญ่ที่จัดวางอย่างสมมาตรคือสัญญาณที่ชัดเจนถึงพละกำลังอันมหาศาลที่พร้อมจะปลดปล่อยออกมา
ภายในห้องโดยสารของ GT-R 2018 ก็ได้รับการออกแบบให้ตอบโจทย์ทั้งการขับขี่ด้วยความเร็วสูงและการใช้งานในชีวิตประจำวัน แผงหน้าปัดและคอนโซลกลางถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ เน้นการใช้งานโดยผู้ขับขี่เป็นหลัก วัสดุคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นหนังแท้หรือการตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์และอะลูมิเนียม ต่างสะท้อนถึงความประณีตและหรูหราที่ทัดเทียมรถสปอร์ตพรีเมียม เบาะนั่งคู่หน้าสปอร์ตกระชับโอบรับสรีระได้ดีเยี่ยม ให้ความมั่นใจในทุกโค้ง แต่ก็ยังคงความสบายสำหรับการเดินทางไกล สำหรับเบาะนั่งด้านหลังเป็นแบบ 2+2 ที่เหมาะสำหรับเด็กเล็กหรือสัมภาระมากกว่าผู้ใหญ่
หัวใจของอสูรกาย: เครื่องยนต์ VR38DETT ที่สร้างด้วยมือ
หัวใจสำคัญที่ทำให้ Nissan GT-R 2018 เป็นตำนานที่ไม่เสื่อมคลายคือเครื่องยนต์เบนซินรหัส VR38DETT แบบ V6 ทวินเทอร์โบชาร์จ ขนาด 3.8 ลิตร ที่ได้รับการรังสรรค์อย่างพิถีพิถันโดยช่างฝีมือระดับ “ทาคุมิ” (Takumi) เพียงไม่กี่คนเท่านั้นในโลก นี่ไม่ใช่เครื่องยนต์ที่ผลิตบนสายพานการผลิตทั่วไป แต่เป็นผลงานศิลปะเชิงวิศวกรรมที่เกิดจากการทำงานด้วยมือของบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูงสุด
เครื่องยนต์ VR38DETT ในรุ่น GT-R Standard ให้กำลังสูงสุดถึง 419 กิโลวัตต์ หรือ 570 แรงม้า (PS) และสำหรับรุ่น Nismo จะเพิ่มขึ้นเป็น 441 กิโลวัตต์ หรือ 600 แรงม้า (PS) ตัวเลขเหล่านี้ยังคงเป็นที่น่าเกรงขามแม้ในบริบทของปี 2025 เมื่อพิจารณาจากเครื่องยนต์สันดาปภายในล้วนๆ แรงบิดมหาศาลถูกปลดปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้รถมีอัตราเร่งที่รุนแรงและเร้าใจในทุกย่านความเร็ว
เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ VR38DETT มีหลายประการที่น่าสนใจ:
เทอร์โบชาร์จเจอร์ IHI Twin-Turbo: ระบบเทอร์โบคู่จาก IHI ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อส่งอากาศที่ถูกอัดเข้าสู่แต่ละสูบได้อย่างราบรื่นที่สุด ลดอาการรอรอบ (turbo lag) ได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้การตอบสนองของเครื่องยนต์ฉับไวและทันใจในทุกจังหวะการขับขี่ นอกจากนี้ยังมีอินเตอร์คูลเลอร์ขนาดใหญ่ที่ช่วยรักษาอุณหภูมิอากาศไอดีให้เหมาะสม เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการเผาไหม้
การเคลือบกระบอกสูบด้วยเทคโนโลยี Plasma-Spray: แทนที่จะใช้ปลอกสูบแบบเหล็กหล่อแบบดั้งเดิม GT-R ใช้เทคโนโลยีการเคลือบกระบอกสูบด้วยพลาสมาสเปรย์ ซึ่งช่วยลดแรงเสียดทานภายในเครื่องยนต์ได้อย่างมีนัยสำคัญ เพิ่มประสิทธิภาพในการหล่อเย็น และที่สำคัญคือช่วยลดน้ำหนักของเครื่องยนต์โดยรวม ทำให้เครื่องยนต์ VR38DETT มีน้ำหนักเบากว่าเครื่องยนต์ในระดับเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งส่งผลดีต่ออัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักและการจัดการน้ำหนักของรถ
การจัดวางเครื่องยนต์ที่เหมาะสม: ด้วยการออกแบบให้เครื่องยนต์มีน้ำหนักเบาและจัดวางตำแหน่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ GT-R มีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำและมีการกระจายน้ำหนักที่สมดุล ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการควบคุมรถสมรรถนะสูง
ระบบส่งกำลังและพลวัตการขับขี่: การประสานงานที่ไร้ที่ติ
พลังอันมหาศาลของ VR38DETT จะไม่สามารถถ่ายทอดลงสู่พื้นถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพหากปราศจากระบบส่งกำลังที่ยอดเยี่ยม Nissan GT-R 2018 มาพร้อมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด Dual Clutch ที่ได้รับการพัฒนามาอย่างพิถีพิถัน ด้วยความสามารถในการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ เพียง 0.15 วินาทีในโหมด R-Mode ทำให้การเร่งความเร็วเป็นไปอย่างต่อเนื่องและไม่ขาดตอน การมี Paddle-shift ที่พวงมาลัยยังช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ได้ตามต้องการ เพิ่มอรรถรสในการขับขี่แบบสปอร์ตได้อย่างเต็มที่
หัวใจสำคัญอีกประการหนึ่งของสมรรถนะ GT-R คือระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ ATTESA E-TS (Advanced Total Traction Engineering System for All Electronic Torque Split) ระบบนี้ไม่ใช่แค่การส่งกำลังไปยังล้อทั้งสี่แบบทั่วไป แต่เป็นระบบที่ซับซ้อนและชาญฉลาด สามารถปรับการกระจายแรงบิดระหว่างเพลาหน้าและเพลาหลังได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำตามสภาพถนนและพฤติกรรมการขับขี่ โดยสามารถส่งแรงบิดไปยังล้อหลังได้สูงสุดถึง 100% และสามารถถ่ายเทไปยังล้อหน้าได้ถึง 50% เมื่อต้องการการยึดเกาะที่มากขึ้น ทำให้ GT-R สามารถเข้าโค้งได้อย่างแม่นยำและออกจากโค้งได้อย่างรวดเร็วราวกับถูกยิงออกจากหน้าไม้ แรงจีที่เกิดขึ้นในทุกจังหวะการเร่งจะดึงคุณเข้าสู่ห้วงอารมณ์แห่งความสปอร์ตอย่างแท้จริง
ด้วยขุมพลังและระบบขับเคลื่อนอันทรงประสิทธิภาพนี้ ทำให้ Nissan GT-R 2018 มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลาเพียง 2.7 วินาที ซึ่งเป็นตัวเลขที่สามารถท้าชนซูเปอร์คาร์จากยุโรปที่มีราคาแพงกว่าหลายเท่าตัวได้อย่างสบายๆ และความเร็วสูงสุดที่วัดได้จริงถึง 313.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คือบทพิสูจน์ถึงขีดสุดแห่งวิศวกรรมยานยนต์ของญี่ปุ่น
ช่วงล่างและระบบควบคุม: ความสนุกที่สั่งได้ดั่งใจ
เพื่อรองรับพละกำลังและอัตราเร่งอันมหาศาล ช่วงล่างของ Nissan GT-R 2018 จึงได้รับการคัดสรรและปรับแต่งมาเป็นอย่างดี เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุก ตื่นเต้น และเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
โช้คอัพ Bilstein® DampTronic®: GT-R ใช้โช้คอัพ Bilstein® DampTronic® ซึ่งเป็นระบบปรับความหนืดอัตโนมัติที่ได้รับการเซ็ตอัพมาโดยเฉพาะสำหรับ GT-R ระบบนี้สามารถปรับเปลี่ยนการตอบสนองของโช้คอัพได้อย่างรวดเร็วตามสภาพถนนและโหมดการขับขี่ที่เลือก ทำให้รถสามารถรักษาเสถียรภาพและลดการสั่นสะเทือนได้อย่างเหมาะสม มอบทั้งความนุ่มนวลในการขับขี่ในชีวิตประจำวันและความแข็งแกร่งสำหรับการขับขี่ในสนามแข่ง
ระบบเบรก Brembo® Monoblock: สำหรับรถยนต์ที่สามารถทำความเร็วได้สูงถึงสามร้อยกว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบเบรกคือสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อความปลอดภัย GT-R 2018 ติดตั้งจานเบรกแบบ Monoblock จาก Brembo® ที่แข็งแกร่งและทนทาน รองรับแรงมหาศาลได้อย่างดีเยี่ยม โดยด้านหน้ามีคาลิปเปอร์เบรก 6 ลูกสูบ และด้านหลัง 4 ลูกสูบ การออกแบบโรเตอร์ด้านในยังช่วยระบายความร้อนได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ระบบเบรกทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องแม้ภายใต้การใช้งานอย่างหนักหน่วง
ล้อ RAYS® Forged Aluminum: ล้ออลูมิเนียมฟอร์จขนาด 20 นิ้วที่ผลิตโดย RAYS® ซึ่งเป็นผู้ผลิตล้อซิ่งระดับโลกที่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพและความแข็งแกร่ง ล้อเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีดีไซน์ที่สวยงามและดุดัน แต่ยังมีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ ซึ่งช่วยลดน้ำหนักใต้สปริง (unsprung weight) ทำให้ช่วงล่างสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และส่งผลดีต่อการยึดเกาะถนนและการควบคุม
ยางสปอร์ต Dunlop® SP Sport Maxx® GT 600 DSST CTT: เพื่อดึงสมรรถนะสูงสุดของรถยนต์สปอร์ตออกมา GT-R จึงเลือกใช้ยาง Dunlop® SP Sport Maxx® GT 600 DSST CTT ซึ่งเป็นยางแบบรันแฟลตสมรรถนะสูงที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับ GT-R ยางชุดนี้มอบการยึดเกาะถนนที่ยอดเยี่ยม ให้ความมั่นใจในทุกสภาพเส้นทาง และสร้างความรู้สึกสนุกสนานในการขับขี่พร้อมการควบคุมที่เฉียบคม
โหมดการขับขี่: ปรับแต่งประสบการณ์เพียงปลายนิ้วสัมผัส
Nissan GT-R 2018 มอบความยืดหยุ่นในการขับขี่ด้วย 3 โหมดที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนการตอบสนองของระบบเกียร์ ช่วงล่าง และระบบควบคุมเสถียรภาพ Vehicle Dynamic Control (VDC) ได้อย่างอิสระ:
R-Mode (Race Mode): โหมดที่ออกแบบมาเพื่อปลดปล่อยสมรรถนะสูงสุดของ GT-R ระบบเกียร์จะเปลี่ยนเป็นแบบ Quick Shift ที่ทำงานรวดเร็วฉับไว ไต่รอบเครื่องยนต์อย่างดุดัน และใช้อัตราการเปลี่ยนเกียร์ที่สั้นที่สุด ช่วงล่างจะแข็งขึ้นเพื่อการยึดเกาะถนนสูงสุด และระบบ VDC จะถูกปรับให้เหมาะสมกับการขับขี่แบบสปอร์ตในสนามแข่ง มอบประสบการณ์ที่ดิบและเร้าใจที่สุด
NORMAL Mode: โหมดสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน โหมดนี้จะปรับการทำงานของทั้งสามระบบให้มีความลื่นไหลและนุ่มนวลมากที่สุด เพื่อให้การขับขี่เป็นไปอย่างสะดวกสบายและผ่อนคลาย เหมาะสำหรับการเดินทางในเมืองหรือการขับขี่ระยะไกล
SPECIAL Mode (SAVE Mode): โหมดนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อการเดินทางไกลหรือในสภาพถนนที่ลื่นไถล ระบบจะเพิ่มแรงบิดให้กับเครื่องยนต์ในย่านความเร็วต่ำ เพื่อรักษาเสถียรภาพของรถบนพื้นผิวที่มีการยึดเกาะต่ำ พร้อมทั้งรวมข้อดีในด้านความนุ่มนวลของโช้คอัพและความสบายในการขับขี่เข้าไว้ด้วยกัน
หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบ Real-time: เชื่อมต่อกับทุกชีพจรของรถ
Nissan GT-R 2018 ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ด้วยหน้าจอ Multiple Customizable Displays ที่เป็นนวัตกรรม นำเสนอข้อมูลสมรรถนะของรถแบบเรียลไทม์ได้อย่างละเอียด ทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับเครื่องจักรสมรรถนะสูงนี้อย่างแท้จริง หน้าจอเหล่านี้ได้รับการพัฒนาโดย Polyphony Digital สตูดิโอเดียวกับที่สร้างเกม Gran Turismo ซึ่งสะท้อนถึงความใส่ใจในรายละเอียดที่ทำให้ GT-R มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ผู้ขับขี่สามารถเลือกดูข้อมูลสำคัญต่างๆ ได้ตามต้องการ อาทิ:
มอนิเตอร์เครื่องยนต์: แสดงข้อมูลสำคัญ เช่น แรงดันเทอร์โบ (Turbo Boost), อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง, และแรงดันน้ำมันเครื่อง
มอนิเตอร์กำลังขับเคลื่อน: แสดงข้อมูลกำลังที่เครื่องยนต์ส่งออกมา, แรงดันเทอร์โบ, และองศาของลิ้นปีกผีเสื้อ
มอนิเตอร์ความประหยัดน้ำมัน: ตรวจสอบค่าความประหยัดน้ำมันในการขับขี่ พร้อมแสดงระดับความประหยัดได้อย่างชัดเจน
มอนิเตอร์การทำงานของเครื่องยนต์: แสดงอุณหภูมิน้ำหล่อเย็น, อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง, และอุณหภูมิน้ำมันเกียร์
มอนิเตอร์ความสมดุลของตัวรถ: แสดงองศาการเอียงของตัวรถ สำหรับการเข้าโค้งและการใช้เบรก
หน้าจอจับเวลา (Lap Timer): สามารถกดเริ่มและหยุดจับเวลาได้บนพวงมาลัย เพื่อบันทึกสถิติส่วนตัวในการขับขี่
หน้าจอแสดงผลเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่ “ของเล่น” แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้ขับขี่เข้าใจและควบคุมสมรรถนะของ GT-R ได้อย่างเต็มศักยภาพ ทำให้ทุกการขับขี่ไม่ว่าจะเป็นบนถนนสาธารณะหรือในสนามแข่ง กลายเป็นประสบการณ์ที่ดื่มด่ำและเต็มไปด้วยข้อมูลเชิงลึก
Nissan GT-R 2018 ในปี 2025: ตำนานที่ยังคงมีชีวิต
เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2025 Nissan GT-R 2018 ยังคงสถานะเป็นหนึ่งในรถยนต์สปอร์ตที่น่าจับตามองและเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง มันคือสัญลักษณ์ของวิศวกรรมญี่ปุ่นที่สามารถท้าทายยักษ์ใหญ่จากยุโรปได้อย่างภาคภูมิใจ แม้ว่าปัจจุบัน Nissan จะยังคงทำตลาด GT-R R35 รุ่นที่อัปเดตอย่างต่อเนื่อง และโลกกำลังมุ่งสู่ยุคของรถยนต์ไฟฟ้า แต่ GT-R 2018 ก็ยังคงมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ไม่อาจหาได้จากรถรุ่นใหม่ๆ
สำหรับผู้ที่มองหารถยนต์สปอร์ตสมรรถนะสูงในตลาดรถยนต์มือสอง GT-R 2018 ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง ด้วยราคาที่เริ่มจะเข้าถึงได้ง่ายขึ้นเมื่อเทียบกับราคาเปิดตัว แต่ยังคงให้สมรรถนะที่ทัดเทียมหรือดีกว่ารถสปอร์ตใหม่หลายรุ่นที่ราคาแพงกว่า การเป็นเจ้าของ “Godzilla” ในปี 2025 ไม่ได้เป็นเพียงการครอบครองรถยนต์ แต่เป็นการครอบครองประวัติศาสตร์และตำนานแห่งความเร็ว
อย่างไรก็ตาม การเป็นเจ้าของรถยนต์สมรรถนะสูงอย่าง GT-R ในปี 2025 ย่อมมาพร้อมกับความรับผิดชอบในการดูแลรักษาที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ อะไหล่บางชิ้นอาจหายากขึ้นเมื่อรถมีอายุมากขึ้น และค่าบำรุงรักษาอาจสูงกว่ารถยนต์ทั่วไป แต่ด้วยความทนทานของเครื่องยนต์ VR38DETT และการออกแบบที่แข็งแกร่ง ทำให้ GT-R ยังคงเป็นรถที่สามารถใช้งานได้อย่างวางใจ หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
สรุปได้ว่า Nissan GT-R 2018 คือเครื่องจักรที่ไร้กาลเวลา มันเป็นบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของ Nissan ในการสร้างสรรค์รถยนต์ที่สามารถมอบสมรรถนะระดับซูเปอร์คาร์ในราคาที่จับต้องได้ และยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับวิศวกรและผู้ที่ชื่นชอบความเร็วมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี “Godzilla” คันนี้ก็จะยังคงเป็นที่จดจำในฐานะหนึ่งในรถยนต์สปอร์ตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

